ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๙ ความลับขององค์ชายห้า

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๙ ความลับขององค์ชายห้า

งานเลี้ยงยามบ่ายของกุ้ยฮวาพังไม่เป็นท่าเพราะองค์ชายทั้งสองทะเลาะกันจนบาดเจ็บ หลังจากทำแผลให้องค์ชายแปดเสร็จ องค์ชายห้าก็เป็นฝ่ายขอตัวกลับก่อน ไม่มีคำขอโทษจากปากชายหนุ่ม ส่วนคู่กรณีก็ไม่ได้เรียกร้องขอความรับผิดชอบ เพราะได้รับค่าเสียหายมาเรียบร้อยแล้ว

บัดนี้เวลายามบ่ายของกุ้ยฮวาตกเป็นขององค์ชายแปดทั้งหมด แม้องค์ชายห้าจะไม่เต็มใจให้ทั้งสองอยู่ด้วยกัน แต่เขาก็เชื่อใจหญิงสาว ทั้งยังคิดได้ว่าควรรีบทำสิ่งที่ทำได้ มากกว่าเสียเวลาไปกับความหึงหวง เขาต้องรีบแก้ปัญหาของหรงซิ่ง แล้วสร้างผลงานเพื่อกลับมาเมืองหลวง

ทางฝั่งองค์ชายแปด เมื่อไม่มีศัตรูหัวใจอยู่เกะกะสายตา ก็สมควรได้สนทนากับนางในดวงใจเต็มที่ ทว่าชายหนุ่มกลับไม่รั้งอยู่นาน กุ้ยฮวาดูเหนื่อยผิดปกติ หน้านางซีดแถมหาวอยู่บ่อยครั้ง พอสอบถามดูจึงรู้ว่าหลายวันนี้ นางอดหลับอดนอนเพื่อหัดทำซาลาเปา

“เอาของที่เจ้าทำมาให้ข้าทั้งหมด” ชายหนุ่มสั่ง

“กล้ามากนะเพคะ ก่อเรื่องแล้วยังกล้าเรียกร้อง” แว่นหยิกแก้มอย่างทนไม่ไหว

จริงๆ อยากเขกกะโหลกแรงๆ ด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าเจ็บแขนอยู่เลยยั้งมือไว้

“เจ้ากล้าทำร้ายองค์ชาย ระวังจะเจอโทษหนัก” องค์ชายหรู่เผยขู่แต่ก็ไม่ปัดป้อง

ตราบใดที่นางยังสนใจเขา จะหยิกอีกสักร้อยทีก็ตามใจ

“หม่อมฉันกล้าได้มากกว่านี้อีกเพคะ ไม่เชื่อก็ลองดู” แว่นเท้าเอววางท่าโหด แต่เด็กแสบกลับหัวเราะเสียอย่างนั้น

องค์ชายหรู่เผยเห็นคนตัวเล็กทำท่าข่มขู่ ก็พลันมีภาพกระต่ายฤทธิ์มากแวบเข้ามาในหัว นานแล้วที่เขาไม่ได้พิจารณานางอย่างละเอียด แม้จะรู้ว่านางตัวเล็กบอบบาง แต่ไม่เคยเกิดความรู้สึกเอ็นดูจนวันนี้ อาจจะเป็นเพราะเขาโตขึ้นมาก แต่นางสูงเท่าเดิมไม่เปลี่ยน เลยรู้สึกเหมือนนางตัวหดลงจนกลายเป็นเด็ก

“น่ากลัวตายล่ะ”

องค์ชายแปดใช้สายตาแบบมองสิ่งมีชีวิตไร้พิษสง แว่นเลยฉุนกึก ยกถาดซาลาเปาหนี

“กะจะแบ่งขนมให้สักหน่อย แต่คงไม่จำเป็นแล้ว”

“ก็ตามใจสิ ข้าไม่ได้อยากกินสักหน่อย รสชาติแย่จะตาย”

แว่นไม่เชื่อคำวิจารณ์ เพราะคราวก่อนส่งขนมไปให้ องค์ชายแปดก็พูดแบบนี้ ในเมื่อปากแข็งไม่ยอมรับก็อดกินของอร่อยไปก็แล้วกัน

แว่นสั่งนางกำนัลให้ยกถาดซาลาเปาออกไปรวมกับของในครัว อุ่นให้เรียบร้อยแล้ว ค่อยเอาไปส่งที่ตำหนักองค์ชายห้า กับแบ่งใส่กล่องให้จางไห่

“ห้ามแย่งจางไห่กินนะเพคะ” แว่นย้ำกับคนปากแข็ง

“ไม่แย่งให้โง่หรอก” องค์ชายแปดเชิดหน้าพลางซ่อนแววตาเห็นใจองครักษ์

หนนี้ชายหนุ่มปากตรงกับใจที่สุดแล้ว ซาลาเปาที่กุ้ยฮวาทำรสชาติแย่มาก จนเขาแทบพ่นออกมาตอนกินเย้ยพี่ชาย ที่บอกว่าจะเอากลับทั้งหมดตอนแรก ก็เพื่อยั่วโมโห นางจะได้ส่งของที่เหลือไปให้พี่ห้า เสียดายอุตส่าห์วางแผนเสียดิบดีกลับขว้างซาลาเปาไม่พ้นคอ ต้องรับผิดชอบหิ้วกลับไปให้คนสนิท

“ข้าไปแล้ว เจ้าก็รีบพักผ่อนเสีย” ชายหนุ่มสั่งก่อนลา

“เพคะ หม่อมฉันจะดูแลตัวเองอย่างดี ให้สมกับที่เป็นห่วง”

ปกติหากได้ยินเช่นนี้ องค์ชายแปดมักโวยวายแก้ต่าง บอกว่าใครเป็นห่วงเจ้ากัน แต่วันนี้เขากลับยิ้ม แล้วกล่าวทิ้งท้ายอย่างที่ไม่เคยทำ

“ไว้คิดถึงจะมาอีก”



อาหารฝีมือแว่นถูกส่งถึงมือผู้รับโดยใช้เวลาไม่นาน แต่จนแล้วจนรอดคนทำก็ยังไม่รู้ตัวว่ามีบางขั้นตอนผิดพลาด สาเหตุเพราะทำไปชิมไปสารพัดไส้จนลิ้นเพี้ยน แล้วของที่ไม่อร่อยก็มีแต่ไส้ผัก องค์ชายแปดโชคร้ายเองที่บังเอิญหยิบของหายากมากินเย้ยพี่ชาย แถมยังเผื่อแผ่ความโชคร้ายมาให้จางไห่ด้วย

ความบังเอิญทำให้ซาลาเปาซึ่งอุดมด้วยสารอาหาร แต่รสชาติถ่มถุย ถูกจัดใส่กล่องมาให้องครักษ์คนซื่อทั้งหมด ติ่งเดนตายยอมพลีชีพกินจนเกลี้ยง โดยไม่ยอมแพ้ต่อรสชาติอันเลวร้าย แถมยังทึกทักเอาเองว่าซาลาเปาที่มีกลิ่นสมุนไพรซึมอยู่ในเนื้อแป้ง มีนัยยะซ่อนเร้น

‘องค์หญิงรุ่ยฟางต้องการให้ข้าทำอาหารดีๆ มีประโยชน์ให้องค์ชายกินแน่ๆ’

เพราะคิดเช่นนั้นองครักษ์หนุ่มเลยทิ้งดาบชั่วคราว หันไปหยิบมีดเข้าครัว เริ่มหัดทำจากของง่ายอย่างพวกผัดพวกต้ม แล้วค่อยมานวดแป้งทำหมั่นโถว ซาลาเปา ชายหนุ่มฝึกหนักทีเดียว เสียดายทำออกมาอย่างไรก็ไม่ได้รสชาติแบบเดียวกันกับของกุ้ยฮวา ดีหน่อยตรงที่อร่อยทุกอย่าง กลายเป็นค้นพบความสามารถแฝงไป

ทุกครั้งที่เข้าครัว องครักษ์หนุ่มจะพิจารณาถึงคนกิน และคุณประโยชน์ของสิ่งที่ทำ นานเข้าก็บรรลุว่าอาหารชั้นดีกับอาหารที่ปรุงอย่างดีนั้นแตกต่างกัน เขาไม่สามารถหาวัตถุดิบชั้นดีได้ตลอดเวลา แต่สามารถปรุงอาหารอย่างดี ที่ทำอย่างใส่ใจได้เสมอ ติ่งเดนตายสายมโน ถึงกับน้ำตารินเมื่อค้นพบว่าองค์หญิงชี้แนะวิถีแห่งการขัดเกลาตัวเองให้ผ่านซาลาเปา

แว่นไม่รู้ตัวอีกเช่นเคยว่าความบังเอิญจะสร้างแรงบันดาลใจได้มหาศาล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาถูกเปิดเผยก็ตอนองครักษ์หนุ่มเสียชีวิตได้หลายปีแล้ว ลูกหลานบังเอิญมาพบบันทึกของผู้เฒ่า จึงได้นำมาเปิดเผยสู่สาธารณะ กลายเป็นนิทานเชิงปรัชญา ที่มีชื่อเรื่องประหลาดว่า ‘ซาลาเปาถ่มถุย’

ขณะที่ซาลาเปารสชาติแย่กลายเป็นตำนาน ของอร่อยที่ถูกส่งไปยังตำหนักองค์ชายห้า กลับถูกโยนลงน้ำโดยสหายรักขององค์ชายห้า ท่านหญิงฮุ่ยเสียนมาอาละวาดถึงตำหนัก เพราะไม่พอใจที่เขากลับมาหลายวันแล้ว ไม่ยอมไปพบมารดา แต่กลับมีเวลาไปจิบชากับผู้หญิง

“โกรธก็มาลงกับข้าสิ ไยต้องทำลายข้าวของ” องค์ชายห้าติง

คนฟังได้ยินก็เปลี่ยนเป้าหมาย หันมาจ้องเขม็ง

“ก่อนตำหนิข้า ก็หัดดูตัวเองเสียบ้าง สิ่งที่ข้าทำมันเลวได้เสี้ยวหนึ่งของเจ้าหรือไม่ รู้ไหมว่าสี่ปีมานี้เจ้าทำให้ฮองเฮาทรงทุกข์ใจเพียงไหน ภายนอกพระนางดูไม่เป็นไร แต่ภายในตรงกันข้าม ทุกคืนไม่เคยหลับสนิท มักผวาตื่นเพราะฝันร้าย ถ้าไม่ห่วงเจ้า ก็กังวลเรื่ององค์หญิงหก” ฮุ่ยเสียนเอ่ยอย่างอัดอั้น

หลังจากองค์ชายห้าถูกเนรเทศ ฮุ่ยเสียนก็เข้าวังมาอยู่กับฮองเฮาเป็นการถาวร ทั้งยังไม่คิดออกเรือนไปกับคนอื่น เพราะต้องการดูแลมารดาของชายที่รัก หญิงสาวรู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ชายตาแล แต่ก็ไม่อาจทอดทิ้งคนสำคัญของเขาได้

“เกิดอะไรขึ้นกับเหวินหง”

“องค์หญิงเสียบุตรชายไปเมื่อต้นปี เสียพระทัยมากจนล้มป่วย ฮองเฮาได้แต่เป็นห่วง ไม่อาจฝืนกฎมณเฑียรบาลออกไปเยี่ยม”

องค์หญิงหกเคยเสียบุตรในครรภ์มาก่อน กว่าจะให้กำเนิดบุตรชายได้ก็ยากลำบากยิ่ง ทว่าลูกน้อยกลับอายุไม่ยืน ไม่ทันขวบปีก็เสียชีวิต ฮุ่ยเสียนไปเยี่ยมอยู่หลายครั้ง เห็นกับตาว่านางใจสลาย เอาแต่กอดตุ๊กตารำพึงรำพัน ไม่ยอมกินยอมนอน

ฮุ่ยเสียนพยายามช่วยเหลือองค์หญิงหกสุดความสามารถ นางนำถ้อยคำกำลังใจจากฮองเฮาไปบอกต่อ สรรหาสารพัดวิธีมาทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก ทุกคนปิดบังเรื่องนี้กับฮองเฮา พอกลับเข้าวังมาล้วนแสร้งโกหกว่าองค์หญิงทุเลาลงแล้ว ฮองเฮาทรงจับได้ทันที ถึงกระนั้นก็ยังยิ้มอย่างอ่อนโยน ตรัสว่าลำบากเจ้าแล้ว

ความทุกข์ทำให้สตรีที่เคยงดงามตามวัย หม่นหมองแก่ชรา ฮุ่ยเสียนดูแลใกล้ชิด รู้ดีกว่าใครว่าสรีระร่างกายส่วนไหนเปลี่ยนไปบ้าง ไม่เพียงมีริ้วรอยเหี่ยวย่นเพิ่มขึ้นมากมาย พระเกสาที่เคยดกดำ พลันหงอกขาวอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย

ฮุ่ยเสียนได้รับความเอ็นดูจากฮองเฮามาตั้งแต่เล็ก รักเคารพเสมอเหมือนมารดา จึงหวั่นใจยิ่งนักว่าพระนางจะทนความทุกข์ไม่ไหว ด่วนจากไปอย่างปุบปับโดยมิทันล่ำลาคนที่อาลัย ตัวนางเองก็ใช่ว่าจะดีนัก อยู่กับคนเป็นทุกข์ จิตใจย่อมห่อเหี่ยวตาม บางครั้งกลางคืนก็สะอื้นไห้ คิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าหากเหวินหรงอยู่คงดีกว่านี้

สี่ปีมานี้ฮุ่ยเสียนต่อสู้กับความเศร้าอย่างยากลำบาก นางพยายามเข้มแข็งเป็นหลักยึดให้คนอ่อนแอกว่าพึ่งพิง แต่ก็จวนเจียนล้มเต็มที เคราะห์ดีที่องค์หญิงหกฟื้นจากความเศร้าได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงทยอยกันตรอมใจตาย

“ทำไมไม่มีใครบอกข้าเรื่องเหวินหง”

“บอกไปจะช่วยอะไรได้เล่า เจ้าอยู่ไกลถึงหรงซิ่ง รู้ไปก็ทุกข์ ฝืนกลับมาก็รังแต่จะต้องโทษหนัก”

ฮุ่ยเสียนเริ่มสะอื้นหนัก ในใจนางเต็มตื้นไปด้วยคำพูดมากมาย อยากถามอยากประณามว่าทำไมถึงได้ใจร้าย ทิ้งแม่กับพี่สาวไปเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียว ทว่ากลับไม่อาจทำร้ายน้ำใจเขาไปมากกว่านี้ แววตาเจ็บปวดของเหวินหรงทำให้กายนางสั่นสะท้าน

หญิงสาวเคยคิดว่าหากวันใดได้ยินชื่อเขาแล้วไม่หวั่นไหว แสดงว่าตัดใจได้ขาด แต่เปล่าเลย แม้ทนเวลาคนเอ่ยนามเขาได้ แต่ได้พบหน้า ความรักในอกก็เอ่อล้นออกมาท่วมใจอยู่ดี ไม่ทันไรนางก็อภัยให้ความเห็นแก่ตัวของเขา ลืมความทุกข์และเรื่องร้ายไปเกือบหมดสิ้น

“ข้าผิดเอง ข้าขอโทษ” องค์ชายห้าดึงคนที่กำลังร้องไห้มากอด

แม้จะไม่ได้คิดอะไรกับนาง แต่ก็ไม่อาจทนเห็นสหายคนสำคัญอยู่ในสภาพนี้ได้ ฮุ่ยเสียนกอดตอบแน่น นางจิกเล็บลงไปบนตัวเขาจนมือเจ็บ สื่อถึงความเสน่หาชิงชังและอาลัยอย่างสุดซึ้ง แม้มิได้เอ่ยคำ องค์ชายห้าก็รับรู้ได้ทุกอย่าง เขารู้สึกผิดและสงสารนางสุดหัวใจ

“ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างเสด็จแม่กับเหวินหงมาตลอด”

น้ำตาของหญิงสาวยิ่งไหลทะลัก เหวินหรงขี้โกงอย่างนี้เสมอ เขารู้ว่าคำขอโทษเป็นหมื่นพันก็ไม่อาจชดเชยให้นางได้ จึงเอ่ยคำขอบคุณออกมาแทน เขารู้นิสัยของนาง รู้ความนึกคิด แต่ก็ยังรังแกกันด้วยความอ่อนโยน ฮุ่ยเสียนรู้สึกเหมือนถูกเฆี่ยนใจอย่างทารุณ แต่กลับไม่อยากจากไปไหน ต่อให้ตัวนางสลายกลายเป็นผุยผง ก็ไม่อาจตัดใจจากเขาได้

นานทีเดียวกว่าท่านหญิงผู้หยิ่งทระนงจะระบายความทุกข์ผ่านน้ำตาเสร็จ แต่เมื่อร้องพอแล้ว นางก็ไม่อ้อยอิ่งอยู่ในอ้อมแขนเขาอีก ฮุ่ยเสียนจับมือองค์ชายห้า เพื่อพาไปเข้าเฝ้าฮองเฮาด้วยกัน

“ประตูเขตพระราชฐานชั้นในยังไม่ปิด รีบไปตอนนี้ยังทัน”

“จะดีหรือ หน้าเจ้า” องค์ชายห้าขืนตัวไว้

ดวงตานางแดงช้ำ หูตาแดงก่ำ ออกไปเจอหน้าผู้คนตอนนี้เขาเกรงว่าจะสร้างความอับอายให้

“ช่างหน้าข้าเถิด เสด็จแม่เจ้าสำคัญที่สุด” ฮุ่ยเสียนว่า

“ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ก็ได้”

“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร เจ้านี่มัน...”

หญิงสาวทำท่าจะโมโหใส่อีก องค์ชายห้าจึงบอกสิ่งที่นางไม่รู้ให้ทราบ

“ข้าไปพบเสด็จแม่กับเหวินหงมาแล้ว”

เช้าวันที่เขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ บังเอิญว่าเสด็จพ่อประทับอยู่กับเสด็จแม่ เหวินหงเองก็อยู่ด้วย จึงได้พบและพูดคุยถามไถ่กันพอสมควร เสด็จแม่เป็นห่วงเรื่องหรงซิ่ง จึงบอกจะเป็นกำลังให้อีกแรง อิทธิพลของฮองเฮาไม่มากมายอย่างสนมเฉิน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย เหวินหงเองก็รับปากว่าจะช่วย นางจะไปคุยกับสามีที่เป็นรองเจ้ากรมคลัง ให้สนับสนุน เรื่องความช่วยเหลือที่จะส่งไปหรงซิ่ง

“โกหก! ทำไมถึงไม่มีใครบอกข้า”

ฮุ่ยเสียนอยู่ในวังตลอดแทบไม่ได้ออกไปไหน เป็นไปไม่ได้ที่เรื่องขององค์ชายห้าจะรอดพ้นหูตานาง

“ข้าไม่รู้” ชายหนุ่มเองก็สงสัย

เขาถามถึงนางไปหลายคำ ซึ่งทุกคนบอกตรงกันว่าไม่อยู่

“ไม่มีเหตุผลที่ฮองเฮากับองค์หญิงจะปิดบังข้า”

ฮุ่ยเสียนรู้ว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนโกหก แต่ก็เชื่อไม่ลงจริงๆ

“ข้าไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ตัวเอง แต่ตอนที่พบกันข้าเห็นสุนัขสีน้ำตาล ท่าทางเหมือนสิงโตตัวหนึ่ง เสด็จแม่บอกว่าเจ้าเป็นคนหามาให้เหวินหงเลี้ยง”

องค์ชายห้าพูดถูกทุกอย่าง นางมอบสัตว์เลี้ยงให้องค์หญิงหก เพื่อให้คลายเศร้ายามคิดถึงลูก แต่เรื่องนี้รู้กันทั่ว บางทีเขาอาจได้ยินมาก็ได้

“สุนัขตัวนั้นชื่ออะไร” ฮุ่ยเสียนลองทดสอบ

“ข้าไม่แน่ใจ เสด็จแม่ทรงเรียกว่าชงเอ๋อร์ ส่วนเหวินหงเรียกว่าเจ้าโง่น้อย”

ชื่อจริงของเจ้าตัวเล็กคือชงเป่า แต่ทั้งฮองเฮาและองค์หญิงต่างก็พอใจที่จะเรียกในแบบของตน โดยเฉพาะองค์หญิงหกที่เปลี่ยนชื่อมันไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์

“มันใส่ปลอกคอสีอะไร” หญิงสาวยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจ

“ข้าไม่ได้สังเกตขนาดนั้น แต่เหมือนมันจะไม่มีปลอกคอ”

พูดอีกก็ถูกอีก ชงเป่าเป็นสุนัขขี้รำคาญ สวมให้กี่ครั้งก็พยายามถอดออกเสมอ สุดท้ายก็เลยปล่อยไว้อย่างนั้น

“ข้าเชื่อเจ้าแล้ว แต่ว่าทำ...”

พอเริ่มนึกออก ใบหน้าที่ยังไม่หายแดงก็กลับมีสีขึ้นมาอีก เมื่อนึกได้ว่านี่น่าจะเป็นแผนการขององค์หญิงหก ก่อนหน้านี้ฮุ่ยเสียนเคยประกาศว่านางจะตัดใจจากองค์ชายห้า องค์หญิงเหวินหงคงคิดว่าพอเขากลับมาแล้วนางจะหลบหน้า ก็เลยไม่ยอมบอกว่าได้พบกัน ปล่อยให้เข้าใจผิดว่าเหวินหรงอกตัญญู แล้วมาอาละวาดโวยวายกับเขาตามนิสัย

“องค์หญิงทำเกินไปแล้ว” ฮุ่ยเสียนซบหน้าลงบนฝ่ามือด้วยความอับอาย

“เจ้ารู้ความจริงแล้ว หายเคืองข้าบ้างหรือไม่”

“ไม่! ข้าเกลียดเจ้ากว่าเดิมอีก ทำไมไม่บอกกันให้เร็วกว่านี้”

องค์ชายห้าไม่ต่อปากต่อคำ แต่ส่งสายตาอบอุ่นมาให้ ฮุ่ยเสียนเหมือนพี่น้อง เหมือนญาติสนิท การกอดนางจึงไม่ทำให้หวั่นไหว แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่อาจทอดทิ้ง

ฮุ่ยเสียนรัวกำปั้นใส่ชายหนุ่มด้วยความโมโห แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นสาบเสื้อและสายรัดเอวแทน ท่านหญิงคนงามกระชากจนเสื้อผ้าองค์ชายห้าหลุดลุ่ย นางไม่ได้โมโหขนาดจะจับเขาปล้ำ ที่ทำเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติ

องค์ชายห้าไม่ทันระวังตัว สิ่งที่ซ่อนไว้จึงเลื่อนหลุด พุงย้วยๆ อย่างคนอ้วนที่ทุกคนเห็น แท้จริงเป็นถุงหนังบรรจุน้ำ แล้วพันเอาไว้ด้วยผ้าอีกหลายชั้น ขณะนี้องค์ชายหุ่นหมีที่เคยถูกตราหน้าว่าเป็นหมู แทบไม่มีไขมันอยู่ในตัวเลย เหลือก็แต่มัดกล้ามสมบูรณ์แบบ ที่สอดรับกันพอดีกับโครงสร้างของร่างกาย

“เจ้าสำเร็จวิชาขั้นเจ็ดแล้ว!” หญิงสาวมองอย่างตะลึง

นางเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าองค์ชายห้าฝึกวิชาลับที่ต้องขุนตัวเองให้อ้วน สาเหตุที่ต้องเพิ่มน้ำหนักเพราะการก้าวข้ามขีดจำกัดในแต่ละขั้นจะต้องอดหาร ดื่มได้อย่างมากแค่น้ำเปล่า

ขั้นหนึ่งจะฝึกสำเร็จต้องอดอาหารสองวัน ขั้นสองสี่วัน ขั้นสามก็มากขึ้นเป็นเท่าตัว องค์ชายห้าเป็นอัจฉริยะ เขาฝึกสำเร็จโดยใช้เวลาน้อยกว่ามาตรฐาน แต่ถึงกระนั้นกว่าจะสำเร็จขั้นหกก็ต้องอดอาหารอยู่ถึงสี่สิบวัน ในตระกูลซือหม่าไม่มีใครฝึกขั้นเจ็ดสำเร็จนอกจากฉินอ๋อง องค์ชายเหวินหรงปรารถนาจะทำให้ได้ดังเช่นท่านตา จึงพยายามมาโดยตลอด การกินตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องสนุก แต่ชายหนุ่มก็อดทนยัดทุกอย่างเข้าปากโดยไม่พร่ำบ่น

สี่ปีก่อนร่างกายเขาใกล้เข้าสู่สภาวะสมบูรณ์เพื่อเข้าสู่การฝึกแล้ว แต่กลับถูกเนรเทศ พอไปอยู่หรงซิ่งอาหารการกินไม่ดีเหมือนที่เมืองหลวง ไหนจะภารกิจต้องทำอย่างต่อเนื่อง น้ำหนักจึงลดลงอย่างรวดเร็ว พอๆ กับความฝันที่ลอยห่างออกไป

“เจ้าฝืนฝึกทั้งที่ร่างกายไม่พร้อมอย่างนั้นหรือ”

วิชาลับของตระกูลซือหม่าเป็นหนึ่งในสุดยอดวิชา ที่ผู้ฝึกต้องเอาชีวิตเข้าแลก ในการฝึกแต่ละขั้นเมื่อเริ่มแล้วจะไม่สามารถหยุดได้ หากไขมันในร่างกายถูกเผาผลาญหมดไปก่อนฝึกสำเร็จ ย่อมหมายถึงความตาย

องค์ชายห้าพยักหน้ารับอย่างไม่สำนึกถึงการกระทำอันบ้าบิ่นของตน

“เจ้าเสียสติไปแล้ว!”

“ข้ามีความจำเป็น” ชายหนุ่มตอบพลางขยับอุปกรณ์แปลงกายให้เข้าที่ และจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

เห็นเขาใส่ใจเรื่องการปลอมตัว ฮุ่ยเสียนก็รู้ว่าเรื่องนี้มีตื้นลึกหนาบางมากกว่าที่คิด จึงขอให้อธิบาย

องค์ชายห้าบอกว่าเรื่องมันค่อนข้างยาว จึงชวนมานั่งที่ตั่ง รินน้ำชาให้หญิงสาวกับตัวเองดื่มคนละจอก แล้วจึงค่อยเล่าถึงเรื่องวิกฤตหรงซิ่ง และแผนการของอ๋องเหยาเล่อ

“เพื่อลดความสูญเสีย ข้าจึงต้องแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด”

เพราะต้องเก็บตัวฝึกวิชานี่เอง ชายหนุ่มจึงขาดการติดต่อไปหลายเดือน

“โง่จริง ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้ว หากเจ้าตายไปจะทำอย่างไร”

เนื้อแท้เหวินหรงเป็นคนรั้น พอไม่มีคนคอยรั้งก็ยิ่งยึดอารมณ์เป็นที่ตั้ง หากเขาเป็นอะไรไปนางคงเสียใจไปชั่วชีวิต ที่ไม่ได้ตามไปหรงซิ่ง

“ข้ายังไม่ตาย” เขาย้ำอย่างหนักแน่น

ชายหนุ่มผ่านความยากลำบากอย่างแสนสาหัสมา แต่กลับทำท่าไม่ทุกข์แล้ว เห็นแล้วไม่รู้ว่าควรนับถือหรือโกรธเคืองในความหุนหันดี

“แล้วเหตุใดจึงต้องปิดบัง”

ฮุ่ยเสียนถามพลางพิจารณาใบหน้าของชายหนุ่มไปด้วย แก้มเขาดูตอบลง แต่ก็ยังมีเค้าคนอ้วนตรงข้ามกับสภาพร่างกาย แสดงว่าใช้วิชาแปลงโฉมเข้าช่วย

“อ๋องเหยาเล่อเคยชนะคนตระกูลซือหม่าที่สำเร็จวิชาขั้นหกมาแล้ว จึงมองว่าข้าไม่ใช่คู่มือ แต่หากรู้ว่าฝึกสำเร็จจะเห็นเป็นภัยคุกคามทันที จึงอยากถ่วงเวลาเอาไว้จนกว่าจะเตรียมการพร้อม”

“มีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง”

“นอกจากผู้เกี่ยวข้องก็ไม่มีคนนอก”

ได้ฟังอย่างนั้นฮุ่ยเสียนก็ยินดีที่เขาไว้ใจนาง แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมปล่อยหัวใจให้พองโตอย่างโง่ๆ เพราะรู้ว่ายังมีคนสำคัญกว่า

“ไหนๆ ก็ผอมลงแล้ว น่าจะแอบบอกกุ้ยฮวาอีกคน เผื่อนางจะได้รักเจ้ามากขึ้น” ฮุ่ยเสียนจงใจประชด

“ข้ายังไม่อยากบอกนางตอนนี้”

ฮุ่ยเสียนยิ้มขื่น ไม่อธิบายก็รู้ว่าเขาปรารถนาปกป้องกุ้ยฮวาจากทุกสิ่ง เหวินหรงเห็นกุ้ยฮวาเป็นดอกไม้กลีบบางน่าทะนุถนอม เขารักจะทุ่มเทปกป้องนาง แม้เพียงสายลมแผ่วก็ไม่อยากให้ระคาย ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน

“เจ้าปิดบังเพราะห่วงความรู้สึกนาง แล้วเหตุใดจึงมาเปิดเผยกับข้าเล่า” คนแอบรักมานานตัดพ้อ

“ก็เจ้าถาม”

องค์ชายห้าตอบได้กำปั้นทุบดินเสียจนท่านหญิงคนงามแทบจะปล่อยหมัดสวน

“หากไม่ถูกข้าจับได้ เจ้าจะบอกข้าไหม”

“บอก”

“ทำไม?”

“ความลับทำให้เจ้ากังวลมากกว่าการรู้”

นางเคยยินดีที่เขามองนางเป็นคนเข้มแข็ง จึงบอกเล่าทุกอย่างให้ฟัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับไม่ชอบใจเลย ในเมื่อความลับคือความใส่ใจที่มีค่ามากกว่าการเปิดเผย แล้วนางจะปรารถนาความจริงไปทำไม

“เจ้ามันโง่ หลงความงามจนตามืดบอด ผู้หญิงอย่างกุ้ยฮวาต่างหากที่ปรารถนาความจริง ไม่ใช่ข้า”

แม้ถ้อยคำนี้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่ก็แฝงไปด้วยความจริง องค์ชายห้ากลับมาด้วยความเงียบ ไม่ทันที่ฮุ่ยเสียนจะได้เอ่ยต่อ ศีรษะของเขาก็เอนลงซบกับบ่านาง

“เจ้า...” หญิงสาวนิ่งไปเมื่อได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอ

คนบ้าน่าโมโหผล็อยหลับไปต่อหน้าต่อตาทั้งที่ยังสนทนากันอยู่ ฮุ่ยเสียนมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะปลุกหรือทุบเขาให้เขาตื่น แต่หญิงสาวก็ไม่ทำเช่นนั้น นางค่อยๆ เลื่อนศีรษะเขาจากไหล่มาอยู่บนตัก เพื่อให้นอนหลับอย่างสบายขึ้น เรื่องที่คุยกันค้างไว้ ดันทุรังถามความในใจไปก็มีแต่จะยิ่งเจ็บ ใจเขาอยู่ที่ใดนางไม่ใส่ใจแล้ว ขอเพียงได้อยู่ด้วยกันในช่วงเวลานี้ก็พอ


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

เรือแพนด้าถูกสัตว์ประหลาดในท้องทะเลลึกโจมตี
ลักษณะคล้ายปลิง ใบหน้าเหมือนสหายเก่า
เกาะหนึบไม่ปล่อย ใจด้าก็ไม่แข็งพอจะเหวี่ยงทิ้ง
เจอช็อตนี้เข้าไป แม่ยกว่าไงจ๊ะ
ยังไหวอ๊ะเปล่าเบบี๋!

ตอนหน้ายังคงมีดราม่าเบาๆ
และจะมีต่อไปอีกเรื่อยๆ
โดปเครื่องดื่มบำรุงตับไตไว้นะจ๊ะคนดี ^3



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.พ. 2560, 00:00:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.พ. 2560, 00:00:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 930





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๘ ถือสิทธิ์อะไร   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๑๐ แม่ไม่ปลื้ม >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account