ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๑๐ แม่ไม่ปลื้ม

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๑๐ แม่ไม่ปลื้ม

การเคลื่อนไหวขององค์ชายห้า ทำให้มีข่าวเรื่องหรงซิ่งหลุดออกมาเป็นระยะ แต่เพราะดำเนินการในทางลับ รายละเอียดสำคัญรู้กันในวงแคบ เรื่องจึงยังมาไม่ถึงกุ้ยฮวา อีกทั้งตำหนักเขียวตั้งอยู่ในเขตสตรี ข่าวลือส่วนใหญ่ที่ลอยมาที่นี่ จึงเน้นหนักที่เรื่องซุบซิบนินทา ปกติแว่นไม่ค่อยชอบนัก แต่พอรู้ว่ามีเรื่องขององค์ชายห้ากับฮุ่ยเสียน ก็อดที่จะฟังไม่ได้

สายข่าวที่ไว้ใจได้รายงานว่าฮุ่ยเสียนไปที่ตำหนักองค์ชายห้า แล้วค้างคืนอยู่ที่นั่นจนสว่าง มีประจักษ์พยานเห็นตรงกันหลายคน แว่นฟังแล้วไม่หึงหวง ยังสามารถจิตชาต่อไปได้อย่างสบายอารมณ์ แม้จะมีข่าวลือเพิ่มเข้ามาว่าฮองเฮาส่งเสริมฮุ่ยเสียนอย่างออกนอกหน้า หรือมีคนเล่าว่าองค์ชายห้ารับนางเป็นชายาแล้ว ตุ๊ดสายสตรองก็ยังรอให้คนรักมาหาอย่างไม่หวั่นไหว เขาเชื่อใจองค์ชายเหวินหรง ต่อให้ฮุ่ยเสียนมาพูดเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แว่นก็ยังใจเย็นรอฟังคำแก้ต่างขององค์ชายห้าอย่างใจเย็นได้

ในที่สุดองค์ชายเหวินหรงก็มาพบกุ้ยฮวาเสียที คนคอยต้อนรับขับสู้อย่างยินดี เสียดายชายหนุ่มมีเวลาไม่มากนัก เลยได้แต่ยืนคุยกันที่ศาลาหน้าตำหนัก

“ข้ามีธุระสำคัญต้องทำ ขอโทษนะ...ที่ไม่มีเวลาให้เลย” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเศร้า

“ไม่เป็นไรเพคะ อย่างน้อยก็อยู่ใกล้กันกว่าแต่ก่อนมาก หากองค์ชายมาไม่ได้ หม่อมฉันจะไปหาเอง”

แว่นไม่คิดน้อยใจ เขารู้ว่าชายหนุ่มกำลังทำงานหนักเพราะมีเวลาอยู่เมืองหลวงอย่างจำกัด ขณะนี้โทษขององค์ชายห้ายังไม่ได้รับการให้อภัย จึงไม่รู้ว่าเมื่อไรฮ่องเต้จะมีพระบัญชาให้กลับไปหรงซิ่ง

“เจ้าช่างแสนดี” องค์ชายห้ามองอย่างซาบซึ้ง “แต่อย่าลำบากเลย วันๆ ข้าแทบไม่ได้อยู่ในตำหนัก”

องค์ชายห้ารู้ว่านางยินดีมาหาทุกวัน ไม่อาจเห็นแก่ตัวจนละเลยเรื่องชื่อเสียงของนาง

“ให้หม่อมฉันช่วยงานองค์ชายอีกแรงดีไหมเพคะ จะได้ไม่เหนื่อยมาก” แว่นอาสา แต่น้ำใจนี้กลับได้รับการปฏิเสธ

“เจ้าอยู่เฉยๆ ถนอมร่างกายให้ดีก็พอ”

น้ำเสียงขององค์ชายห้าค่อนไปในทางวิงวอนมากกว่าบอกปัด คนที่ไม่ถนัดนิ่งดูดายไม่ชอบใจนัก แต่ก็พ่ายให้แก่แววตาเปี่ยมรักของเขา

“แล้วเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไรเพคะ”

“เทศกาลรำลึกคงได้เจอที่โต๊ะเสวยทุกวัน แต่ถ้าเป็นส่วนตัว...”

องค์ชายห้านิ่งคิด เขาดูลำบากใจกับเรื่องเวลามากทีเดียว ท่าทางคงปลีกตัวลำบากจริงๆ

“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรเพคะ หม่อม...”

“ข้าอยากเจอเจ้า” ชายหนุ่มตัดบทอย่างหนักแน่น “วันที่เจ็ด ช่วงบ่าย ที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวง เป็นอย่างไร”

ถึงสถานที่นัดมันจะแปลกๆ แต่แว่นก็รับคำ นับวันดูแล้วอีกนานทีเดียวกว่าจะได้สนทนากันแบบเป็นส่วนตัว ก่อนลาเขาอยากกอดองค์ชายห้าแน่นๆ เหลือเกิน เสียดายว่าทำไม่ได้ ลำพังแว่นไม่ใส่ใจสายตาใคร แต่องค์ชายห้านั้นเป็นผู้ชายที่เคร่งขนบเสียเหลือเกิน ฝ่ายที่ต้องมาจดๆ จ้องๆ เกรงใจไม่กล้าล่วงเกินเลยกลายเป็นแว่น

“ข้าต้องไปแล้ว”

คำลาทำให้ใจหาย แว่นไม่อยากปล่อยเขาไปทั้งที่มีประเด็นค้างคาใจเหลืออยู่จึงรีบพูด

“ท่านไม่ลืมอะไรใช่ไหม อย่าง...เรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องพูด”

ข่าวลือเรื่องเขากับฮุ่ยเสียนดังมาถึงนี่ได้ ก็น่าจะลอยไปหาเขาได้

“ไม่” องค์ชายห้าปฏิเสธชัดเจน

ชายหนุ่มเคยอยากถามว่า ตอนนี้เขายังเป็นแพนด้าของนางอยู่หรือไม่ แต่มันไม่จำเป็นแล้ว การที่กุ้ยฮวาต้องการเขา อยากพบหน้า สำคัญกว่าเป็นไหนๆ

“ถ้าเช่นนั้นก็ไปเถิด ถนอมตัวด้วย” แว่นปล่อยพระเอกหุ่นหมีไปโดยไม่ซักไซ้

สำหรับเขา ผู้ชายมีอยู่ด้วยกันสองประเภท ประเภทแรกคือพวกที่ชอบบอกว่าไม่เอาไว้ก่อน เพราะมีชนักปักหลัง กับประเภทที่สองคือบอกว่าไม่ เพราะไม่เห็นความสำคัญว่าควรนำมาเล่า ซึ่งเขาฟันธงได้ว่าองค์ชายห้าเป็นประเภทหลัง


ขณะที่องค์ชายห้ายุ่งอยู่กับปัญหาของหรงซิ่ง องค์ชายองค์อื่นก็มีเรื่องวุ่นวายให้สะสางไม่ต่างกัน อยู่ๆ หลักฐานการฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางน้อยใหญ่ ก็ถูกขุดคุ้ยออกมาเป็นพะเรอเกวียน เรียกว่าโดนกันทั่วหน้าไม่เว้นแม้แต่ขุนนางฝ่ายสกุลเฉิน ที่ขึ้นชื่อด้านความซื่อสัตย์ยุติธรรม

องค์ชายสี่กับองค์ชายเจ็ดร้อนตัววิ่งกันวุ่น เพราะมีนอกมีในกันอยู่กับหลายกรมกอง แต่คนที่น่าสงสารและต้องรับศึกหนักที่สุดคือองค์รัชทายาท องค์ชายอิ๋นหานรับผิดชอบกรมปกครอง ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งพระเนตรพระกรรณ จึงถูกตราหน้าว่าไร้สามารถ ปล่อยปละละเลยมากเกินไป

คนที่ลำบากรองลงมาก็คือองค์ชายรอง ทีแรกทุกคนเพ่งเล็งไปที่เขาว่าเป็นคนนำหลักฐานออกมา แต่ชายหนุ่มก็เจ็บหนักไม่น้อย ถูกฮ่องเต้เรียกไปตำหนิเรื่องสินบนที่มอบให้กับคณะทูต ทุกคนเลยเริ่มลังเลใจว่าอาจจะไม่ใช่ฝีมือเขา

เหล่าขุนนางที่ถูกลากไส้ล้วนโกรธแค้น พยายามสืบหาตัวผู้ที่วางแผนเล่นงานตน ทว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครหาตัวคนขุดหลักฐานพบ ทุกคนเลยพร้อมใจเพ่งเล็งมาทางองค์ชายสาม ซึ่งเป็นคนเดียวที่แทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

แม้จะปราศจากหลักฐาน คมมีดแห่งโทสะของผู้ที่ต้องย่อยยับก็ยังพุ่งตรงมาหาชายหนุ่มอยู่ดี องค์ชายสามถูกเล่นงานทั้งต่อหน้าและลับหลัง แต่ก็ยังยืนยิ้มโบกพัด ไม่ทันไรเหล่าคนโง่เขลาที่กล้าต่อกร ก็ทยอยกันล้มตายราวใบไม้ร่วง ไม่ก็ประสบทุกขเวทนาที่ยิ่งกว่าความตาย

ความหวาดกลัวค่อยๆ แผ่ขยายในราชสำนัก เมื่อทุกคนได้ตระหนักว่าเขาเป็นตัวอันตรายอย่างแท้จริง องค์ชายลี่หมิงไม่เพียงอำมหิต แต่ยังคาดเดาได้ยาก หากเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจริง เป้าหมายในการสร้างความวุ่นวายครั้งนี้จะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ตั้งแต่เพื่อความบันเทิง ตลอดจนหมายทำลายองค์รัชทายาท

ขณะที่หลายคนอยู่ในอาการหวาดวิตกถึงขีดสุด องค์ชายวายร้ายที่ทุกคนครั่นคร้าม กลับกำลังใช้มันสมองอันชาญฉลาด กระทำการอันหาสาระมิได้ นั่นคือ ‘วางแผนปฏิวัติโต๊ะเสวย’

หลังจากเทศการงานรื่นเริงในเดือนสิบเอ็ดสิ้นสุดลง บรรยากาศสุขสันต์ก็จะพลิกกลับเป็นสงบเงียบ เพราะเทศกาลถือศีลในต้นเดือนสิบสอง หรือในอีกชื่อคือเทศกาลรำลึก หัวใจหลักของเทศกาลในวังคือเพื่อให้เหล่าเชื้อพระวงศ์เรียนรู้ความยากลำบากของประชาชน และถือศีลบำเพ็ญบารมี งดเว้นการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม

องค์ชายผู้มีรสนิยมสูงตั้งแง่รังเกียจเทศกาลรำลึกตั้งแต่จำความได้ ทุกปีจึงพยายามหนี ไม่ก็หาเหตุท้าทายอำนาจพระบิดาทุกปี ช่วงยังเป็นวัยรุ่นองค์ชายลี่หมิงโดนลงโทษประจำ แต่ก็ไม่เคยเข็ดหลาบ พอเป็นผู้ใหญ่ค่อยคิดได้ว่าการดื้อแพ่งรังแต่จะทำให้ลำบาก จึงเปลี่ยนใจทำตัวดีให้พระบิดาตายใจ แล้วหนีไปทันทีเมื่อมีโอกาส

ชายหนุ่มปฏิบัติเช่นนี้มาเรื่อย จนวันหนึ่งบุตรชายตัวน้อยได้ตั้งคำถามว่าเหตุใดบิดาจึงไม่ชอบเทศกาลรำลึก องค์ชายสามจึงเริ่มขบคิดอย่างจริงจัง แล้วก็ค้นพบว่าปมในใจเกิดขึ้นเพราะอาหาร เมื่อครั้งยังเล็ก เขาถูกบังคับให้กินผักดองทุกมื้อ พอบ่นเบื่อ ก็จะโดนยัดเยียดเต้าหู้กลิ่นเหม็นเขียว กับน้ำแกงที่รสแย่เสียยิ่งกว่าน้ำล้างเท้าให้

ลำพังสามสี่วันกินวนไปเช่นนี้ยังพอรับไหว แต่เทศกาลรำลึกมีถึงเจ็ดวัน เมื่อถึงขีดจำกัดที่รับได้ ร่างกายก็ต่อต้านอย่างรุนแรง เพียงแค่ได้กลิ่นก็อาเจียนออกมาอย่างหนัก

เมื่อได้ฟังคำตอบ ฟางหมิงก็ทำหน้าเศร้า

“เป็นอะไรไป เจ้าชอบเทศกาลนี้มากหรือ ถึงรู้สึกไม่ดีที่พอไม่ชอบ”

เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธ

“อาหารเวลาปกติอร่อยกว่าขอรับ แต่ข้าชอบกินข้าวกับทุกคน ช่วงนี้เสด็จปู่เสด็จย่าจะใจดีเป็นพิเศษ ไม่มีใครทะเลาะกัน”

เหล่าสนมกำนัลและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย มักกระทบกระทั่งกันเป็นเนืองนิตย์ ที่ยอมหันมาปรองดองกันเป็นการชั่วคราวก็เพราะราชโองการ ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับเทศกาลรำลึกเป็นอย่างมาก หากพบว่าผู้ใดทำตัวไม่เหมาะสม พระองค์จะลงโทษทันทีโดยไม่ไว้หน้า

“อย่างนี้เอง เจ้าอยากให้พ่อมาร่วมโต๊ะทุกวันใช่หรือไม่”

“ขอรับ ข้าชอบกินข้าวกับท่านพ่อที่สุด” ฟางหมิงยิ้มกว้างแต่อึดใจเดียวก็กลับไปมีสีหน้าลำบากใจ “แต่ท่านพ่อกินผักดองไม่ได้ ข้าไม่อยากให้ท่านลำบาก”

ฟางหมิงไม่คิดเรียกร้อง ทั้งยังมีความอดทนอดกลั้นสูง ตรงข้ามกับบิดาอย่างสิ้นเชิง ในฐานะผู้ให้กำเนิด องค์ชายสามเห็นมันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย เขาไม่อยากให้บุตรชายเก็บกดมากเกินไป จึงมักจะตามใจทันที หากรู้ว่าลูกปรารถนาสิ่งใด

“พ่อว่า...น่าจะมีวิธีอยู่นะ” องค์ชายสามแบ่งรับแบ่งสู้ “มาเร็ว...มาช่วยกันคิดดีกว่า”

ว่าแล้วคุณพ่อดีเด่นก็จูงมือลูกชาย ให้เข้าไปในห้องทำงานด้วยกัน

แผนการปฏิวัติโต๊ะเสวยถูกวางขึ้นอย่างรัดกุม ด้วยฝีมือผู้ใหญ่หัวใสกับเด็กน้อยแสนฉลาด แต่งานนี้จะรอดหรือรุ่งต้องมารอดูผลลัพธ์กันอีกที


วันที่หนึ่งเดือนสิบสอง วันแรกของเทศกาลรำลึก หลังทำพิธีสวดภาวนาและปฏิญาณว่าจะถือศีลเสร็จ ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้เชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางคนสนิท ร่วมกันรับประทานอาหารมื้อแรกที่ตำหนักส่วนพระองค์ ในเขตพระราชฐานชั้นกลางเหมือนเช่นทุกปี

ทุกคนล้วนรู้ลำดับขั้นตอนและตำแหน่งที่นั่งเป็นอย่างดี จึงไม่ต้องมีคนมากำกับให้วุ่นวาย จะแปลกตาหน่อยก็ตรงที่ ปีนี้มีเก้าอี้เด็กเพิ่มขึ้นมาหลายตัว เหตุเพราะบรรดาองค์หญิงองค์ชายพาบุตรเข้าวังมาด้วยไม่น้อย ส่วนใหญ่ก็เพื่อประจบฮ่องเต้ หมายจะชิงตำแหน่งคนโปรด ไปจากหลานรักอย่างฟางหมิง

โอรสธิดาขององค์ชายสี่และบรรดาองค์หญิงอายุไล่เรียงกันไปตั้งแต่สามถึงห้าขวบ อยู่ในวัยน่าเอ็นดู มีเสน่ห์ต่างจากฟางหมิงที่มีบุคลิกเหมือนเด็กโต มองอย่างไรก็ดูน่าอุ้มน่ากอดกว่า ฮองเฮากับพระสนมทั้งหลายยังออกปากชม บ้างก็ขอให้มานั่งข้างๆ ทั้งที่ไม่ใช่หลานสายตรง

การแย่งความสนใจไปจากฟางหมิงสำเร็จด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อ เสียดายเด็กเล็กส่วนใหญ่มักโยเยง่าย อยู่ไม่เป็นสุข พักเดียวก็คว้าอาหารมาเล่น ไม่ก็ส่งเสียงเอะอะทำลายบรรยากาศ แม้ฮ่องเต้จะไม่ทรงตำหนิอะไร แต่พวกผู้ใหญ่นั้นร้อนๆ หนาวๆ กลัวอาญา จึงสั่งให้ข้ารับใช้ทยอยกันอุ้มกลับ สุดท้ายก็เหลือเด็กที่ยังนั่งเรียบร้อยได้อยู่คนเดียวคือฟางหมิง

“ลูกพวกเจ้ายังเล็กนัก ไม่ต้องรีบร้อนพามาร่วมโต๊ะ” ฮ่องเต้ตรัสกับบรรดาโอรสธิดา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในปีหน้า

องค์ชายสี่รู้ว่าถูกตำหนิจึงเอ่ยแก้เก้อว่า

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ลูกเห็นบุตรชายพี่สามอายุไล่เลี่ยกัน จึงไม่ทันคิดให้ถ้วนถี่”

ฟางหมิงได้ร่วมโต๊ะเสวยตั้งแต่ยังไม่ทันจะสี่ขวบเต็มด้วยซ้ำ เมื่อองค์ชายสามพาลูกมาได้ คนอื่นจะพาเด็กวัยเดียวกันมาย่อมไม่ผิด

“ฟางหมิงต่างจากเด็กอื่น” ฮ่องเต้ตรัสสั้นๆ แต่ก็สื่อถึงความโปรดปราน

ฟางหมิงนั้นเกิดมาเพื่อเป็นที่รักโดยแท้ ต่อให้ไม่มีใบหน้าอันงดงามกับสติปัญญาอันชาญฉลาด เด็กน้อยก็ยังได้รับพระเมตตาเพราะกำพร้าแม่ หากองค์ชายสามไม่รั้นพาลูกไปเลี้ยงดูที่จุ้ยห้าน ป่านนี้ท่านชายน้อยคงได้รับการชุบเลี้ยงไม่ต่างจากองค์ชายองค์หนึ่ง แต่อยู่ไกลก็ไม่ใช่เรื่องแย่ นานๆ ฮ่องเต้ทรงได้พบกับพระนัดดาสักครั้งหนึ่ง จึงรักและตามใจกว่าคนอื่น

มีฟางหมิงเป็นตัวช่วย เรื่องปฏิวัติอาหารในช่วงเทศกาลย่อมไม่ใช่เรื่องยาก ท่านชายน้อยเอ่ยคำเดียว อาหารตรงหน้าก็จะเปลี่ยนไปทันที แต่ปัญหาคือกับข้าวจะถูกเปลี่ยนเฉพาะแค่ของฟางหมิงเท่านั้น องค์ชายสามไม่มีสิทธิ์แย่งลูกกิน เพราะที่นั่งของลูกรักถูกย้ายไปอยู่ข้างฮ่องเต้ องค์ชายผู้ชั่วร้ายจึงต้องวางแผนลับลวงพราง หาตัวช่วยเพิ่มด้วยการลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ภรรยาหน้าตาเฉย

ปกติเวลาร่วมโต๊ะเสวย ชายหญิงจะแยกกันนั่งคนละฝั่ง แต่องค์ชายลี่หมิงไม่ใส่ใจกฎ

“มาทำไม กลับไปที่ของท่านเดี๋ยวนี้” ฉิงอี๋ไล่

เสียงของนางเบาแทบเป็นกระซิบ เพราะไม่บังอาจเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ แต่ก็พยายามใช้สีหน้าท่าทางบอกสุดชีวิต ถึงกระนั้นสวามีผู้ชั่วร้ายก็ยังทำเป็นไม่สนใจ

“ลูกขอนั่งตรงนี้นะพ่ะย่ะค่ะ แลกกับที่ให้ฟางหมิงไปดูแลเสด็จพ่อ” องค์ชายสามชิงพูดก่อนจะโดนฮ่องเต้ไล่

ฮ่องเต้โหย่งซินคร้านจะดุลูกต่อหน้าหลาน จึงพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงอนุญาต จอมวางแผนได้ทีเลยพะเน้าพะนอ เอาใจชายาเป็นการใหญ่

“ฉิงอี๋...กินนี่สิ” ชายหนุ่มบรรจงคีบเต้าหูให้อย่างใส่ใจ

ฉิงอี๋มองเต้าหู้ผัดชิ้นพอดีคำก็บังเกิดอาการคลื่นเหียน นางเกลียดเต้าหู้ทุกชนิดและเขาก็รู้ดี แต่ก็ยังขยันคีบใส่ชามให้ พระชายาผู้ถูกรังแกมองสวามีอย่างอาฆาต ทว่าอึดใจก็ต้องรีบก้มหน้า ทำท่าสงบเสงี่ยมเพราะถูกแม่สามีจ้อง

“กับข้าวเมื่อตักใส่ชามมาแล้วก็ต้องกินให้หมด ห้ามเหลือเด็ดขาด” สนมเฉินเปรยโดยไม่เจาะจงว่าเอ่ยกับใคร แต่ฉิงอี๋รู้ดีว่าหมายถึงนาง

‘ข้าไปทำอะไรให้พวกท่าน ถึงได้พากันรุมรังแกข้า’ หญิงสาวคิดอย่างชอกช้ำ ขณะฝืนคีบเต้าหู้ชิ้นเล็กที่สุดขึ้นมา

ฉิงอี๋กลั้นหายใจแล้วพยายามเอามันเข้าปาก แต่เนื่องจากร่างกายต่อต้าน มือไม้มันเลยอ่อน ปล่อยเต้าหู้ชิ้นเล็กก็เลยกลับไปกองอยู่ก้นถ้วยดังเก่า

“เจ้าดูไม่เจริญอาหารเลย หรือต้องให้ป้อน ถึงกินได้มากขึ้น”

องค์ชายสามพูดอย่างไม่อายราวกับโลกนี้มีเพียงเราสอง ทำเอาบรรดาคนที่เงี่ยหูแอบฟังอยู่หน้าร้อน ไม่ก็สำลักอาหารไปตามๆ กัน

ฉิงอี๋มองปฏิกิริยาของแม่สามีและคนรอบตัว แล้วแทบหยิบตะเกียบขึ้นมาแทงตาองค์ชายสาม แม้จะไม่มีใครพูดอะไร แต่นางก็รู้สึกเหมือนถูกคำว่า ‘ไร้ยางอาย’ กระแทกใส่หน้า

“หม่อมฉันกินเองได้เพคะ” พระชายาผู้น่าสงสารกัดฟันกรอด ก่อนจะคีบเต้าหู้เข้าปาก

เต้าหู้ทอดผัดกับน้ำมันงาผสมเครื่องปรุงหวานๆ เค็มๆ รสชาติไม่แย่นัก แต่สำหรับฉิงอี๋นี่เหมือนกับการบังคับให้กลืนอาเจียน นางเลยรีบกลืนไม่ให้รสสัมผัสติดลิ้น แค่คำเดียวไหลผ่านคอลงไปในกระเพาะ ทำให้ปวดมวนท้องเหลือทน ซ้ำร้ายเจ้าคนเลวที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังอาศัยจังหวะทีเผลอ ยัดเต้าหู้ชิ้นที่สองใส่ปากให้อีก คราวนี้ลิ้นของนางเปิดรับรสชาติที่รังเกียจเข้าไปเต็มเปี่ยม ฉิงอี๋ผู้น่าสงสารสุดจะทานทน นางผุดลุกจากที่นั่ง พุ่งตัวออกไปหาที่อาเจียน

“ลูกขอตามไปดูนางหน่อย” องค์ชายสามเดินออกไปไวพอกัน

หลังจากนั้น สองสามีภรรยาก็หายไป ไม่กลับมาที่โต๊ะเสวยอีก ทุกคนเลยเข้าใจว่าเขาวางแผนใช้อาการป่วยของชายาเป็นข้ออ้างในการหายหน้า แต่จริงๆ แล้วแผนการเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น

ท่านชายน้อยผู้แสนฉลาด ก้มหน้าก้มตากินอาหาร อิ่มแล้วจึงค่อยเล่นตามบทที่บิดาสอน

“เสด็จปู่...มื้อต่อไปอาหารก็ยังจะเป็นแบบนี้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”

“ถูกต้องแล้ว เราจะกินอย่างนี้ไปอีกเจ็ดวัน เหมือนคราวก่อนอย่างไรเล่า”

“เปลี่ยนกับข้าวสักอย่างสองอย่างไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ได้ฟังพระนัดดาต่อรองก็ประหลาดพระทัย ปกติฟางหมิงไม่เคยเลือกกิน หรือเพราะโตแล้วก็เลยรู้จักอาหารหลากหลายขึ้น

“เจ้าเบื่อรึ”

“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยรีบปฏิเสธ “คนอื่นกินได้ ข้าก็กินได้ แต่ว่า...น้องไม่ยอมกิน”

“น้อง? เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฮ่องเต้ทรงตีความได้เลาๆ แต่ยังมิด่วนสรุป

“ท่านพ่อบอกว่าน้องอยู่ในท้องท่านแม่ แล้วน้องก็ไม่ชอบเต้าหู้ ผักดองกับซุปพวกนี้”

ที่พูดมานั้นไม่ได้โกหกเลย ฟางหมิงกำลังจะได้เป็นพี่ชายในไม่ช้า แต่ว่าคนที่กำลังตั้งครรภ์นั้นคือชายารองขององค์ชายสามที่อยู่จุ้ยห้านต่างหาก

“พระชายาเว่ยตั้งครรภ์!” พระชายาขององค์รัชทายาทอุทานออกมา

ต่อให้องค์หญิงหยาหยี่ไม่พูดออกมา หลายคนก็คิดเช่นนั้น ท่านชายน้อยเองก็ไม่คิดจะแก้ต่างเพราะมัวแต่ทบทวนว่าพูดตามที่บิดาสั่งหมดหรือยัง

ฮองเต้ทรงเห็นใจคนแพ้ท้อง จึงหันไปทางสนมเฉิน หมายจะบอกว่าให้อะลุ้มอล่วยให้ฉิงอี๋สักหน่อย อนุญาตให้พักอยู่ที่ตำหนักไม่ต้องเข้าร่วมโต๊ะเสวย ทว่ายังไม่ทันตรัส พระนัดดาตัวน้อยก็เอ่ยวิงวอนขึ้นมาก่อน

“เสด็จปู่...ข้าขอร้อง เปลี่ยนกับข้าวนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่จะได้มากินด้วยกันได้”

ฮ่องเต้เห็นเด็กน้อยอ้อนวอนก็พระทัยอ่อน ทรงรับปากในที่สุด พร้อมกับเผื่อแผ่ความเมตตาไปที่ฉิงอี๋ ด้วยการอนุญาตให้คนท้อง กินอาหารบำรุงประเภทเนื้อสัตว์ได้


แผนการปฏิวัติมื้ออาหารประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ยังไม่ทันหมดวันก็มีอาหารจานใหม่เพิ่มขึ้นมาถึงสามอย่าง แม้จะไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบแต่ก็รสชาติดี สมกับเป็นของสำหรับนำขึ้นโต๊ะเสวย ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือมีการใช้ไข่เป็นส่วนประกอบด้วย

หลักการถือศีลในเทศกาลรำลึกคือไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ จึงอะลุ้มอล่วยให้ใช้ไข่ที่ไม่ฟักเป็นตัว หรือที่ไม่มีตัวผู้มาผสมพันธุ์ได้ ทว่าฮ่องเต้ทรงเคร่งในศีล ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้จึงไม่เคยมีอาหารจานไข่ได้ขึ้นโต๊ะเสวย นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีเดียว ที่ทรงผ่อนปรนขนาดนี้

ทางด้านจอมวางแผน องค์ชายลี่หมิงจูงมือชายาเอกมาร่วมโต๊ะเสวยทันทีที่ทราบข่าว เพื่อฉลองชัยในความสำเร็จ ชายหนุ่มโผล่หน้ามาให้เห็นทุกวัน บางวันก็อยู่เป็นเพื่อนลูกครบสามมื้อ กลายเป็นสถิติใหม่ที่สมควรจารึกไว้เช่นเดียวกัน สงสารก็แต่พระชายาเว่ย ต้องมารับบทคนท้องทั้งที่ไม่ได้ท้อง แถมยังบอกความจริงกับใครไม่ได้ เพราะถูกสวามีผู้ชั่วร้ายข่มขู่

“หมดเทศกาลรำลึกแล้วค่อยบอกว่าหมอหลวงตรวจผิด” องค์ชายลี่หมิงโยนความผิดให้คนอื่นดื้อๆ

“ท่านจะบ้าเหรอ เพ็ดทูลเบื้องสูง โทษถึงขั้นประหารชีวิตนะ”

“นั่นมันสำหรับสามัญชน ข้าโกหกเสด็จพ่อออกบ่อยไป ยังรอดมาได้จนปูนนี้”

“แล้วข้าเล่า ถ้าถูกจับได้ จะเป็นเช่นไร”

องค์ชายสามเอามือลูบคางแล้วทำท่าครุ่นคิด

“ถ้าเจ้าโชคดีก็อาจจะถูกปลด ส่งกลับบ้านเดิมไป แต่โอกาสมีเพียงหนึ่งในพันเท่านั้น สะใภ้ที่ท่านแม่ไม่ปลื้มอย่างเจ้า ถ้าไม่ถูกขังลืม ก็ถูกเฆี่ยนจนตาย”

ภาพรอยยิ้มหวานเชือดใจของสนมเฉินทำเอาฉิงอี๋ผวาเฮือก เลยลนลานจะไปแก้ไขความเข้าใจผิดเดี๋ยวนั้น

“ถ้ากล้าไปข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ ไม่พากลับไปจุ้ยห้านด้วย” องค์ชายสามขู่

ได้ผลชะงัดคนที่กำลังออกวิ่งแข็งเป็นหินเหมือนถูกสาป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่แม่สามีน่ากลัวกว่าแท่นประหาร ฉิงอี๋หมดสิ้นทางหนี จำต้องยอมเล่นละครด้วย ซึ่งก็ทำได้สมบทบาททีเดียว ความเครียดทำให้นางซูบผอม ยามกินแล้วถูกจ้องก็พะอืดพะอม มีการแอบไปอาเจียนหลายครั้ง จนไม่มีใครคิดว่านางแกล้งตั้งครรภ์

ขณะที่องค์ชายที่ใครๆ พากันหวาดกลัวหมกมุ่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง คนอื่นกลับใช้โต๊ะเสวยเป็นที่สังเกตการณ์ เรื่อยไปจนถึงสังเวียนต่อสู้ เริ่มจากฝ่ายในที่มานิ่งๆ เย็นๆ อย่างฮองเฮา ตลอดชีวิตพระนางไม่เคยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นด้านความรักกับผู้ใด แต่วันนี้พระนางลดลงมายุ่งกับเรื่องของหนุ่มสาวก็เพราะเหตุผลเดียวเท่านั้น

‘พระนางไม่อยากยกเหวินหรงให้กุ้ยฮวา’

ฮองเฮาถูกส่งมาเป็นตัวประกันที่เจียงเฉียงตั้งแต่ยังเล็ก ชีวิตที่ต้องร้างไกลญาติมิตรก็เหมือนไร้หลักยึดให้พึ่งพิง แม้จะมีมงกุฎแห่งเกียรติยศประดับศีรษะ พระนางก็ยังเคว้งคว้างเพราะไม่อาจครอบครองความรักของสวามี หากไม่มีโอรสธิดาที่เปรียบดังชีวิตจิตใจให้ห่วง พระนางคงไม่มีลมหายใจอยู่มาจนบัดนี้

ฮองเฮารักและตามใจบุตรทั้งสองมาก ไม่เคยขัดความปรารถนาเลยสักครั้ง มีแต่จะส่งเสริมหากทำได้ แม้แต่เรื่องความรักที่พระนางไม่เห็นชอบ ก็ยังยื่นมือเข้าช่วยเพราะไม่อยากเห็นลูกต้องทุกข์ เมื่อคราวเหวินหงไม่ยอมแต่งงานไปอยู่หรงซิ่ง พระนางก็ไปคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องฮ่องเต้ให้พระราชทานสมรสกับคนที่นางพึงใจให้ พอมาถึงคราวเหวินหรงกับกุ้ยฮวา หากรักกันอย่างธรรมดา พระนางก็คงยินยอมให้ธิดาสกุลเฉินมาเป็นสะใภ้ แต่ความรักของเหวินหรงที่มีต่อกุ้ยฮวานั้นมีมากเกินไป เข้าขั้นลุ่มหลงเสียจนลืมรักตัวเอง ส่วนกุ้ยฮวาก็เป็นสตรีที่โดดเด่นเกินไปจึงดึงดูดปัญหา บุรุษกี่คนแล้วที่ต้องประสบชะตากรรมอันโหดร้ายเพราะนาง

ในฐานะที่พระนางเป็นแม่ ทั้งยังอาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมไม่อยากเห็นบุตรชายทำลายตัวเองมากไปกว่านี้ แต่ครั้นจะห้ามปรามเอาเรือไปขวางน้ำเชี่ยวก็ทำไม่ได้ พระนางจึงค่อยๆ วางแผนการ ชักจูงโน้มน้าวให้โอรสเห็นถึงความดีของสตรีอีกคน

ฮุ่ยเสียนคือตัวเลือกของพระนางมาตั้งแต่ต้น ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่เคยตกอันดับไปจากใจ ยามเหวินหรงยังอยู่เมืองหลวง นางเคยดูแลปรนนิบัติพระนางเช่นไร ยามเมื่อเขาร้างไกลฮุ่ยเสียนก็ยังทำตัวเช่นนั้น ในบางเรื่องนางใส่ใจมากกว่าเดิมถึงสองเท่า ราวกับต้องการทำหน้าที่แทน น้ำใจและความดีของฮุ่ยเสียนได้รับการพิสูจน์แล้ว เหลือก็แต่ให้เหวินหรงมองเห็นมัน

หนทางเดียวที่จะทำให้เหวินหรงตาสว่างได้คือให้กุ้ยฮวาเป็นฝ่ายทอดทิ้งเขาไปเอง ก่อนหน้าพระนางพยายามผลักดันเรื่องแต่งงานอย่างลับๆ หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อโอรสกลับมาจึงวางแผนใหม่ ที่ฮุ่ยเสียนเข้าใจผิดว่าเหวินหรงไม่เร่งมาเยี่ยมแล้วไปหาถึงที่ เรื่อยไปจนถึงข่าวลือที่ลอยไปเข้าหูกุ้ยฮวา ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือพระนางทั้งสิ้น

ช่วงเทศกาลรำลึกนี้พระนางจงใจจัดที่นั่งให้ฮุ่ยเสียนอยู่ตรงข้ามกับโอรส ส่วนกุ้ยฮวาอยู่ไกลออกไป ทุกครั้งที่จะลุกจากที่ประทับเพื่อเสด็จกลับตำหนัก พระนางก็จะออกคำสั่งให้ฮุ่ยเสียนกับเหวินหรงมาช่วยประคองคู่กัน ทำเช่นนี้ทุกวัน คนฉลาดอย่างกุ้ยฮวาย่อมรู้เจตนาของพระนาง

แว่นเข้าใจเจตนาของฮองเฮาได้ตั้งแต่วันแรกที่ฮองเฮาเรียกองค์ชายห้ากับฮุ่ยเสียนไปช่วยประคองแล้ว เขารู้มานานว่าว่าที่แม่สามีไม่ชอบหน้า ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และต้องทำใจ หากเป็นเขา ก็คงชอบผู้หญิงที่ทำให้ลูกชายตัวเองต้องลำบากไม่ลงเช่นกัน

ช่วงเกิดเรื่องใหม่ๆ แว่นรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่เพราะร่างกายยังอ่อนแอมาก ไม่สะดวกไปเข้าเฝ้าฮองเฮา จึงต้องผัดผ่อนเอาไว้ก่อน พอเริ่มแข็งแรงขึ้น สายตาของพระนางที่มองมาก็ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว แม้จะไม่แสดงออกว่ารังเกียจชัด แต่ก็มีช่องว่างให้รู้สึก

แว่นเห็นดังนั้นก็พยายามไปเข้าเฝ้า ทำยาบำรุงไปให้ตามแต่เวลาจะเอื้อ ซึ่งพระนางก็ให้เข้าเฝ้าบ้าง ไม่ให้เข้าเฝ้าบ้าง ส่วนของนั้นรับไว้ทุกครั้ง พร้อมคำขอบใจตามมารยาท

ความที่พระนางไม่ดีไม่ร้าย นิ่งๆ เงียบๆ เลยรับมือยาก หนำซ้ำแว่นยังเป็นคนคิดมาก อ่านสีหน้าไม่ออก เดาอารมณ์ไม่ถูก ก็เลยพานเครียดไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ได้แต่รักษาความสม่ำเสมอ เพียรไปเฝ้าโดยไม่ทำให้รำคาญ หวังก็แต่ให้คนไกลรีบกลับมาช่วยประสานรอยร้าว

ทางด้านคนไกลอย่างองค์ชายห้าก็อึดอัดพอสมควร แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะดื้อเงียบ ทำเป็นไม่รู้ความปรารถนาของพระมารดา รอให้เป็นฝ่ายถอดใจไปเอง องค์ชายเหวินหรงทำตามรับสั่งทุกอย่าง แต่ไม่เคยเหลือบมองไปทางฮุ่ยเสียนเลย เพราะจงใจจะประกาศให้ผู้ใหญ่รู้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รักที่จะชะเง้อมองกุ้ยฮวาจากที่ไกลๆ มากกว่าสนใจคนใกล้ตา

ทั้งแว่นและองค์ชายห้าต่างก็เข้าใจความรู้สึกของกันและกันดี โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด ดังนั้นความพยายามของฮองเฮาจึงไม่ประสบผลสำเร็จ ในทางตรงกันข้ามคนที่ต้องเจ็บ กลับกลายเป็นฮุ่ยเสียนที่ฮองเฮาให้ความเอ็นดูหนักหนา

คนที่ต้องทนมองภาพบาดตาไม่ได้มีเพียงฮุ่ยเสียน แต่รวมองค์ชายแปดเข้าไปด้วย ชายหนุ่มเคยปฏิญาณว่าจะไม่หนี เขาจะอยู่อย่างนี้จนกว่าใจจะแหลกสลายกันไปข้าง ทว่าเวลาผ่านไปได้เพียงสองวัน องค์ชายน้องเล็กกลับหายตัวไปจากโต๊ะอาหาร เพราะไปดูแลมารดาที่กำลังป่วย

ตอนสนมจาง มารดาขององค์ชายรองล้มป่วย ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้เขางดเว้นการเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆ ตลอดจนงานราชการ มาคราวสนมเหอพระองค์จะอนุญาตองค์ชายแปดก็ไม่ถือว่าผิด ทว่าผู้คนก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ดี เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าความสัมพันธ์ขององค์ชายหรู่เผยกับมารดาไม่ดีนัก ขนาดฮ่องเต้มีรับสั่งให้เขาไปเยี่ยมมารดา เด็กรั้นยังไม่ยอมทำตาม เหตุที่หายหน้าไปหลายวัน น่าจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น

เรื่องนี้มีเพียงองค์ชายรองเท่านั้นที่รู้ตื้นลึกหนาบาง ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดีตามแผนการที่วางไว้ หากสำเร็จองค์ชายแปดจะกลับเข้าสกุลเหอ


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายบทค่ะ
ติ่งเฮียสามช้ำกันให้พอนะจ๊ะ
มีเมียเอกไม่พอ เมียรองยังท้องอีก
ดับฝันกันให้พอค่ะ เฆี่ยนใจแม่ยกอย่างทารุณ
แต่งานนี้สงสารชายาเอกนางหนักมาก 555

คู่แว่นดราม่าแบบขลุกขลิก
ตอนหน้าเดี๋ยวจัดอะไรมาคั่นอารมณ์ให้เนอะ
แล้วพบกันวันศุกร์นะคะคนดี จุ๊บๆ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.พ. 2560, 00:00:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2560, 00:00:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1161





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๙ ความลับขององค์ชายห้า   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๑๑ คชสารเหมันต์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account