ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๒ สายใยที่ตัดไม่ขาด

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๒ สายใยที่ตัดไม่ขาด

ขณะที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ อีกสถานที่หนึ่งกลับเงียบงัน เรือนไม้กลางป่าสนตั้งอยู่โดดเดี่ยว ยิ่งมีแสงสีแดงของยามสนธยาสาดเข้ามา ก็ยิ่งย้อมให้บรรยากาศวังเวงหดหู่ กุ้ยอี้ถอนใจโดยไม่รู้ตัว ขณะมองความทรุดโทรมของตำหนักที่เคยมาวิ่งเล่นเมื่อครั้งยังเยาว์

สนมจางซึ่งเป็นเจ้าของตำหนัก เสียชีวิตไปเพียงสามปี แต่ที่นี่กลับเก่าโทรมเหมือนถูกกาลเวลาทำร้ายมาหลายชั่วอายุคน เป็นธรรมดาของบ้านร้างกระมัง ที่พอปราศจากผู้อยู่อาศัย ก็เหมือนจะถูกพรากชีวิตไป ไม่ว่ามองเข้าไปกี่ครั้งก็ยังให้ความรู้สึกหดหู่ หาความรื่นรมย์ไม่ได้ ถึงกระนั้นทุกครั้งเวลามีปัญหาคิดไม่ตก สองขาของกุ้ยอี้ก็จะพาตัวเองมาหยุดที่นี่

‘สถานที่ทรุดโทรม แต่ความทรงจำกลับงดงาม’

หลังจากตัดขาดกับองค์ชายรอง กุ้ยอี้ก็ไม่เคยคิดจะมาเหยียบที่นี่ จนกระทั่งได้รู้ว่าองค์ชายจงเต๋อแอบเก็บป้ายวิญญาณของมารดาเอาไว้ที่นี่

ศพของสนมจางถูกฝังในสุสานหลวงตามราชประเพณี แต่ป้ายวิญญาณกลับถูกนำออกมา คล้ายจะสื่อว่าไม่ต้องการให้มารดาเป็นส่วนหนึ่งของราชสกุล

‘ทำไมจงเต๋อจึงทำเช่นนั้น?’ กุ้ยอี้ถามตัวเองอยู่หลายครั้ง

คำตอบในใจชายหนุ่มไม่เคยเหมือนเดิมเลยสักครั้ง บางทีเขาก็คิดว่าองค์ชายรองอับอายที่มีมารดาสายเลือดต่ำ เลยอยากให้ความจริงหายไปจากประวัติศาสตร์ บางคราวก็คิดว่าเป็นความประสงค์อย่างลับๆ ของฮ่องเต้ สนมจางก่อเรื่องไว้มาก พระองค์คงไม่โปรดที่จะเก็บป้ายวิญญาณไว้ร่วมกัน แล้วก็ไม่แน่ว่า ตัวการที่แท้จริงอาจจะเป็นฝีมืออาหญิงหงจิงก็เป็นได้

ความคิดพวกนี้วกไปวนมารบกวนเขาอยู่นาน จนกระทั่งองค์ชายจงเต๋อไปเป็นทูตที่ต่างแคว้น กุ้ยอี้จึงสบโอกาสหาคำตอบ เขาสืบจนรู้ว่าไม่ใช่พระประสงค์ของฮ่องเต้ หรือแผนการของอาหญิง แต่เป็นองค์ชายรองเอง ที่ขอพระราชทานอนุญาตนำป้ายวิญญาณออกมา

กุ้ยอี้สมควรมองเขาในทางร้าย ทว่าลึกๆ ในใจกลับรู้สึกว่าสิ่งที่คิดไม่ใช่คำตอบ จึงดั้นด้นมาที่นี่ ลองค้นหาดูเผื่อจะเจอเบาะแส

ในห้องใหญ่กลางเรือนไม้ มีป้ายวิญญาณตั้งเอาไว้อย่างดีบนหิ้ง ส่วนนี้ถูกทำขึ้นทีหลัง ตัวหิ้งเป็นไม้เนื้อดีขัดมันจนเป็นเงา ตรงหน้าป้ายวิญญาณมีกระถางธูปและบรรดาเครื่องเซ่นไหว้ที่ถูกทิ้งค้างเอาไว้ สื่อว่าองค์ชายจงเต๋อมิได้ชิงชังมารดา แม้ตัวเขาจะอยู่ไกลถึงหางเฟย ก็ยังสั่งให้คนมาจัดเครื่องเซ่น จุดธูปไหว้ดวงวิญญาณมิได้ขาด

‘จงเต๋อรักแม่มาก’ คือสิ่งที่กุ้ยอี้มั่นใจ พอนึกถึงอาการป่วยทางใจของสนมจาง ก็พลันเข้าใจความคิดของอดีตสหายรักมากขึ้น จงเต๋อคงไม่อยากให้มารดาต้องทุกข์ทนกับเรื่องยศศักดิ์ จึงพาตัวออกมาเสียให้ใกล้จากเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ได้อยู่ที่นี่เงียบๆ แม้จะเปลี่ยวเหงาแต่ก็ไม่ต้องทนทุกข์ใจเพราะไฟริษยา

กุ้ยอี้โล่งใจอย่างประหลาดกับคำตอบที่เพิ่งคิดได้ เขาเลือกจะเชื่อเช่นนั้นจึงจุดธูปไหว้สนมจาง เพื่อขออนุญาตมาเยี่ยมนางเป็นครั้งคราว ชายหนุ่มสูญเสียมารดาไปตั้งแต่วัยเยาว์ อีกทั้งสนมจางก็ดีกับเขาไม่ได้น้อย กุ้ยอี้จึงอยากตอบแทนนางบ้าง เขานำเครื่องเซ่นมามอบให้และแอบจุดธูปไหว้เสมอ โดยไม่ให้คนขององค์ชายรองรู้

พอทำอย่างนี้บ่อยเข้า ก็กลายเป็นความเคยชิน เวลามีเรื่องคิดไม่ตก เขาก็จะมาหลบอยู่ที่นี่ กุ้ยอี้ไม่ถึงกับปรับทุกข์กับป้ายวิญญาณ แต่การได้กลับมายังสถานที่ที่มีอดีตแสนสุข ก็ทำให้ใจสงบลงมาก

พักนี้กุ้ยอี้มีเรื่องทุกข์ใจหลายประการ เรื่องเร่งด่วนที่สุดเกี่ยวกับหรงซิ่ง วันมะรืนจะมีประชุมใหญ่ ฮ่องเต้ต้องทรงถามความเห็นองค์รัชทายาทว่าควรจัดการเรื่องการส่งกำลังพลเช่นไร ระยะนี้ชื่อเสียงขององค์ชายอิ๋นหานไม่ดีนัก จึงควรวางตัวให้เหมาะสม เสนอความเห็นที่ยึดประโยชน์ของแคว้นเป็นหลัก

เฉิงหมินแนะนำว่าให้ช่วยด้านปัจจัยต่างๆ ตามสมควร แต่ไม่ส่งกำลังทหารไป ทว่าองค์รัชทายาทกลับลังเล เพราะห่วงความรู้สึกของเฉิงหมินกับน้องชายที่มีสายเลือดของหรงซิ่งอย่างองค์ชายห้า กุ้ยอี้จนปัญญาจะช่วยตัดสินใจ เลยได้แต่นิ่งเงียบ

เรื่องที่สองคือปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางใหญ่ที่ต้องเร่งสะสาง หลักฐานความผิดนั้นมีอยู่มากมาย แต่กลับไม่อาจยึดความถูกต้องได้ หากขุดรากถอนโคนทั้งหมดก็เท่ากับต้องฆ่าล้างขุนนางไปเกินครึ่งราชสำนัก องค์รัชทายาทเองก็ไม่มีกำลังพอจะต่อสู้กับตระกูลใหญ่ทั้งหมด จึงต้องปล่อยคนที่ไม่ควรปล่อย ลงโทษแต่พวกระดับล่างพอเป็นพิธี เพื่อให้เห็นว่ากำลังทำงาน กุ้ยอี้ที่ซื่อตรงจึงอึดอัดใจมาก

เรื่องสุดท้ายคือสถานการณ์ทางใต้ของเจียงเฉียง ขณะนี้เมืองขึ้นอย่างซัวหวงส่อเค้าว่ากำลังมีปัญหา เริ่มจากปีก่อนที่เครื่องราชบรรณาการถูกส่งมาล่าช้า แทนที่จะปรับปรุงปีนี้กลับยิ่งแย่กว่าเดิม ราวกับจงใจไม่ยอมส่งมอบ แม้ว่าทูตของทางนั้นจะส่งสารมาชี้แจงว่าเกิดเหตุขัดข้อง ก็ยังไม่ยอมแสดงความจริงใจ เร่งดำเนินการให้เห็น ถามไปมีแต่จะเงียบหาย

หากสังเกตให้ดีจะพบว่าขุนนางจากซัวหวงในเจียงเฉียงเริ่มจะถอนตัวกันไปทีละคนสองคน ราวกับเตรียมการแข็งเมือง หากเรื่องนี้เป็นจริง เจียงเฉียงจะเจอศึกรอบทิศ ทั้งปัญหาทางเหนือ ศึกชิงดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำทางตะวันออก และสุดท้ายคือปัญหาเมืองขึ้นทางตะวันตกเฉียงใต้

ชายหนุ่มถอนใจยาวอีกครั้งด้วยความเหน็ดเหนื่อย เขาบอกตัวเองให้เลิกคิด แล้วหามุมสักมุมนั่งพักเพื่อสงบจิตสงบใจ กุ้ยอี้สาวเท้ามุ่งสู่ประตูทางเข้า เขาเอื้อมมือไปแตะบานประตูหมายจะเปิดมันออก แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงสนทนาดังมาจากด้านใน

ขุนนางหนุ่มแห่งกรมปกครองรีบอ้อมมาหลบริมหน้าต่างทันที แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่อยู่ด้านในบังเอิญยืนอยู่แถวนั้น เจ้าของสถานที่ไม่ทันรับรู้ว่ามีผู้บุกรุก จึงพร่ำพูดกับป้ายวิญญาณต่อไป

“ระยะนี้ข้าไม่ได้แวะมาหาท่านเลย ท่านเหงาหรือไม่” เสียงองค์ชายจงเต๋อดังชัด

ป้ายวิญญาณพูดไม่ได้และไม่มีวันตอบกลับ นี่จึงเป็นการสนทนาเพียงฝ่ายเดียว

กุ้ยอี้ฟังแล้วก็เจ็บร้าวในอก เขาเข้าใจความรู้สึกขององค์ชายรองดี ตอนสูญเสียมารดาไปใหม่ๆ เขาก็เคยมานั่งคุยกันท่านเช่นนี้ แต่ความเศร้าอยู่ได้ไม่นานนัก กุ้ยอี้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งได้เพราะว่ายังเหลือบิดา น้องสาวและผู้คนที่รักเขามากมาย ตรงข้ามกับจงเต๋อ แม้องค์ชายรองจะไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว แต่ความเศร้านั้นไม่เลือกวัยมิใช่หรือ ยิ่งเติบใหญ่สูงส่งปานใด ก็ยิ่งต้องทุกข์ทรมานกับความโดดเดี่ยวมากเท่านั้น

“ข้าอยากบ่นกับท่านเหลือเกินว่าเหนื่อย แต่ท่านคงไม่ชอบนัก” เสียงหัวเราะขื่นๆ เต็มไปด้วยความอ่อนล้า “ท่านแม่...ท่านสบายใจเถิด ตัวข้าก้าวเดินมาไกลมากแล้ว ต่อให้อยากหันหลังกลับก็มีคนพยายามผลักข้า ให้ก้าวไปข้างหน้าอยู่ดี”

กุ้ยอี้หลบอยู่ตรงนี้ไม่อาจเห็นแววตาหรือสีหน้าขององค์ชายรอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึก มันสายไปแล้วจริงๆ ที่จะกลับตัว เกิดเป็นองค์ชายต่อให้ไม่ปรารถนาบัลลังก์ก็ยังถูกกำจัด ยิ่งแสดงตนเป็นอริมาตั้งแต่ต้นอนาคตยิ่งมืดมน แม้จะตัดขาดกันไปแล้ว กุ้ยอี้ก็ยังเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าตราบใดที่เขาอยู่เคียงข้างองค์รัชทายาท จะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาให้สหายเก่าได้ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้พ้นโทษตาย

กุ้ยอี้จมอยู่กับอารมณ์เห็นใจ ฉับพลันก็สะดุ้งเมื่อเห็นชายแขนเสื้อเกยอยู่ริมหน้าต่าง ชายหนุ่มถูกจับได้เสียแล้วว่าแอบฟัง ไม่ทันเตรียมใจก็ได้รับการทักทายด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เมื่อตัดขาดกันแล้ว ก็อย่าได้ย้อนกลับมาอีก ครั้งหน้าข้าจะไม่เกรงใจ”

องค์ชายรองเป็นฝ่ายจากไปก่อน เขาปิดประตูตำหนักไม้อย่างแรง แล้วสาวเท้าเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง กว่ากุ้ยอี้จะออกมาจากที่ซ่อนเขาก็หายไปจากสายตาแล้ว

หนนี้คนผิดคือกุ้ยอี้ที่ยังอาลัยในอดีต หลายครั้งที่เขาตำหนิว่าองค์รัชทายาทไม่เด็ดขาด แต่ตัวเองก็ไม่ต่างกันนัก

“พอกันที! หากจงเต๋อไม่คิดปรานี ก็ไม่จำเป็นต้องละเว้นเขา”

ชายหนุ่มเตือนตัวเองว่าบัดนี้องค์ชายผู้แสนอ่อนโยนที่เขารู้จักได้เปลี่ยนไปแล้ว หากไม่อยากด่วนจากโลกนี้ไป โดยทิ้งลูกเมียไว้ข้างหลัง ก็อย่าได้เห็นแก่อดีตอีก

กุ้ยอี้มองเข้าไปในตัวตำหนักไม้ เพื่อเอ่ยลาสนมจางและสหายรัก ต่อแต่นี้เขาจะไม่เหยียบย่างมาที่นี่ แม้แต่ในความฝันก็จะไม่มีวันเยื้องกราย

ชายหนุ่มกำหมัดเพื่อตัดอาลัย เขาออกจากตำหนักร้างกลับไปเผชิญความจริงอันโหดร้าย โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เป็นฝ่ายพูดตัดรอนอย่างเย็นชาไม่ได้จากไปไหนไกล องค์ชายรองเผยตัวจากที่ซ่อนแล้วย้อนกลับไปในเรือนหลังเก่าอีกครั้ง ดวงตาเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งหวงหาชิงชังเศร้าโศกสุดจะหยั่ง ถึงกระนั้นร่างกายมันก็ยังขยับเคลื่อนไหว ทำในสิ่งที่ควรทำ

องค์ชายจงเต๋อย้อนกลับมาเพื่อตรวจสอบว่าช่องลับใต้หิ้งวางป้ายวิญญาณ มีคนตรวจพบหรือไม่ ชายหนุ่มวางกลไกเอาไว้ หากเปิดอย่างไม่ระวังจะมีผงฝุ่นสีขาวออกมา ส่วนถ้ารู้วิธีเปิดจะไม่เกิดอะไรขึ้น เพียงแต่เส้นด้ายที่ถูกขึงเอาไว้จะขาด หากแง้มบานพับออกกว้างพอจนมองเห็นของที่อยู่ภายใน

ชายหนุ่มโล่งใจที่เห็นว่าเส้นด้ายยังอยู่ ช่องลับนี้คือที่ซ่อนยาพิษหลากชนิด แต่ของสำคัญมีอยู่เพียงสอง และบัดนี้ทั้งคู่ก็ได้ถูกส่งมอบไปยังผู้ที่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว เพื่อให้แผนการสำเร็จลุล่วง เขาจะปล่อยให้กุ้ยอี้มาเป็นอุปสรรคไม่ได้



ณ ตำหนักนอกของสนมเหอ บัดนี้เจ้าของตำหนักซึ่งอ่อนแอลงทุกขณะ กำลังฝืนลุกขึ้นแต่งตัวอย่างบรรจง เพื่อต้อนรับโอรสที่กำลังมาเยี่ยม หัวใจคนรอเต้นแรง เมื่อได้ยินเสียงคนด้านนอกประกาศว่าองค์ชายแปดมาถึงแล้ว ความตื่นเต้นขับให้ใบหน้าซีดเซียวมีสีสัน ดูผิวเผินจึงคล้ายกับว่าอาการทุเลา ทั้งที่ความจริงมีแต่ทรงกับทรุด

สนมเหอจงใจปิดบัง เพราะไม่คิดว่าการพูดการจริง จะก่อประโยชน์อันใด เวลาห้าปีกับโรคภัยที่รุมเร้าทำให้สตรีผู้แสนทะเยอทะยาน ยอมปล่อยวางทุกสิ่ง หวังเพียงให้ได้ลูกรักกลับคืนมา นางอธิษฐานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ว่าขอให้ได้พบโอรสสักครั้งก่อนตาย

ในที่สุดฟ้าดินก็เห็นใจนาง ดลใจให้หรู่เผยยอมมาพบ วันแรกเขาปั้นปึงเย็นชาใส่ ไม่ยอมแม้กระทั่งมองหน้า คนป่วยปวดใจจนหมดสติ ฟื้นขึ้นมาลูกรักก็ไม่อยู่แล้ว คนเป็นแม่ร้าวรานสิ้นหวัง จนอยากลาโลกไปเสียเดี๋ยวนั้น โชคดีเหลือเกินที่ยังไม่ทันคิดสั้น ตกบ่ายวันต่อมาหรู่เผยก็กลับมาหาอีกหน เขาประกาศเสียงดังว่าห้ามฟูมฟาย มิเช่นนั้นจะไม่มาเยี่ยมอีก

สนมเหอเร่งซับน้ำตาแล้วส่งยิ้มให้ นางถามไถ่ความเป็นไปของบุตรชายอย่างแสนคิดถึง หรู่เผยไม่ตอบอะไรมากนัก แต่ก็ยอมให้นางกุมมือ ทันทีที่ได้สัมผัสมือใหญ่หยาบกร้าน หยาดน้ำก็ล้นทะลักดวงตานาง

‘แม่เลี้ยงเจ้ามาไม่เคยให้ลำบาก อยู่เจี่ยวหวาคงทรมานมากใช่ไหม’

ถ้อยคำมากมายเรียงแถวมากระจุกรวมกันอยู่ที่คอ จนทำให้หายใจขัด ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังยอมเปิดทางให้คำสำคัญเปล่งออกมาจากริมฝีปาก

“แม่...ขอโทษ ทุกอย่าง...เป็นความผิดของแม่” มือที่สั่นพอๆ กับน้ำเสียงเลื่อนขึ้นมากุมแก้มโอรสไว้

สัมผัสเย็นเฉียบของมือขวา ทำให้องค์ชายแปดสั่นสะท้านตาม มือเล็กๆ ข้างนี้ ไร้ไออุ่นและขาวซีดราวกับไร้ชีวิต ย้ำเตือนให้รู้ว่าสิ่งที่ชายหกเอ่ยก่อนหน้านี้เป็นความจริง

“แม่เจ้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว”

ตอนได้ยินเช่นนี้ องค์ชายหรู่เผยยังดูแคลนว่าพี่ชายรู้จักมารดาเขาน้อยไป หากสนมเฉินเป็นนางจิ้งจอก สนมเหอก็เป็นสตรีร้อยเล่ห์พันมารยา ความหวาดระแวงทำให้เขาไม่ยอมมองหน้ามารดา ที่มาวันนี้ก็เพราะทนรำคาญคำรบเร้าไม่ได้ หากเมื่อครู่นางไม่เอามือมากุมแก้ม แล้วสบตากัน เขาคงมองไม่เห็นความจริงอันน่าตระหนก

มารดาของเขาเคยเป็นสตรีที่ดูอ่อนเยาว์กว่าวัย ดูสวยสง่าสูงศักดิ์ มาบัดนี้กลับดูอ่อนแรงทุกข์ระทม ราวกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าพูดถึงอีกเลย” ชายหนุ่มดึงมือออก

องค์ชายแปดไม่เชื่อว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ จึงปฏิญาณเอาไว้ว่าจะตัดขาดจากสกุลเหอและมารดาที่พยายามครอบงำชีวิตเขา ทว่าสุดท้ายกลับไม่อาจแข็งใจ ทนมองอีกฝ่ายทุกข์ทรมาน

“เช็ดน้ำตาซะ” องค์ชายแปดส่งผ้าเช็ดหน้าไปให้

สนมเหอรับมาเช็ดอย่างลวกๆ เห็นหรู่เผยเริ่มใจอ่อน นางจึงกล้าวอนขอกอดจากลูกชาย

“เดี๋ยวเดียวเท่านั้น แม่ไม่ทำให้เจ้ารำคาญหรอก”

องค์ชายแปดเม้นปากทำหน้าตึง ใจอยากปฏิเสธว่าไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว แต่ร่างกายกลับขยับเข้าหา ลึกๆ แล้วชายหนุ่มโหยหาอ้อมกอดของมารดายิ่งกว่าสิ่งใด แต่กลับถูกเมินเฉยในวัยที่ต้องการความรัก ตั้งแต่จำความได้ ท่านแม่แทบไม่เคยอุ้มเขา ทั้งยังไม่ยอมกล่อมนอน เวลาตื่นจากฝันร้าย หรือแม้กระทั่งตอนที่เจ็บปวดหรือเสียใจ ก็ไม่อาจโผเข้าสู่อ้อมกอดได้

“ท่านไม่เคยชอบการแสดงออก เหตุใดจึงอยากกอดข้า” องค์ชายแปดอดประชดไม่ได้

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” สนมเหอรีบแก้ “ความจริงแม่อยากกอดอยากหอมเจ้าทุกวัน แต่ตอนยังเล็กเจ้าติดแม่มาก แม่กลัวว่าถ้าตามใจจะทำให้เจ้าอ่อนแอ ก็เลยถอยห่างออกมา ให้แม่นมเลี้ยงเจ้าเพียงลำพัง ถ้ารู้ว่าทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ แม่คงไม่อดทน”

สนมเหอกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ร่างกายนางสั่นอีกครั้งเพราะความเสียใจ แต่ก็พยายามกลั้นสะอื้นไว้ เพื่อไม่ให้บุตาชายรำคาญ

องค์ชายหรู่เผยไม่คิดจริงๆ ว่าสตรีเลือดเย็น ที่ใช้บุตรเป็นสะพานเพื่อขึ้นสู่อำนาจ จะเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมา หากเป็นอดีต เขาคงเข้าใจว่านี่เป็นคำลวง เพราะเอาแต่พร่ำโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของมารดา โดยไม่เคยมองย้อนกลับมาดูตัวเอง หรือมองเหตุการณ์จากทางฝั่งมารดา

ท่านแม่เป็นผู้หญิงในตระกูลสูง ทั้งชีวิตไม่เคยออกไปไหน ความคิดจึงคับแคบยึดติดอยู่กับขนบ นางเกิดมาเพื่อตระกูล แต่งงานเพื่อตระกูล ใช้ทั้งชีวิตตราบจนหมดลมหายใจเพื่อสนองตอบความต้องการของคนอื่น ยามมีบุตรจึงไม่รู้วิธีเลี้ยงดู สิ่งที่คิดว่าดีที่สุด เลยกลายเป็นการทำร้าย

องค์ชายหรู่เผยทั้งสงสารและรู้สึกผิดต่อมารดาจึงกอดตอบ หวังใช้มันแทนคำปลอบโยนและคำขอโทษ

การเยี่ยมเยียนวันที่สองจบลองด้วยอ้อมกอดที่บอกความรู้สึก วันที่สามไม่มีการกอดกันแล้ว แต่องค์ชายแปดก็เอาใจใส่มารดามากขึ้น เขายกยามาให้ รวมถึงร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน อาหารคนป่วยรสชาติแย่ แต่เขาก็กินเช่นเดียวกันกับสนมเหอจนหมดถ้วย

พอวันที่สี่อาหารก็เปลี่ยนไป บนโต๊ะเต็มไปด้วยของโปรดในวัยเด็กขององค์ชายหรู่เผย มารดาที่เขาคิดว่าไม่เคยใส่ใจกลับจำมันได้เป็นอย่างดี แม้บัดนี้ความชอบหลายอย่างจะเปลี่ยนไป เขาก็ยังกินทุกจานด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย

วันที่ห้าสนมเหอได้มอบถุงเครื่องรางให้โอรสพกติดตัว ชายหนุ่มรับไว้แต่มิได้แสดงท่าทีขอบคุณ เพราะคิดแต่เพียงว่ามันเป็นเครื่องรางกันภัยที่นักพรตมีชื่อปลุกเสกขึ้นมา กว่าจะรู้ที่มาที่ไปก็เย็นย่ำแล้ว

ก่อนออกจากตำหนัก นางกำนัลคนสนิทของมารดา ได้มาคุกเข่าตรงหน้า แล้ววิงวอนขอให้เก็บรักษาเครื่องรางให้ดี

“เครื่องรางนี้พระสนมเป็นคนทำขึ้นมาเพคะ เพื่อให้มีฤทธิ์ปกป้องคุ้มภัย พระนางจึงสวดภาวนาติดต่อกันเป็นเวลาพันวัน ต่อให้ป่วยไข้ก็ไม่เคยขาดหรือหยุดพัก องค์ชายอาจจะไม่เชื่อเรื่องงมงาย แต่อย่าได้โยนความรักของมารดาทิ้งเลยเพคะ”

นางกำนัลกลั้นใจพูดทั้งที่กลัวว่าเขาจะโกรธ แต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายหรู่เผยไม่ชอบให้ใครมาชี้นำสั่งสอน มีไม่น้อยที่ปรารถนาดีแต่กลับเจอโทษหนัก แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว คนเก่าแก่ก็ยังจำฝังใจ

ในใจขององค์ชายแปดยังมีเมฆหมอกแห่งความคลางแคลงอยู่ ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังเลือกที่จะเชื่อ เขาไม่ตอบรับคำแนะนำของนางกำนัลผู้นั้น แต่เดินย้อนกลับเข้าไปในตำหนัก สร้างความประหลาดใจให้สนมเหอ ที่กำลังเตรียมตัวพักผ่อน

“ข้าลืมขอบคุณเรื่องเครื่องราง” กล่าวจบก็ลงไปคุกเข่าคำนับมารดา

ตัวเขาเป็นองค์ชายสถานะสูงส่งกว่าสนม ตลอดชีวิตไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ใครนอกจากฮ่องเต้ ทว่าประสบการณ์ที่เจี่ยวหวาได้เปลี่ยนแปลงความคิดขององค์ชายแปดไป เขาปรารถนาจะคุกเข่าแสดงความกตัญญูต่อหน้ามารดาสักครั้ง ในขณะที่นางยังมีชีวิต ต่อให้รู้ทีหลังว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแผนลวงก็จะไม่เสียใจ

สนมเหอน้ำตารินกับการกระทำอันไม่คาดคิด ลูกน้อยที่นางเฝ้าถนอม เติบโตขึ้นมาอย่างดีเมื่อห่างจากอกมารดา ตอกย้ำให้รู้ว่าที่ผ่านมานั้นตนทำผิดมากเพียงไหน

‘ข้าไม่สมควรเป็นแม่ของเจ้า ไม่สมควรเลย’

ความคิดนี้ซุกซ่อนอยู่ในใจ ที่ไม่ดังออกมาเพราะถูกขัดด้วยคำพูดของบุตรชาย

“ท่านแม่...ท่านยิ้มบ้างเถิด ข้าอยากเห็นรอยยิ้มท่าน”

สนมเหอฝืนยิ้มให้ แม้จะไม่สดใสก็สัมผัสได้ถึงความตื้นตัน

เหตุการณ์ในวันถัดมาคล้ายคลึงกับช่วงก่อน ค่อยข้างเรียบง่ายไม่มีอะไรหวือหวา แต่สองแม่ลูกกับรู้สึกสุขกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมา ความสุขและท่าทีโอนอ่อนของหรู่เผย

พอย่างเข้าวันที่เจ็ดหรือก็คือวันนี้ องค์ชายแปดก็ได้เห็นมารดาลุกขึ้นมาแต่งกายอย่างงดงาม ชวนเขาออกไปเดินเล่นข้างนอก

“อากาศยังเย็นอยู่มาก อย่าเพิ่งฝืนเลย” คนเป็นลูกไม่ยอมโอนอ่อน

“เดี๋ยวเดียวเท่านั้น แค่ในสวนนี้ก็ได้ ออกไปเป็นเพื่อนแม่หน่อยเถิด”

องค์ชายแปดนึกสงสัยว่าเหตุใดมารดาจึงอยากออกไปเหลือเกิน พอถามจึงได้รู้ว่าสนมเหอมีความฝันอยากเดินเล่นกับบุตรชายสักครั้ง

“ถ้าอาการทรุดลงอีกคง ไม่ได้ออกไปแล้ว”

คำพูดที่คล้ายจะตายวันตายพรุ่งกระตุ้นให้ใจอ่อน องค์ชายแปดยอมประคองมารดาเดินรอบตำหนัก แม้จะจำใจแต่ก็ไม่ทำอย่างขอไปที่ เขาเดินช้าๆ เพื่อไม่ให้มารดาต้องเหนื่อยเกินไป ทั้งยังจงใจหยุดพักเป็นระยะด้วย

วันนี้อากาศข้างนอกยังหนาวแต่คนป่วยกลับอารมณ์ดียิ่ง สนมเหอพูดไปยิ้มไปตลอดทาง แม้จะเริ่มหอบเหนื่อย ก็ยังไม่หยุดเล่าถึงอดีตอันเปี่ยมสุข

“แม่ชอบฤดูหนาวมาก เพราะเวลาออกมาข้างนอก เหมือนได้ยึดครองเสด็จพ่อของเจ้าไว้คนเดียว”

สนมเฉินซึ่งเป็นคู่ปรับคนสำคัญเกลียดอากาศหนาว แต่ฮ่องเต้กลับชอบเดินเล่น ช่วงฤดูกาลนี้นางจึงได้เพลิดเพลินอยู่กับสวามีเพียงสองคน ชี้ชวนกันดูเกล็ดหิมะ บางทีก็เดินชมดอกเหมย ลมหนาวพัดมาค่อยอิงแอบซบกันแบ่งปันไออุ่น

“ท่านแม่พูดเหมือนรักเสด็จพ่อมาก” องค์ชายแปดเปรย

“แน่สิ...ฝ่าบาทเป็นรักแรกและรักเดียวของแม่”

“ท่านจะบอกว่าข้าเกิดจากความรัก?” องค์ชายหรู่เผยทำท่าไม่เชื่อ

หัวใจของเสด็จพ่ออยู่ที่ใครคนทั้งวังต่างรู้ดี ส่วนท่านแม่ก็ถวายตัวเพื่อความรุ่งเรืองของตระกูล แม้จะน้อยใจแต่มันก็เป็นเรื่องที่ยอมรับและเข้าใจได้ เพราะพี่น้องคนอื่นก็เป็นเช่นนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากเหตุผลทางการเมืองทั้งสิ้น

“เสด็จพ่อเจ้าเคยนอกใจนางจิ้งจอกนั่น มาหลงแม่อยู่เป็นปีเชียวนะ” สนมเหอแสดงออกอย่างภูมิใจว่าไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว

นางเล่าอดีตให้บุตรชายฟังหลายอย่าง รวมถึงเรื่องราวเมื่อครั้งตัวเองยังเป็นเพียงเด็กสาววัยแรกรุ่น สนมเหอปลงใจรักในต้องฮ่องเต้โหย่งซินตั้งแต่เขาเป็นเพียงองค์ชายไร้อำนาจ ที่ถูกบดบังอยู่ภายใต้เงาของพระเชษฐา เมื่อถึงคราวผลัดเปลี่ยนบัลลังก์ นางจึงไม่ลังเลที่จะถวายตัว แม้ว่าบิดาจะไม่เห็นด้วยในคราแรก

“สุดท้ายแม่ก็ถูกทอดทิ้ง แต่ไม่เป็นไรหรอก แม่ได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าที่สุดแล้วตอนนี้” สนมเหอหันมามองบุตรชายอย่างอบอุ่น

องค์ชายแปดจึงกุมมือผู้ให้กำเนิดไว้แล้วเอ่ยว่า

“ท่านแม่ที่ข้ารู้จักไม่มีทางมักน้อยเพียงเท่านี้ ท่านลืมไปได้อย่างไรว่ายังเหลือสิ่งล้ำค่าให้ครอบครองอีก”

“เจ้าหมายถึงสิ่งใด”

“ลูกของข้าหรือหลานของท่านอย่างไรเล่า เขื่อนซูเจี้ยนเสร็จเมื่อไร ข้าจะรีบกลับมาแต่งงาน แล้วมีหลานให้เลี้ยง ท่านจะได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าอีกหลายๆ ชิ้น”

สนมเหอหัวเราะชอบใจ หากวันนั้นมาถึงในเร็ววันคงดีไม่น้อย

การเดินเล่นจบลงพร้อมบทสนทนาแห่งความหวัง เย็นนั้นองค์ชายสามอยู่จนค่ำ แล้วจึงค่อยกลับไป เขาไม่เคยค้างเพราะทราบดีว่าหากรั้งอยู่มารดาจะไม่ได้พักผ่อน ชายหนุ่มให้คำมั่นว่าจะมาหาอีกในวันรุ่งขึ้น สนมเหอยิ้มรับอย่างยินดี แล้วเอ่ยกับบุตรชายว่า

“หรู่เผย...รักษาตัวด้วย”

องค์ชายแปดรับคำ ชายหนุ่มจากไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าคำที่ได้ยินจะเป็นประโยคสุดท้ายจากปากมารดา

ค่ำนั้นอาการของสนมเหอทรุดหนัก ทว่าแทนที่จะตามหมอหลวง นางกลับหยิบเอายาบำรุงที่เจือจางยาพิษออกมา

ที่แท้ยาขององค์ชายรองขวดหนึ่งอยู่กับสนมเหอ องค์ชายผู้ทะเยอทะยานหวังจะใช้ความเจ็บไข้ เรียกคะแนนความเห็นใจ และผลักดันให้องค์ชายแปดกลับสู่สกุลเหอ เขาเสนอแนะวิธีรับยาพิษทีละน้อยเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ รวมถึงวิธีโน้มน้าวบุตรผู้ดื้อรั้นให้โอนอ่อน

สนมเหอรู้ว่าถูกหลอกใช้แต่ก็ยอมเสี่ยง นางเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะมานานแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่มักตายในวัยสี่สิบเศษ แต่คนในวังอายุสั้นกว่านั้นมาก สนมเหออยู่มาได้จนปูนนี้จึงไม่เลื่อนวันตายออกไป ต่อให้หยุดรับพิษตอนนี้ก็คงอยู่ได้อีกไม่กี่เดือน นางจึงเลือกจากไปในวันที่มีความสุขที่สุด

สนมเหอเปิดจุกขวดยาออก แล้วดื่มของเหลวที่บรรจุภายในจนหมด นางล้มตัวลงนอนปิดตา นับถอยหลังรอคอยวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างสงบ

ค่ำคืนนั้นสนมเหอจากไปอย่างเดียวดาย โดยไม่มีการล่ำลาหรือพูดจาสั่งเสียใดๆ เหลือเอาไว้เพียงความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตของตน เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโอรส

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีตอนดึกค่ะ
มาเสิร์ฟชายรองกะพี่อี้
และมาม่าด้วยร้ากกก

คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์นะคะ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มี.ค. 2560, 00:59:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2560, 00:59:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 886





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๑๑ คชสารเหมันต์   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๓ ตัดผม >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account