ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๓ ตัดผม

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๓ ตัดผม

ยามรุ่งสาง นางกำนัลคนสนิทของสนมเหอเข้าไปถวายการรับใช้ตามปกติ นางเห็นว่าพระสนมหลับสบายอย่างที่ไม่เคยเป็น จึงถอยออกไปรอหน้าห้องเงียบๆ สองชั่วยามต่อมาจึงค่อยกลับมาดู พระสนมยังหลับสนิทอยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยน นางเห็นก็เอะใจจึงลองปลุกดู ทว่านายหญิงกลับไม่ยอมลืมตาตื่น

นางกำนัลผู้ติดตามรับใช้มานานหน้าซีดเผือด นางถดหนีจากเตียงอย่างลนลาน เมื่อได้สติจึงตะโกนเรียกคนด้านนอกให้ตามหมอหลวงมา ซึ่งก็สายไปเสียแล้ว ท่านหมอบอกว่าพระสนมเสียชีวิตตั้งแต่ตอนกลางดึก ได้ฟังเพียงเท่านั้นเสียงร่ำไห้ก็ดังระงม

คนที่พอมีสติและข่มความเศร้าได้ เร่งไปแจ้งฝ่ายในให้ดำเนินการ รวมถึงส่งคนไปกราบทูลฮ่องเต้กับฮองเฮาให้ทรงทราบ ฮองเฮาทรงรุดมาที่ตำหนักนอกพร้อมกับสนมเฉินในทันที พระนางสั่งให้เตรียมทุกอย่างให้พร้อม โดยเฉพาะข้าวของเครื่องใช้ตามธรรมเนียม ให้เร่งจัดหาทันที แต่ยังไม่ต้องประกาศออกไป จนกว่าจะมีรับสั่งอย่างเป็นทางการจากฮ่องเต้

วันนี้มีการประชุมสำคัญเรื่องหรงซิ่ง กว่าฮ่องเต้จะเสร็จราชกิจและเสด็จมาก็เย็นย่ำ เมื่อมาถึงจึงพบว่าองค์ชายแปดอยู่เฝ้าศพมารดาในห้องเพียงลำพัง ส่วนคนอื่นรออยู่ด้านนอก

ฮองเฮากับสนมเฉินจงใจกันทุกคนไม่ให้เข้าไปวุ่นวาย เพื่อที่องค์ชายแปดจะได้ไม่ต้องทนอดกลั้นข่มความเสียใจเอาไว้ ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมมาหลายชั่วยามแล้ว เรื่องที่เขาเสียใจนั้นถูกต้อง หากแต่มิได้ร่ำไห้ฟูมฟาย น้ำตาสักหยดหนึ่งก็ยังไม่มี

“ฮ่องเต้เสด็จ!” เสียงป่าวร้องทำให้ชายหนุ่มขยับเคลื่อนไหว

องค์ชายแปดหันไปมองบิดาด้วยสายตาเย็นชา ดังจะตำหนิว่าเหตุใดจึงมาช้านัก

ฮ่องเต้มิได้ละเลยตามคำกล่าวหา พระองค์ทรงเร่งมาทันทีเมื่อทราบข่าว ทั้งยังพาเสนาบดีเหอมาด้วย โดยไม่คำนึงถึงราชประเพณี ที่ไม่อนุญาตให้คนนอกราชสกุลเข้ามายุ่งเกี่ยว ตามกฎแม้จะเป็นบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ก็ทำได้อย่างมากแค่จุดธูปไหว้หน้าโลง ในวันสุดท้ายก่อนเคลื่อนร่างไปยังสุสานหลวงเท่านั้น

เสนาบดีเฒ่าเข่าทรุดน้ำตารินอยู่ปลายเตียง ขณะที่ฮ่องเต้ทรงใช้พระหัตถ์สัมผัสใบหน้าของคนตายอย่างไม่รังเกียจ ร่างกายของสนมเอกที่ครั้งหนึ่งเคยงดงามไม่เป็นสองรองใครเย็นเฉียบ ทรวงอกที่ไม่ขยับเคลื่อนไหวย้ำเตือนให้พระองค์รู้ถึงความสูญเสีย สนมเหออยู่เคียงข้างพระองค์มานาน แม้จะมิได้รักนางอย่างลึกซึ้ง ก็ไม่อาจปฏิเสธสายใยแห่งความผูกพัน

“รั่วจิ่นจากไปเพราะเหตุใด”

ในห้องไม่มีหมอหลวงรอถวายคำตอบ องค์ชายแปดจึงรับหน้าที่แทน

“หมอหลวงบอกว่าไตวายเฉียบพลัน ท่านแม่จากไปเงียบๆ อย่างไม่ทรมาน แต่...ใครจะรู้” เสียงองค์ชายแปดสั่นขณะเอ่ยประโยคสุดท้าย

“เจ้าช่างรีบร้อนนัก รีบร้อนเหลือเกิน” ฮ่องเต้ทรงพึมพำ

‘ท่านเคยไยดีเสียที่ไหน อย่ามาเสแสร้งอาลัย’ องค์ชายแปดตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวในใจ

ชายหนุ่มกำหมัดแน่นจนมือเจ็บ ที่ยอมกักเก็บทุกอารมณ์เอาไว้ เพราะเหตุผลเดียวคือไม่อยากให้คนตายต้องห่วง ทว่าทนฝืนนานเข้าก็เริ่มคุมสติไม่ได้ จึงเดินหนีออกมาเสีย

“หรู่เผย...ลาแม่เจ้าเสียก่อนจะคลุมหน้า” ฮ่องเต้ทรงเรียกไว้

เมื่อคลุมหน้าศพแล้วจะไม่เปิดผ้าออกอีกเพราะถือว่าเป็นการลบหลู่คนตาย ตามธรรมเนียมของเจียงเฉียง ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวในวันแต่งงานจะใช้เป็นผ้าคลุมหน้าในวันตายด้วย ชาวบ้านปฏิบัติเช่นไรขนบในวังก็เป็นเช่นนั้น ในบางกรณี หากฮ่องเต้หรือฮองเฮาต้องการลงโทษนางในที่ทำความผิดร้ายแรง ก็จะพระราชทานผ้าคลุมหน้าให้ แทนคำสั่งให้ปลิดชีวิตตัวเอง

“กระหม่อมล่ำลาพอแล้ว”

ระหว่างที่รอพระบิดาเสด็จมา องค์ชายแปดมีเวลาเอ่ยคำลาอย่างเหลือเฟือ ทั้งในส่วนของตัวเองและพี่สาวทั้งสอง พวกนางล้วนแต่งงานไปอยู่ต่างแคว้น เมื่อกลายเป็นคนของราชวงศ์อื่นแล้ว จะอาลัยเพียงไหนก็ไม่อาจเดินทางมาร่วมงานได้

“ยังไม่เรียบร้อย”

ตรัสแล้วก็เป็นฝ่ายเสด็จไปคว้ามือโอรสมายังร่างของสนมเอกด้วยองค์เอง

“ลูกเจ้าคนนี้รั้นไปบ้าง แต่ไม่มีอะไรน่าห่วง หลับให้สบายเถิด ข้าจะดูแลหรู่เผยแทนเอง”

ฮ่องเต้จงใจพูดให้สองแม่ลูกได้ยิน เพื่อให้คนอยู่สบายใจ ส่วนคนจากไปก็หมดห่วง

องค์ชายแปดไม่รู้ว่าควรซาบซึ้งใจหรือเจ็บปวดแทนมารดาดี แม้ท่านแม่จะจากไปแล้วแต่เสด็จพ่อก็ยังซื่อตรงอย่างที่สุด พระองค์ไม่ขอให้รอ ไม่ขอให้ได้พบกันอีก ด้วยปรารถนาให้นางถูกจองจำด้วยพันธนาการแห่งรักเพียงชาติเดียว

“มาคลุมหน้านางด้วยกันเถิด ทั้งสามคน”

ฮ่องเต้ทรงแบ่งปันหน้าที่สำคัญให้แก่เสนาบดีเหอและโอรส แต่ทั้งสองกลับปฏิเสธ

เสนาบดีเหอเลิกร่ำไห้ ชายชราค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นมาชี้แจง

“กระหม่อมยกรั่วจิ่นให้เป็นคนสกุลจ้าวแล้ว แค่ได้มาลาก็เป็นพระกรุณาอย่างเหลือล้น”

“เสด็จพ่อคลุมให้ ท่านแม่คงพอใจกว่า”

องค์ชายหรู่เผยปรารถนาให้มารดาได้รับความรักสุดท้าย จากบุรุษที่นางเลือกอย่างเต็มเปี่ยม

ฮ่องเต้ได้ฟังเหตุผลก็มิได้ทรงบังคับ พระองค์ทรงสั่งคนด้านนอกให้นำผ้าคลุมหน้าเข้ามา อึดใจของที่ต้องการก็มาวางอยู่ตรงหน้า ฮ่องเต้ทรงบรรจงคลุมผ้าให้กับสนมเอกเป็นอย่างดี พร้อมประกาศว่า

“สนมเหอปรนนิบัติรับใช้ข้ามานาน ไม่เคยขาดตกบกพร่องต่อหน้าที่ ขอมอบปิ่นหงส์ให้ พร้อมสลักหน้าหลุมศพว่า สนมเอกขั้นหนึ่งผู้เป็นแบบอย่างแห่งความจงรักภักดี มารดาของโอรสและธิดาทั้งสาม”

‘หงส์’ เป็นสัญลักษณ์ที่สงวนไว้สำหรับฮองเฮาเท่านั้น จึงถือว่าทรงพระราชทานเกียรติอันสูงสุดให้ ส่วนคำสลักที่ป้ายหลุมศพสื่อถึงความอาลัย หากเป็นสนมธรรมดาทั่วไป หน้าหลุมศพจะมีเพียงตำแหน่งกับชื่อสกุลเท่านั้น

ไม่มีใครคาดคิดว่าสนมเอกซึ่งไม่เป็นที่โปรดปราน จะได้รับเกียรติถึงเพียงนี้ เสนาบดีเหอถึงกับโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างสำนึกในพระกรุณา องค์ชายแปดเองก็คุกเข่าลงเช่นกันแต่ความรู้สึกนั้นตรงข้าม

‘ความใส่ใจที่เริ่มต้นเมื่อสายเกิน ไม่ต่างจากอากาศที่ปราศจากน้ำหนัก’ หากเป็นเขาคงไม่ต้องการ


ข่าวการเสียชีวิตของสนมเหอถูกประกาศอย่างเป็นทางการในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น พร้อมคำสั่งให้ฝ่ายในทั้งหมดสวมชุดขาวเพื่อเป็นการไว้อาลัยเจ็ดวัน ยกเว้นฮองเฮาและสนมที่มียศสูงกว่า ฮองเฮาจึงทรงฉลองพระองค์สีอ่อนแทน ส่วนสนมเฉินแม้จะเป็นสนมเอกเช่นเดียวกัน แต่นางได้รับตราพระราชทานที่สามารถสั่งการฝ่ายในแทนฮองเฮาได้ จึงถือว่ามีลำดับขั้นสูงกว่า

เหล่านางในต่างก็คิดว่าพระสนมผู้รักการแต่งกายด้วยสีสันสดใส คงไม่ใส่ใจสรรหาผ้าสีอ่อนมาสวม แต่นางกลับทำให้แปลกใจ ด้วยการสวมชุดไว้ทุกข์อันแสนเรียบง่าย นางกำนัลคนสนิทเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ จึงลองถามเหตุผล

“เหตุใดพระสนมจึงไว้ทุกข์ให้ศัตรูเพคะ”

“นางชิงดีชิงเด่นกับข้ามาค่อนชีวิต ยามตายก็ยังคว้าเอาปิ่นหงส์ไปจนได้ คู่ปรับที่ร้ายกาจเช่นนี้ ไม่ส่งนางอย่างสมศักดิ์ศรีได้หรือ”

สนมเฉินเชื่อหมดใจว่าหลังจากยายแก่หนังเหนียวอย่างไทเฮาสิ้น ก็จะเหลือสนมเหออยู่เป็นเพื่อนคอยหาเรื่องทะเลาะกันไปอีกแสนนาน ใครจะคิดว่าศัตรูคู่อาฆาตจะด่วนจากไปก่อนไทเฮาผู้ชรา ความคิดที่ว่าบัดนี้เหลือคนให้ทะเลาะด้วยน้อยเต็มที ทำให้นางเศร้าใจอย่างประหลาด

ขณะที่สนมเฉินอาลัยกับการจากไปอย่างปุบปับของคู่ปรับตลอดการ ข่าวการเสียชีวิตของสนมเหอกลับเพิ่งมาถึงตำหนักเขียว นางในที่รับหน้าที่แจ้งข่าวทำหน้าที่บกพร่องเรื่องจึงมาถึงช้า แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเหล่านางกำนัลที่หูไวตาไวนำข่าวมาบอกแก่นายหญิงของตนตั้งแต่หัวค่ำ แว่นจึงรีบแต่งตัวนั่งรถม้าไปหาองค์ชายแปดโดยไม่คำนึงถึงเวลา

เขาเป็นห่วงองค์ชายน้องเล็กเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใคร วัยสิบเก้าในสายตาคนอื่นอาจจะเป็นวัยแต่งงานมีลูกได้แล้ว แต่สำหรับแว่น อายุเท่านี้ยังเด็กเกินกว่าจะรับมือกับความเศร้าเพียงลำพัง คิดแล้วแว่นก็อดนึกถึงลูกศิษย์คนหนึ่งไม่ได้

ภีมเป็นเด็กร่าเริงสดใส ทะลึ่งตึงตังบ้างตามวัย แต่มีสัมมาคารวะดี แว่นเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้เด็กคนนี้ตั้งแต่เรียนชั้นปีที่หนึ่ง เกรดของภีมอยู่ในระดับดี พฤติกรรมก็ใช้ได้ไม่มีอะไรให้ตำหนิ จนกระทั่งขึ้นปีสองเกรดก็ตกฮวบฮาบ จนแว่นต้องเรียกมาคุยเพื่อสอบถามปัญหา

ภีมบอกเศร้าๆ ว่าแม่ตาย เลยยังปรับตัวกับสภาพตอนนี้ไม่ได้ พอถามถึงพ่อ ภีมก็บอกว่าไปมีครอบครัวใหม่นานแล้ว แต่ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน พ่อยังส่งเสียและแม่ก็ทิ้งเงินประกันชีวิตเอาไว้ให้ก้อนโต ภีมไม่แตะเงินที่แม่ให้มา แต่ใช้เงินที่ได้จากพ่อเที่ยวเตร่บ่อยๆ เพราะไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว เขาว่าบ้านที่ไม่มีแม่มันเหมือนไม่ใช่บ้าน

“ผมรู้ครับว่าทำตัวแบบนี้แล้วแม่จะเสียใจ ตอนนี้เลยหาทางแก้ปัญหาอยู่”

“แล้วจะทำอย่างไร”

“ผมจะออกมาอยู่หอกับเพื่อนครับ”

แว่นไม่คัดค้านวิธีการแก้ปัญหาของลูกศิษย์ แต่ก็เตือนไปตรงๆ ว่าให้ระวังเรื่องการคบเพื่อน ภีมยิ้มกว้าง บอกว่าไม่ต้องห่วง เขาจะย้ายไปอยู่กับกลุ่มเด็กเรียน ต่อจากนี้คงได้อ่านหนังสือแข่งกันทั้งวันทั้งคืน

“ผมจะปรับปรุงตัวครับอาจารย์” ภีมสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“อาจารย์เชื่อในตัวคุณ แต่ถ้าเปลี่ยนที่อยู่แล้วยังเศร้า ก็ให้มาหาอาจารย์ อาจารย์มีเพื่อนที่เชี่ยวชาญด้านการให้คำแนะนำ ปรึกษาฟรีด้วยไม่ต้องเสียเงิน”

แว่นไม่ใช้คำว่าจิตแพทย์เพราะกลัวลูกศิษย์จะต่อต้าน ถึงกระนั้นภีมก็เดาได้ว่าเพื่อนผู้เชี่ยวชาญของอาจารย์เป็นใคร

“ผมเอาอยู่ครับ แค่เศร้านานหน่อย”

เมื่อเจ้าตัวไม่เต็มใจแว่นก็ต้องปล่อย หลังจากนั้นเกรดของภีมก็ดีตามที่รับปาก บางเทอมได้เกินสามจุดห้าด้วยซ้ำ แว่นจึงวางใจว่าลูกศิษย์จัดการปัญหาได้แล้ว

ภีมเรียนจบตามกำหนดอย่างราบรื่น แต่เขากลับไม่ได้รับปริญญาพร้อมกันกับเพื่อนๆ ภีมกระโดดตึกฆ่าตัวตายหลังจากเรียนจบได้ไม่นาน โดยไม่มีใครรู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง

ทุกคนรอบตัวภีมไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือคนรัก ล้วนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าภีมดูปกติดี เขาเพิ่งได้งานทำในบริษัทใหญ่ ไม่มีหนี้สินหรือปัญหาชีวิตใดๆ สิ่งที่ทำให้ทุกคนเชื่อว่านี่เป็นการฆ่าตัวตายไม่ใช่ฆาตกรรม คือข้อความในเฟซบุ๊กที่ถูกโพสต์กลางดึกทุกคืน ภีมเขียนถึงแม่เพราะนอนไม่หลับ เขาบอกว่าคิดถึงและพร่ำพูดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นทุกวัน จนกระทั่งคืนหนึ่งเขาก็เขียนสั้นๆ ว่า

‘กูกำลังจะไปหาแม่’

ภีมปลิดชีวิตตัวเองหลังจากส่งข้อความนี้เพียงไม่กี่นาที ความเศร้าจากการสูญเสียบุคคลที่รักกัดกินใจชายหนุ่ม จนหมดความอาลัยในโลกนี้ สิ่งที่ภีมคิดว่าเป็นเรื่องเล็กจัดการได้ กลับกลายเป็นสิ่งที่พรากลมหายใจของเขาไป

แว่นรู้ว่าความตายของภีมไม่ใช่ความผิดใคร แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ เขาเคยถามตัวเองหลายครั้งว่าอนาคตจะเปลี่ยนไปไหม หากวันนั้นเขาหาทางเกลี้ยกล่อมให้ภีมไปพบจิตแพทย์

คำตอบมีทั้ง ‘ใช่’ และ ‘ไม่’ แต่ถึงตอนจบมันจะต่างออกไป แว่นก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี สิ่งที่เขาทำได้คือก้าวไปข้างหน้า ไม่เมินเฉยต่อสิ่งที่ทำได้ แว่นไม่รู้ว่าองค์ชายแปดจะทำใจได้กี่มากน้อย จะอาลัยรักมารดาที่ขัดแย้งกันมาตลอดแค่ไหน รู้เพียงตอนนี้อยากอยู่ข้างๆ เขา คอยช่วยเหลือเท่าที่ทำได้

แว่นไปที่ตำหนักองค์ชายหกเป็นที่แรก แต่ปรากฏว่าทั้งเจ้าของตำหนักและผู้อาศัยอย่างองค์ชายแปดไม่อยู่ สอบถามมหาดเล็กก็ได้ความว่าทั้งคู่อยู่ที่ตำหนักสนมเหอ

“องค์หญิงรอที่นี่ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะสวนกันเสียเปล่าๆ” มหาดเล็กแนะนำเพราะทางไปและกลับสามารถเลือกได้หลายทาง

ชายหนุ่มไม่คิดว่านายของตนกับองค์ชายแปดจะนอนค้างที่นั่น เพราะธรรมเนียมในวังของชนชั้นสูงแตกต่างจากสามัญชน คนทั่วไปเวลาตาย ลูกหลานญาติมิตรจะผลัดกันนอนเฝ้าหน้าโลงศพเพื่อเป็นการไว้อาลัย แต่ในกรณีพระสนมจะให้บ่าวไพร่กับนักพรตมาเฝ้าแทน เพื่อป้องกันไม่ให้ฮ่องเต้ รวมถึงบรรดาองค์หญิงองค์ชายทั้งหลายต้องไออัปมงคล

แว่นลังเลเมื่อได้ฟังคำแนะนำ แต่ก็อยู่เฉยทนรออย่างใจเย็นไม่ได้ จึงตัดสินใจตามไปสมทบ หากโชคร้ายคลาดกัน ก็แค่เสียเวลาย้อนกลับมาที่นี่อีกหน

แม้จะดึกแล้วแต่ตำหนักของสนมเหอก็ยังสว่างไสวด้วยโคมไฟสีขาวรูปแบบต่างๆ โคมไฟเหล่านี้ฮ่องเต้มีรับสั่งให้จุดไว้ทุกคืนเพราะสนมเหอไม่ชอบความมืด และไม่อยากให้บรรยากาศในตำหนักหดหู่เกินไป

ทหารหญิงที่ด้านหน้าจะไม่ให้แว่นเข้าไปในคราวแรก แต่เมื่อแสดงตัวว่าเป็นใคร พวกนางก็ไม่กล้าขัดขวาง ยอมเปิดทางให้

น่าแปลกที่ตำหนักหลังโตดูร้างผู้คน ปกติต่อให้ดึกดื่นเพียงไหนก็จะมีนางกำนัลคอยเฝ้าอยู่ตรงประตูเป็นจุดๆ แต่แว่นเดินเลยห้องโถงมาแล้ว ก็ยังไม่พบใคร จึงถือวิสาสะเดินหาคนที่อยากพบ

“ทำอย่างนี้ไม่ดีนะเพคะ พรุ่งนี้เช้าค่อยมากันดีกว่า” ซีอิ๋งพยายามโน้มน้าว

นางเกาะแขนแว่นแน่นด้วยกลัวว่าผีเจ้าของตำหนักจะมาหลอก ยิ่งคิดว่าตอนมีชีวิตสนมเหอจงเกลียดจงชังกุ้ยฮวาเพียงไหน ซีอิ๋งก็ยิ่งสั่นกลัว

“ไม่ได้หรอก เวลามีค่า หากเจ้ากลัวก็กลับไปรอที่รถม้ากับพวกเด็กๆ เสีย”

ในรถม้ายังมีนางกำนัลที่เพิ่งจะรุ่นสาวมาด้วยอีกสองคน แต่พวกนางกลัวที่จะเข้ามา แว่นเลยทิ้งให้เฝ้ารถ

“ไม่เพคะ หม่อมฉันจะทิ้ง...”

“ชู่ว์! เงียบก่อน” แว่นสั่งแล้วนิ่งไปอึดใจ “ข้าได้ยินเสียงคน”

ซีอิ๋งเงี่ยหูฟังบ้าง แต่นางกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย หญิงสาวทำท่าจะบอกกุ้ยฮวาให้กลับอีกครั้ง ทว่านายหญิงของนางกลับเดินลิ่วลึกเข้าไปทางปีกตะวันตกของบ้าน

เมื่อเดินตามมาได้สักพักซีอิ๋งก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินจริงๆ แม้จะเดินๆ หยุดๆ ก็ยังเป็นเสียงฝีเท้าที่ดังฟังชัด นางกำนัลสาวขนลุกเกรียว ซีอิ๋งคิดจินตนาการไปแล้วว่านี่เป็นฝีมือวิญญาณสนมเหอ นางกำลังออกมากระทืบเท้า ชี้นิ้วไล่ผู้บุกรุก

“องค์หญิง...อย่าไปเลยเพคะ”

แม้คนสนิทจะวิงวอนแว่นก็ไม่ใส่ใจ เขาก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลดความเร็วลง จึงยิ่งทิ้งระยะกับซีอิ๋งที่ตามมาอย่างเก้ๆ กังๆ คนขี้กลัวเห็นถูกนำห่างก็เร่งฝีเท้า แล้วก็ต้องเบรกจนหัวทิ่มเมื่อกุ้ยฮวาหยุดกะทันหัน

แว่นหยุดเดินเพราะมีคนมาขวางไว้ จะใครเสียอีกถ้าไม่ใช่องค์ชายหก เขาเอามือแตะปากเป็นเชิงห้ามไม่ให้ส่งเสียง แล้วเดินนำหลบมาคุยอีกด้าน

“องค์ชายแปดล่ะเจ้าคะ” แว่นถาม

“หรู่เผยอยู่อีกห้อง คืนนี้เขาตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนสนมเหอ”

“แต่ธรรมเนียม...” นางกำนัลผู้ท่องกฎจนจำขึ้นใจเอ่ยขัดอย่างลืมตัว

ซีอิ๋งเร่งกล่าวขออภัย เมื่อเห็นองค์ชายไม่ถือสา นางก็ถอยมายืนก้มหน้าอย่างสำรวมอยู่หน้าประตูห้อง

“เราไม่ควรทิ้งเขาไว้ลำพัง” แว่นว่า

“พี่รู้ อีกเดี๋ยวก็จะไปอยู่เป็นเพื่อนเขาแล้ว”

“ให้ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”

“อย่าเลย...ตอนนี้หรู่เผยยังไม่พร้อม”

องค์ชายหกสั่งให้นางกำนัลอยู่แต่ในห้อง แม้แต่คนสนิทอย่างจางไห่ก็ให้ถอยออกมาอยู่ห่างๆ เพื่อให้น้องชายได้มีเวลาส่วนตัว เขาอยากให้หรู่เผยร้องไห้ออกมาสักครั้ง แต่น้องชายผู้แสนรั้นใจแข็งเหลือเกิน เห็นแววตาเจ็บปวดนั่นแล้ว คนเป็นพี่แทบหลั่งน้ำตาแทน

“แต่...”

“เจ้าเป็นคนที่เขาไม่อยากให้เห็นยามอ่อนแอมากที่สุด”

แว่นจนด้วยคำพูด เขารู้ดีว่าองค์ชายหกเข้าใจในตัวน้องชายมากกว่าใคร อีกทั้งองค์ชายแปดยังมีทิฐิสูง ดังนั้นการปล่อยให้อยู่ลำพังในช่วงแรกอาจจะดีกว่า

“ข้าควรมาอีกเมื่อไรดีเจ้าคะ”

“พรุ่งนี้เช้าเป็นอย่างไร เตรียมอาหารดีๆ มาให้หรู่เผยกินสักมื้อ”

“เจ้าค่ะ ข้าจะรีบมาแต่เช้ามืด แล้วดูแลองค์ชายแปดต่อเอง”

องค์ชายหกมองมาอย่างขอบคุณ แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงออกว่าหนักใจ

“ช่วงนี้หรู่เผยคงไม่อยากพบเจ้าเท่าไร”

“ทำไมเจ้าคะ?”

แว่นไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด ถึงจะชอบทะเลาะกันแต่ก็เป็นในเชิงหยอกปนแหย่เสียมากกว่า มิเช่นนั้นคงไม่ติดต่อคบหากันมานานหลายปี หรือที่เขาเห็นองค์ชายหรู่เผยเป็นสหายนั้นคิดไปเองฝ่ายเดียว

“ใจคอสองตาเจ้าจะเก็บไว้มองแต่พี่ห้าหรืออย่างไร” องค์ชายหกอดตัดพ้อแทนน้องรักไม่ได้

แม้ท่าทีของหรู่เผยจะไม่ชัดเจนขนาดมองออกในทันที แต่เขาก็เชื่อว่าการแสดงออกในช่วงนี้ ต้องทำให้กุ้ยฮวาระแคะระคายบ้างไม่มากก็น้อย ทว่านางกลับเมินเฉย ไม่รู้ว่ามองไม่เห็นหรือจงใจไม่มอง ความรู้สึกที่หรู่เผยพยายามสื่อจึงปลิวหายไปในอากาศ

“พี่หกหมายความว่า...” แว่นคล้ายจะคิดอะไรออก แต่ก็ไม่แน่ใจนัก

“พี่ไม่แน่ใจว่าเราคิดตรงกันไหม”

องค์ชายหกยังไม่ด่วนสรุป เขามองผิดไปรอบหนึ่งแล้วว่าคนฉลาดอย่างกุ้ยฮวาต้องเข้าใจทุกอย่างง่ายๆ องค์ชายลี่หยางเผลอลืมไปเสียสนิท ว่าคนฉลาดนั้นขึ้นชื่อนักว่ามักโง่เรื่องความรัก

“เจ้าคิดเอาเองก็แล้วกัน ว่าเหตุใดเจ้าจึงเป็นคนที่หรู่เผยไม่อยากให้เห็นความอ่อนแอมากที่สุด”

แว่นขมวดคิ้วทำหน้าเครียดเมื่อคิดทบทวนพฤติกรรมต่างๆ ขององค์ชายหรู่เผย เขานึกถึงคำพูดที่ว่าเด็กผู้ชายมักจะชอบแกล้งคนที่ชอบ องค์ชายแปดทำตัวตามคำพูดนี้ไม่มีผิด เพียงแต่แว่นไม่เอะใจเพราะเขาเด็กเหลือเกิน ถึงกุ้ยฮวาจะแก่กว่าไม่กี่ปี แต่ตอนชายหนุ่มอายุสิบสี่ อายุทางจิตวิญญาณของแว่นปาเข้าไปสามสิบสองแล้ว มากกว่ากันตั้งสิบแปดปี ระยะห่างนี้มากพอจะเป็นแม่ลูกกันได้เลย

ท่าทีสับสนของกุ้ยฮวาทำให้พี่ชายผู้แสนดีโล่งใจไปได้หลายเปลาะ อย่างน้อยๆ หญิงสาวก็เลิกปิดหูปิดตา ส่วนจะจัดการอย่างไรต่อไป ก็สุดแล้วแต่นาง

“องค์ชายแปดไม่ปรารถนาจะพบข้า แต่เขาก็ไม่มีใคร พี่หก...ข้าควรจะทำเช่นไรดี”

ก่อนแว่นจะมายังโลกนี้เขาไม่ใช่คนเนื้อหอม แม้จะอยู่ในร่างที่สวยงามก็ยังเป็นสตรีสูงศักดิ์ ไม่ชินกับการมีคนมารุมรักอย่างเปิดเผย จึงวางตัวไม่ค่อยถูก ที่สำคัญเขาเอ็นดูองค์ชายแปดอย่างน้อง ตามหลักเมื่ออีกฝ่ายกำลังคิดเกินเลย คนที่ไม่มีใจให้ก็สมควรถอยไปมิใช่หรือ แต่พอคิดว่าต้องเมินเฉยละเลยเขา ใจแว่นก็ปวดหนึบ

“สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับหรู่เผยคืออะไร ข้าเองก็ไม่รู้” องค์ชายหกจนใจจะให้คำแนะนำ

แว่นถอนใจ จริงอย่างที่องค์ชายลี่หยางว่า ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ครั้นจะให้เดินดุ่มๆ ไปถามองค์ชายแปดว่าอยากให้ทำอะไรตอนนี้คงไม่เหมาะ แว่นเลยตัดสินใจจัดการเรื่องความเศร้าให้เรียบร้อยก่อน ส่วนเรื่องความรักถ้าเจ้าตัวไม่พูดออกมา มันก็อาจจะเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น หากวันใดองค์ชายหรู่เผยเอ่ยความในออกมาอย่างชัดเจน ค่อยปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมายังไม่สาย

“ข้าจะแวะมาบ่อยๆ เจ้าค่ะ องค์ชายแปดพร้อมเจอข้าเมื่อไรก็เมื่อนั้น แล้วท่านพี่หกล่ะเจ้าคะ จะทำเช่นไร”

“ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนหรู่เผยจนกว่าเขาจะสบายใจ”

องค์ชายหกยินดีเสียสละเวลาส่วนตัว จะสองสามวันหรือแรมเดือนสำหรับเขาไม่ค่อยต่างกันนัก แต่แว่นฟังแล้วอดห่วงไม่ได้

“พรุ่งนี้มีการประชุมสำคัญ ท่านจะเข้าร่วมไหมเจ้าคะ”

จนบัดนี้เรื่องหรงซิ่งก็ยังไม่ได้ข้อยุติ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านไปสรุปข้อมูลและเตรียมเหตุผลกันมาให้ดี เพื่อจะได้ประชุมกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ แว่นไม่มีส่วนร่วมแต่ก็รู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองค่อนข้างตึงเครียด นอกจากสถานการณ์ทางหรงซิ่งแล้ว ข่าวจากทางใต้ก็ไม่สู้ดีนัก สังเกตได้จากการที่เจ้าเมืองต่างๆ ยังอยู่เมืองหลวงกันครบ ทั้งที่ส่วนใหญ่มักเดินทางกลับก่อนเทศกาลรำลึก

“ถ้าข้าทิ้งหรู่เผยตอนนี้ ก็ไม่สมควรเป็นพี่ชายแล้ว”

ความรักในตัวน้องชายต่างสายเลือดทำให้แว่นรู้สึกยินดีและโล่งใจ อย่างน้อยองค์ชายแปดก็ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบดังที่กังวล

แว่นสอบถามอาหารที่องค์ชายหรู่เผยชอบกินจากองค์ชายหก ถ้าไม่ยากเกินก็ตั้งใจจะทำให้กินเอง ไม่แน่ว่ารสมือไม่คุ้นลิ้น อาจทำให้เด็กแสบลุกขึ้นมาโวยวาย แล้วหายจากความเศร้าได้ชั่วขณะ

คืนนั้นแว่นเข้านอนค่อนข้างดึก แต่ตื่นก่อนไก่โห่มาทำอาหารให้ องค์ชายแปดชอบกินลูกชิ้นเนื้อปลา เขาเลยลองทำหลายๆ แบบทั้งนึ่ง ทอด ใส่ในข้าวต้ม ตลอดจนทำเป็นไส้เกี๊ยว กว่าจะเสร็จก็เกือบสาย แว่นเร่งนำอาหารไปให้ก่อนจะหายร้อน เสียดายคลาดไปเพียงไม่กี่อึดใจ

คนที่คิดว่าคงไม่หลุดจากความเศร้าง่ายๆ ลุกขึ้นมารับเช้าวันใหม่ได้อย่างเข้มแข็งเกินคาด องค์ชายแปดตัดผมของตัวเองทิ้ง เหลือความยาวเพียงประบ่า เพื่อไว้ทุกข์ให้มารดา จากนั้นก็ออกไปข้างนอกเพื่อพบท่านตา โดยมีเจตนาต้องการกลับเข้าสกุลเหอ


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

น้องแปดกลับเข้าสกุลเหอแล้ว โฮะๆ
เอามือป้องปากยิ้มอย่างชั่วร้าย

มีคนถามว่าเราจะเอื่อยจะอึนจะอืดเป็นเส้นมาม่า
อย่างนี้อีกนานเท่าไรคะ
คำตอบคือจุดไคแมกซ์ยังไม่มา
อดทนไปก่อนนะจ๊ะคนดี
ขอ3พีคอยู่บทที่ 17-18
พอบทที่ 19 แก๊งตุ๊ดก็จะมารวมกันแล้วจ้า
เราจะได้ร่าเริงกันเสีย ^O^

แล้วพบกันตอนหน้านะคะจุ๊บๆ
สปอยนิดนึงว่าเราจะได้เห็นฉากชายสามกะฉิงอี๋
จะได้รู้สักทีว่าคู่นี้สรุปเอาไง รักหรือหลอกหรือ??



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มี.ค. 2560, 00:01:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มี.ค. 2560, 00:01:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 892





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๒ สายใยที่ตัดไม่ขาด   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๔ สัญญาสิบปี >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account