ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๔ สัญญาสิบปี

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๔ สัญญาสิบปี

การประชุมเพื่อหาข้อสรุปเรื่องการส่งความช่วยเหลือไปยังหรงซิ่ง ถูกกำหนดให้เริ่มถกกันอีกครั้งในตอนบ่ายวันนี้ เรื่องที่แทบไม่มีใครใส่ใจกลายเป็นวาระสำคัญ เมื่อองค์ชายห้าพูดถึงความเป็นไปได้ที่อ๋องเหยาเล่อแห่งแคว้นเข่ออู้ จะร่วมมือกับแคว้นป้าวเฟิง โจมตีทางตอนใต้ของหรงซิ่ง พอยึดเป็นฐานที่มั่นได้ก็จะบุกยึดดินแดนราบลุ่มแม่น้ำในเขตของต้าต่านเป็นที่ต่อไป

คำพูดขององค์ชายห้าในตอนนี้มิได้เป็นข้อสันนิษฐานลอยๆ มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ถูกส่งมาจากหน่วยลับ รวมถึงพฤติกรรมชวนสงสัยของทางป้าวเฟิงและอ๋องเหยาเล่อ มีรายงานว่าคนของทั้งสองฝ่ายลอบพบปะกันจริง อีกทั้งป้าวเฟิงยังยกสิทธิ์การครอบครองดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำให้เจียงเฉียงครอบครองต่ออีกหนึ่งปีอย่างที่ไม่เคยเป็น แม้จะอ้างว่าเกิดอุทกภัยไม่พร้อมรบ แต่กลับมีการฝึกทหารอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับต้องการใช้กองกำลังนี้กระทำการอย่างอื่น

ปกติสงครามชิงพื้นที่มักจะเกิดขึ้นทุกๆ สองหรือสามปี ครบกำหนดก็จะทำการรบกันใหม่ สิบกว่าปีมานี้เจียงเฉียงชนะติดต่อกันตลอด แต่ป้าวเฟิงก็มิเคยย่อท้อ ยังคงส่งทหารมาแสดงแสนยานุภาพ เพื่อให้เจียงเฉียงได้ตระหนักว่าหากรุกล้ำข้ามเขตแดนมา จะเจอกับทัพใหญ่ที่น่ากลัวกว่าทัพเล็กที่ส่งไปลองเชิงร้อยเท่า

องค์ชายห้าหาคนช่วยโน้มน้าวเหล่าขุนนาง จนเริ่มคล้อยตามว่าหากประมาทอาจจะเกิดสงครามใหญ่ ขณะที่ความเห็นโน้มเอียงไปทางให้ความช่วยเหลือ สถานการณ์กลับพลิกผันก่อนได้ข้อสรุป เพราะข่าวด่วนส่งมาจากทางใต้

‘ซัวหวงแข็งเมือง ขุนนางที่ประจำการอยู่ที่นั่นถูกสังหารจนหมดสิ้น’

สิ่งที่กุ้ยอี้เคยกังวลเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ซัวหวงในตอนนี้วุ่นวายปั่นป่วน เชื้อพระวงศ์ที่เคยถูกเนรเทศกลับมาตั้งตนเป็นใหญ่อีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือของแคว้นหนิงโจวที่อยู่ถัดไปทางตอนใต้ หากทางหนิงโจวส่งทหารมาช่วยจริง นี่จะไม่ใช่แค่การก่อกบฏของเมืองขึ้น แต่เป็นสงครามระหว่างแคว้น

หนิงโจวเป็นแคว้นขนาดกลางแต่มีอำนาจทางการทหารเข้มแข็ง อีกทั้งยังเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับแคว้นโจวเหลียนซึ่งอยู่ติดกัน หากพลาดพลั้งชายแดนด้านใต้ของเจียงเฉียงจะเสียหายหนัก

ขณะนี้รองเจ้าเมืองเจียนเจี๋ยสั่งให้ตรึงกำลังทหารหมื่นนายเอาไว้เพื่อเฝ้าระวัง รวมถึงตรวจตราคนเข้าออกอย่างเข้มงวด ในระหว่างที่รอกำลังเสริมและคำสั่งจากเบื้องบน

เจียงเฉียงมีกองทัพขนาดใหญ่ที่กล้าแข็ง แต่มีข้อเสียคือมีอาณาเขตกว้างใหญ่เกินไป การเคลื่อนพลในแต่ละจุดทำได้ล่าช้า หากถูกโจมตีจากหลายทิศ ก็ต้องเลือกจัดการในจุดวิกฤตก่อน ซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้บีบให้เลือกซัวหวงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทางหรงซิ่งจึงได้รับความช่วยเหลือแค่เรื่องเสบียงอาหาร กับยุทโธปกรณ์บางส่วน

เมื่อเหล่าขุนนางเห็นตรงกันเช่นนี้ ความพยายามที่ผ่านมาขององค์ชายห้าก็แทบจะสูญเปล่า แต่เหตุการณ์ก็พลิกกลับอีกหนหนึ่ง เมื่อองค์ชายแปดปรากฏตัว ชายหนุ่มทำให้ทุกคนตะลึง ด้วยทรงผมยาวประบ่า

ตามกฎมณเฑียรบาลองค์ชายต้องตัดผมเพื่อไว้ทุกข์ให้ฮ่องเต้ แม้กฎไม่ได้ระบุว่าห้ามไว้ทุกข์ให้พระสนม แต่ก็รู้กันดีว่าไม่มีความจำเป็น การกระทำขององค์ชายแปดได้รับคำชมเชยและเสียงติติง ชายหนุ่มกตัญญูต่อมารดา แต่ด้วยสถานะองค์ชาย การตัดผมเพื่อไว้ทุกข์กลับกลายเป็นการสาปแช่งบิดา

ทุกคนหันไปสนใจเรื่องผมขององค์ชายหรู่เผยอยู่พักใหญ่ จนฮ่องเต้ต้องสั่งให้เงียบ แล้วบอกให้โอรสมานั่งประจำที่เพื่อจะได้ดำเนินการประชุมต่อ พอหย่อนก้นลงนั่งได้ องค์ชายผู้ฉลาดปราดเปรื่องก็เปิดฉากทำลายทุกบทสรุปที่ประชุมกันมาหลายชั่วยาม

“ข้าคิดว่าการส่งกองกำลังบุกเข้าไปจับกุมกบฏในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ในเมื่อทางนั้นอยากตัดขาด ก็ปล่อยให้ทำตามใจ”

“แล้วเรื่องขุนนางที่ถูกสังหารเล่า จะปล่อยให้ตายเปล่าโดยไม่ทวงความเป็นธรรมให้หรือ”

ขุนนางที่ลุกขึ้นมาท้วงติง มีโทสะกับเรื่องนี้อย่างรุนแรง เพราะผู้ที่ถูกสังหารคือญาติสนิท

“ข้าไม่ได้บอกว่าเราจะไม่โต้กลับ เพียงแต่ยังไม่ใช้กำลังในตอนนี้ ผลีผลามบุกไปไม่แน่อาจเจอกับดัก”

องค์ชายหรู่เผยอธิบายเพื่อย้ำเตือนให้ทุกคนไม่ลืมว่า ซัวหวงสมัครใจมาเป็นเมืองขึ้นของเจียงเฉียงเพราะความอดอยาก ดินแดนแถบนั้นมีจุดด้อยเรื่องดินและน้ำ คนส่วนใหญ่จึงเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ กับทำเหมืองพลอยเป็นหลัก ซึ่งพลอยที่ได้มานั่นก็ใช่ว่าจะมีค่าเลิศเลออะไร เจียงเฉียงแค่รับมาไว้พอเป็นพิธีเท่านั้น ที่ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอดก็เพราะต้องการให้เป็นรัฐกันชนกับหนิงโจว

“หากหนิงโจวอยากอุ้มชู เราก็สมควรปล่อยภาระไป แต่ก่อนหน้านั้นต้องสืบให้กระจ่างว่าใครอยู่เบื้องหลัง ใช้ยุทธวิธีกดดันให้ส่งมอบตัวผู้กระทำผิด เพื่อซื้อเวลาในการเคลื่อนพล ขณะเดียวกันจะได้ดูท่าทีของแคว้นหนิงโจวและโจวเหลียนด้วย”

แนวคิดขององค์ชายแปดก่อให้เกิดเป็นประเด็นถกเถียงใหม่ขึ้นมาทันที แต่ชายหนุ่มยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น

“ตอนเกิดศึกที่อี้ป่ายเราเสียทหารไปไม่น้อย แต่ก็ได้แสดงแสนยานุภาพ จงเย่ากลายเป็นเสือพิการได้ เข่ออู้กับป้าวเฟิงที่คิดไม่ซื่อก็ไม่สมควรปล่อยไป เรามีแม่ทัพผู้มากสามารถอยู่ทั้งคน เอาไปเฝ้าเขตการเกษตร ก็ไม่ต่างอะไรกับเอากระบี่ไปดายหญ้า ไม่คิดว่าน่าเสียดายหรอกหรือ”

แม่ทัพที่พูดถึงจะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้วนอกจาก ’ต่งจินไท่’

“องค์ชายมีแผนการเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางสกุลเหอช่วยเปิดโอกาสให้ ก่อนจะมีคนขัด

“ข้าขอเสนอให้แม่ทัพต่งบุกชายแดนป้าวเฟิงเพื่อกดดัน จะได้ตัดกำลัง ไม่ให้มาสมทบกับทัพของอ๋องเหยาเล่อ ตอนนี้การเมืองภายในเข่ออู้ก็ยังไม่สงบ แคว้นถูกผ่าแบ่งเป็นสองก็ยิ่งง่ายต่อการแทรกแซง เราควรส่งองค์ชายห้าไปเจรจากับกษัตริย์เข่ออู้ว่าจะปราบอ๋องเหยาเล่อให้”

องค์ชายวายร้ายไม่เพียงแต่วางแผนใช้งานพี่เขย ยังโยนงานยากให้ศัตรูหัวใจอย่างไม่เกรงใจ

“ข้าขอเสนอให้มอบกำลังทหารให้องค์ชายเหวินหรงสามหมื่นนาย จำนวนเท่านี้ท่านมั่นใจว่าจะชนะศึกในต่างแดนได้หรือไม่”

พวกที่สนับสนุนหรงซิ่งนั้นคาดหวังเพียงกำลังพลครึ่งหมื่น แต่ถึงได้มาหกเท่าก็ไม่ทำให้ดีใจ การตั้งรับในอาณาเขตของตัวเอง ย่อมปลอดภัยและมีโอกาสชนะมากกว่าการรบนอกพื้นที่ ไหนจะปัญหาเรื่องการเคลื่อนทัพ กับความเสี่ยงจากปัจจัยอื่นอีกหลายประการ

“ข้าทำได้” องค์ชายห้าตอบรับในทันที “ขอกำลังทหารสองหมื่นก็พอ ข้าจะปราบทัพของอ๋องเหยาเล่อให้สิ้น”

ในบรรดาโอรสของฮ่องเต้ ผู้ที่มีความสามารถในการต่อสู้มากที่สุดคือองค์ชายห้า แต่เพราะร่างกายอันอวบอ้วนจึงได้รับการสบประมาทดูแคลน แม้ที่ผ่านมาฮ่องเต้จะทรงส่งไปปราบโจรหรือทำภารกิจพิเศษหลายครั้ง ความสามารถขององค์ชายห้าก็ยังเป็นที่กังขา

ขุนนางส่วนใหญ่ไม่มีใครสนับสนุน องค์ชายแปดจึงให้พี่ชายแสดงฝีมือเพื่อทำให้พวกดีแต่วิจารณ์หุบปาก เขานำหินก้อนโตที่เตรียมมายื่นให้บรรดาขุนนางทั้งหลายตรวจสอบ ก่อนจะนำไปให้องค์ชายห้าจัดการ

“ลองคิดว่ามันเป็นแขนข้าหน่อยเป็นไร”

ขาดคำหินก้อนนั้นก็แหลกเป็นผงต่อหน้าเหล่าผู้คนที่พากันสบประมาท

“เรามีทั้งแม่ทัพผู้ไร้พ่ายกับองค์ชายปีศาจ ไม่จำเป็นต้องคอยตั้งรับอย่างเดียวกระมัง?” องค์ชายแปดยิ้มเย็น

ตัวเขาเรียกองค์ชายห้าว่าปีศาจ แต่กลับแผ่รังสีความชั่วร้ายยิ่งกว่า ไม่ว่านี่จะเป็นการจัดฉากของสกุลเหอหรือไม่ การกระทำขององค์ชายแปดก็ส่งผลอย่างมากมายต่อชีวิตผู้คนนับแสน

แผนการขององค์ชายแปดรอบคอบรัดกุม มีเหตุผลและหลักฐานประกอบการตัดสินใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ถกเถียง หลายวันทีเดียวกว่าจะได้ข้อสรุป ในที่สุดองค์ชายห้าก็ได้กำลังทหารไปช่วยหรงซิ่งตามความประสงค์ แลกกับการที่องค์ชายแปดต้องไปจัดการเรื่องทางใต้ด้วยตัวเอง

ชายหนุ่มถูกส่งไปเป็นทูตที่โจวเหลียนเพื่อสืบข่าวและประเมินสถานการณ์ ภารกิจนี้เสี่ยงไม่ต่างจากการไปรบ หากโจวเหลียนปรารถนาในสงคราม องค์ชายแปดก็ไม่ต่างอะไรกับตัวประกันชั้นดี ขุนนางส่วนใหญ่จึงคัดค้านเรื่องนี้ แต่ชายหนุ่มยืนกรานจะไปด้วยตัวเองให้ได้

“ข้าไม่คิดว่าโจวเหลียนจะกระหายอำนาจจนยอมให้เกิดหายนะ แต่หากมองผิดก็ยินดีชดใช้ให้ด้วยชีวิต ข้าจะฆ่าตัวตายก่อนถูกจับเป็นตัวประกัน หลังจากนั้นพวกท่านอยากทำอะไรก็ตามใจเถิด”

ความมุ่งมั่นขององค์ชายหรู่เผย ผสานกับแรงสนับสนุนของสกุลเหอทำให้เรื่องนี้ผ่านความเห็นชอบ ถูกนำขึ้นทูลเกล้าในที่สุด

ฮ่องเต้ทรงเรียกโอรสมาคุยเป็นการส่วนตัว ทั้งองค์ชายห้าและองค์ชายแปด นานทีเดียวกว่าทั้งสองจะออกมาจากห้องทรงพระอักษร พร้อมด้วยราชโองการแต่งตั้งให้องค์ชายเหวินหรงเป็นแม่ทัพใหญ่ องค์ชายหรู่เผยเป็นทูต

สองพี่น้องเดินเคียงคู่กันมาจนกระทั่งสุดทางเดิน คนหนึ่งต้องเลี้ยวซ้าย ส่วนอีกคนแยกไปทางขวา องค์ชายห้าจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนจาก

“ขอบคุณที่ช่วยเรื่องหรงซิ่ง”

แม้จะเจ็บใจแต่ก็ต้องยอมรับว่าเพราะแผนการของหรู่เผย หรงซิ่งจึงรอดพ้นวิกฤตการสูญเสียกำลังพลไปได้

“ข้าไม่ได้ช่วยท่าน อย่ามั่นใจในตัวเองนัก ข้าไม่อยากถูกตราหน้าว่าส่งพี่ชายไปตาย”

องค์ชายแปดไม่คิดสาปแช่งศัตรูหัวใจ แข่งกับคนตายทำอย่างไรก็ไม่ชนะ

“เจ้าก็ด้วย”

แม้จะเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉียบ แต่ก็ยังมีความห่วงใยในดวงตา หรู่เผยเป็นน้องเล็กจอมเกเร ที่ผ่านมาจึงไม่ค่อยลงรอยกัน แต่น้องก็ยังเป็นน้อง ตัดอย่างไรก็ไม่ขาด

“ข้ากลับมาก่อนท่านแน่”

ประกาศเสร็จคนเป็นน้องก็สาวเท้าเดินจากไป องค์ชายหรู่เผยไม่คิดจะเสียเวลาสนทนามากไปกว่านี้ ทั้งเขาและพี่ห้าล้วนมีงานสำคัญต้องทำให้สำเร็จ

วันนี้ที่เสด็จพ่อเรียกมาพบก็เพื่อสอบถามความสมัครใจอีกครั้ง ว่ายินดีเสียสละเพื่อแผ่นดินหรือไม่ แน่นอนว่าเขากับพี่ห้าย่อมยืนยันเจตนารมณ์เดิม เสด็จพ่อจึงอภัยโทษให้ พร้อมกับรับสั่งว่า

“ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ ก็ขอให้กลับมา”

พระองค์ทรงเอ่ยในฐานะบิดาที่ปรารถนาให้บุตรปลอดภัย รวมถึงไม่คิดจะตั้งรางวัลมาล่อหลอก เพื่อให้พลีกายถวายชีวิตให้ องค์ชายแปดซาบซึ้งใจแต่ก็ไม่วายละโมบ เขาร้องขอรางวัลหากทำการสำเร็จ

“เจ้าปรารถนาสิ่งใด”

“ลูกอยากได้สมรสพระราชทาน”

“ตกลง...เจ้าทั้งคู่จะได้สิ่งนี้หากต้องการ”

องค์ชายแปดลอบยิ้มหยัน ฮ่องเต้ยังคงวางตัวเป็นเสด็จพ่อที่ไม่ลำเอียงได้อย่างน่าชม ทั้งเขาและพี่ห้าล้วนมีสิทธิ์ได้รับพระราชทานรางวัลหากทำผลงานได้ดี นั่นหมายความว่าใครกลับมาก่อน คนนั้นก็จะได้ครอบครองกุ้ยฮวา


ยามดึก ในห้องพักผ่อนส่วนตัวขององค์ชายสาม ชายาเอกผู้น่าสงสารกำลังนั่งคัดลายมือ เขียนบทสวดมนต์อย่างขะมักเขม้น เพื่อใช้ในงานพิธีศพของสนมเหอ

ชาวเจียงเฉียงนิยมใส่บทสวดมนต์เอาไว้ในโลง พร้อมทรัพย์สินเงินทองเพื่อให้ผู้ตายนำติดตัวไปโลกหน้า ในกรณีที่ผู้เสียชีวิตมีบุตรหลาน หน้าที่คัดลอกบทสวดจะเป็นของบุตรชาย แต่สำหรับพระสนมในวัง หน้าที่นี้จะเป็นขององค์หญิงไม่ก็สะใภ้หลวง

เนื่องจากธิดาของสนมเหออยู่ต่างแดน องค์ชายแปดก็ยังไม่แต่งงาน สนมเฉินก็เลยเจ้ากี้เจ้าการให้ลูกสะใภ้ตัวเองเป็นคนคัดบทสวดมนต์แทน ลำพังคัดลอกสองรอบนั้นไม่คณามือฉิงอี๋ แต่เพราะลายมือของนางค่อนไปทางธรรมดาสามัญ สนมเฉินมองแล้วไม่ต้องใจ จึงหาแบบมาให้คัดลอก

ลายเส้นงดงามอ่อนช้อยที่เป็นต้นแบบลอกเลียนได้ยาก ยิ่งฉิงอี๋พยายามตัวอักษรก็ยิ่งบิดเบี้ยวดูพิกลพิการ หญิงสาวมองผลงานที่ไม่คืบหน้าไปไหนอย่างเหนื่อยหน่าย นางเหลือเวลาให้คัดใหม่เพียงสองวันเท่านั้น พยายามให้ตายก็ไม่มีทางทำได้อย่างที่แม่สามีต้องการ

นางโง่รับงานนี้มาเพราะหลงคิดว่าแม่สามีสงสาร เห็นว่าป่วยบ่อยจึงหางานเบาๆ มาให้ทำ ที่ไหนได้กลับกลายเป็นงานยาก

“ทำไมข้าถึงได้โง่ได้เซ่อ แถมลายมือแย่ขนาดนี้กันนะ”

นางปัดผลงานที่ทำเสียทิ้งด้วยความหงุดหงิด แต่เดี๋ยวเดียวก็เก็บมันขึ้นมา พลางพึมพำขอโทษสิ่งของที่พาลใส่ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อบรรเทาความหดหู่ ก่อนจะเพ่งมองลายมือต้นแบบและเริ่มต้นทำงานใหม่อีกครั้ง

สามบรรทัดแรกออกมาสวยอย่างเหลือเชื่อ แต่พอจะเริ่มบรรทัดที่สี่ปลายพู่กันที่ถืออยู่กลับตวัดเลย ทำให้ตัวอักษรบิดเบี้ยว นี่ไม่ใช่ความผิดฉิงอี๋เลยสักนิด ต้นเหตุคือเจ้าปีศาจร้ายหน้าหล่อที่อยู่ๆ ก็ย่องมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง

“ผลงานชิ้นเอกของข้าเสียหายหมดแล้ว เพราะท่านแท้ๆ เลย” หญิงสาวตะโกนใส่อย่างสุดกลั้น

คนขี้แกล้งไม่เพียงไม่ขอโทษ ยังวิจารณ์งานอย่างเสียๆ หายๆ อีก

“นี่เรียกว่าดีแล้วรึ เอาของแบบนี้ใส่โลง ระวังสนมเหอจะลุกขึ้นมาหยิบบทสวดปาใส่หน้า”

“ข้ารู้ว่าลายมือข้ามันห่วย แต่แม่ท่านเป็นคนสั่งมา จะให้ข้าทำอย่างไร”

ฉิงอี๋พูดแล้วก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ องค์ชายสามวางมือลงบนบ่าชายารักแล้วเอ่ยว่า

“ถ้าเช่นนั้นก็พยายามเข้า”

ถ้อยคำแสดงความเห็นใจ แต่สีหน้ากลับเยาะเย้ย

ฉิงอี๋ดิ้นไปมาอย่างโมโห นางอยากจะชกคนกวนประสาทให้คว่ำ แต่ก็ทำได้แค่ปัดมือเขาออกเท่านั้น

“ใช่สิ ข้ามันไม่มีทางเลือกนี่ ท่านเองถ้าว่างนักก็เอาเวลาไปดูแลลูกบ้าง หลายคืนแล้วนะที่ฟางหมิงคอยท่านจนผล็อยหลับคาเก้าอี้”

ได้ยินชายาเอกบ่น องค์ชายสามก็หัวเราะชอบใจ

“เจ้านี่ทำตัวสมเป็นเมียสมเป็นแม่มากขึ้นทุกวัน มามะ…ข้าจะให้รางวัล”

ชายหนุ่มยื่นหน้าไปหาหมายจะหอมแก้ม ผลคือถูกผลักอกอย่างแรง

“ข้าโกรธจริงๆ แล้วนะ” หญิงสาวหน้าแดงก่ำ “ออกไปเลย! ออกไปไกลๆ”

“ไม่! คืนนี้ข้าจะอยู่กับเจ้า” องค์ชายสามทำเป็นดื้อตาใส

หากเป็นเมื่อก่อนฉิงอี๋คงร้องกรี๊ดแล้ววิ่งหนี ไม่ก็ยกเรื่องสัญญามาพูด แต่ตอนนี้อย่าหวังเลยว่ามุกเดิมๆ จะใช้ได้ผล ถึงเวลานางเอาคืนบ้างแล้ว

“ก็ลองดูสิ ข้าจะฟ้องฟางหมิงว่าถูกท่านรังแก ตอนนี้เขารักข้าเชื่อข้ามากกว่าแล้ว ข้าจะยุให้ฟางหมิงเกลียดท่าน”

องค์ชายสามหัวเราะลั่นเมื่อชายาเอกใช้ลูกน้อยข่มขู่ คนอย่างนางเสี้ยมใครไม่ขึ้นหรอก ลองทำเช่นนั้นมีแต่จะถูกฟางหมิงดุ

“ฉิงอี๋ เจ้านี่มันร้ายกาจขึ้นทุกวัน” ชายหนุ่มประชด

เขาจงใจมองหญิงสาวด้วยสายตาเวทนา แต่อีกฝ่ายกลับทำท่าภูมิอกภูมิใจเหมือนได้รับคำชม

“คนเรามันก็ต้องพัฒนากันบ้างละ”

สีหน้าขององค์ชายสามพลันปรากฏความอ่อนโยน เพราะนางเป็นอย่างนี้เขาเลยสนุกที่ได้ใช้ชีวิตด้วย ทว่าชมไม่ทันไร ฉิงอี๋กลับปากพาจนเสียอย่างนั้น

“ข้ายังต้องอยู่กับท่านอีกตั้งแปดปี เก้าเดือนกับอีกสิบเอ็ดวัน ไม่หัดร้ายได้ถูกรังแกตายพอดี”

“ฉิ่งอี๋...ระวังหน่อย” ชายหนุ่มทำหน้าเคร่งขณะเตือน

ฉิงอี๋รีบเอามือปิดปากแล้วมองซ้ายมองขวาเป็นการใหญ่ ความลับเรื่องเวลานี้มีแต่เขากับนางที่รู้ พอเห็นเขาบึ้งตึง นางก็อดที่จะเอ่ยคำขอโทษไม่ได้

หญิงสาวตกลงแต่งงานเป็นชายาเอกขององค์ชายสามเพียงในนาม โดยมีกำหนดระยะเวลาอยู่ที่สิบปี หลังจากนั้นฉิงอี๋จะได้รับอิสระและเงินก้อนโต เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสุขสบาย

แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านหญิงจากตระกูลสูง จะพอใจในชีวิตเรียบง่าย พวกนางส่วนใหญ่ล้วนหยิ่งทระนง ปรารถนาลาภยศและอำนาจกันทั้งนั้น คงจะมีเพียงฉิ่งอี๋เท่านั้นกระมังที่มีความคิดสวนทาง ต้องขอบคุณบิดาที่มีบุตรภรรยามากมาย ลูกบ่าวอย่างนางจึงค่อนข้างมีชีวิตอิสระ ไม่ถูกตีกรอบความคิด หรือถูกปลูกฝังความทะเยอทะยานให้ จึงมีคุณสมบัติตรงตามที่องค์ชายสามต้องการ

คนหนึ่งอยากได้แม่ของลูกแต่ไม่ใช่เมีย ส่วนอีกคนก็ไม่ต้องการถูกใช้เป็นเครื่องมือของตระกูลไปชั่วชีวิต สัญญาเล่นบทสามีภรรยาเป็นเวลาสิบปีจึงถือกำเนิด รายละเอียดปลีกย่อย ถูกปรับเปลี่ยนเป็นระยะ เพื่อให้สะดวกต่อการนำไปปฏิบัติ ข้อย่อยพวกนี้ฉิงอี๋ไม่สนใจนัก ตราบใดที่ระยะเวลาไม่ถูกยืดออกไป และไม่ต้องทนมีสัมพันธ์ทางกายกับเขา นางก็ยังพอทนรับได้อยู่

“ถ้าเรื่องรู้ถึงท่านแม่ ระวังจะโดนปลดไม่ก็ยัดข้อหาเสียสติ”

“ทำไมเป็นเช่นนั้นเล่า ท่านจะไม่ช่วยข้ากลบเกลื่อนหน่อยหรือ”

“ในสัญญาบอกไว้ว่าใครทำความลับแตก ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นเอง” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเย็นชา

พระชายาผู้น่าสงสารเพิ่งจะมาเอะใจตอนนี้เอง ว่าข้อย่อยส่วนใหญ่ล้วนเอื้อประโยชน์ต่ออีกฝ่าย

‘นี่ข้าโง่อีกแล้ว!’

เห็นหญิงสาวทำท่าเจ็บใจ คนที่ตั้งใจจะเก๊กขรึมก็มาดหลุด ชายหนุ่มดีดหน้าผากชายาผู้แสนจะโง่เขลาด้วยความมันเขี้ยวหนึ่งที

“โทษวันนี้เอาแค่นี้ก็แล้วกัน”

พูดจบก็ลากนางออกไปกินมื้อดึกด้วยกัน เขาสั่งให้คนเตรียมของว่างเอาไว้ที่อีกห้องแล้ว เพราะรู้ว่าฉิงอี๋ต้องถ่างตาคัดบทสวดจนดึก หญิงสาวกำลังหิวพอดี จึงยอมตามไป แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบองค์หญิงรุ่ยฟาง

“นางมาช่วยเจ้าคัดบทสวดมนต์” องค์ชายสามช่วยอธิบาย

“แต่นั่นเป็นงานของข้า ถ้าพระสนมจับได้ ข้าตายแน่” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ

“ก็ทำไว้สองชุดสิ ของเจ้าอันหนึ่ง ของนางอันหนึ่ง แล้วบอกไปตามตรงว่ากุ้ยฮวามาช่วยคัดให้ ท่านแม่จะเอาลายมือกิ้งกือของเจ้า หรือเลือกเอาอย่างต้นฉบับ ก็ตามใจ”

ที่แท้เจ้าของลายมืออันงดงาม ซึ่งสร้างปัญหาให้ฉิงอี๋ก็คือองค์หญิงรุ่ยฟาง หญิงสาวทั้งกลัวทั้งเกรงใจ แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว มีของดีๆ สำรองไว้ก็ไม่เสียหาย พระชายาเว่ยรีบขอบคุณองค์หญิงโฉมงาม พร้อมกับเปรียบว่านางเป็นเทพธิดามาโปรด

“ข้ามานี่ไม่ใช่เพราะมีน้ำใจ แต่เพราะท่านพี่สามขอร้องต่างหาก เจ้าโชคดีเหลือเกินรู้ไหมฉิงอี๋ ท่านพี่สามของข้าไม่เคยใส่ใจใครเช่นนี้มาก่อน”

ฉิงอี๋ยิ้มรับคำหยอก แต่ในใจไม่เชื่อเลยจนนิดเดียวว่าน้ำใจครั้งนี้จะได้มาเปล่าๆ แล้วก็จริงเสียด้วย องค์ชายผู้ชั่วร้าย เรียกร้องค่าตอบแทนโดยการใช้นางเป็นข้ออ้างไปเจียนเจี๋ย

หญิงสาวรู้อยู่เต็มอกว่าองค์ชายลี่หมิงกับบิดากำลังคบคิดทำการบางอย่างลับๆ จึงกังวลไม่น้อย ชายหนุ่มไม่ยอมบอกว่ากำลังกระทำการสิ่งใดอยู่ ให้มาเพียงคำมั่นว่าจะไม่มีวันทำให้นางกับฟางหมิงต้องเดือดร้อน

ฉิงอี๋ไม่เคยเชื่อใจชายผู้นี้ นางเกลียดคำหวาน เกลียดการกระทำทีเล่นทีจริงของเขา ทว่ากลับไว้ใจเวลาที่องค์ชายผู้ร้ายกาจทำเรื่องจริงจัง ตราบใดที่นางไม่ทรยศหักหลัง เขาก็พร้อมจะปกป้องนางจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายในสัญญา

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายบทค่า
รู้ความจริงกันแล้วนะคะว่าชายสามกับฉิงอี๋นี่อะไรยังไง ^O^
อยากรู้รายละเอียดเดี๋ยวจัดให้ไปลุ้นต่อในภาคพิเศษค่ะ
เล่ม 6 ที่ไม่พอแล้ว ขอคาความสัมพันธ์เอาไว้อย่างนี้นะคะ






นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มี.ค. 2560, 00:01:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มี.ค. 2560, 00:01:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 886





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๓ ตัดผม   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๕ พิธีศพ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account