ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๕ พิธีศพ

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๕ พิธีศพ

ค่าตอบแทนสำหรับการคัดบทสวดมนต์ที่แว่นเรียกร้องจากองค์ชายสามคือข้อมูล เขาต้องการทราบรายละเอียดการประชุมและบทสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ในขณะนี้อย่างละเอียด ตอนที่องค์ชายสามได้ฟัง เขาบ่นว่าเป็นค่าจ้างที่แพงเกินมูลค่างานไปมาก ไม่คุ้มที่จะแลก แต่ถ้าสามารถคัดบทสวดมนต์ให้แล้วเสร็จก่อนรุ่งสางได้ เขาจะยอมเสียเปรียบก็ได้

แว่นตกลงทันที แค่อดนอนคัดบทสวดมนต์คืนเดียว จะยากอะไรหนักหนา งานนี้หากทำอย่างไม่ประณีตนัก สักสองชั่วยามก็เสร็จ อีกทั้งผลงานยังออกมาไม่น่าเกลียด แต่ถึงกระนั้นแว่นก็ยังพยายามทำสุดฝีมือ ด้วยคิดว่าของชิ้นนี้อาจจะได้ใช้ในพิธีศพสนมเหอ

บทสวดมนต์ที่คัดอย่างตั้งใจเสร็จสมบูรณ์ก่อนรุ่งสางไม่นาน คนทำอดนอนมาทั้งคืนย่อมเหนื่อยล้า แต่แว่นไม่ยอมเสียเวลาหลับ เขาส่งงานให้มหาดเล็กและนางกำนัลที่อยู่เป็นเพื่อน ช่วยตรวจสอบความถูกต้อง

“งดงามมากเพคะ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้เวลาเพียงคืนเดียว” นางกำนัลว่า

“แล้วคำผิดเล่า”

“หม่อมฉันไม่เห็นนะเพคะ” นางอ่านแบบกวาดตา จึงไม่กล้ายืนยันว่าไม่มี

เพื่อความมั่นใจนางกับมหาดเล็กจึงผลัดกันตรวจสอบอย่างละเอียดอีกคนละรอบ ผลคือไม่มีคำผิดหรือจุดบกพร่องใดๆ เห็นแล้วก็โล่งอกที่ความพยายามไม่สูญเปล่า

“องค์หญิงทรงพักผ่อนก่อนไหมเพคะ องค์ชายให้หม่อมฉันเตรียมห้องเอาไว้แล้ว”

“ไม่เป็นไร ข้ามีธุระที่ต้องคุยกับองค์ชายสามต่อ รอองค์ชายตื่นเลยดีกว่า” แว่นเอ่ยพลางข่มอาการง่วง

เขาอยากรีบกลับเร็วๆ เพราะไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วย ป่านนี้คงห่วงกันแย่แล้ว ถึงจะรู้ว่าไปช่วยงานองค์ชายสาม แต่การถูกรับตัวไปตอนกลางดึก ไม่ใช่เรื่องปกติ

“แต่องค์ชายตื่นบรรทมสายนะเพคะ”

“สายนี่สักกี่โมงกัน”

นางกำนัลทำท่าลำบากใจ มหาดเล็กจึงเป็นฝ่ายตอบแทน

“วันนี้ไม่มีงานสำคัญ น่าจะหลังเที่ยงพ่ะย่ะค่ะ”

แว่นฟังแล้วแทบโวย องค์ชายลี่หมิงเป็นคนสั่งแท้ๆ ว่าให้รีบคัดให้เสร็จก่อนเช้า แต่ตัวเองดันจะตื่นหลังเที่ยง สมแล้วที่เป็นจอมกวนประสาท

“ถ้าเช่นนั้นขอข้านอนเอนหลังสักหน่อยก็ดี” แว่นเลิกฝืน

นางกำนัลกุลีกุจอนำทางแขกมาที่ห้องรับรองทันที ข้ารับใช้ที่นี่รู้งานและช่างปรนนิบัติจนต้องชม รู้จักเตรียมอ่างล้างหน้ากับชุดให้ผลัดเปลี่ยนโดยไม่ต้องสั่ง ทั้งยังมีอาหารเบาๆ ให้เลือกรับประทานในตอนเช้าหลายอย่าง

แว่นกินข้าวต้มไก่ไปครึ่งถ้วยเล็ก แล้วดื่มน้ำอุ่นตาม นั่งพักท้องสักพักแล้วค่อยงีบหลับเอาแรง เขาหลับไปเกือบห้าชั่วยามได้ ทว่าตื่นมาแต่งตัวใหม่จนเรียบร้อยแล้ว เจ้าของตำหนักก็ยังไม่ลุกออกจากเตียง แต่ถึงจะหลับอุตุก็ยังไม่ทิ้งความแสบ แอบสั่งให้คนเอาของไปใช้ก่อนจ่ายค่าจ้าง

ตอนนี้ผลงานคัดลายมือของแว่น ถูกส่งไปให้สนมเฉินพร้อมกับผลงานฉิงอี๋เรียบร้อยแล้ว เขาทราบเรื่องนี้ก็เพราะบังเอิญได้ยินพระชายาเว่ยโวยวาย

ฉิงอี๋ตื่นแต่เช้ามืดมาคัดบทสวดมนต์ทั้งหมดใหม่ หนนี้นางเขียนด้วยลายมือของตัวเอง จึงใช้เวลาไม่นานนัก แต่พอเอาของกุ้ยฮวามาเปรียบเทียบกันก็ไม่พอใจ จึงลองคัดใหม่อีกหน ช่วงนี้เองที่ข้ารับใช้ของสามีแอบเอาผลงานของนางส่งไปให้สนมเฉิน

“เจ้าถือสิทธิ์อะไรจึงทำเกินหน้าที่” หญิงสาวตำหนิเสียงดัง

อีกฝ่ายซึ่งเป็นนางกำนัลอายุมากกว่ามิได้กลัวลนลาน นางตอบกลับมาอย่างใจเย็นว่า

“หม่อมฉันทำตามคำสั่งองค์ชายสามเพคะ องค์ชายตรัสว่าถ้าพระชายาคัดเสร็จแล้ว ให้รีบนำไปให้สนมเฉิน”

“ที่แท้ก็ฝีมือเขา” ฉิงอี๋กัดฟันกรอด

นางกลับหลังหันมุ่งหน้าไปยังห้องนอนขององค์ชายตัวแสบ เหล่าข้ารับใช้เดาใจพระชายาออกจึงพากันห้าม

“องค์ชายเพิ่งจะกลับมาตอนเช้า ให้พักผ่อนเถิดเพคะ”

“ดีเลย ข้าจะได้แก้แค้นคืน” ใบหน้าของฉิงอี๋ปรากฏรอยยิ้มแห่งความมุ่งมั่น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางไม่เคยเอาชนะองค์ชายวายร้ายได้เลย ดังนั้นต่อให้เป็นการเอาคืนในเรื่องเล็กน้อย ก็ถือเป็นความสำเร็จอันแสนยิ่งใหญ่ของนาง

“ทำแบบนั้นองค์ชายก็น่าสงสารแย่สิเพคะ องค์ชายสั่งไม่ให้หม่อมฉันพูดมาก แต่ที่ทำไปก็เพื่อพระชายานะเพคะ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฉิงอี๋ชะงักเท้า

นางกำนัลมีท่าทีอึกอัก แต่ก็ไม่ได้ดูลำบากใจนัก ฉิงอี๋ยังไม่ทันขู่บังคับ นางก็ยอมเล่าง่ายๆ ราวกับจงใจพูดยั่วให้อยากรู้มาตั้งแต่ต้น

“องค์ชายตรัสว่า จะคัดสวยแค่ไหนพระสนมก็หาเรื่องติอยู่ดี สู้เอาเวลาไปพักผ่อนให้ขอบตาหายคล้ำ ไม่ก็ดูแลลูกดีกว่า พักนี้ทั้งท่านพ่อท่านแม่ล้วนแต่งานยุ่ง ท่านชายน้อยดูซึมไปมากเลยนะเพคะ”

พระชายาเว่ยสงบลงเมื่อได้ฟังเหตุผล นางคิดได้ว่าเผลอละเลยฟางหมิง สองสามวันมานี้นางไม่มีเวลาเล่นกับเขาเลย วันๆ ฟางหมิงทำอะไรบ้างนางแทบไม่รู้

“ตอนนี้ท่านชายน้อยอยู่ไหน”

“ฝึกดาบอยู่กับรองแม่ทัพหวังเพคะ”

“ไปกัน...ข้าจะไปดูเขาหน่อย”

ฉิงอี๋กับบรรดานางกำนัลพากันไปที่ห้องโถงสำหรับฝึกซ้อม โดยไม่รู้ว่ากุ้ยฮวายืนฟังการสนทนาอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ คนอื่นได้ยินอาจจะไม่คิดอะไร แต่คนช่างจับผิดกลับเห็นจุดแปลกหลายประการ

ฉิงอี๋ไม่รู้ว่าองค์ชายสามเพิ่งเข้านอน แสดงว่าสองสามีภรรยานอนแยกห้องกัน เรื่องนี้ไม่ถือว่าแปลกสำหรับชนชั้นสูง ที่น่าสงสัยคือองค์ชายสามออกไปทำอะไรข้างนอกดึกๆ ดื่นๆ

ความคิดของแว่นเหมือนกับคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน แว่นสะดุ้งจนเกือบเสียจริตตอนหันหลังไปเจอเขา

“ท่านพี่หกมาตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ”

“เมื่อครู่นี่เอง เห็นเจ้ายืนทำลับๆ ล่อๆ ก็เลยมาทำลับๆ ล่อๆ เป็นเพื่อนด้วย” องค์ชายผู้แสนอบอุ่นส่งสายตาล้อเลียน

“ไม่ได้ทำลับๆ ล่อๆ เจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไปหาฉิงอี๋ แต่เห็นนางกำลังยุ่งเลยเปลี่ยนใจ” แว่นทำตาใสว่าไม่ได้โกหก

“แล้วจะทำอะไรต่อ จะกลับเลยหรือไม่”

“ไม่เจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านพี่สามนิดหน่อย”

“บังเอิญจริง พี่ก็มีธุระกับพี่สาม แต่ไม่รู้เมื่อไรจะตื่น มาเล่นหมากล้อมฆ่าเวลากันดีหรือไม่”

แว่นรับคำเชิญอย่างไม่อิดออด นานแล้วที่เขาไม่ได้เล่นหมากล้อมกับคนที่ฝีมือสูสีกัน องค์ชายหกเป็นคนตรงๆ ค่อนข้างเปิดเผย แต่ฝีมือเดินหมากร้ายกาจผิดกับภาพลักษณ์มาก

แว่นมององค์ชายลี่หยางดีเกินจริงไปหลายส่วน เพราะไม่เคยเห็นด้านร้ายๆ ของเขาเลย ทั้งที่ความจริงองค์ชายหกเป็นคนเจ้าเล่ห์ไม่น้อย แต่เพราะเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่จริงใจ จึงไม่เคยใช้กลอุบายสลับซับซ้อน รวมถึงไม่ลวงหลอกใครหากไม่จำเป็น

‘แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าจำเป็นขึ้นมา?’

คำถามนี้น่าสนใจไม่น้อย เพราะคำตอบมีสถานการณ์เป็นตัวกำหนด สำหรับในตอนนี้ คำตอบคือไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะความเจ้าเล่ห์นั้นถูกใช้ออกมา โดยที่เป้าหมายไม่รู้ตัว

แว่นเล่นหมากล้อมสลับกับการสนทนากับองค์ชายหกอย่างเพลิดเพลิน โดยไม่ระแคะระคายเลยสักนิดว่ากำลังถูกหลอกถาม องค์ชายหกชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย จนวนมาถึงเรื่องที่องค์ชายสามไปรับตัวกุ้ยฮวามากลางดึกอย่างแนบเนียน

“พี่สามไม่ได้ลักพาตัวเจ้ามาแกล้งใช่หรือไม่”

“เปล่าเลยเจ้าค่ะ ก็แค่มาช่วยคัดบทสวดมนต์แทนพระชายาเว่ย” แว่นตอบไปตามตรง

จังหวะนั้นสายตาเขาอยู่ที่ตัวหมาก จึงไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าโล่งใจขององค์ชายลี่หยาง

ชายหนุ่มเครียดไม่น้อยเมื่อรู้ว่าเมื่อคืนพี่ชายแอบไปพบปะกับพ่อค้าอาวุธ พ่อค้าเหล่านี้เป็นพ่อค้าเถื่อน ขายของที่เก็บได้ในสงคราม หรือทำขึ้นมาอย่างผิดกฎหมาย ที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะเจียงเฉียงมีกฎหมายผูกขาดช่างฝีมือและโรงงานทำอาวุธเป็นของหลวง คนธรรมดาทั่วไปต้องได้รับอนุญาตจากทางการ และมีการเรียกเก็บภาษีในราคาแพง

ตอนนี้องค์ชายลี่หยางไม่สนใจแล้วว่า องค์ชายสามต้องการปั่นหัวคนอื่นหรือมีแผนจะทำการใหญ่จริงๆ เขาวิตกแค่คนใกล้ตัวจะถูกดึงเข้าร่วมแผนการด้วย พอรู้ว่าพี่ชายไปรับตัวกุ้ยฮวามากลางดึก จึงรีบร้อนตามมา

องค์ชายหกรู้สึกเหมือนบ้าไปเองที่ตื่นตูมเกินเหตุ เมื่อก่อนเขาเอาแต่ปิดหูปิดตาก็เลยแทบไม่รู้อะไร มาตอนนี้ยอมเบิ่งตามอง ก็เพ่งมากเสียจนไม่เป็นอันทำอะไร ถ้าไม่รู้จักปล่อยวางและเลือกรับสารให้ดี คงกลายเป็นคนเสียสติในไม่ช้า

ชายหนุ่มปัดความกังวลทั้งหลายออกไป แล้วเริ่มตั้งอกตั้งใจเล่นหมากล้อม แต่ก็ช้าไปแล้ว เดินต่อได้อีกไม่เท่าไรก็ต้องยกชัยชนะให้กุ้ยฮวา

“ข้าชนะแล้ว ท่านพี่ต้องเสียค่าปรับนะเจ้าคะ” แว่นยิ้มกว้าง

“เอาสิ...อยากได้อะไรเล่า”

องค์ชายหกรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่หลอกถาม กรรมเลยตามสนองในพริบตา

“ข้าอยากรู้เรื่องการประชุมเมื่อวาน”

แว่นไม่มั่นใจว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างองค์ชายสามจะยอมบอกทุกอย่าง โดยไม่หมกเม็ดข้อมูล จึงตัดสินใจถามองค์ชายหกเพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน

“พี่จะตอบเฉพาะที่บอกได้ก็แล้วกัน”

ท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ขององค์ชายหกไม่ได้อยู่เหนือการคาดเดา แว่นจึงเปิดประเด็นด้วยการถามเกี่ยวกับบทสรุปเรื่องหรงซิ่งและสถานการณ์ในซัวหวง

องค์ชายหกเห็นว่าอีกไม่กี่วันก็จะมีการประกาศเรื่องนี้ออกไปแล้ว จึงตัดสินใจบอกไปตามตรง ทั้งเรื่องสงครามที่กำลังจะเกิด รวมถึงการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้เรื่องส่งองค์ชายห้าไปทำศึก รวมถึงส่งองค์ชายแปดไปเป็นทูต

“บ้าไปแล้ว!” แว่นอุทานอย่างลืมตัว

“พี่รู้เจ้าเป็นห่วงพี่ห้า แต่ไม่มีอะไรต้องวิตกหรอก พี่ห้าแข็งแกร่งมากนะ ทัพหรงซิ่งก็...”

“ข้าไม่ได้หมายถึงองค์ชายห้าเจ้าค่ะ แต่หมายถึงเจ้าเด็กบ้านั่น...องค์ชายแปด”

ธรรมดาคนรักไปรบคนคอยก็ย่อมห่วง แต่แว่นคาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วว่าบทสรุปอาจลงเอยเช่นนี้ อีกทั้งยังเคยได้เห็นฝีมืออันร้ายกาจขององค์ชายห้ากับตา ว่าฉีกร่างมารนิลได้ด้วยมือเปล่า จึงไม่ค่อยกังวลเท่าใด ตรงกันข้ามกับองค์ชายแปด เด็กแสบนั่นสู้ให้ตายก็ไม่เคยเอาชนะจางไห่ได้ โดนบีบแขนทีเดียวก็ร้องเสียงดังแทบขาดใจ แล้วไหนจะฝีปากพาซวยรนหาส้นเท้านั่นอีก

‘ปากแบบนี้จะเอามันไปเป็นทูตได้ยังไง’

“ไม่มีใครคัดค้านหรือเจ้าคะ องค์รัชทายาท องค์ชายรอง ไม่ว่าอะไรบ้างหรือ”

“เฮ้ออออ!” องค์ชายหกถอนใจยาว “พี่ใหญ่จะทำอะไรได้ แค่สถานการณ์ในวังตอนนี้ก็ตึงมือจะแย่ ส่วนพี่รองนี่แทบจะหนุนกันเลยทีเดียว”

“แล้วท่านเล่าเจ้าคะ ไม่ห่วงหรือ”

“ข้าเตือนให้ตรองแล้ว แต่น้องแปดบอกจะไม่เปลี่ยนใจ ข้าห่วงเขาไม่น้อยไปกว่าเจ้า แต่ก็เชื่อในความสามารถ”

หรู่เผยเป็นคนเก่ง รอบตัวบริบูรณ์ด้วยคนดีมีความสามารถ ไหนจะมิตรภาพอันดีที่มีต่อองค์ชายจากโจวเหลียน ต่อให้เกิดเหตุไม่คาดฝันก็ยังเอาตัวรอดได้

“ตอนนี้องค์ชายแปดอยู่ไหนเพคะ”

แว่นไม่สนใจคำอธิบาย เขาอยากคุยกับองค์ชายเจ้าปัญหาเดี๋ยวนี้

“ถ้าไม่อยู่ที่ตำหนักสนมเหอ ก็น่าจะอยู่ที่สำนักการทูต”

ได้ฟังอย่างนั้นแว่นก็เดินออกไปเร็วจี๋ สวนกับเกาเล่อที่กำลังยกชาชั้นดีมาบริการทั้งสอง

“องค์หญิงรุ่ยฟางรีบร้อนไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้ามหาดเล็กถามเมื่อได้ยินเสียงเรียกหารถม้าแว่วๆ

“ไม่รู้สิ” องค์ชายหกยักไหล่ ท่าทีไม่ใส่ใจของเขาบ่งบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ “ว่าแต่พี่สามตื่นหรือยัง ถ้ายัง...มาเล่นหมากล้อมกับข้าสักตาดีไหม”

รอยยิ้มเชิญชวนขององค์ชายหกช่างเป็นมิตรปราศจากพิษภัย เกาเล่อจึงหลงติดกับเข้าให้อีกคน มหาดเล็กผู้ขยันขันแข็ง หลวมตัวตอบคำถามเผยความลับไปหลายคำ กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดก็ตอนองค์ชายลี่หยางถามยิ้มๆ ว่า

“ชั้นหกของตำหนักเอาไว้ทำอะไรหรือ”

“ตำหนักนี้มีแค่ห้าชั้นนะพ่ะย่ะค่ะ ชั้นบนสุดเอาไว้ชมจันทร์”

“ข้าหมายถึงห้องใต้ดิน”

“ก็...เอ่อ เอาไว้เก็บพวกเสบียงอาหารน่ะขอรับ”

“รวมถึงอาวุธด้วยใช่หรือไม่”

เกาเล่อทราบในทันทีว่านี่เป็นคำถามหยั่งเชิง เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะนำอาวุธมากมายเข้ามาเก็บสะสมในวัง ชั้นใต้ดินสื่อถึงความลับ ส่วนอาวุธก็คือธุระขององค์ชายสามเมื่อคืน องค์ชายลี่หยางต้องการรู้แผนการขององค์ชายสาม แต่เกาเล่อไม่สามารถบอกได้ แม้ว่าชายหนุ่มจะปรารถนาดีต่อนายของตน

“องค์ชาย...กระหม่อมไม่ทราบว่าทรงรู้เห็นอะไรมาบ้าง แต่โปรดเชื่อเถิด ตราบใดที่ท่านไม่เข้ามายุ่ง เรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อท่านแน่นอน”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มขององค์ชายลี่หยางเปลี่ยนเป็นราบเรียบ ทำให้เกาเล่อถึงกับหายใจติดขัด เขาได้ตระหนักว่าคนที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอ เวลาจริงจังขึ้นมาแล้วน่ากลัวปานใดก็ตอนนี้

“นี่เป็นคำเตือนของเจ้า หรือมาจากผู้ใดกัน”

“องค์ชายหมายถึง...”

“พี่สามหรือเสด็จแม่”

เกาเล่อถึงกับหน้าซีดเหงื่อตก เมื่อความลับถูกนำมาเปิดเผย ชายหนุ่มติดตามรับใช้องค์ชายสามมานาน จึงแทบไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้วเขาเป็นคนของสนมเฉิน ที่ถูกส่งมาคอยควบคุมความพฤติขององค์ชายเจ้าปัญหา

รอยยิ้มกลับมาอยู่บนหน้าขององค์ชายลี่หยางอีกครั้ง เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาอันน่าขันของเกาเล่อ เดี๋ยวหน้าซีด เดี๋ยวเบิกตาค้าง เดี๋ยวเหงื่อตก ช่างน่าสงสารจริงๆ

“ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย อย่าถือสาเลย” ชายหนุ่มยกชาขึ้นดื่มด้วยท่าทีสบายๆ พลางเอ่ยชมกลิ่นหอมของชา

บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่สลายไปในพริบตา ถึงกระนั้นเกาเล่อก็มิอาจผ่อนคลายได้ คำพูดเมื่อครู่ขององค์ชายลี่หยางคล้ายจะเป็นคำเตือน ราวกับจะรู้ว่าในไม่ช้าองค์ชายลี่หมิงกับสนมเฉินจะต้องเกิดความบาดหมาง เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ตัวเขาที่ภักดีต่อสองแม่ลูกจะต้องเลือกข้าง

เกาเล่อรู้สึกได้ว่าองค์ชายหกกุมความลับเอาไว้มากมายกว่าที่คิด ท่าทีอมภูมิของเขากระตุ้นให้อยากถามเรื่องที่สงสัย แต่ชายหนุ่มก็ตัดสินใจปิดปากให้แน่น องค์ชายลี่หยางน่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะต่อกรด้วย ดีไม่ดีแทนที่จะได้คำตอบ อาจถูกล้วงความลับไปแทน

แว่นไปหาองค์ชายแปดที่ตำหนักของสนมเหอด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่พบ พอไปที่สำนักการทูตก็คลาดกัน แม้จะตามหาจนทั่วก็ยังไม่เจอแม้แต่เงา ราวกับว่าอีกฝ่ายจงใจหลบหน้า กว่าจะได้พบกันอีกครั้งก็ในพิธีศพของสนมเหอ ซึ่งไม่เหมาะจะสนทนา

พิธีศพของชนชั้นสูงของเจียงเฉียง มีขั้นตอนปลีกย่อยมากมาย แต่ก็ยากเกินอธิบาย เพราะพิธีการหลักๆ มีอยู่ไม่กี่อย่าง หลังจากเก็บร่างของผู้ตายไว้ตามฤกษ์อันสมควร ก็จะจัดขบวนนำร่างไปยังวิหารหลวง ทำพิธีเสร็จก็จะนำไปไว้ในสุสานหลวง แต่จะยังไม่ฝังในทันที ต้องรอให้โลงหยก หรือโลงพิเศษที่ทรงพระราชทานเสร็จก่อน จึงค่อยทำพิธีฝังอย่างเป็นทางการอีกหน

เกียรติยศของผู้ตายนั้นวัดได้จากคำจารึกและความพิเศษของโลงศพในสุสานหลวง แต่สามัญชนคนธรรมดาไม่มีโอกาสรู้เห็นด้วย จึงวัดความสำคัญเอาจากความอลังการของขบวนแห่ ที่เคลื่อนออกจากประตูวัง

เป็นที่ทราบกันดีว่าหากผู้ตายเป็นสนมที่มีโอรส องค์ชายผู้เป็นบุตรก็จะสวมชุดไว้ทุกข์สีขาวและรับหน้าที่ขี่ม้านำขบวน ชาวบ้านทั่วไปเห็นก็จะรู้ในทันทีว่าบุรุษที่อยู่หัวขบวนเป็นองค์ชาย ในกรณีของฝ่ายหญิง ไม่ว่าจะเป็นใคร หากเป็นสตรีชั้นสูงจะสามารถเดินมาส่งได้ถึงแค่ประตูวังเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ปรากฏโฉมต่อหน้าผู้คน แม้แต่องค์ชายหกก็ยังถูกสั่งห้าม เพราะถือว่าเป็นลางไม่ดีต่อมารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ สองหนุ่มสาวจึงได้แต่มองส่งองค์ชายแปดขี่ม้าออกไปอย่างโดดเดี่ยว

เบื้องหน้าขององค์ชายแปดคือเส้นทางทอดยาวไร้สิ่งกีดขวาง แต่เบื้องหลังกลับเป็นริ้วขบวนยาวเหยียด มีการโปรยเงินเพื่อซื้อทาง จุดเครื่องหอมขับไล่สิ่งชั่วร้าย เรื่อยไปจนถึงการบรรเลงดนตรีขับกล่อมตามประเพณีโบราณ หากสังเกตให้ดีจะพบว่าของใช้และเครื่องตกแต่งทุกอย่างในขบวน ล้วนเป็นของชั้นเลิศ นับว่าจัดเตรียมทุกอย่างได้สมเกียรติทั้งในฐานะสนมเอกและธิดาจากสกุลใหญ่

ทางด้านฮ่องเต้และเสนาบดีเฉิน ทั้งสองล่วงหน้าไปรอรับศพอยู่ที่วิหารหลวง เช่นเดียวกับสตรีฝ่ายในอย่างฮองเฮาและสนมเฉิน เมื่อร่างของสนมเหอมาถึง ก็จะเริ่มทำพิธีกรรมตามหลักศาสนา ระหว่างที่ฮ่องเต้ทรงเข้าร่วมพิธี คนอื่นๆ ยกเว้นผู้ที่ได้รับอนุญาตจะต้องรออยู่ด้านนอก เสร็จแล้วจึงค่อยเปิดโอกาสให้เหล่าข้าราชบริพารเข้าไปเยี่ยมเคารพศพ ซึ่งก็จำกัดแต่คนสนิทและญาติมิตรเช่นกัน

ตัวกุ้ยฮวาที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับสกุลเหอทั้งยังเป็นองค์หญิง จึงได้แต่จุดธูปไหว้ และกล่าวคำขออโหสิกรรมต่อคนตาย ในพิธีเสมือนซึ่งจัดพร้อมกันกับที่วิหารหลวง

ขณะร่วมพิธีแว่นได้ยินเสียงสะอื้นของนางกำนัลดังมาเป็นระยะ ขับให้บรรยากาศแห่งการสูญเสียโศกสลด ไม่ว่าพวกนางจะร่ำไห้เพราะความภักดี หรือรู้สึกเคว้งคว้างเมื่อขาดที่พึ่ง แว่นก็ยังรู้สึกหดหู่ ขณะที่คนตายหมดสิ้นภาระในภพนี้ คนอยู่ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป

ตลอดเวลาที่เข้าร่วมพิธี แว่นกังวลห่วงแต่เรื่องขององค์ชายแปด เขากลัวว่าความเศร้าจะกระตุ้นให้ชายหนุ่มขาดความยั้งคิด

แว่นตัดสินใจไปดักรอเขาหน้าวัง ทว่าองค์ชายแปดกลับไม่ยอมกลับมา แว่วว่าจะอยู่เฝ้าศพมารดาที่วิหารหลวงทั้งคืน รวมถึงจะไปนอนค้างที่สุสานหลวงอย่างไม่มีกำหนด ทำให้ยิ่งห่วงไปกันใหญ่ เขาทนอยู่เฉยไม่ไหวเลยไปปรึกษาองค์ชายหก

“หากน้องแปดไม่กลับมาภายในสามวัน เจ้ากับข้าค่อยไปรับเขาที่สุสานหลวงด้วยกัน”

พี่ชายผู้แสนดีตอบอย่างใจเย็น พลางพูดปลอบว่าไม่มีอะไรเลวร้าย แม้องค์ชายแปดจะยังเศร้าจากการสูญเสียแต่เขาก็ไม่ใช่พวกคิดสั้น หรือทำเรื่องบ้าๆ เพื่อประชดชีวิต

“ไปเป็นทูตนี่ไม่เรียกว่าประชดชีวิตหรือเจ้าคะ”

“มันคือหน้าที่ต่อบ้านเมือง หากเขาไม่ไป องค์ชายองค์อื่นก็ต้องไป เลี่ยงไม่ได้หรอก”

“แต่ก็ไม่ควรอาสา”

“กุ้ยฮวา...” องค์ชายหกทำเสียงเข้ม “น้องแปดไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว ยิ่งเจ้าห่วงเขาเพราะเหตุนั้น กลับจะยิ่งทำให้เจ็บปวด”

แว่นฟังแล้วอยากเถียง แต่ก็เลือกที่จะเงียบ แล้วฟังคำแนะนำขององค์ชายหก

สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้แค่ส่งอาหารไปให้ที่สุสานหลวง เหมือนอย่างเช่นตอนที่สนมเหอเพิ่งจากไป

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีตอนดึกค่ะ
ว่าจะเปลี่ยนเวลาลงไปตอนเช้า
แต่นอนไม่หลับ ก็เลยเปิดคอมมาลงซะเลย
ตอนนี้มีข่าวร้ายจะมาแจ้งนะคะคนดี
คือเล่ม 6 ออกไม่ทันงานหนังสือค่ะ
เร็วสุดคือ พค แต่เวลายังไม่แน่นอน
คนเขียนร่างพัง เปื่อยหนักมาก
ล่าสุดหน้ามืดเข่ากระแทกหวิดเป็นศพ
มีอาการพักผ่อนนอนจนบ้านหมุนอย่างสนุกสนาน
ฝืนทำต่อสงสัยจะได้กลายเป็นตำนานค่ะ
คือแบบตายก่อนเขียนเล่ม 6 จบ
ขอพักร่างก่อนนะคะ
ส่วนกำหนดการลงนิยาย ขอลงเป็นอาทิตย์ละตอน
ทุกวันศุกร์นะคะคนดี
ระหว่างนั้นขุดเอาพระหมื่นปีในสต็อกมาให้อ่านก่อน
เรื่องนี้ลงสองวันเว้นหนึ่งวันค่ะ
https://my.dek-d.com/bcgs/writer/view.php?id=1431979



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มี.ค. 2560, 01:01:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มี.ค. 2560, 01:01:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 891





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๔ สัญญาสิบปี   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๖ อีกา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account