ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๖ อีกา

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๖ อีกา

ผ่านไปสองวัน เด็กแสบก็ยังเงียบหาย แว่นจึงตัดสินใจไปทำเรื่องขออนุญาตออกจากวัง ขณะนี้องค์หญิงรุ่ยฟางอยู่ในการดูแลของสนมเฉินกับไทเฮา แต่ไทเฮาไปถือศีลอยู่ที่ไห้ซิว อำนาจการตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของสนมเฉิน หงจิงแปลกใจอยู่บ้างที่หลานสาวมาขออนุญาตไปสุสานหลวง ถึงกระนั้นก็ยังให้ไปโดยไม่ซักถามเหตุผล

หลังจากได้รับคำอนุญาตแล้ว แว่นก็ไปหาองค์ชายหกที่ตำหนัก เพื่อนัดแนะเวลา กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็เย็นย่ำ ทว่ากลับกลายเป็นเหนื่อยเปล่า เด็กเจ้าปัญหาออกจากสุสานหลวงมาตั้งแต่บ่ายโดยไม่บอกใคร ตกดึกก็ย่องมาหาถึงในห้อง

แว่นเกือบหัวใจวายตอนเห็นเงาแปลกๆ ที่หลังฉากกั้น ยังดีที่องค์ชายแปดรู้จักแสดงตัว ไม่อย่างนั้นแว่นคงกรีดร้องเรียกให้คนมาช่วย กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปอีก

“หายไปนานเชียวนะเพคะ รู้ไหมว่าคนเขา...”

ไม่ทันได้ต่อว่าให้สาแก่ใจ อีกฝ่ายกลับโผเข้ากอด องค์ชายแปดไม่เอ่ยวาจา ทำเพียงกระชับอ้อมแขนเพื่อให้รับเอาไออุ่นไปได้เต็มที่

ท่าทีที่แปลกไปทำให้แว่นไม่ผลักไส เขาลูบหลังชายหนุ่มเบาๆ ด้วยหวังจะใช้สัมผัสนี้แทนคำปลอบใจ

“ถ้าเสียใจจะร้องออกมาก็ได้นะเพคะ หม่อมฉันไม่เอาไปบอกใครหรอก”

เสียงกระซิบทำให้คนที่จมอยู่กับห้วงความคิดหน้านิ่ว

“ข้าไม่ได้เสียใจ” ชายหนุ่มตอบเสียงแข็ง

“หากไม่เสียใจแล้วรู้สึกเช่นไรเพคะ” แว่นกระตุ้นให้พูด

ได้ผลทีเดียว องค์ชายจอมปากแข็งยอมเผยความในออกมาหลายส่วน

“ท่านแม่จากไปแล้ว ร้องไห้ไปก็เท่านั้น ที่กอดเจ้าก็เพราะว่าเหนื่อยมากๆ เหนื่อยเหลือเกิน”

ชายหนุ่มซบหน้าลงกับไหล่ ประโยคถัดไปจึงดังแผ่วลง

“ใจข้าวุ่นวายสับสน ทั้งที่ควรดีใจที่ได้เป็นอิสระ แต่มันกลับไม่ใช่ ข้ารู้สึกเคว้งและเศร้าเหลือเกิน”

องค์ชายแปดสารภาพว่าที่เขายอมกลับเข้าสกุลเหอ เพราะความตายของมารดาเป็นส่วนสำคัญในการผลักดัน น้ำตาของท่านตาในวันที่ท่านแม่สิ้น บอกให้รู้ว่าชายชราผู้ทะเยอทะยานที่เขาชิงชัง แต่จริงแล้วไม่ต่างจากปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้เย็นชาไร้จิตใจ

“ข้าอยากดูแลท่านตาและคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ แต่ส่วนใหญ่เห็นแก่ตัวกันจนเกินเยียวยา ศพท่านแม่ยังไม่ทันฝัง ก็จะคัดเลือกคนใหม่มาถวายตัวให้ท่านพ่อแล้ว ข้าโกรธพวกเขาที่มุ่งหวังแต่อำนาจ โกรธตัวเองที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แล้วก็โกรธเจ้าด้วย โกรธมากจนต้องหนีไปสงบสติอารมณ์ที่สุสานหลวง แต่เจ้าก็ยังตามระรานไม่เลิก”

“หม่อมฉันทำสิ่งใดผิดหรือเพคะ”

พอถูกถามเช่นนี้ องค์ชายแปดก็คลายอ้อมแขนเพื่อให้อีกฝ่ายมองหน้ากันได้ถนัดตา

“ข้าวต้มเจ้าไม่อร่อย วันแรกเค็มไป วันที่สองจืดชืด ส่วนอันล่าสุด เจ้าใส่ผักที่ข้าไม่ชอบ”

‘เจ้าเด็กบ้านี่!’ แว่นบ่นในใจ ทั้งหมั่นไส้ทั้งเอ็นดู กำลังเศร้าอยู่แท้ๆ ก็ยังไม่วายกวนประสาท

“แล้วตอนนี้ล่ะเพคะ”

“ข้าปลงกับทุกคนแล้ว แต่ยังโกรธเจ้าอยู่”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นล่ะเพคะ ข้าวต้มรสไม่ดี ก็ยังมีอาหารอย่างอื่น”

แว่นลงมือทำเองแค่อย่างเดียว นอกนั้นล้วนเป็นอาหารฝีมือคนครัวที่มีทักษะเป็นเลิศ

“เจ้าทำให้ข้าคิดถึง”

แว่นนิ่งไปเมื่อได้ยินคำสารภาพ เขาตั้งใจปลอบเด็กที่กำลังเศร้า แต่ไม่ต้องการทำให้เกิดความรู้สึกเสน่หา จึงกลั้นใจแกะมือเขาออก

สีหน้าขององค์ชายแปดพลันเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด แต่ในวินาทีต่อมากลับปรากฏรอยยิ้มที่เหนือความคาดหมาย

“เจ้าถอยเพราะรู้ความรู้สึกข้าแล้วใช่หรือไม่”

แว่นไม่ตอบ แต่ถอยร่นไปเรื่อยๆ เขาขยับก้าวหนึ่ง แว่นหนีสองก้าว สุดท้ายก็โดนต้อนมาติดกำแพง

“เจ้ารู้จริงๆ ด้วย แต่ก็ยังกอดข้า ผู้หญิงร้ายกาจ!”

แว่นฉุนกึกกับคำต่อว่า เขาเอามือยันอกองค์ชายเจ้าปัญหาไว้แล้วพูดเสียงแข็งใส่

“หม่อมฉันไม่ได้กอดสักหน่อย แค่เห็นกำลังเศร้าเลยลูบหลังปลอบ พี่น้องเพื่อนฝูงเขาก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้น”

แว่นพูดจี้ใจดำองค์ชายหรู่เผยอย่างแรง ท่าทีของอีกฝ่ายเลยเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ชายหนุ่มใช้สองมือเท้ากำแพง คร่อมตัวหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้หนี

“เจ้าจะบอกว่าคิดกับข้าแค่น้องชาย”

“เพคะ...หม่อมฉันไม่เคยคิดเป็นอื่น” แว่นสบตาตอบอย่างไม่กลัว

แม้มันจะฟังดูใจร้าย แต่เขาก็ต้องแสดงจุดยืนของตัวเองให้ชัดเจน แว่นมีองค์ชายห้าอยู่แล้วทั้งคน และจะไม่มีวันนอกใจอย่างเด็ดขาด

“ไม่อนุญาต! เจ้าคิดกับข้าได้แบบชายหญิงเท่านั้น” คนเอาแต่ใจประกาศ

แว่นถึงกับอึ้งเมื่อเจอไม้นี้ เด็กแสบใจกล้าหน้าด้านขึ้นทุกวันจนแว่นเริ่มรับมือไม่ถูก ยังไม่ทันเค้นสมองหาคำพูดมาตอบโต้ อีกฝ่ายก็ทำให้ใจเต้นโครมคราม ด้วยการโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบข้างหู

“จำเอาไว้ หากพี่ห้าเป็นแพนด้าของเจ้า ข้าก็จะเป็นอีกาของเจ้า”

แว่นไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ถึงความหมายแฝง คำพูดขององค์ชายแปดไม่ต่างจากการบอกรักดีๆ นี่เอง เขาควรกลั้นใจบอกชายหนุ่มให้ตัดใจเสีย ทว่ากลับนิ่งงันเพราะพ่ายต่อแววตา ความเอ็นดูสงสารที่มีอยู่ในจิตใจตั้งแต่เริ่ม ทำให้แว่นต้องใคร่ครวญก่อนเอ่ยคำพูดทำลายน้ำใจ

“ข้า...”

“ข้าไม่อยากได้ยินคำตอบตอนนี้”

ชายหนุ่มเป็นฝ่ายผละออกไป เมื่อเห็นเค้าว่าอาจไม่ได้ฟังคำที่ต้องการ องค์ชายแปดเดินลิ่วไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วหมุนตัวกลับมาชี้นิ้วใส่ เพื่อย้ำเตือนให้รู้อีกครั้งว่านี่คือความจริงใจ หาใช่การกลั่นแกล้ง

“ถึงเวลาจะมารับ เตรียมใจเอาไว้เถิด”

หลังจากประกาศความในใจออกมาอย่างชัดเจน องค์ชายเจ้าปัญหาก็เดินทางไปเจี่ยวหวาโดยไม่ล่ำลา ตอนนี้การเตรียมการเรื่องการทูตระหว่างสองแคว้นยังไม่แล้วเสร็จ องค์ชายเข่อซินก็ยังอยู่ที่เจียงเฉียง แต่องค์ชายแปดเลือกที่จะลงใต้ไปก่อนเพื่อไปจัดการเรื่องเขื่อน

การจัดสรรแรงงานในช่วงสงครามต้องทำอย่างระมัดระวัง ตามหลักการสร้างเขื่อนที่ใช้ทั้งงบประมาณและกำลังคนมหาศาลจะต้องถูกระงับเป็นอันดับต้นๆ แต่เนื่องจากโจวเหลียนยังไม่แสดงท่าทีว่าเป็นภัยคุกคาม อีกทั้งการหยุดการก่อสร้างจะทำให้เสียขวัญกำลังใจได้ ทางออกจึงเป็นการเร่งสร้างเขื่อนให้แล้วเสร็จ พร้อมกับดำเนินนโยบายทางด้านการทูตไปด้วย ซึ่งงานนี้องค์ชายแปดยินดีรับสองหน้าที่ควบด้วยความเต็มใจ

ทางฝั่งขององค์ชายห้า ก็ยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมทัพ ศึกครั้งนี้ชายหนุ่มได้รับการจัดสรรกำลังทหารมาจากสามเมือง คือเริ่นเจิน ห่าวซินและไห้ซิว จึงให้ทัพจากเริ่นเจินเดินทางมายังเมืองหลวงก่อน เสร็จแล้วค่อยไปยังห่าวซินและไห้ซิวตามลำดับ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา

การใช้ทหารที่มาจากหลายกองกำลัง เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน จึงต้องวางแผนและศึกษาเรื่องกลยุทธ์ ตลอดจนความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี องค์ชายเหวินหรงจึงวุ่นอยู่กับการประชุมหารือกับเหล่าแม่ทัพนายกอง รวมถึงตัวแทนของบรรดาเจ้าเมืองตลอดวัน พอกองกำลังจากเริ่นเจินมาถึง เขาก็ออกเดินทางทันที โดยมีเวลาล่ำล่าฮองเฮาและองค์หญิงหกเพียงไม่นาน

สำหรับกุ้ยฮวา ชายหนุ่มมาหาเพียงครั้งเดียว แต่ก็บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว

“การลาจากเจ้าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ถ้าต้องไปอย่างกะทันหันจะหักใจได้ง่ายกว่า”

ได้ยินอย่างนั้นแล้วแว่นก็ไม่บังคับ

“ข้าจะรอท่านกลับมา”

สองหนุ่มสาวจากกันโดยทิ้งคำพูดเอาไว้แสนสั้น แม้แว่นจะเตรียมใจว่าต้องทนอยู่กับการรอคอยอีกครั้ง แต่ก็ยังอดใจหายไม่ได้เมื่อเขาจากไปโดยไม่ลาจริงๆ แว่นซึมไปพอประมาณ แต่ก็กลับมาเข้มแข็งได้เพราะของขวัญจากองค์ชายห้า ชายหนุ่มแอบฝากให้นางกำนัลเก็บเอาไว้ระยะใหญ่ เขากำชับให้นำมามอบให้กุ้ยฮวา หลังจากตนออกจากเขตเมืองหลวงไปแล้ว

สิ่งที่องค์ชายฝากเอาไว้คือหีบเงินใบเล็กกับจดหมายหนึ่งฉบับ แว่นรีบเปิดจดหมายอ่าน แล้วก็ยิ้มออกเมื่อเห็นข้อความยาวเหยียดผิดวิสัยคนพูดน้อยประหยัดถ้อยคำ

องค์ชายห้ากล่าวขอโทษที่ไปโดยไม่ลา รวมถึงให้สัญญาว่าจะรีบกลับ

“...ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องรอนาน จะเร่งกลับมาก่อนผลทับทิมในอุทยานหลวงจะสุกปลั่ง”

ที่โลกเดิมของแว่นประเทศทางฝั่งตะวันตกจะนิยมจัดให้ทับทิมเป็นผลไม้ฤดูหนาว แต่ที่เจียงเฉียงทับทิมเป็นผลไม้ฤดูร้อน เป็นที่รู้กันว่ายามเมื่อผลสุกแตกออก มันจะส่งกลิ่นหอมอบอวลในเดือนห้า ดังนั้นความหมายที่แท้จริงที่องค์ชายเหวินหรงต้องการสื่อจึงเป็น ‘ข้าจะกลับมาก่อนเดือนห้า’

แว่นดีใจที่การรอคอยไม่ได้ยาวนานอย่างที่คิด เขาเร่งอ่านจดหมายต่อด้วยความยินดี

“…ข้าขอมอบปิ่นไม้ในกล่องให้เจ้า มันเป็นผลงานที่ดีที่สุดของข้า ยามอยู่หรงซิ่ง เวลาคิดถึงเจ้าคราใดก็จะหยิบมีดขึ้นมา เหลาไม้ให้กลายเป็นปิ่น อันแล้วอันเล่า จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย นั่งทำวนเวียนไปมาเช่นนี้ เป็นแรมปี จนกระทั่งได้ผลงานที่พอดูได้ออกมาอันหนึ่ง แม้จะไม่สวยงามนัก แต่ก็อยากให้รับไว้ เป็นตัวแทนความรู้สึก”

แว่นเปิดหีบเงินออกดู ก็พบปิ่นไม้ตามคำบอก แต่มันไม่ใช่ผลงานดาษๆ ของมือสมัครเล่นอย่างที่เขาเกริ่นนำ ถ้าไม่บอกคงเข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือของช่างชั้นสูง องค์ชายห้าแกะสลักดอกกุ้ยฮวาที่ประดับบนปลายปิ่นได้สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ กลีบเล็กบอบบางละเอียดอ่อนทำได้สวยจนน่าทึ่ง เมื่อหยิบมาพิจารณาก็พบว่าตัวปิ่นแกะมาจากไม้ท้อ สื่อถึงความเป็นมงคลและความรักที่เอ่อล้นในใจ ส่วนดอกกุ้ยฮวาแกะจากไม้หอม ส่งกลิ่นอ่อนๆ ทำให้ผ่อนคลาย และแฝงความนัยถึงความรักที่ยังกรุ่นอยู่ภายในไม่ลบเลือน

แว่นเก็บปิ่นใส่กล่องอย่างถนอม เขาจะนำมันออกมาดูในวันที่คิดถึงคนไกล แต่จะยังไม่นำมาใช้ในตอนนี้ แว่นจะรอจนกว่าองค์ชายห้าจะกลับมา แล้วให้เขาเป็นคนนำมันมาประดับเรือนผมให้

ปีใหม่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับข่าวการรบ มีรายงานว่ามีการปะทะกันที่ต้าต่าน ระหว่างกองกำลังของเจียงเฉียงกับป้าวเฟิง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามตรึงกำลังไว้ที่ชายแดนแบบเต็มอัตราศึก การเคลื่อนไหวของป้าวเฟิง สื่อว่าแผนการขององค์ชายแปดได้ผลเป็นอย่างดี ทางป้าวเฟิงเข้าใจผิดว่ากองทัพที่นำโดยองค์ชายห้า ต้องการบุกรุกอาณาเขตของตน จึงไม่กล้าส่งกำลังเสริมไปให้อ๋องเหยาเล่อ กว่าจะเอะใจ กองทัพที่มีกำลังทหารกว่าสองหมื่น ก็ลัดเลาะไปตามชายแดน เข้าสู่เขตแดนของเข่ออู้แล้ว

พอพ้นช่วงกลางเดือนหนึ่ง ก็มีข่าวดีสองข่าวมายังเมืองหลวงพร้อมกับข่าวร้ายอีกหนึ่ง ข่าวดีแรกคือคณะทูตที่นำโดยองค์ชายแปดประสบความสำเร็จด้วยดี มีความเป็นไปได้สูงที่โจวเหลียนจะลงนามในสัญญาสงบศึกระยะยาวอีกหน ข่าวดีที่สองคือองค์ชายห้าเจรจากับกษัตริย์เข่ออู้สำเร็จ ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นพันธมิตรกัน เพื่อกำจัดอ๋องเหยาเล่อ

ส่วนข่าวร้ายคือสถานการณ์ในซัวหวงแย่ลงมาก นอกจากจะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความตายของขุนนางเจียงเฉียง ยังปิดชายแดนไม่ยอมให้ใครเข้าออก ประชาชนในซัวหวงมีความจงรักภักดีต่อเชื้อพระวงศ์สูง เมื่อองค์ชายเหยียนไฉประกาศเอกราชจากเจียงเฉียง ก็ให้ความสนับสนุนเต็มที่ กองกำลังที่นำโดยชาวบ้าน บุกโจมตีค่ายทหารโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า เป็นผลให้ทหารเจียงเฉียงได้รับบาดเจ็บ และมีอาวุธบางส่วนถูกชิงไป จึงมีการเรียกทัพเสริมลงใต้เป็นการด่วน

เดือนสองไม่มีข่าวความคืบหน้าจากแดนเหนือและทางโจวเหลียน แต่ที่ซัวหวงมีการปะทะกันระหว่างทหารและกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เจียงเฉียงยึดพื้นที่เพิ่มได้บางส่วนและสามารถผลักดันจนอีกฝ่ายล่าถอย แต่ก็ได้รับคำสาปแช่งอย่างรุนแรง เพราะกองกำลังที่พ่ายไปเป็นชาวบ้านธรรมดา แม้จะมีทหารจากหนิงโจวแฝงตัวมา ก็ยังไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างได้ ประชาชนในซัวหวงถูกปลุกปั่นให้จงเกลียดจงชังเจียงเฉียงอย่างไร้เหตุผล ดังนั้นแม้จะยึดซัวหวงมาได้ ก็ยังต้องรับมือกับการจลาจลและความวุ่นวายต่างๆ อยู่ดี จึงมีคำสั่งให้ตรึงกำลังเอาไว้ก่อนเพื่อรอดูท่าที

เดือนสาม ทัพขององค์ชายห้าไล่ต้อนกองกำลังของอ๋องเหยาเล่อไปเกือบสุดเขตเทือกเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมจำนน คาดว่าการต่อสู้จะยังยืดเยื้อต่อไปอีกสักระยะ ทางด้านโจวเหลียนได้กำหนดวันลงนามในสัญญาสงบศึกแล้ว แต่ความเห็นหลายอย่างยังไม่ได้ข้อสรุป จึงต้องรอให้ตัวแทนของทั้งสองฝ่ายตกลงให้ได้ก่อน ส่วนทางซัวหวงมีการกระทบกระทั่งกันประปราย แต่ไม่รุนแรงจนถึงขั้นมีทหารเสียชีวิต

เดือนสี่ มีรายงานสำคัญหลายอย่างถูกส่งมา ซึ่งล้วนแต่เป็นความลับ ไม่มีการเปิดเผยต่อขุนนางส่วนใหญ่ มีเพียงข่าวอันน่าอัศจรรย์ใจของเขื่อนซูเจี้ยนเท่านั้นที่ประกาศออกมา เขื่อนที่สมควรใช้เวลาในการก่อสร้างเจ็ดปีเป็นอย่างน้อย แล้วเสร็จโดยใช้ระยะเวลาเพียงห้าปีครึ่งเท่านั้น ความดีความชอบนี้ทำให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลมากมาย ทว่าคนส่วนใหญ่กลับไม่ขอรับความชอบเอาไว้เอง ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวว่าที่งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เป็นฝีมือขององค์ชายแปด

กลางเดือนสี่ทับทิมออกดอกสะพรั่ง หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าหลายกิ่งเริ่มติดผลแล้ว ทว่ากลับไร้วี่แววองค์ชายห้า ชายหนุ่มไม่ส่งข่าวกลับมาเลย ทางองค์ชายแปดก็เงียบหาย แม้แต่จดหมายจากคนสนิทอย่างจางไห่ก็พลอยขาดไปด้วย แว่นเป็นห่วงแต่ก็ไม่เก็บเอามาคิดมาก เขาเชื่อว่าเงียบไปอย่างนี้ย่อมดีกว่ามีข่าวร้าย

ในขณะที่คนอื่นทำงานหนัก แว่นก็ไม่อยู่เฉย เขาเสนอแนวคิดเรื่องอาสาสมัครแนวหลังที่เป็นสตรี เพื่อช่วยดูแลรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ ที่ถูกส่งตัวมาจากแนวหน้า หากทำเช่นนี้จะช่วยลดความสูญเสียได้มาก อีกทั้งยังไม่เบียดบังกำลังพลในการรบ

ความคิดของแว่นเป็นความคิดที่ดี แต่ก็ถูกพวกหัวเก่าคัดค้านไม่น้อย โชคดีที่เขากับหน่อมเตรียมการเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว แต่ชะงักไปเป็นพักๆ เพราะว่าหน่อมต้องดูแลลูก พอแว่นกลับมาทำอย่างจริงจัง หน่อมก็สนับสนุนเต็มที่ ลงทุนไปโน้มน้าวไทเฮากับสนมเฉินให้ช่วยออกหน้า โครงการของแว่นจึงดำเนินต่อไปได้ทันทีไม่มีสะดุด

แว่นสั่งให้คนลงประกาศรับอาสาสมัครแนวหลังทั่วเมือง เงื่อนไขในการรับสมัครคือต้องเป็นสตรีที่มีอายุระหว่างสิบหกถึงสามสิบปี มีความอดทนพยายาม ไม่กลัวความลำบาก หากมีความรู้ด้านยาและการพยาบาลจะพิจารณาเป็นพิเศษ แว่นย้ำให้ระบุให้ชัดว่าต้องทำงานเป็นแนวหลังในสงคราม เพื่อไม่ให้หลวมตัวมาเพราะเข้าใจผิด ถึงกระนั้นยังมีคนมาสมัครอย่างล้นลาม เพียงแค่สามวันก็ต้องปิดรับสมัครเป็นการชั่วคราวเพราะคัดเลือกกันไม่ทัน

สาเหตุที่ทำให้ผู้คนสนใจคือแรงจูงใจที่ไม่ธรรมดา โดยทั่วไปวิชาแพทย์มักถูกสงวนไว้ให้บุรุษ หากต้องการเป็นหมอหญิงก็ต้องมีเส้นสายพอประมาณ สตรีทั่วไปอย่าหวังได้เรียนรู้ เมื่อโอกาสมาถึงคนที่มีความทะเยอทะยานในหัวใจจึงพุ่งเข้าใส่ แม้จะจบสงครามแล้ว พวกนางก็ยังสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้

นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงที่ได้รับยังค่อนข้างสูง สี่สิบเงินขาวต่อเดือนถือเป็นรายได้ที่มากกว่าการทำงานรับจ้างทั่วไปถึงสามเท่า แม้ช่วงฝึกอบรมจะได้รับค่าจ้างเพียงครึ่งเดียว ก็ยังมีที่พักและอาหารการกินให้ แถมยังได้พักอาศัยในวังหลวงด้วย ได้ยินแบบนี้ลูกหลานคนมีเงินยังพากันมาสมัคร

กุ้ยฮวาได้รับอนุญาตให้นำอาคารเก่าในเขตพระราชฐานชั้นนอกมาปรับปรุงเป็นที่พัก และใช้เป็นพื้นที่สำหรับฝึกสอน ด้วยอำนาจเงินและเส้นสาย ไม่ทันเข้าเดือนสองทุกอย่างก็พร้อมใช้งาน การฝึกอบรมก็ไม่เหนื่อยอย่างที่คิด เพราะมีหมอหญิงและคนจากสำนักปราชญ์หญิงมาช่วยเป็นจำนวนมาก

พออบรมครบสามเดือน เหล่าลูกศิษย์ที่ร้อนวิชาก็เริ่มอยากตบเท้าไปสนามรบกัน พวกนางโดนพูดกรอกหูอยู่ทุกวัน ว่าแม้จะอยู่แนวหลัง ก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญในการรบ ก็เลยฮึกเหิมกันเต็มที่ แว่นเห็นว่าพอจะลงพื้นที่กันได้แล้ว จึงคัดคนที่พร้อมจริงๆ กับหมอหญิงที่เต็มใจไปอยู่แนวหลัง ให้เดินทางไปก่อนจำนวนสามสิบคนจากร้อยยี่สิบ ส่วนคนอื่นๆ แว่นให้ฝึกอบรมต่อ เพราะเห็นว่ายังไม่เก่งพอ

แว่นไม่ได้หวังให้พวกลูกศิษย์เข้าสู่สนามรบเพื่อทำหน้าที่พยาบาลเท่านั้น แต่ต้องการให้ไปเป็นตัวแทน รุกเข้าหาคนในชุมชน ชักชวนมาเป็นอาสาสมัครเพิ่ม แล้วถ่ายทอดวิชาให้ เพื่อที่จะได้ช่วยเป็นลูกมืออีกต่อหนึ่ง แว่นเคยผ่านสงครามอันโหดร้ายมาแล้ว เห็นคนตายนับไม่ถ้วน เขารู้ดีว่าต่อให้เตรียมตัวแค่ไหน กำลังพลก็ไม่เคยพร้อมและไม่เคยพอ

แว่นส่งลูกศิษย์รุ่นแรกเข้าสู่พื้นที่ช่วงปลายเดือนสี่ จากนั้นก็กลับมาบริหารจัดการศูนย์ฝึกอบรมของตัวเองใหม่ เขาแบ่งออกเป็นสามกลุ่มตามความสนใจ แบ่งเป็นกลุ่มปรุงยา ฝังเข็มเบื้องต้น และวิชาแพทย์เชิงลึก กลุ่มหลังเรียนกันอย่างจริงจังกับหมอหลวง เพื่อให้วินิจฉัยโรคทั่วไปได้ด้วย เผื่อในกรณีพบเจออาการเจ็บป่วยที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บ ส่วนสองกลุ่มแรก แว่นกับพวกหมอหญิงสลับกันสอน

วันนี้แว่นสอนให้ปรุงยาที่มีสรรพคุณห้ามเลือด โดยอนุญาตให้เลือกใช้สมุนไพรได้ตามใจชอบ แต่ห้ามปรุงตามตำรับยาที่เคยเรียน

“องค์หญิงเพคะ...หม่อมฉันมีเรื่องสงสัย” ลูกศิษย์คนหนึ่งยกมือขึ้นถาม

ตอนมาอยู่ที่นี่แรกๆ พวกนางแทบไม่กล้ามองหน้าสตรีสูงศักดิ์ที่งามเหนือมนุษย์อย่างกุ้ยฮวา แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มคุ้นชิน ความเป็นกันเองและความใจเย็นขององค์หญิง ทำให้พวกนางกล้าพูดกล้าถามมากขึ้น

“ถามมาได้เลย”

“ตำรับยาห้ามเลือดที่ได้ผลดีมีอยู่แล้ว การทำนอกตำรามิใช่การสิ้นเปลืองและเสียเวลาหรือเพคะ”

“ที่เจ้าพูดมาย่อมถูกต้อง แต่สิ่งที่อยู่ในตำรานั้นไม่สามารถใช้ได้ในชีวิตจริงทั้งหมด ลองคิดดูให้ดี หากอยู่ในสนามรบแล้ววัตถุดิบในการปรุงยาเกิดหมด พวกเจ้าจะทำอย่างไร”

บรรดาลูกศิษย์เงียบไปเมื่อได้ฟังคำถาม พวกนางมองหน้ากันแล้วครุ่นคิด สักพักก็เริ่มทยอยได้คำตอบ แน่นอนว่ามีทั้งคำตอบที่ดีและไม่ดี แต่แว่นก็ไม่เคยตำหนิความคิดของพวกลูกศิษย์เลย ถ้าออกนอกลู่นอกทางหรือผิดจากที่ควรตอบไปไกล ก็จะใช้วิธีพักเบรกชั่วคราว ไม่ก็ค่อยๆ ชี้นำบอกใบ้ให้เห็นวิธีแก้ปัญหา แว่นปล่อยให้ได้ถกกันอยู่พักหนึ่ง ก็ได้คำตอบที่ตรงกับใจ

“หม่อมฉันจะสำรวจรอบบริเวณนั้นเพคะ หาสมุนไพรท้องถิ่นที่พอใช้ได้มาทำยาก่อน”

“ความคิดเจ้าไม่เลวเลย” แว่นชื่นชม “วันนี้เรามาจำลองสถานการณ์กันเถิด ให้เวลาสองชั่วยาม โดยใช้สมุนไพรในห้องน้ำกับในสวน ใครทำเสร็จแล้วก็ให้เอามาให้ตรวจ”

สองชั่วยามสั้นมากจนน่าตระหนก ปกติการปรุงยาห้ามเลือดครั้งหนึ่งใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งหรือสองวัน คนที่มีสติพอคิดได้ ก็จะรู้ว่าควรจะใช้สมุนไพรประเภทที่นำมาบดหรือต้มแล้วเอาไปใช้ได้เลย ส่วนรายที่คิดไม่ออกก็หน้าซีดตื่นตูมวิ่งกันวุ่น

แว่นมองแล้วก็นึกถึงพวกนักศึกษาที่เคยสอนในโลกเดิม ทั้งที่คำตอบอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ก็ยังวิ่งกันวุ่น จะต่างกันหน่อยก็ตรง เจ้าพวกตัวแสบทั้งหลายไม่เรียบร้อยอย่างนี้ เรื่องเอะอะโอดครวญนี่ถนัดเป็นที่หนึ่ง แล้วก็เป็นกันทุกรุ่นเสียด้วย ไม่รู้ว่าทำไม

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็มีคนเอาเถาไม้เลื้อยซึ่งมีคุณสมบัติห้ามเลือดมาบด แล้วนำมาส่ง

“ทำได้ดีมาก แต่หากจะใช้วัตถุดิบเพียงอย่างเดียว ใบสดของต้นเสือหมอบจะออกฤทธิ์ดีกว่า” แว่นให้คำแนะนำ

เจ้าตัวเสือหมอบที่ว่า ตั้งอยู่ตรงทางเข้าสวนสมุนไพรนี่เอง แต่มันถูกกระถางไม้ประดับบังเอาไว้ คนส่วนใหญ่ก็เลยมองไม่เห็น

รายที่สองนำยามาส่งโดยใช้ส่วนประกอบถึงสามอย่าง ทุกอย่างล้วนมีสรรพคุณในการห้ามเลือด แต่แว่นไม่ให้ผ่าน

“สมุนไพรทั้งสามอย่างนี้นำมาผสมกันแล้วจะเกิดพิษ บางรายอาจแพ้รุนแรง เจ้ามีความคิดสร้างสรรค์ไม่ถือว่าผิด แต่ต้องคำนึงถึงข้อห้ามข้อควรระวังให้ดีด้วย”

ลูกศิษย์ที่คิดว่าต้องได้รับคำชมหน้าเจื่อน แต่ก็ไม่ถอดใจ ขอโอกาสแก้ใหม่

“ได้สิ เวลายังเหลืออีกมาก”

ลูกศิษย์คนเดิมกลับมาอีกครั้งโดยใช้เวลาไม่นาน คราวนี้นางผสมสมุนไพรสองอย่างเข้าด้วยกัน ตัวหนึ่งมีฤทธิ์ห้ามเลือด อีกตัวให้ผลในด้านสมานแผล สมุนไพรทั้งสองตัวสามารถใช้ร่วมกันได้โดยไม่เกิดปัญหา พอถามว่าเหตุใดจึงเลือกนำมาผสมกัน นางก็บอกว่าสรรพคุณของสมุนไพรทั้งสองมีความจำเป็นสำหรับผู้บาดเจ็บ นำมาใช้ร่วมกันในคราวเดียวจะได้ไม่เสียเวลา แว่นให้ผ่านในทันที พร้อมทั้งชื่นชมด้วย

พอเวลาผ่านไป แถวสำหรับตรวจยาก็เริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ แว่นมัวแต่ก้มหน้าก้มตาตรวจยาฝีมือลูกศิษย์ จึงไม่ทันสังเกตว่ามีนางกำนัลวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา แล้วขอเข้าเฝ้าด้วยเรื่องด่วน ซีอิ๋งเห็นนายหญิงไม่สนใจ จึงสะกิดบอก

“ถ้าไม่ใช่เรื่องลับก็พูดมาเถิด” แว่นตอบทั้งที่ไม่เงยหน้า

เขากำลังทำงานติดพัน จึงยังไม่อยากลุกไปไหนในตอนนี้

นางกำนัลอายุน้อยมีท่าทีอึกอัก ซีอิ๋งจึงเป็นฝ่ายถามแทน

“เป็นเรื่องที่พูดไม่ได้หรือ”

“มะ...ไม่เจ้าค่ะ เรื่องนี้รู้กันทั่ว เพียงแต่ มัน...”

“มันอะไร” ซีอิ๋งถามด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าเริ่มรำคาญ

“ข้าไม่รู้ว่าองค์หญิงจะกริ้วหรือไม่”

“มีอะไรก็พูดมาเถิด” แว่นเอ่ยแทรก

เขาเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากงาน

“พี่ชายหม่อมฉันเป็นมหาดเล็กยกชาในท้องพระโรงเพคะ เขาเล่าให้ฟังว่าองค์ชายแปดกลับมาวันนี้ แล้วทูลขอสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้”

“แล้ว?” แว่นยังไม่รู้ตัวว่าความซวยกำลังมาหา

“องค์ชายขอให้ฮ่องเต้พระราชทานองค์หญิงให้เพคะ”

“องค์หญิง?” แว่นทวนคำเพราะเริ่มสะกิดใจ “หมายถึงข้าหรือ!”

“เพคะ”

แว่นแทบจะลุกขึ้นมาร้องกรี๊ด

‘เจ้าเด็กบ้านั่นเอาจนได้สิน่า!’

“ฮ่องเต้ตรัสว่าอย่างไร” แว่นรีบถาม

“ฮ่องเต้ตรัสว่าพระองค์ไม่ขัดขวาง แต่พระองค์ไม่มีสิทธิ์ยกองค์หญิงรุ่ยฟางให้ใครเพคะ แล้วบอกให้องค์ชายแปดไปขออนุญาตจากบิดาขององค์หญิงก่อน องค์ชายก็เลยขอตรงๆ กับเสนาบดีเฉิน พูดกลางท้องพระโรงเลยเพคะ ท่านเสนาบดีเฉินก็ไม่ขัดข้อง แต่บอกว่าต้องไปถามฮ่องเต้ชางหลงก่อน เพราะยกองค์หญิงให้เป็นธิดาบุญธรรมของฮ่องเต้ไปแล้ว”

‘เยี่ยมมากเจ้าค่ะท่านพ่อ!’ บอกปัดได้สวยงามสมกับเป็นเสนาบดีใหญ่ มีจักรพรรดิเลือดขวางคลองอยู่แบบนี้แว่นรอดแน่

“องค์ชายแปดคงถอดใจสินะ” แว่นเดา

“ไม่ใช่เพคะ องค์ชายแปดหยิบราชโองการของฮ่องเต้ชางหลงออกมาถวายให้พระบิดาทอดพระเนตร แล้วบอกว่าฮ่องเต้ชางหลงยกองค์หญิงให้แล้ว”

“ไม่จริง!” แว่นปฏิเสธเสียงหลง

เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าท่านอาจารย์จะยกศิษย์รักให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้า แว่นหันมาสั่งให้ลูกศิษย์เขียนชื่อติดไว้กับผลงาน

“ข้าจะกลับมาตรวจให้ทีหลัง วันนี้พักได้”

สั่งเสร็จก็ส่งสัญญาณให้นางกำนัลคนสนิทตามมา เพื่อออกไปล่าหาความจริง

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

ตอนนี้เด็กแสบทำพิษซะแล้ว
แต่ตอนหน้ามีแสบกว่าค่ะ เรือมีสะเทือนคลื่นสูง
แม่ยกควรงดออกจากฝั่งนะจ๊ะจุ๊บๆ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มี.ค. 2560, 15:57:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มี.ค. 2560, 15:57:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 875





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๕ พิธีศพ   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๗ ประโยคเดียว >>
อัศวินนภา 24 มี.ค. 2560, 20:29:01 น.
โอ้ย...ลุ้น ยกกันง่ายจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account