เพียงใจเสน่าหา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อเทพบุตรในฝันมายืนอยู่ตรงหน้ามีหรือคนอย่างแป้งร่ำจะปล่อยให้หลุดมือ ปฏิบัติการล่ารักฉบับพลีชีพจึงเกิดขึ้น แต่เอ๊ะยังไง นานๆไปเทพบุตรในฝันกลับกลายร่าง รู้ตัวอีกทีเธอก็เป็น "เป็ดน้อยในมือซาตานไปแล้ว"

เรื่องนี้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ไลต์ออฟเลิฟค่ะ เป็นภาคต่อของมธุรัตน์เสน่หา สามารถสั่งซื้อได้ในราคาลด 15% ได้ที่เว็บนี้นะคะ
http://www.lightoflovebooks.com/

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกรั่วๆ นางเป็นเภสัชกร พระเอกเป็นจิตแพทย์

ตอน: บทที่ 7 ระยะห่าง

บทที่ 7 ระยะห่าง

แม้แผนการของณัฐมลจะล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ทุกวันศุกร์ก็กลายมาเป็นวันแห่งความสุขประจำสัปดาห์ของเธอ หญิงสาวต้องไปพบกับหมอพัลลภตามนัด เธอเลยปรับตารางพักทั้งเดือนให้ตรงกันวันนี้ทั้งหมด เพื่อที่จะได้มีเวลาจัดการชีวิตได้เต็มที่ และเลื่อนมาทำการรักษาในตอนบ่าย เพื่อที่ช่วงเช้าจะได้ไปเข้าสปาแทน ตกบ่ายจะได้สวยพร้อมสำหรับไปเจอสุดหล่อในฝัน

สัปดาห์นี้เธอกับเขาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องตารางการใช้ชีวิตประจำวันของเธอ เวลาส่วนใหญ่ของณัฐมลส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน ว่างขึ้นมาไม่เข้าสปาก็จะไปเดินซื้อของ พัลลภจึงแนะนำให้เธอลองเปลี่ยนตารางในชีวิตประจำวันดู ถ้าไม่มีเหตุผลจำเป็นทางด้านการเงิน ก็น่าจะปิดร้านแล้วหาเวลาพักผ่อนเพิ่ม

“ไม่ก็ลองหางานอดิเรกทำก็ได้ครับ เผื่อเจออะไรที่ชอบจะได้หายเครียด”

“ได้ค่ะหมอ จะลองดูนะคะ” หญิงสาวรับปาก

ในความเป็นจริงแล้ว การได้มาเจอกับคุณหมอสุดหล่อและวางแผนจีบ ได้กลายมาเป็นการพักผ่อนและงานอดิเรกของเธอไปแล้ว

หลังจากรักษาเสร็จณัฐมลก็ออกมารอที่หน้าห้อง หนนี้เธอล้มเลิกแผนทำเป็นบังเอิญไปเจอกัน เพราะคิดว่าถ้าให้แย่งที่นั่งกับพวกพยาบาลเธอจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เลยตัดสินใจชิงลงมือก่อน ด้วยการรอให้เขาออกมา แล้วชวนคุยว่าจะไปกินข้าวที่โรงอาหาร เขาเองก็ต้องไปเหมือนกัน ทีนี้คงได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันอย่างไม่เป็นปัญหา

ในขณะที่กำลังรอคอยให้เป้าหมายออกมา ใครคนหนึ่งก็มากระตุกชายเสื้อของณัฐมล พอหันไปก็เห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณสี่ห้าขวบ หนูน้อยตัดผมซอยสั้น ใบหน้ากับชุดที่สวมค่อนข้างมอมแมม สังเกตจากเศษหญ้าที่ติดตามตัวก็พอจะเดาได้ว่าคงจะซนใช่หยอก

“มีอะไรคะ” ณัฐมลส่งยิ้มให้ เธอไม่ใช่พวกรักเด็กแต่ก็ไม่ถึงขั้นเกลียด ถ้าไม่ดื้อมากให้เล่นด้วยประเดี๋ยวประด๋าวเธอทำได้สบายอยู่แล้ว

“พี่เหมือนตุ๊กตาเลย ตุ๊กตาบลายธ์”

“แหม...ปากหวานจริงนะ จะชมพี่ว่าสวยล่ะสิ” คนบ้ายอเอามือป้องปากหัวเราะคิกคัก โดยหารู้ไม่ว่าที่หนูน้อยคิดว่าเหมือนเพราะขนตาปลอมอันงอนยาวเด่นเด้งต่างหาก

ยิ้มปลื้มกับคำชมได้สักพัก ณัฐมลก็เริ่มสะกิดใจว่าแม่หนูคนนี้มากับใคร นอกจากเธอกับพยาบาลที่เดินออกมาแล้ว ก็ไม่เห็นมีใครที่น่าจะเป็นผู้ปกครองเด็กอยู่แถวนี้เลย

“แม่หนูอยู่ไหนคะ”

เด็กหญิงเอานิ้วเข้าปากแล้วแทะอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงดังฟังชัดว่า

“แม่หนูหลงทาง ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน”

“หนูหลงกับแม่เหรอคะ!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ

“แม่หายไปเอง หนูไม่ได้หลงนะ” เด็กน้อยยืนกราน ทั้งยังมีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิด

เห็นแล้วก็ยิ่งทำให้เป็นห่วง ถึงจะเป็นโรงพยาบาลก็ยังมีอันตราย เด็กตัวเล็กแค่นี้เอง ทั้งยังไม่กลัวคนแปลกหน้าด้วย ถ้าไปเจอพวกมิจฉาชีพหลอกพาตัวไปมิแย่หรอกหรือ

ด้วยเหตุนี้ณัฐมลก็เลยต้องทำหน้าที่ของพลเมืองดี ด้วยการพาเด็กหลงไปประกาศหาตัวผู้ปกครองที่แผนกประชาสัมพันธ์

พอประกาศได้สักพักแม่เด็กก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบมารับตัวลูกสาวไป หมดเรื่องแล้วณัฐมลก็ยิ้มรับขอบคุณแล้ววิ่งเร็วจี๋เพื่อกลับมาที่จุดเดิมให้ทันก่อนที่พัลลภจะออกมา

ความรีบร้อนทำให้หญิงสาวเกือบจะชนเข้ากับหญิงชราคนหนึ่ง อีกฝ่ายเดินสวนมาพอดีและไม่ทันได้มองทางเช่นกัน พอมีคนมาเฉี่ยวก็เลยตัวเซจนเกือบจะล้ม ณัฐมลเห็นดังนั้นจึงถอยหลังกลับมาช่วยประคองตัวเอาไว้

“ขอโทษนะคะคุณยาย หนูไม่ทันระวัง เป็นอะไรไหมคะ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ ยายผิดเอง” หญิงชราตอบรับด้วยใบหน้าซีดเซียว ท่าทางแกดูอิดโรย ชวนให้หวั่นชอบกลว่าถ้าปล่อยให้ไปเองอาจจะเป็นลมเอาระหว่างทางได้ง่ายๆ

“คุณยายเดินไหวไหมคะ ให้หนูเรียกรถเข็นหรือไปส่งให้ไหม”

พอเห็นสภาพของหญิงชราแล้ว วิญญาณพลเมืองดีก็เข้ามาสิงในร่างของณัฐมลในบัดดล เธอรู้สึกเฉยๆ กับเด็กและสัตว์ แต่จะอ่อนไหวกับคนชราเป็นพิเศษ คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ หญิงสาวเลยมีความเชื่อว่าต้องทำดีกับบุพการีและคนชราเอาไว้ให้มาก เพื่อที่แก่ตัวไปจะได้กรรมดีจะได้สะท้อนกลับมาที่ตัวเอง

“นั่นสิ เอ่อ...ยายก็ลืมไปเลย เขาให้ถือประวัติไปที่แผนกอะไรสักอย่างที่มันกรรมๆ นี่แหละ”

พอเปิดประวัติอ่านดูก็พบว่าหญิงชราป่วยด้วยโรคสารพัดอย่าง ส่วนใบส่งตัวก็ลายมือหวัดจนอ่านไม่ออกว่าต้องไปที่แผนกไหน ในโรงพยาบาลมีแผนกที่มีคำว่ากรรมมากมาย ตั้งแต่อายุรกรรม ศัลยกรรม ทันตกรรม ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าโรงพยาบาลนี้จะมีแผนกกิจกรรมบำบัดด้วย ทุกแผนกอยู่คนละตึกกันหมด หญิงสาวก็เลยพาคุณยายเดินย้อนกลับไปที่ห้องตรวจเพื่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง พอได้คำตอบว่าเป็นแผนกทันตกรรม หญิงสาวก็ขอรถเข็น แล้วไหว้วานให้เจ้าหน้าที่พาคุณยายไปส่งให้ถึงแผนก

“ขอบใจแม่หนูมากนะจ๊ะ ไม่ได้แม่หนูยายคงแย่ แก่แล้วมันก็หลงๆ ลืมๆ” พูดแล้วยายแกก็ให้ศีลให้พรอีกชุดใหญ่

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูว่างอยู่พอดี หายเร็วๆ นะคะคุณยาย” ณัฐมลรับคำด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ในใจก็อดเสียดายไม่ได้ ป่านนี้สุดหล่อในฝันของเธอคงกินข้าวแล้วกลับมาที่แผนกเรียบร้อยแล้ว

หญิงสาวเดินลากเท้าอย่างเอื่อยเฉื่อยกลับไปที่อาคารจอดรถ ระหว่างทางรู้สึกกระหายน้ำ เธอก็เลยแวะที่เครื่องขายน้ำอัตโนมัติ

ในกระเป๋าเงินของณัฐมลมีแต่บัตรเครดิตกับธนบัตรใบละห้าร้อย เธอก็เลยลองค้นกระเป๋าถือใบเล็กหาเศษเงินดูเพราะมักจะมีซุกเอาไว้เป็นประจำ ขณะที่กำลังหาอยู่นั้นก็มีใครคนหนึ่งต่อคิวรอซื้อน้ำอยู่ หญิงสาวจึงขยับถอยออกจากเครื่องมาก่อน

“เชิญก่อนเลยค่ะ”

ณัฐมลมัวแต่ก้มหน้าหาเงินก็เลยเห็นแค่ชายเสื้อกราวน์ของชายหนุ่มเท่านั้น เธอไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังยืนอยู่กับสุดหล่อในฝัน และตอนนี้ชายหนุ่มก็กำลังจ้องมองเธอค้นหาเศษเงินในกระเป๋าด้วยท่าทีสนใจ

“อยากดื่มน้ำอะไรครับ ผมเลี้ยงเอง”

หญิงสาวตะลึงงันไปเลยทีเดียว เมื่อเห็นว่าคนที่ควรจะคลาดกันไปแล้วมาอยู่ตรงหน้า

‘กรรมดีติดจรวด เห็นผลทันตา สาธุ!’

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างมีน้ำใจ

“น้ำ...อะไรก็ได้ค่ะ” ณัฐมลรีบพูด

ตอนนี้เธอไม่สนใจหรอกว่าเขาจะกดน้ำอะไรมาให้ ต่อให้เป็นน้ำประปาหรือน้ำคลอง แค่เขาเป็นคนตักมาให้เธอก็จะดื่มแบบไม่กลัวเชื้อโรคเลย

“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นน้ำส้มนะครับ มีวิตามินซี ดีต่อสุขภาพด้วย”

พัลลภพูดไปตามเรื่องแบบไม่คิดอะไร ผิดกับคนชอบเข้าข้างตัวเองที่โมเมไปแล้วว่าอีกฝ่ายเริ่มจะสนใจ ยิ่งในจังหวะที่เขายื่นน้ำกระป๋องมาให้ มือของทั้งคู่บังเอิญแตะกันโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้จะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีแต่ผลที่ตามมากลับคงค้างอยู่หลายนาที

หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับว่ามีไฟฟ้าสถิตเกิดขึ้นตอนที่แตะมือกัน กระไฟมันแล่นผ่านปลายนิ้วเข้ามาที่ต้นแขนพุ่งตรงต่อไปยังหัวใจ ส่งผลให้มันสูบฉีดเลือดออกมาอย่างแรง อึดใจเดียวก็ใบหน้าของเธอก็แดงไปทั้งหน้า

‘อยู่ๆ มาเลี้ยงน้ำกันแบบนี้ คิดจะจีบหรือเปล่าเนี่ย’

ณัฐมลเอานิ้วประสานกันแล้วบิดไปมาอย่างขวยเขินกับความคิดของตัวเอง เธอไม่กล้าสบตาเขาอยู่นาน กว่าจะปรับสีหน้าได้ชายหนุ่มก็ซื้อน้ำเสร็จพอดี พัลลภไม่ได้ซื้อน้ำแค่กระป๋องเดี๋ยวแต่ซื้อไปไม่ต่ำกว่าครึ่งโหลทั้งยังเตรียมถุงมาใส่พร้อม

“ซื้อเยอะจังนะคะ” หญิงสาวเปรย

“ร้านน้ำที่โรงอาหารปิดครับ ผมเลยจะซื้อไปฝากทุกคนที่แผนก”

ความจริงจากปากเขาทำเอาคนหลงตัวตื่นจากฝันในทันที สงสัยว่าบุญที่ทำกับเด็กและคนชราจะยังหนาไม่พอก็เลยอวยส่งได้เท่านี้ เห็นทีเธอคงจะต้องเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหากุศลสักครั้งเสียแล้วกระมัง เทวดาฟ้าดินถึงจะเป็นใจอุ้มสมให้ผู้ชายคนนี้เป็นของเธอ


ณัฐมลยังคงพยายามต่อไปอย่างมุ่งมั่น พร้อมคิดหาแผนการใหม่มาใช้อีกเรื่อยๆ วันนี้เธอจงใจมาโรงพยาบาลแต่เช้าทั้งที่มีนัดตอนบ่ายก็เพื่อแอบถ่ายรูปเขาโดยเฉพาะ หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่าการพบกันเพียงสัปดาห์ละครั้งมันน้อยนิดเสียเหลือเกิน เธอเลยอยากจะมีรูปของเขาเอาไว้ให้คลายความคิดถึง ความจริงเธอก็มีภาพของเขาที่หาเอาจากอินเตอร์เนตอยู่บ้าง แต่ความละเอียดมันต่ำมาก เอามาขยายขนาดแบบโปสการ์ดภาพก็เริ่มจะไม่ชัดแล้ว ถ้าได้ภาพความละเอียดสูงมาให้ชื่นชมความหล่อแบบเต็มอิ่มคงจะดีไม่น้อย

เธอสืบรู้มาแล้วว่าที่จอดประจำของพัลลภอยู่ตรงหน้าตึกสิบซึ่งเป็นตึกเอกซเรย์ ตรงนี้ค่อนข้างจะปลอดคน อีกทั้งยังมีที่แอบถ่ายดีๆ อย่างตรงระเบียงชั้นสองด้วย หญิงสาวมาสำรวจเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็เลยตั้งใจว่าจะยึดตึกนี้เอาไว้เป็นฐานที่มั่น

ในระหว่างที่กำลังเดินถือกล้องไปยังที่หมาย เสียงเรียกชื่อของเธอก็ดังมาแว่วๆ พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นกันติทัต กำลังเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเธอ

“พี่แป้งครับ ว่างไหมครับ คือผมอยากจะรบกวนสักหน่อย”

ณัฐมลยกนาฬิกาขึ้นมอง อีกสิบนาทีจะแปดโมงเช้า ถ้าไม่รีบเป้าหมายอาจจะมาถึงที่ลานจอดรถก่อนแล้วก็ได้

“คุยกันทางโทรศัพท์ได้ไหมคราม คือพี่...” หญิงสาวชะงัก เมื่อหันไปเห็นผู้หญิงแปลกหน้า เจ้าหล่อนเดินเข้ามาหา แล้วจ้องมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจ

“คราม ต้องรีบไปประชุมเช้านะ”

“รุ้งไปก่อนเลยก็ได้ครับ ขอผมคุยธุระสักครู่”

ถึงได้ยินอย่างนั้นผู้หญิงที่ชื่อรุ้งก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน ณัฐมลเดาออกได้ในทันทีว่าเธอคนนี้คงจะแอบชอบครามอยู่ แล้วคงไม่พอใจที่เห็นครามมาคุยกับเธอ หญิงสาวนึกสนุกเลยแกล้งปั้นหน้าไม่พอใจแล้วพูดใส่ชายหนุ่มเสียงแข็ง

“คนนี้ใครน่ะคราม อย่าบอกนะว่า…” ณัฐมลละคำพูดเอาไว้ แต่ก็เดาออกว่าหญิงสาวหมายความว่าอะไร

“ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ นี่รุ้งเพื่อนครามเอง สนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”

ณัฐมลแกล้งหรี่ตาเหมือนจะไม่เชื่อ กันติทัตจึงย้ำว่าเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นด้วยน้ำเสียงจริงจังเสียหลายรอบ ทำเอาเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ หน้าง้ำไปเลย

“เชื่อก็ได้ รีบไปทำงานเถอะ เรื่องธุระไว้ค่อยโทรคุยกัน” หญิงสาวไล่แบบอ้อมๆ เพราะเธอเองก็มีธุระเช่นกัน

“ขอผมไปหาได้ไหมครับ” กันติทัตเอ่ยด้วยน้ำเสียงวิงวอน

มองแววตาแล้วก็พอจะเดาได้ว่าไม่คงพ้นเรื่องของศศิชา ณัฐมลกำลังจะพยักหน้ารับอยู่แล้วเชียวแต่บังเอิญหันไปเห็นว่ารุ้งพราวใช้มือหนึ่งจับแขนกันติทัตเอาไว้ วางท่าอย่างกับจงอางหวงไข่ ทั้งยังจ้องเธอด้วยสายตาขับไล่อย่างเปิดเผย ต่อมหมั่นไส้ในตัวเธอก็เลยทำงาน จากเดิมที่แค่จะพยักหน้ารับ หญิงสาวก็เดินเข้าไปลูบไหล่กันติทัตแล้วขยิบตาให้

“ได้จ้ะ ถ้าเป็นคราม พี่ยินดีให้มาหาเสมอ”

“ขอบคุณครับ” กันติทัตยิ้มกว้างอย่างไม่รู้สถานการณ์เลยสักนิด ท่าทีของเขาทำให้ใบหน้าสวยๆ ของรุ้งพราวบิดเบี้ยวยิ่งขึ้นเพราะความหึงหวง

“คุยเสร็จแล้วใช่ไหม ไปกัน เดี๋ยวก็โดนประชดอีกหรอกว่าเป็นเด็กใหม่ใช้เส้นเลยไม่ตั้งใจทำงาน”

รุ้งพราวไม่พูดเปล่าแต่ยังดึงแขนลากกันติทัตให้ไปกับเธอด้วย ท่าทีของเธอบอกให้รู้ว่าได้ทำการหมายหัวณัฐมลให้เป็นหนึ่งในศัตรูของเธอเรียบร้อยแล้ว

หญิงสาวส่งยิ้มกลับไปให้อย่างไม่กลัว ทั้งยังยืนโบกมือรอจนคนทั้งสองหายลับไปจากสายตา ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกตัวว่ากำลังจะพลาดโอกาสสำคัญ จึงออกวิ่งแบบไม่คิดชีวิต

ตอนที่หญิงสาววิ่งไปถึงที่หมาย รถยนต์สีบรอนซ์เงินของนายแพทย์พัลลภจอดอยู่ตรงที่ประจำเรียบร้อยแล้ว ส่วนภายในรถก็ไม่มีใครอยู่ ณัฐมลเลยยืนคอตกอย่างผิดหวัง กระนั้นพอหายหอบก็ยังยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ ถึงจะไม่ได้คนแต่ขอให้ได้ภาพรถไปมองก็ยังดี

ในขณะที่หญิงสาวกำลังกดชัตเตอร์อย่างเนือยๆ พัลลภก็โผล่เข้ามาในกรอบภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์ ชายหนุ่มลืมของเอาไว้ที่รถก็เลยเดินกลับมาเอา สบโอกาสให้ณัฐมลแอบถ่ายได้เต็มที่ กว่าเขาจะเดินเข้ามาในตึก เธอก็กดถ่ายไปไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง

ช่วงแรกหญิงสาวมือสั่นภาพก็เลยเสีย กว่าครึ่งมองเห็นหน้าไม่ชัด นับดูแล้วที่พอจะใช้ได้มีไม่ถึงหนึ่งในสิบ ถึงกระนั้นตากล้องมือใหม่ก็รู้สึกภูมิอกภูมิใจในผลงานของตัวเองเสียเหลือเกิน หญิงสาวมองภาพจากกล้องไปพลางยิ้มไปพลางอย่างมีความสุข ในขณะที่กำลังเลือกว่าจะเอาภาพไหนไปขยาย เสียงทุ้มนุ่มของคนในภาพก็ดังขึ้นข้างตัว ทำเอาสะดุ้งจนเกือบทำกล้องหลุดจากมือ

“มารอหมอแต่เช้าเลยนะครับ นัดบ่ายแท้ๆ”

อารามตกใจหญิงสาวเลยเผลอแสดงพิรุธออกมา ด้วยการเอากล้องไปซ่อนไว้ด้านหลัง แล้วกดปุ่มปิดอย่างเร่งด่วน

“ไม่ได้มารอค่ะ มาแอบ...เอ้ย! เอ่อ...คุณหมอมาได้ยังไงคะ”

พัลลภมองสบตาคนมีพิรุธอยู่อึดใจ แต่สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจนนิดเดียว เขาตอบคำถามเธอโดยไม่ปรายตาไปมองที่กล้องด้วยซ้ำ

“ผมมีธุระกับนักรังสีเทคนิคครับ” ตอบเสร็จก็ใช้สายตาตวัดมามองหญิงสาวประหนึ่งจะถามกลับว่าเธอมาทำอะไรที่นี่

ณัฐมลส่งยิ้มให้เพื่อถ่วงเวลา แล้วคิดหาข้ออ้างอย่างเร่งด่วน

“พอดี...เอ่อ คือวันนี้ว่างน่ะค่ะก็เลยมาหาเพื่อนที่เป็นหมอที่นี่ แล้วก็ เออ...ถ่ายรูปเล่น”

พัลลภพยักหน้ารับว่าเข้าใจ ทว่าแทนที่ร่างสูงจะเดินจากไป ชายหนุ่มกลับยังยืนอยู่ตรงนั้นแล้วชวนคุยต่อ

“เล่นกล้องด้วยหรือครับ”

คำถามนี้ทำเอานักแอบถ่ายมือใหม่ถึงกับเหงื่อตก กระนั้นก็ยังทำใจดีสู้เสือพยายามปั้นหน้าเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด

“ไม่เชิงหรอกค่ะ เพิ่งซื้อกล้องมาไม่กี่วันเอง ตั้งใจจะลองถ่ายภาพเป็นงานอดิเรกแก้เครียด ตามที่คุณหมอแนะนำไงคะ”

“ผมว่าจะซื้อกล้องใหม่เหมือนกัน ขอดูหน่อยได้ไหมครับ”

“ไม่ได้ค่ะ!” หญิงสาวโพล่งออกมาแล้วส่ายหน้าดิก พอรู้ตัวว่าเผลอมีพิรุธมากกว่าเดิม เธอก็รีบแก้ต่างให้ตัวเอง “คือรูปที่ถ่ายมันค่อนข้างส่วนตัว แบบว่า...ไม่ใช่รูปอะไรไม่ดีหรอกนะคะ แต่มันยังไม่ดีพอจะอวด ถ่ายมั่วๆ รั่วๆ น่ะค่ะ ค่อนข้างน่าอาย”

ณัฐมลอธิบายไปหน้าแดงไปทั้งยังกอดกล้องแน่น พัลลภเห็นแล้วก็นึกขันเจือเอ็นดู เขาเลยพูดด้วยเสียงที่นุ่มขึ้น

“ผมหมายถึงขอดูยี่ห้อ แล้วลองถือดูน้ำหนักน่ะครับ ไม่ละลาบละล้วงดูภาพที่ถ่ายไว้แน่นอน ได้ไหมครับ”

น้ำเสียงของชายหนุ่มตอนท้ายประโยคติดจะอ้อนอยู่ในที พอบวกกับสายตาอบอุ่นที่มองมา ณัฐมลก็แทบจะละลายตายกลายเป็นน้ำอยู่ตรงนั้น สองแขนรีบยื่นกล้องส่งไปให้เขาโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

ชายหนุ่มรับมาแล้วลองเปิดกล้องดู จากนั้นก็มองผ่านเลนส์รอบๆ สักอึดใจเขาก็หันกล้องมาทางณัฐมล

“ยิ้มหน่อยครับ”

ยังไม่ทันได้ตั้งเสียงกดชัตเตอร์ก็ดังขึ้น พัลลภมองดูผลงานของตัวเองแล้วก็อมยิ้มก่อนจะส่งกล้องคืนให้หญิงสาว

“กล้องดีนะครับ ถ่ายออกมาสวยใช้ได้เลย”

ณัฐมลยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘สวย’ ถึงเขาจะไม่ได้มีเจตนาชมเธอเสียทีเดียว แต่ฟังแล้วมันก็จั๊กจี้หัวใจดี หญิงสาวเลยถือโอกาสหยอดมุกลองเชิงเขาเสียเลย

“ฉากหลังหรือนางแบบล่ะคะที่สวย”

พัลลภไม่ตอบคำถาม เขาหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วขอตัวเดินกลับแผนกไป เทพบุตรในฝันของณัฐมลยังคงเข้าถึงยากเหมือนเคย เห็นแล้วก็อดทำปากยื่นใส่ไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่ มันก็พานโกรธเขาไม่ลงเลยแม้แต่นิดด้วย

หญิงสาวยิ้มกับรูปตัวเองที่เขาถ่ายให้อยู่เป็นนาน สักพักก็ฉุกคิดได้ว่ามีบางอย่างในท่าทีของเขาที่แปลกไป พัลลภเข้ามาชวนเธอคุยก่อน แถมยังคุยด้วยอยู่ตั้งนานสองนานอีกต่างหาก

‘อย่าบอกนะว่าเขาเริ่มสนใจในตัวเราแล้ว’

คนชอบคิดเข้าข้างตัวเองฟันธงในทันทีว่าเทพบุตรในฝันกำลังจะมีใจให้เธอ หญิงสาวกระโดดไปมาร้องดีใจเป็นบ้าอยู่คนเดียว โดยไม่รู้เลยว่ากำลังถูกลอบมองโดยคนที่เพิ่งจะขอตัวออกไปเมื่อสักครู่

ใบหน้าของพัลลภเคร่งขรึมขึ้นในทันตาเมื่อเห็นอาการของหญิงสาว เขามั่นใจแล้วว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขา และเขาควรจะวางตัวแบบไหนในฐานะจิตแพทย์


พัลลภรู้สึกตั้งแต่แรกพบว่าณัฐมลมีบางอย่างแตกต่างจากคนไข้รายอื่น เขาก็เลยลองโทรศัพท์ไปปรึกษาคนที่ส่งตัวมาให้รักษาอย่างแพทย์หญิงศศิชา ศศิชาไม่พูดอะไรมาก เธอแค่บอกว่าอาการของณัฐมลอาจจะไม่ตรงกับประวัติที่ส่งไป ถ้าเห็นว่าหญิงสาวผิดปกติตรงไหนก็ให้รักษาไปตามนั้น ฟังแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากล แต่ทุกอย่างก็ยังไม่ชัดเจนนัก จนกระทั่งเขาได้เห็นณัฐมลคุยกับกันติทัต จึงเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้

เมื่อเช้าเขาต้องไปเอาเอกสารที่ตึกอำนวยการก่อนเข้างาน ขากลับต้องผ่านไปทางแผนกทันตกรรมพอดี เลยเห็นณัฐมลกับกันติทัตยืนคุยกัน ชายหนุ่มยืนอยู่ห่างไปไม่มากแต่บังเอิญอยู่ในมุมอับจึงไม่มีใครสังเกตเห็น เขาได้ยินกันติทัตเรียกว่าณัฐมลว่า ‘แป้ง’ เต็มสองหู พอเปรียบเทียบลักษณะของเธอกับลักษณะของสาวปริศนาที่ฝากกันติทัตให้มาขอเบอร์โทรศัพท์ เขาก็มั่นใจว่าต้องเป็นคนคนเดียวกัน

พัลลภนึกแปลกใจที่เธอไม่โทรศัพท์มาหา แต่กลับกลายมาเป็นคนไข้ของเขา ก็เลยตั้งสมมุติฐานออกมาได้สองอย่าง

‘หนึ่งคือเธอป่วย พอมารักษาเลยตกหลุมรักเขา สองคือเธอปกติ แต่ตกหลุมรักเขาก็เลยแกล้งป่วย’

ไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็ไม่ดีทั้งนั้น ยิ่งรู้ว่าเธอชอบเขา เขาก็ยิ่งต้องระวังตัวให้มากขึ้น ความรักระหว่างจิตแพทย์กับคนไข้ถือเป็นเรื่องต้องห้ามที่อันตราย เนื่องจากมันไม่ส่งผลดีต่อฝ่ายไหนเลย

พัลลภเก็บงำอาการรู้ทันของตัวเองเอาไว้ แล้วค่อยมาจัดการทุกอย่างตอนให้คำปรึกษา ชายหนุ่มส่งยิ้มทักทายแล้วสอบถามอาการตามปกติ สิ่งเดียวที่แปลกไปคือเขาพยายามหลอกล่อให้เธอพูดว่าอาการดีขึ้นแล้ว

ณัฐมลไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคุณหมอสุดหล่อกำลังเล่นเกมจิตวิทยาด้วย เธอกำลังอารมณ์ดี ก็เลยเผลอลืมตัวตอบไปว่าไม่เป็นไรมากแล้ว

“แล้วเรื่องการนอนล่ะครับ”

“นอนหลับสนิทดีค่ะ วันนี้มีเรื่องดีๆ สงสัยจะกลับไปนอนฝันหวาน”

“ดีครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะสั่งลดยานะครับ”

“ค่ะ” ณัฐมลรับคำด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วก็ต้องซึมไปในทันทีเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

“ถ้าอย่างนั้นหมอเลื่อนนัดเป็นทุกสองสัปดาห์นะครับ”

พัลลภจงใจเว้นระยะการพบกันออกไป บางทีเขาอาจต้องใจแข็งและทำตัวเย็นชากว่าที่เป็น เพื่อที่เธอจะได้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรด้วย

สีหน้าที่เจื่อนลงของหญิงสาวชวนให้สงสาร กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่แสดงอาการเห็นอกเห็นใจออกมา เขาทำเป็นมองผ่าน แล้วมุ่งความสนใจไปที่เรื่องการรักษาต่อ

“ไม่มีอะไรขัดข้องใช่ไหมครับ”

“ไม่มีปัญหาค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้

ณัฐมลนึกเสียดายที่จะได้เจอพัลลภน้อยลง ถึงเธอจะเข้าข้างตัวเองว่าเขาแอบสนใจ แต่ก็ไม่บ้าพอจะเชื่อว่าเขาจะมาจีบหากสิ้นสุดการรักษา

‘สงสัยต้องคิดแผนการเพิ่มอีกสักแผนสองแผนเสียแล้ว’

หญิงสาวกลับออกไปโดยที่ยังคงมองโลกในแง่บวก เธอไม่รู้เลยว่าในชาร์จประวัติของตัวเองมีแผนการรักษาเขียนเอาไว้ตัวโตว่า ‘ปรับระยะห่างเป็นสองสัปดาห์ ถ้าไม่ดีขึ้นต้องเปลี่ยนจิตแพทย์’





นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ส.ค. 2554, 22:22:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2555, 23:22:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 2654





<< บทที่ 6 สู้ต่อไปนะแป้งร่ำ   บทที่ 8 ไม่ได้เจตนา (จริงๆ นะ) >>
หมูอ้วน 30 ส.ค. 2554, 23:48:07 น.
คุณหมอไม่หลงรัก หนูแป้งมั่งเลยหรอค่ะ


แล่นแต๊ 31 ส.ค. 2554, 00:54:24 น.
หนูแป้งนี่ก็เข้าขั้นบ้าหน่อยๆนะคะเราว่า 555


pookza 31 ส.ค. 2554, 08:35:01 น.
มาเร็วได้ใจมากๆ


anOO 31 ส.ค. 2554, 13:13:07 น.
คุณหมดกลัวอะไรอยู่น๊า หรือว่ามีความหลังฝังใจ


ameerahTaec 31 ส.ค. 2554, 13:42:17 น.
คำวินิจฉัยของคุณหมอตอนท้ายดูโหดร้ายอ่า


minieminnie 31 ส.ค. 2554, 22:26:49 น.
ใจร้ายมาก อ่ะ ค้า คุณหมอ


saralun 1 ก.ย. 2554, 09:40:52 น.
หนูแป้งจะทำยังไงต่อน้า


Zephyr 1 ก.ย. 2554, 15:20:47 น.
เอิ่ม เข้าใจหมอพันเลย กรณีแบบนี้มีบ่อยค่ะ คนไข้รักหมอที่รักษาตัวเอง ซึ่งมันมักจะก่อปัญหามากกว่าผลดีน่ะสิคะ ถ้าเจอกันฐานะอื่นแล้วค่อยมารู้ทีหลังว่าเป็นหมอมันจะไม่ลำบากเลยนะ แต่แป้งเอ้ย เธอลำบากแล้วล่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account