เพียงใจเสน่าหา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อเทพบุตรในฝันมายืนอยู่ตรงหน้ามีหรือคนอย่างแป้งร่ำจะปล่อยให้หลุดมือ ปฏิบัติการล่ารักฉบับพลีชีพจึงเกิดขึ้น แต่เอ๊ะยังไง นานๆไปเทพบุตรในฝันกลับกลายร่าง รู้ตัวอีกทีเธอก็เป็น "เป็ดน้อยในมือซาตานไปแล้ว"
เรื่องนี้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ไลต์ออฟเลิฟค่ะ เป็นภาคต่อของมธุรัตน์เสน่หา สามารถสั่งซื้อได้ในราคาลด 15% ได้ที่เว็บนี้นะคะ
http://www.lightoflovebooks.com/
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ
เรื่องนี้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ไลต์ออฟเลิฟค่ะ เป็นภาคต่อของมธุรัตน์เสน่หา สามารถสั่งซื้อได้ในราคาลด 15% ได้ที่เว็บนี้นะคะ
http://www.lightoflovebooks.com/
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ
Tags: โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกรั่วๆ นางเป็นเภสัชกร พระเอกเป็นจิตแพทย์
ตอน: บทที่ 8 ไม่ได้เจตนา (จริงๆ นะ)
บทที่ 8 ไม่ได้เจตนา (จริงๆ นะ)
หลังจากออกมาจากแผนกจิตเวชแล้ว ณัฐมลก็มาดักรอพัลลภอยู่ที่โรงอาหาร เธอรอจนกระทั่งได้เวลาเปิดคลินิกนอกเวลาเขาก็ยังไม่ออกมาเสียที หญิงสาวจึงเดินย้อนกลับไปที่แผนก แล้วก็เห็นว่ามีคนไข้กำลังเข้าไปรับการรักษา เธอเดาว่าวันนี้เขาไม่ออกมาหาอะไรกินหรือไม่ก็คงจะโทรศัพท์สั่งให้คนเอามาส่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อสักครึ่งชั่วโมงก่อนเธอเห็นคนเอาอาหารไปส่งที่แผนกจิตเวช ถ้าเอะใจเร็วกว่านี้สักนิดก็คงไม่ต้องรอเก้อแล้ว
ณัฐมลถอนหายใจด้วยความหดหู่ จนบัดนี้เธอยังไม่มีโอกาสได้กินอาหารร่วมโต๊ะกับสุดหล่อในฝันสักที จากวันแรกที่เริ่มแผนการ จนบัดนี้ก็ร่วมเดือนเศษแล้วก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า หญิงสาวนึกเบื่อจนอยากจะปิดร้านแล้วไปนวดตัวที่สปา แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้เพราะอดเสียดายรายได้ไม่ได้
ทำเลที่ตั้งร้านยาของเธออยู่ในย่านการค้าที่จะมีคนหนาตาในช่วงสายไปจนถึงประมาณบ่ายสองโมง จากนั้นจะกลับมาคึกคักอีกทีก็ตอนหลังห้าโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาของตลาดนัดกลางคืน รายได้หลักของร้านจึงมักจะได้มาตอนช่วงพระอาทิตย์ตกดินเป็นต้นไป อลินยืนกรานหนักแน่นว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะไม่ทำงานกะเย็นอย่างเด็ดขาด เพราะจะต้องรีบกลับไปดูละคร ดังนั้นถ้าจะเปิดร้าน หญิงสาวก็ต้องอยู่เฝ้าร้านเอง
ณัฐมลกลับมาถึงที่ร้านตอนหกโมงครึ่ง มองเวลาแล้วก็นึกห่วงว่าอลินจะต้องบ่นเธอแน่ ปกติวันหยุดของเธอก็จะเป็นวันหยุดของอลินด้วย แต่วันนี้นอกจากจะไม่หยุดให้แล้ว เธอยังใช้อีกฝ่ายเฝ้าร้านทั้งวันแถมยังกลับมาช้าเกินกำหนดที่บอกไว้อีก
พอเข้าไปในบ้านเธอเลยส่งเสียงตะโกนบอกขอโทษเอาไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้อลินบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ถ้าเป็นคนอื่น เป็นแค่ลูกจ้างแล้วมาบ่นใส่นายจ้าง ณัฐมลคงไม่ยอม แต่อลินเป็นเหมือนญาติสนิทที่ไว้ใจได้ เธอจึงไม่คิดว่าการบ่นหรือตัดพ้อต่อว่าในบางครั้งเป็นเรื่องใหญ่
“โอ๊ะโอขึ้นไปดูทีวีข้างบนได้เลยนะ ถ้ากลับดึก พรุ่งนี้เปิดร้านสายหน่อยก็ได้” หญิงสาวร้องบอกเพิ่ม ขณะที่กำลังเดินจากครัวมาที่หน้าร้าน
“ไม่เป็นไรค่ะเจ๊ แค่นี้โอ๊ะโอทำให้ได้สบายมาก” อลินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหวานหยดจนคนฟังต้องย่นหัวคิ้ว
พอเดินไปที่หน้าร้าน ณัฐมลก็ได้คำตอบว่าอะไรทำให้เจ้าหล่อนอารมณ์ดีผิดปกติ บริเวณโซฟาที่จัดไว้ให้ลูกค้านั่ง มีหนุ่มสุดหล่อที่น่ามองยิ่งกว่าพระเอกละครนั่งอยู่ เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่าเย็นนี้นัดกับกันติทัตเอาไว้
“สวัสดีครับพี่แป้ง ขอรบกวนหน่อยนะครับ” ชายหนุ่มลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหา
“สำหรับน้องครามไม่เรียกว่ารบกวนหรอกจ้ะ พี่ยินดีเสมอ” อลินตอบแทน พลางชะม้ายชายตาให้กันทิทัตเป็นการใหญ่
“เช็ดน้ำลายหน่อยโอ๊ะโอ หกเต็มพื้นแล้ว” หญิงสาวแซว แล้วหันมาคุยกับแขก “มานานหรือยังคราม ขอพี่กินน้ำหน่อยนะแล้วค่อยคุยกัน”
“ตามสบายเลยครับพี่แป้ง พี่แป้งกินอะไรมาหรือยังครับ ผมซื้อซูชิมาฝาก” ชายหนุ่มเดินกลับไปที่โซฟาแล้วก็ยื่นถุงใบใหญ่ที่ใส่ของฝากให้
“อุ๊ย! ขอบคุณมากจ้ะ” อลินถลามารับแทนอีกหน
“น้อยๆ หน่อยย่ะ เขาซื้อมาฝากฉันนะยะ” ณัฐมลแยกเขี้ยวใส่ด้วยความหมั่นไส้
“ของพี่โอ๊ะโอก็มีครับ ผมซื้อมาเผื่อสำหรับห้าที่เพราะไม่ทราบว่าอยู่กันกี่คน”
“ต๊าย! อุตส่าห์นึกถึงพี่ด้วย หล่อแล้วยังน้ำใจงามอีก” อลินเข้าไปกุมมือกันติทัตเอาไว้ แววตาแฝงเจตนาชัดว่าตั้งใจจะหลอกจับมือ
กันติทัตยิ้มรับแล้วดึงมือกลับอย่างสุภาพ เห็นแล้วก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าชายหนุ่มไม่ถือสาหรือไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกลวนลามกันแน่ ณัฐมลนึกห่วงอยู่บ้าง แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ร้องโวยวายให้ช่วย มันก็ใช่เรื่องที่เธอจะเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการ หญิงสาวเลยเบนสายตามาที่ของฝากแทน
ชุดซูชิหรูจากโรงแรมดังทำเอาน้ำลายสอ เธอเคยไปกินอาหารญี่ปุ่นที่โรงแรมนี้มา ราคามันไม่ได้แพงขนาดที่เรียกว่าเกินเอื้อม แต่ก็ถือว่าสูงสำหรับชนชั้นกลาง ลองทุ่มทุนกับของฝากแบบนี้สงสัยกันติทัตจะมีเรื่องใหญ่มาปรึกษา ณัฐมลเลยจัดการเรียกอลินรวมถึงเจ้าของของฝากอย่างกันติทัตมานั่งกินซูชิกันเสียก่อน อิ่มท้องแล้วจึงไล่ตัวป่วนอย่างอลินกลับบ้าน จากนั้นก็ปิดร้านชั่วคราวเพื่อที่จะได้คุยกันให้เป็นส่วนตัวมากขึ้น
“ยังไม่ได้เวลาปิดร้านเลย ครามรอได้นะครับหรือจะคุยไปเปิดร้านไปก็ได้”
ชายหนุ่มค่อนข้างเกรงใจเพราะเห็นอยู่ว่าป้ายหน้าร้านติดเอาไว้ว่าเวลาปิดร้านคือสี่ทุ่ม ตอนนี้เพิ่งจะทุ่มครึ่งเท่านั้นเอง
“ไม่เป็นไรหรอกคราม คุยกันแบบส่วนตัวไม่ต้องพะวงเรื่องขายของสะดวกกว่า ครามมีอะไรจะปรึกษาพี่ล่ะ เรื่องชาใช่ไหม”
กันทิตพยักหน้ารับ ชายหนุ่มประสานมือเข้าด้วยกันแล้วเอาไปวางไปที่หน้าขา ก่อนจะบอกเล่าปัญหาของตัวเองด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“สามวันก่อน ผมตั้งใจจะชวนคุณหมอศศิชาออกไปกินข้าวด้วยกันครับ แต่ว่ายังไม่ทันพูดอะไร คุณหมอก็พูดสวนขึ้นมาก่อน”
“พูดอะไร” ณัฐมลถามอย่างตื่นเต้น
“คุณหมอศศิชาถามผมว่าส่งไดอารี่มาให้ทำไม”
“ไดอารี่อะไร?”
“ไม่ทราบสิครับ ผมบอกไปว่าไม่ได้ส่ง ที่ส่งไปก็มีแค่ข้อความเท่านั้น”
“ไม่ได้ฟังผิดนะ”
“ผมมั่นใจครับ ได้ยินชัดเลย”
พอปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งไดอารี่มา ศศิชาก็ทำหน้าเฉยๆ แล้วก็เดินจากไป เขานั่งคิดมาหลายวันว่าหญิงสาวหมายความว่าอย่างไรแต่ก็นึกไม่ออก ชายหนุ่มนึกห่วงว่าอาจจะเผลอทำให้ศศิชาโกรธโดยไม่รู้ตัวก็เลยมาปรึกษาณัฐมล
ณัฐมลนั่งงงเป็นเพื่อนกันติทัตอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยซักเพิ่มว่าศศิชามีปฏิกิริยาแปลกไปหรือไม่ คำตอบที่ได้คือไม่มี เธอดูนิ่งเฉยเหมือนทุกทีแต่ก็ไม่มีอาการบึ้งตึงใส่
“แปลก…แล้วไดอารี่มันมาได้ยังไง” พึมพำได้เท่านี้ ณัฐมลก็สะกิดใจบางอย่าง เธอจึงหันหน้าไปหากันติทัต แล้วแบมือขอโทรศัพท์มือถือจากชายหนุ่ม “ขอพี่อ่านข้อความที่เราส่งไปให้ชาได้ไหม เผื่อจะเข้าใจอะไรมากขึ้น”
“ผมก็อยากให้อ่านนะครับ แต่ว่ามันค่อนข้างน่าอาย คือแบบว่ามัน…”
ชายหนุ่มตั้งท่าจะปฏิเสธ ณัฐมลก็เลยขู่กลับเพราะไม่อยากเสียเวลากล่อมให้เมื่อยปาก
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เข้าใจต่อไปแล้วกันนะ พี่จนใจจะช่วย”
ถ้าอยากรู้จริงๆ โทรศัพท์ไปถามศศิชาคงง่ายกว่า แต่ถ้าทำแบบนั้นมีหวังความแตกว่าเธอเป็นที่ปรึกษาให้กันติทัต นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว เธออาจจะโดนเอ็ดด้วย ศศิชาไม่ชอบให้ใครมาเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทอย่างเธอก็ตาม
“ก็ได้ครับ” กันติทัตจำใจยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้อย่างขัดเสียไม่ได้
หญิงสาวรับมากดไล่ดูข้อความที่ส่งออกไป เธอเริ่มอ่านจากข้อความล่าสุดดูก่อน แล้วก็เห็นว่ามันเริ่มต้นด้วยคำทักทาย จากนั้นก็เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับว่าวันนี้ต้องทำอะไรไปไหนบ้างยาวเหยียด เธอขี้เกียจอ่านเลยกดเลื่อนลงมา กดแล้วกดอีกจนเมื่อยมือ ข้อความมันก็ไม่หมดสักที
“นี่มันอะไร” ณัฐมลยื่นโทรศัพท์กลับไปให้เจ้าตัวดู
“ก็ข้อความที่พี่แป้งบอกให้ผมพิมพ์ไงครับ พี่บอกว่าอรุณสวัสดิ์กับราตรีสวัสดิ์มันทื่อไป ให้เขียนอะไรที่ยาวหน่อยให้ดูน่าสนใจ ผมเลยเล่าเรื่องแต่ละวันแล้วก็เขียนอะไรที่นึกได้ลงไปน่ะครับ ทีแรกก็พิมพ์ในมือถือ ตอนหลังผมเลยพิมพ์ในคอมฯ แล้วโหลดข้อความลงไปแทน สะดวกดีนะครับ”
“พิมพ์ยาวๆ อย่างนี้ให้ทุกวันเลยเหรอ”
“ครับ อย่างที่พี่แป้งบอกเอาไว้ไงครับ เป็นลูกผู้ชายต้องสม่ำเสมอ” กันติทัตเอ่ยด้วยน้ำเสียงภูมิใจที่ทำตามคำแนะนำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ณัฐมลยอมรับว่าแนะนำไปอย่างนั้นจริง แต่ก็ไม่คิดว่าพ่อหนุ่มแบ๊วคนนี้จะส่งข้อความยาวเหยียดแบบอลังการงานสร้างไป เรียกไดอารี่มันยังน้อยไป บุญเท่าไรแล้วที่ศศิชาไม่เรียกว่าเรียงความ เผลอๆ แม่เพื่อนตัวดีอาจจะลบทิ้งไปโดยไม่อ่านเลยก็ได้
“คราม…พี่เข้าใจแล้วล่ะว่าปัญหามันคืออะไร ข้อความเราน่ะยาวไป ชาก็เลยคิดว่าเป็นไดอารี่น่ะสิ”
ความจริงทำให้กันติทัตทำหน้าเหวอ พอนึกได้ว่าข้อความยาวเหยียดของเขาอาจจะเป็นการรบกวนศศิชา ชายหนุ่มก็เริ่มร้อนรน
“ผมจะทำยังไงดีครับพี่แป้ง”
ท่าทีเหมือนลูกสุนัขหลงทางชวนให้รู้สึกสงสารแล้วก็เอ็นดูไปพร้อมกัน
“ขอคิดก่อนนะ” ณัฐมลเสยผมขึ้นแล้วเริ่มคิดอย่างจริงจัง
หญิงสาวให้กันติทัตเล่าปฏิกิริยาของศศิชาในเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟังอีกครั้ง ศศิชาไม่ได้บอกให้หยุดส่งข้อความหรือทำท่ารำคาญ เธอก็เลยให้กันติทัตส่งข้อความต่อไป พร้อมกับแนะนำแผนการเพิ่มอีกหนึ่งขั้น นั่นคือการแวะไปให้หญิงสาวเห็นหน้า หาเรื่องพูดคุยด้วยบ่อยขึ้นเพื่อลดอาการประหม่า ยกตัวอย่างเช่นการแวะไปที่แผนก ทักทายสองสามประโยคแล้วก็กลับออกมา ศศิชาจะได้ไม่รำคาญ
“ระหว่างนั้นถ้ามีโอกาสก็ชวนไปกินข้าวเลยก็ได้ พี่แนะนำให้ไปกินร้านใกล้ๆ หรือในโรงพยาบาลก่อน ชาไม่ชอบนั่งรถนาน แล้วก็เกลียดรถติดด้วย”
“ได้ครับ ผมจะทำตาม” กันติทัตไม่เพียงแต่รับคำเท่านั้น ชายหนุ่มยังหยิบปากกาสำหรับใช้เขียนบนจอโทรศัพท์มือถือมาจดข้อความลงไปด้วย
ณัฐมลให้คำแนะนำไปอีกหลายอย่าง เธอพยายามช่วยพ่อหนุ่มคนนี้เท่าที่จะช่วยได้เพราะเห็นแล้วก็รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมองตัวเองอยู่
“ขอบคุณพี่แป้งมากนะครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ”
“ได้จ้ะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยพี่จะบอกแล้วกัน ครามก็ไม่ต้องเกรงใจพี่นะ มาเที่ยวที่ร้านได้ตลอด พี่เฝ้าร้านคนเดียวอยู่แล้ว ไม่เรียกว่ารบกวนหรอก”
เมื่อหมดธุระ กันติทัตก็ขอตัวกลับ ส่วนณัฐมลก็เปิดร้านต่อเพราะเพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้น เปิดร้านได้สักสิบนาที กันติทัตก็เดินกลับมาหา ชายหนุ่มกลับบ้านไม่ได้เพราะว่าจอดรถเอาไว้ค่อนข้างลึก ขามายังเข้ามาได้เพราะแม่ค้ายังไม่ได้ตั้งแผง แต่ขากลับนี่สิเอารถออกไม่ได้เพราะติดแผงสินค้าและมีการปิดถนนห้ามไม่ให้รถผ่าน
“กว่าจะเอารถออกได้ก็หลังเที่ยงคืนตีหนึ่งนู้นแหละ ครามอยู่ร้านพี่ไปพลางๆ ก่อนก็ได้ จะค้างก็ได้นะ พี่มีห้องว่าง พรุ่งนี้ค่อยไปแต่เช้า”
ห้องว่างที่ว่าคือห้องเก่าของอลินซึ่งอยู่ติดกับห้องครัว ตอนนี้มันว่างอยู่เพราะเจ้าของคนเดิมย้ายออกไปอยู่กับแฟน
ณัฐมลเตรียมผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟันกับชุดสำหรับเปลี่ยนมาให้ เผื่อว่าชายหนุ่มจะอยากอาบน้ำให้สบายตัว
“ขอบคุณมากครับพี่” กันติทัตยกมือไหว้อย่างรู้มารยาท
“ไม่ต้องไหว้หรอก มันทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองแก่ยังไงก็ไม่รู้ แค่ขอบคุณก็พอ ง่วงก็นอนได้เลยนะ ถ้าเบื่อจะใช้คอมฯ หรือขึ้นไปดูทีวีข้างบนก่อนก็ได้”
กันติทัตรับปากอย่างว่าง่ายแล้วยิ้มอย่างน่ารักกลับมาให้ ชายหนุ่มรับผ้าเช็ดตัวไปแต่ก็ยังไม่ไปไหน เขาช่วยเธอขายยาอย่างขะมักเขม้นโดยไม่ต้องร้องขอ นี่ถ้าเธอไม่หลงเสน่ห์พัลลภอยู่ สงสัยได้กลับใจมากินเด็กก็งานนี้
คืนนั้นกันติทัตเผลอหลับไปจนเช้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องจึงกลายเป็นว่าเขามานอนค้างอยู่ที่ร้านกับณัฐมล แต่ก็ไม่มีใครคิดมากเพราะต่างฝ่ายต่างบริสุทธิ์ใจ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สองหนุ่มสาวสนิทกันมากขึ้น กันติทัตเลยว่ามาคุยเล่นในตอนเย็นบ่อยๆ จนกลายเป็นเหมือนพี่น้องกันไปโดยไม่รู้ตัว
สองสัปดาห์ผ่านไป ในที่สุดวันนัดพบจิตแพทย์ของณัฐมลก็เวียนมาอีกครั้ง ช่วงสองสัปดาห์นี้เธอไม่มีโอกาสหาข้ออ้างมาเจอกับพัลลภเลยเพราะที่ร้านยุ่งมาก อยู่ๆ ลูกค้าก็ไหลมาเทมาจนแทบจะขายของไม่ทัน ยอดขายถล่มทลายจนยาเกลี้ยงสต็อก
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะกันติทัตแวะมาคุยด้วยและช่วยขายของเป็นประจำ ชายหนุ่มเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงแล้วอยู่คนเดียว ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าอยู่ลำพังคงไม่ปลอดภัย เขาเลยบอกใครๆ ว่าเป็นน้องชาย ถ้าว่างก็จะมาช่วยงานเสมอ สาวแท้สาวเทียมเลยแห่กันมาที่ร้าน เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าน้องชายเจ้าของร้านหล่อประหนึ่งเทพบุตรจุติ
นอกจากจะช่วยกระตุ้นยอดขายยาแล้ว หนุ่มหน้าใสคนนี้ยังช่วยเพิ่มยอดขายเวชสำอาง ด้วย บังเอิญว่ามีคนมาถามว่าทำไมกันติทัตถึงหน้าใส ชายหนุ่มก็บอกพวกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไป ซึ่งแต่ละอย่างเป็นของแพงทั้งนั้นและหาซื้อตามร้านทั่วไม่ไปได้ เลยมีคนสนใจบอกให้หามาขายเป็นจำนวนมาก กันติทัตจึงแนะนำให้ติดต่อไปที่บริษัทยาซึ่งเป็นกิจการของที่บ้าน ถ้าบอกว่าเขาแนะนำมา ณัฐมลจะได้รับส่วนลดพิเศษเท่ากับลูกค้ารายใหญ่
ชื่อบริษัทยายักษ์ใหญ่บอกให้เธอรู้ว่าชายหนุ่มเป็นลูกเศรษฐี นึกแล้วก็อดอิจฉาศศิชาไม่ได้ที่มีหนุ่มหล่อพ่อรวย แถมยังอยู่ในวัยขบเผาะมาหลงใหลได้ปลื้ม ผิดกับเธอที่ต้องพยายามแทบตาย ทั้งยังไม่ค่อยจะได้ผลอีกต่างหาก ตอนนี้เธอก็เริ่มมุกตันไม่รู้จะใช้แผนอะไรให้เขาหันมามองดี
ณัฐมลคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยระหว่างที่นั่งรออยู่หน้าห้องตรวจตามลำพัง ปกติเธอจะเจอคนคุ้นหน้านัดมาตรวจเวลาใกล้เคียงกันเสมอ พอเจ้าหน้าที่เรียกให้เข้าไปในห้องตรวจเธอก็เลยลองสอบถามดูว่าทุกคนไปไหนเสียหมด
“วันนี้มีประชุมใหญ่ค่ะ คุณหมอเลยยกเลิกนัด เหลือแต่ของคุณที่เวลาเป็นช่วงหลังเลิกประชุมพอดี เข้ามารอก่อนนะคะ อีกสักสิบห้านาทีคุณหมอก็มาแล้ว”
ณัฐมลรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างบอกไม่ถูก ถ้าให้รอต่อไปอีกสองสัปดาห์โดยที่ไม่ได้เห็นหน้าเทพบุตรในฝัน มีหวังเธอคงลงแดงตายไปเสียก่อน
หญิงสาวใช้ช่วงเวลาที่รอนี้มองสำรวจไปทั่วห้อง เธอมาที่นี่หลายครั้งแต่ยังไม่เคยสังเกตแบบจริงจังเสียที เธอเพิ่งรู้วันนี้เองว่าห้องนี้มีฟ้าอ่อน ขนาดดูเล็กกว่าที่คิด แต่ก็ไม่อึดอัดเพราะมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ชุดเดียว มุมห้องมีกระถางต้นไม้ตั้งอยู่หลายกระถาง ทำให้บรรยากาศของห้องดูสดชื่นขึ้น
ในขณะที่กำลังมองสำรวจอยู่นี้เอง สายตาของหญิงสาวก็ไปสะดุดเข้ากับเสื้อกราวน์ที่พาดเอาไว้ที่เก้าอี้
‘ของพี่หมอหรือเปล่านะ’ หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเอง ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาดูว่ามีคนอยู่หรือไม่
เมื่อปลอดคน ความอยากรู้อยากเห็นก็ดลใจให้หญิงสาวเดินไปที่เก้าอี้แล้วหยิบเสื้อกราวน์สีขาวขึ้นมาดู ตัวเสื้อไม่มีตัวอักษรปักเอาไว้ แต่มีป้ายเขียนชื่อนามสกุลของนายแพทย์พัลลภติดเอาไว้ที่อกเสื้อ
‘ของพี่หมอจริงๆ ด้วย อยากได้เป็นบ้าเลย!’
การขโมยไม่ใช่วิสัยของณัฐมล กระนั้นกลิ่นน้ำหอมที่ติดอยู่ที่เสื้อกับความคิดที่ว่ามีไออุ่นของเขาคงค้างอยู่ภายในมันก็ยั่วยวนเสียเหลือเกิน
‘ขอลองใส่กับกอดสักทีคงไม่เป็นอะไรมั้ง’
กว่าจะรู้ตัว หญิงสาวก็กอดเสื้อกราวน์ของชายหนุ่มเอาไว้แนบอก แล้วสูดกลิ่นหอมที่ติดอยู่ในเสื้อเข้าไปเต็มปอด
ขณะที่กำลังจะลองใส่อยู่นั้นเอง หูหญิงสาวก็แว่วเสียงเหมือนมีคนกำลังเปิดประตูเข้ามา ณัฐมลเลยหลบลงใต้โต๊ะโดยอัตโนมัติ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาจริงๆ หญิงสาวรีบโยนเสื้อลงกับพื้น แล้วแสร้งทำเป็นว่ากำลังหาของใต้โต๊ะ
“ตุ้มหูหลุดน่ะค่ะ เลยลงไปเก็บ” หญิงสาวลุกขึ้นมาอธิบายพลางชี้ที่หูประกอบคำพูด
ปรากฏว่าคนที่เดินเข้ามาคือสุดหล่อในฝันของเธอ นายแพทย์พัลลภไม่ติดใจสงสัยอะไร ชายหนุ่มส่งยิ้มให้แล้วเดินไปนั่งที่ของตัวเอง ดูเหมือนว่าเขาจะมองไม่เห็นว่ามีเสื้อกราวน์ตกอยู่ใต้โต๊ะ
ในขณะที่ณัฐมลกำลังโล่งใจ เขาก็ลุกพรวดขึ้นมาจากโต๊ะ ทำเอาคนมีความผิดติดตัวสะดุ้งโหยง
“ผมลืมของครับ ขอตัวไปเอาสักครู่นะครับ” พัลลภรีบร้อนมาเลยลืมหยิบแฟ้มประวัติผู้ป่วยติดมือมาเสียสนิท
“ค่ะ ตามสบายค่ะ” หญิงสาวลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ความไม่แตก
พอเขาไปแล้วเธอก็รีบหยิบเสื้อขึ้นมาปัดฝุ่น เจตนาคือนำมันไปวางคืนไว้ที่เดิมเขาจะได้ไม่สงสัย ทว่าพัลลภก็กลับมาเร็วกว่าที่เธอคิด หญิงสาวหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นได้ไม่กี่วินาที เสียงฝีเท้าคนก็ดังตรงมาที่ประตูห้องแล้ว ณัฐมลลนลานไม่รู้จะทำอย่างไร เธอก็เลยซ่อนหลักฐานอีกครั้งด้วยการหยิบมันยัดเข้าไปในกระเป๋าถือใบเขื่องที่พกมา
หญิงสาวซ่อนหลักฐานการกระทำความผิดได้อย่างฉิวเฉียด และดูเหมือนว่าพัลลภจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เสื้อกราวน์ของตัวเองหายไปเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเริ่มซักอาการตามปกติ จากนั้นก็ให้ใบสั่งยากับนัดมาพบอีกครั้งในสองสัปดาห์ข้างหน้า
พัลลภจับสังเกตท่าทางลุกลี้ลุกลนของหญิงสาวได้ แต่ชายหนุ่มไม่เอะใจว่ามันเกี่ยวกับเสื้อกราวน์ที่จำไม่ได้ว่าถอดเอาไว้ที่ไหน เขาคิดแค่เวลาสองสัปดาห์คงทำให้อาการของเธอดีขึ้น ณัฐมลไม่จ้องเขาตาเยิ้มเหมือนทุกที ชายหนุ่มจึงวางมาดขรึมและเว้นระยะห่างเอาไว้ ทั้งยังตั้งใจไม่สอบถามถึงท่าทีผิดปกติของเธอ เพื่อที่หญิงสาวจะไม่ได้ไม่คิดว่าเขาเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ
ทางด้านณัฐมล หญิงสาวกำลังกระวนกระวายอย่างหนักกับความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจก่อ จนลืมเรื่องคุณหมอสุดหล่อไปเสียสนิท เธอบอกตัวเองว่าต้องหาทางเอาเสื้อกราวน์ไปคืนยังที่ของมันให้จงได้ เมื่อออกจากห้องตรวจแล้ว หญิงสาวก็มาซุ่มรอหาจังหวะปลอดคนอยู่ด้านนอก
สักครู่หนึ่ง พัลลภก็เดินออกมาจากห้องตรวจเพื่อไปกินข้าวที่โรงอาหาร พอเขาไปแล้วณัฐมลก็รีบวิ่งไปที่ห้องตรวจทันที แต่แล้วก็ต้องกลับหลังหัน เมื่อเห็นว่ามีพยาบาลกับเจ้าหน้าที่เดินผ่านไปมา รอแล้วรอเล่าจนกระทั่งพัลลภกลับเข้ามาเธอก็ยังไม่มีโอกาสเข้าไป หญิงสาวจึงจำต้องรอให้ปลอดคนอีกครั้งในช่วงหัวค่ำซึ่งเป็นเวลาปิดคลินิกพิเศษ
หญิงสาวซุ่มดูจนมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นแล้ว จึงค่อยย่องออกมาจากที่ซ่อนอย่างเงียบกริบ
‘แค่เอาเสื้อไปคืนเท่านั้นเอง เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราต้องทำได้’ ณัฐมลให้กำลังใจตัวเองในระหว่างที่เอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูห้อง
แล้วหญิงสาวก็แทบจะกรีดร้องเมื่อเปิดประตูห้องไม่ได้ เธอหลบมุมอยู่จึงไม่รู้ว่าก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน มีเจ้าหน้าที่มาจัดการล็อกห้องเอาไว้
เมื่อจนหนทางจะเอาเสื้อไปคืน หญิงสาวก็ตัดสินใจวางมันทิ้งไว้แถวนั้นเพื่อหนีความผิด เธอแขวนมันไว้ที่ลูกบิดประตู เพื่อที่จะได้หาเจอง่ายๆ ในจังหวะที่กำลังแขวนเสื้ออยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงของบางอย่างในกระเป๋าเสื้อกระแทกกับบานไม้ เธอเลยเอื้อมมือไปจับดูแล้วก็พบว่ามันเป็นโทรศัพท์มือถือ
ขโมยเสื้อกราวน์มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่มีของมีค่าติดมาด้วย ถ้าใครรู้เข้ามีหวังเธอได้โดนข้อหาโรคจิตกับลักทรัพย์พร้อมกันทีเดียวสองกระทง ใจหนึ่งหญิงสาวนึกอยากจะรีบเผ่นหนีออกจากตรงนั้นแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่อีกใจก็เต็มไปด้วยสำนึกผิดบาปเอาไว้ เธอห่วงว่าถ้าทิ้งไว้ตรงนี้แล้วเกิดโทรศัพท์มือถือหายขึ้นมา มิเท่ากับเป็นความผิดของเธอหรอกเหรอ
‘ซวยแล้ว จะทำยังไงดีล่ะทีนี้’
หลังจากออกมาจากแผนกจิตเวชแล้ว ณัฐมลก็มาดักรอพัลลภอยู่ที่โรงอาหาร เธอรอจนกระทั่งได้เวลาเปิดคลินิกนอกเวลาเขาก็ยังไม่ออกมาเสียที หญิงสาวจึงเดินย้อนกลับไปที่แผนก แล้วก็เห็นว่ามีคนไข้กำลังเข้าไปรับการรักษา เธอเดาว่าวันนี้เขาไม่ออกมาหาอะไรกินหรือไม่ก็คงจะโทรศัพท์สั่งให้คนเอามาส่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อสักครึ่งชั่วโมงก่อนเธอเห็นคนเอาอาหารไปส่งที่แผนกจิตเวช ถ้าเอะใจเร็วกว่านี้สักนิดก็คงไม่ต้องรอเก้อแล้ว
ณัฐมลถอนหายใจด้วยความหดหู่ จนบัดนี้เธอยังไม่มีโอกาสได้กินอาหารร่วมโต๊ะกับสุดหล่อในฝันสักที จากวันแรกที่เริ่มแผนการ จนบัดนี้ก็ร่วมเดือนเศษแล้วก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า หญิงสาวนึกเบื่อจนอยากจะปิดร้านแล้วไปนวดตัวที่สปา แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้เพราะอดเสียดายรายได้ไม่ได้
ทำเลที่ตั้งร้านยาของเธออยู่ในย่านการค้าที่จะมีคนหนาตาในช่วงสายไปจนถึงประมาณบ่ายสองโมง จากนั้นจะกลับมาคึกคักอีกทีก็ตอนหลังห้าโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาของตลาดนัดกลางคืน รายได้หลักของร้านจึงมักจะได้มาตอนช่วงพระอาทิตย์ตกดินเป็นต้นไป อลินยืนกรานหนักแน่นว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะไม่ทำงานกะเย็นอย่างเด็ดขาด เพราะจะต้องรีบกลับไปดูละคร ดังนั้นถ้าจะเปิดร้าน หญิงสาวก็ต้องอยู่เฝ้าร้านเอง
ณัฐมลกลับมาถึงที่ร้านตอนหกโมงครึ่ง มองเวลาแล้วก็นึกห่วงว่าอลินจะต้องบ่นเธอแน่ ปกติวันหยุดของเธอก็จะเป็นวันหยุดของอลินด้วย แต่วันนี้นอกจากจะไม่หยุดให้แล้ว เธอยังใช้อีกฝ่ายเฝ้าร้านทั้งวันแถมยังกลับมาช้าเกินกำหนดที่บอกไว้อีก
พอเข้าไปในบ้านเธอเลยส่งเสียงตะโกนบอกขอโทษเอาไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้อลินบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ถ้าเป็นคนอื่น เป็นแค่ลูกจ้างแล้วมาบ่นใส่นายจ้าง ณัฐมลคงไม่ยอม แต่อลินเป็นเหมือนญาติสนิทที่ไว้ใจได้ เธอจึงไม่คิดว่าการบ่นหรือตัดพ้อต่อว่าในบางครั้งเป็นเรื่องใหญ่
“โอ๊ะโอขึ้นไปดูทีวีข้างบนได้เลยนะ ถ้ากลับดึก พรุ่งนี้เปิดร้านสายหน่อยก็ได้” หญิงสาวร้องบอกเพิ่ม ขณะที่กำลังเดินจากครัวมาที่หน้าร้าน
“ไม่เป็นไรค่ะเจ๊ แค่นี้โอ๊ะโอทำให้ได้สบายมาก” อลินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหวานหยดจนคนฟังต้องย่นหัวคิ้ว
พอเดินไปที่หน้าร้าน ณัฐมลก็ได้คำตอบว่าอะไรทำให้เจ้าหล่อนอารมณ์ดีผิดปกติ บริเวณโซฟาที่จัดไว้ให้ลูกค้านั่ง มีหนุ่มสุดหล่อที่น่ามองยิ่งกว่าพระเอกละครนั่งอยู่ เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่าเย็นนี้นัดกับกันติทัตเอาไว้
“สวัสดีครับพี่แป้ง ขอรบกวนหน่อยนะครับ” ชายหนุ่มลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหา
“สำหรับน้องครามไม่เรียกว่ารบกวนหรอกจ้ะ พี่ยินดีเสมอ” อลินตอบแทน พลางชะม้ายชายตาให้กันทิทัตเป็นการใหญ่
“เช็ดน้ำลายหน่อยโอ๊ะโอ หกเต็มพื้นแล้ว” หญิงสาวแซว แล้วหันมาคุยกับแขก “มานานหรือยังคราม ขอพี่กินน้ำหน่อยนะแล้วค่อยคุยกัน”
“ตามสบายเลยครับพี่แป้ง พี่แป้งกินอะไรมาหรือยังครับ ผมซื้อซูชิมาฝาก” ชายหนุ่มเดินกลับไปที่โซฟาแล้วก็ยื่นถุงใบใหญ่ที่ใส่ของฝากให้
“อุ๊ย! ขอบคุณมากจ้ะ” อลินถลามารับแทนอีกหน
“น้อยๆ หน่อยย่ะ เขาซื้อมาฝากฉันนะยะ” ณัฐมลแยกเขี้ยวใส่ด้วยความหมั่นไส้
“ของพี่โอ๊ะโอก็มีครับ ผมซื้อมาเผื่อสำหรับห้าที่เพราะไม่ทราบว่าอยู่กันกี่คน”
“ต๊าย! อุตส่าห์นึกถึงพี่ด้วย หล่อแล้วยังน้ำใจงามอีก” อลินเข้าไปกุมมือกันติทัตเอาไว้ แววตาแฝงเจตนาชัดว่าตั้งใจจะหลอกจับมือ
กันติทัตยิ้มรับแล้วดึงมือกลับอย่างสุภาพ เห็นแล้วก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าชายหนุ่มไม่ถือสาหรือไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกลวนลามกันแน่ ณัฐมลนึกห่วงอยู่บ้าง แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ร้องโวยวายให้ช่วย มันก็ใช่เรื่องที่เธอจะเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการ หญิงสาวเลยเบนสายตามาที่ของฝากแทน
ชุดซูชิหรูจากโรงแรมดังทำเอาน้ำลายสอ เธอเคยไปกินอาหารญี่ปุ่นที่โรงแรมนี้มา ราคามันไม่ได้แพงขนาดที่เรียกว่าเกินเอื้อม แต่ก็ถือว่าสูงสำหรับชนชั้นกลาง ลองทุ่มทุนกับของฝากแบบนี้สงสัยกันติทัตจะมีเรื่องใหญ่มาปรึกษา ณัฐมลเลยจัดการเรียกอลินรวมถึงเจ้าของของฝากอย่างกันติทัตมานั่งกินซูชิกันเสียก่อน อิ่มท้องแล้วจึงไล่ตัวป่วนอย่างอลินกลับบ้าน จากนั้นก็ปิดร้านชั่วคราวเพื่อที่จะได้คุยกันให้เป็นส่วนตัวมากขึ้น
“ยังไม่ได้เวลาปิดร้านเลย ครามรอได้นะครับหรือจะคุยไปเปิดร้านไปก็ได้”
ชายหนุ่มค่อนข้างเกรงใจเพราะเห็นอยู่ว่าป้ายหน้าร้านติดเอาไว้ว่าเวลาปิดร้านคือสี่ทุ่ม ตอนนี้เพิ่งจะทุ่มครึ่งเท่านั้นเอง
“ไม่เป็นไรหรอกคราม คุยกันแบบส่วนตัวไม่ต้องพะวงเรื่องขายของสะดวกกว่า ครามมีอะไรจะปรึกษาพี่ล่ะ เรื่องชาใช่ไหม”
กันทิตพยักหน้ารับ ชายหนุ่มประสานมือเข้าด้วยกันแล้วเอาไปวางไปที่หน้าขา ก่อนจะบอกเล่าปัญหาของตัวเองด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“สามวันก่อน ผมตั้งใจจะชวนคุณหมอศศิชาออกไปกินข้าวด้วยกันครับ แต่ว่ายังไม่ทันพูดอะไร คุณหมอก็พูดสวนขึ้นมาก่อน”
“พูดอะไร” ณัฐมลถามอย่างตื่นเต้น
“คุณหมอศศิชาถามผมว่าส่งไดอารี่มาให้ทำไม”
“ไดอารี่อะไร?”
“ไม่ทราบสิครับ ผมบอกไปว่าไม่ได้ส่ง ที่ส่งไปก็มีแค่ข้อความเท่านั้น”
“ไม่ได้ฟังผิดนะ”
“ผมมั่นใจครับ ได้ยินชัดเลย”
พอปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งไดอารี่มา ศศิชาก็ทำหน้าเฉยๆ แล้วก็เดินจากไป เขานั่งคิดมาหลายวันว่าหญิงสาวหมายความว่าอย่างไรแต่ก็นึกไม่ออก ชายหนุ่มนึกห่วงว่าอาจจะเผลอทำให้ศศิชาโกรธโดยไม่รู้ตัวก็เลยมาปรึกษาณัฐมล
ณัฐมลนั่งงงเป็นเพื่อนกันติทัตอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยซักเพิ่มว่าศศิชามีปฏิกิริยาแปลกไปหรือไม่ คำตอบที่ได้คือไม่มี เธอดูนิ่งเฉยเหมือนทุกทีแต่ก็ไม่มีอาการบึ้งตึงใส่
“แปลก…แล้วไดอารี่มันมาได้ยังไง” พึมพำได้เท่านี้ ณัฐมลก็สะกิดใจบางอย่าง เธอจึงหันหน้าไปหากันติทัต แล้วแบมือขอโทรศัพท์มือถือจากชายหนุ่ม “ขอพี่อ่านข้อความที่เราส่งไปให้ชาได้ไหม เผื่อจะเข้าใจอะไรมากขึ้น”
“ผมก็อยากให้อ่านนะครับ แต่ว่ามันค่อนข้างน่าอาย คือแบบว่ามัน…”
ชายหนุ่มตั้งท่าจะปฏิเสธ ณัฐมลก็เลยขู่กลับเพราะไม่อยากเสียเวลากล่อมให้เมื่อยปาก
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เข้าใจต่อไปแล้วกันนะ พี่จนใจจะช่วย”
ถ้าอยากรู้จริงๆ โทรศัพท์ไปถามศศิชาคงง่ายกว่า แต่ถ้าทำแบบนั้นมีหวังความแตกว่าเธอเป็นที่ปรึกษาให้กันติทัต นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว เธออาจจะโดนเอ็ดด้วย ศศิชาไม่ชอบให้ใครมาเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทอย่างเธอก็ตาม
“ก็ได้ครับ” กันติทัตจำใจยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้อย่างขัดเสียไม่ได้
หญิงสาวรับมากดไล่ดูข้อความที่ส่งออกไป เธอเริ่มอ่านจากข้อความล่าสุดดูก่อน แล้วก็เห็นว่ามันเริ่มต้นด้วยคำทักทาย จากนั้นก็เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับว่าวันนี้ต้องทำอะไรไปไหนบ้างยาวเหยียด เธอขี้เกียจอ่านเลยกดเลื่อนลงมา กดแล้วกดอีกจนเมื่อยมือ ข้อความมันก็ไม่หมดสักที
“นี่มันอะไร” ณัฐมลยื่นโทรศัพท์กลับไปให้เจ้าตัวดู
“ก็ข้อความที่พี่แป้งบอกให้ผมพิมพ์ไงครับ พี่บอกว่าอรุณสวัสดิ์กับราตรีสวัสดิ์มันทื่อไป ให้เขียนอะไรที่ยาวหน่อยให้ดูน่าสนใจ ผมเลยเล่าเรื่องแต่ละวันแล้วก็เขียนอะไรที่นึกได้ลงไปน่ะครับ ทีแรกก็พิมพ์ในมือถือ ตอนหลังผมเลยพิมพ์ในคอมฯ แล้วโหลดข้อความลงไปแทน สะดวกดีนะครับ”
“พิมพ์ยาวๆ อย่างนี้ให้ทุกวันเลยเหรอ”
“ครับ อย่างที่พี่แป้งบอกเอาไว้ไงครับ เป็นลูกผู้ชายต้องสม่ำเสมอ” กันติทัตเอ่ยด้วยน้ำเสียงภูมิใจที่ทำตามคำแนะนำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ณัฐมลยอมรับว่าแนะนำไปอย่างนั้นจริง แต่ก็ไม่คิดว่าพ่อหนุ่มแบ๊วคนนี้จะส่งข้อความยาวเหยียดแบบอลังการงานสร้างไป เรียกไดอารี่มันยังน้อยไป บุญเท่าไรแล้วที่ศศิชาไม่เรียกว่าเรียงความ เผลอๆ แม่เพื่อนตัวดีอาจจะลบทิ้งไปโดยไม่อ่านเลยก็ได้
“คราม…พี่เข้าใจแล้วล่ะว่าปัญหามันคืออะไร ข้อความเราน่ะยาวไป ชาก็เลยคิดว่าเป็นไดอารี่น่ะสิ”
ความจริงทำให้กันติทัตทำหน้าเหวอ พอนึกได้ว่าข้อความยาวเหยียดของเขาอาจจะเป็นการรบกวนศศิชา ชายหนุ่มก็เริ่มร้อนรน
“ผมจะทำยังไงดีครับพี่แป้ง”
ท่าทีเหมือนลูกสุนัขหลงทางชวนให้รู้สึกสงสารแล้วก็เอ็นดูไปพร้อมกัน
“ขอคิดก่อนนะ” ณัฐมลเสยผมขึ้นแล้วเริ่มคิดอย่างจริงจัง
หญิงสาวให้กันติทัตเล่าปฏิกิริยาของศศิชาในเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟังอีกครั้ง ศศิชาไม่ได้บอกให้หยุดส่งข้อความหรือทำท่ารำคาญ เธอก็เลยให้กันติทัตส่งข้อความต่อไป พร้อมกับแนะนำแผนการเพิ่มอีกหนึ่งขั้น นั่นคือการแวะไปให้หญิงสาวเห็นหน้า หาเรื่องพูดคุยด้วยบ่อยขึ้นเพื่อลดอาการประหม่า ยกตัวอย่างเช่นการแวะไปที่แผนก ทักทายสองสามประโยคแล้วก็กลับออกมา ศศิชาจะได้ไม่รำคาญ
“ระหว่างนั้นถ้ามีโอกาสก็ชวนไปกินข้าวเลยก็ได้ พี่แนะนำให้ไปกินร้านใกล้ๆ หรือในโรงพยาบาลก่อน ชาไม่ชอบนั่งรถนาน แล้วก็เกลียดรถติดด้วย”
“ได้ครับ ผมจะทำตาม” กันติทัตไม่เพียงแต่รับคำเท่านั้น ชายหนุ่มยังหยิบปากกาสำหรับใช้เขียนบนจอโทรศัพท์มือถือมาจดข้อความลงไปด้วย
ณัฐมลให้คำแนะนำไปอีกหลายอย่าง เธอพยายามช่วยพ่อหนุ่มคนนี้เท่าที่จะช่วยได้เพราะเห็นแล้วก็รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมองตัวเองอยู่
“ขอบคุณพี่แป้งมากนะครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ”
“ได้จ้ะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยพี่จะบอกแล้วกัน ครามก็ไม่ต้องเกรงใจพี่นะ มาเที่ยวที่ร้านได้ตลอด พี่เฝ้าร้านคนเดียวอยู่แล้ว ไม่เรียกว่ารบกวนหรอก”
เมื่อหมดธุระ กันติทัตก็ขอตัวกลับ ส่วนณัฐมลก็เปิดร้านต่อเพราะเพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้น เปิดร้านได้สักสิบนาที กันติทัตก็เดินกลับมาหา ชายหนุ่มกลับบ้านไม่ได้เพราะว่าจอดรถเอาไว้ค่อนข้างลึก ขามายังเข้ามาได้เพราะแม่ค้ายังไม่ได้ตั้งแผง แต่ขากลับนี่สิเอารถออกไม่ได้เพราะติดแผงสินค้าและมีการปิดถนนห้ามไม่ให้รถผ่าน
“กว่าจะเอารถออกได้ก็หลังเที่ยงคืนตีหนึ่งนู้นแหละ ครามอยู่ร้านพี่ไปพลางๆ ก่อนก็ได้ จะค้างก็ได้นะ พี่มีห้องว่าง พรุ่งนี้ค่อยไปแต่เช้า”
ห้องว่างที่ว่าคือห้องเก่าของอลินซึ่งอยู่ติดกับห้องครัว ตอนนี้มันว่างอยู่เพราะเจ้าของคนเดิมย้ายออกไปอยู่กับแฟน
ณัฐมลเตรียมผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟันกับชุดสำหรับเปลี่ยนมาให้ เผื่อว่าชายหนุ่มจะอยากอาบน้ำให้สบายตัว
“ขอบคุณมากครับพี่” กันติทัตยกมือไหว้อย่างรู้มารยาท
“ไม่ต้องไหว้หรอก มันทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองแก่ยังไงก็ไม่รู้ แค่ขอบคุณก็พอ ง่วงก็นอนได้เลยนะ ถ้าเบื่อจะใช้คอมฯ หรือขึ้นไปดูทีวีข้างบนก่อนก็ได้”
กันติทัตรับปากอย่างว่าง่ายแล้วยิ้มอย่างน่ารักกลับมาให้ ชายหนุ่มรับผ้าเช็ดตัวไปแต่ก็ยังไม่ไปไหน เขาช่วยเธอขายยาอย่างขะมักเขม้นโดยไม่ต้องร้องขอ นี่ถ้าเธอไม่หลงเสน่ห์พัลลภอยู่ สงสัยได้กลับใจมากินเด็กก็งานนี้
คืนนั้นกันติทัตเผลอหลับไปจนเช้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องจึงกลายเป็นว่าเขามานอนค้างอยู่ที่ร้านกับณัฐมล แต่ก็ไม่มีใครคิดมากเพราะต่างฝ่ายต่างบริสุทธิ์ใจ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สองหนุ่มสาวสนิทกันมากขึ้น กันติทัตเลยว่ามาคุยเล่นในตอนเย็นบ่อยๆ จนกลายเป็นเหมือนพี่น้องกันไปโดยไม่รู้ตัว
สองสัปดาห์ผ่านไป ในที่สุดวันนัดพบจิตแพทย์ของณัฐมลก็เวียนมาอีกครั้ง ช่วงสองสัปดาห์นี้เธอไม่มีโอกาสหาข้ออ้างมาเจอกับพัลลภเลยเพราะที่ร้านยุ่งมาก อยู่ๆ ลูกค้าก็ไหลมาเทมาจนแทบจะขายของไม่ทัน ยอดขายถล่มทลายจนยาเกลี้ยงสต็อก
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะกันติทัตแวะมาคุยด้วยและช่วยขายของเป็นประจำ ชายหนุ่มเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงแล้วอยู่คนเดียว ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าอยู่ลำพังคงไม่ปลอดภัย เขาเลยบอกใครๆ ว่าเป็นน้องชาย ถ้าว่างก็จะมาช่วยงานเสมอ สาวแท้สาวเทียมเลยแห่กันมาที่ร้าน เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าน้องชายเจ้าของร้านหล่อประหนึ่งเทพบุตรจุติ
นอกจากจะช่วยกระตุ้นยอดขายยาแล้ว หนุ่มหน้าใสคนนี้ยังช่วยเพิ่มยอดขายเวชสำอาง ด้วย บังเอิญว่ามีคนมาถามว่าทำไมกันติทัตถึงหน้าใส ชายหนุ่มก็บอกพวกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไป ซึ่งแต่ละอย่างเป็นของแพงทั้งนั้นและหาซื้อตามร้านทั่วไม่ไปได้ เลยมีคนสนใจบอกให้หามาขายเป็นจำนวนมาก กันติทัตจึงแนะนำให้ติดต่อไปที่บริษัทยาซึ่งเป็นกิจการของที่บ้าน ถ้าบอกว่าเขาแนะนำมา ณัฐมลจะได้รับส่วนลดพิเศษเท่ากับลูกค้ารายใหญ่
ชื่อบริษัทยายักษ์ใหญ่บอกให้เธอรู้ว่าชายหนุ่มเป็นลูกเศรษฐี นึกแล้วก็อดอิจฉาศศิชาไม่ได้ที่มีหนุ่มหล่อพ่อรวย แถมยังอยู่ในวัยขบเผาะมาหลงใหลได้ปลื้ม ผิดกับเธอที่ต้องพยายามแทบตาย ทั้งยังไม่ค่อยจะได้ผลอีกต่างหาก ตอนนี้เธอก็เริ่มมุกตันไม่รู้จะใช้แผนอะไรให้เขาหันมามองดี
ณัฐมลคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยระหว่างที่นั่งรออยู่หน้าห้องตรวจตามลำพัง ปกติเธอจะเจอคนคุ้นหน้านัดมาตรวจเวลาใกล้เคียงกันเสมอ พอเจ้าหน้าที่เรียกให้เข้าไปในห้องตรวจเธอก็เลยลองสอบถามดูว่าทุกคนไปไหนเสียหมด
“วันนี้มีประชุมใหญ่ค่ะ คุณหมอเลยยกเลิกนัด เหลือแต่ของคุณที่เวลาเป็นช่วงหลังเลิกประชุมพอดี เข้ามารอก่อนนะคะ อีกสักสิบห้านาทีคุณหมอก็มาแล้ว”
ณัฐมลรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างบอกไม่ถูก ถ้าให้รอต่อไปอีกสองสัปดาห์โดยที่ไม่ได้เห็นหน้าเทพบุตรในฝัน มีหวังเธอคงลงแดงตายไปเสียก่อน
หญิงสาวใช้ช่วงเวลาที่รอนี้มองสำรวจไปทั่วห้อง เธอมาที่นี่หลายครั้งแต่ยังไม่เคยสังเกตแบบจริงจังเสียที เธอเพิ่งรู้วันนี้เองว่าห้องนี้มีฟ้าอ่อน ขนาดดูเล็กกว่าที่คิด แต่ก็ไม่อึดอัดเพราะมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ชุดเดียว มุมห้องมีกระถางต้นไม้ตั้งอยู่หลายกระถาง ทำให้บรรยากาศของห้องดูสดชื่นขึ้น
ในขณะที่กำลังมองสำรวจอยู่นี้เอง สายตาของหญิงสาวก็ไปสะดุดเข้ากับเสื้อกราวน์ที่พาดเอาไว้ที่เก้าอี้
‘ของพี่หมอหรือเปล่านะ’ หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเอง ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาดูว่ามีคนอยู่หรือไม่
เมื่อปลอดคน ความอยากรู้อยากเห็นก็ดลใจให้หญิงสาวเดินไปที่เก้าอี้แล้วหยิบเสื้อกราวน์สีขาวขึ้นมาดู ตัวเสื้อไม่มีตัวอักษรปักเอาไว้ แต่มีป้ายเขียนชื่อนามสกุลของนายแพทย์พัลลภติดเอาไว้ที่อกเสื้อ
‘ของพี่หมอจริงๆ ด้วย อยากได้เป็นบ้าเลย!’
การขโมยไม่ใช่วิสัยของณัฐมล กระนั้นกลิ่นน้ำหอมที่ติดอยู่ที่เสื้อกับความคิดที่ว่ามีไออุ่นของเขาคงค้างอยู่ภายในมันก็ยั่วยวนเสียเหลือเกิน
‘ขอลองใส่กับกอดสักทีคงไม่เป็นอะไรมั้ง’
กว่าจะรู้ตัว หญิงสาวก็กอดเสื้อกราวน์ของชายหนุ่มเอาไว้แนบอก แล้วสูดกลิ่นหอมที่ติดอยู่ในเสื้อเข้าไปเต็มปอด
ขณะที่กำลังจะลองใส่อยู่นั้นเอง หูหญิงสาวก็แว่วเสียงเหมือนมีคนกำลังเปิดประตูเข้ามา ณัฐมลเลยหลบลงใต้โต๊ะโดยอัตโนมัติ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาจริงๆ หญิงสาวรีบโยนเสื้อลงกับพื้น แล้วแสร้งทำเป็นว่ากำลังหาของใต้โต๊ะ
“ตุ้มหูหลุดน่ะค่ะ เลยลงไปเก็บ” หญิงสาวลุกขึ้นมาอธิบายพลางชี้ที่หูประกอบคำพูด
ปรากฏว่าคนที่เดินเข้ามาคือสุดหล่อในฝันของเธอ นายแพทย์พัลลภไม่ติดใจสงสัยอะไร ชายหนุ่มส่งยิ้มให้แล้วเดินไปนั่งที่ของตัวเอง ดูเหมือนว่าเขาจะมองไม่เห็นว่ามีเสื้อกราวน์ตกอยู่ใต้โต๊ะ
ในขณะที่ณัฐมลกำลังโล่งใจ เขาก็ลุกพรวดขึ้นมาจากโต๊ะ ทำเอาคนมีความผิดติดตัวสะดุ้งโหยง
“ผมลืมของครับ ขอตัวไปเอาสักครู่นะครับ” พัลลภรีบร้อนมาเลยลืมหยิบแฟ้มประวัติผู้ป่วยติดมือมาเสียสนิท
“ค่ะ ตามสบายค่ะ” หญิงสาวลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ความไม่แตก
พอเขาไปแล้วเธอก็รีบหยิบเสื้อขึ้นมาปัดฝุ่น เจตนาคือนำมันไปวางคืนไว้ที่เดิมเขาจะได้ไม่สงสัย ทว่าพัลลภก็กลับมาเร็วกว่าที่เธอคิด หญิงสาวหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นได้ไม่กี่วินาที เสียงฝีเท้าคนก็ดังตรงมาที่ประตูห้องแล้ว ณัฐมลลนลานไม่รู้จะทำอย่างไร เธอก็เลยซ่อนหลักฐานอีกครั้งด้วยการหยิบมันยัดเข้าไปในกระเป๋าถือใบเขื่องที่พกมา
หญิงสาวซ่อนหลักฐานการกระทำความผิดได้อย่างฉิวเฉียด และดูเหมือนว่าพัลลภจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เสื้อกราวน์ของตัวเองหายไปเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเริ่มซักอาการตามปกติ จากนั้นก็ให้ใบสั่งยากับนัดมาพบอีกครั้งในสองสัปดาห์ข้างหน้า
พัลลภจับสังเกตท่าทางลุกลี้ลุกลนของหญิงสาวได้ แต่ชายหนุ่มไม่เอะใจว่ามันเกี่ยวกับเสื้อกราวน์ที่จำไม่ได้ว่าถอดเอาไว้ที่ไหน เขาคิดแค่เวลาสองสัปดาห์คงทำให้อาการของเธอดีขึ้น ณัฐมลไม่จ้องเขาตาเยิ้มเหมือนทุกที ชายหนุ่มจึงวางมาดขรึมและเว้นระยะห่างเอาไว้ ทั้งยังตั้งใจไม่สอบถามถึงท่าทีผิดปกติของเธอ เพื่อที่หญิงสาวจะไม่ได้ไม่คิดว่าเขาเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ
ทางด้านณัฐมล หญิงสาวกำลังกระวนกระวายอย่างหนักกับความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจก่อ จนลืมเรื่องคุณหมอสุดหล่อไปเสียสนิท เธอบอกตัวเองว่าต้องหาทางเอาเสื้อกราวน์ไปคืนยังที่ของมันให้จงได้ เมื่อออกจากห้องตรวจแล้ว หญิงสาวก็มาซุ่มรอหาจังหวะปลอดคนอยู่ด้านนอก
สักครู่หนึ่ง พัลลภก็เดินออกมาจากห้องตรวจเพื่อไปกินข้าวที่โรงอาหาร พอเขาไปแล้วณัฐมลก็รีบวิ่งไปที่ห้องตรวจทันที แต่แล้วก็ต้องกลับหลังหัน เมื่อเห็นว่ามีพยาบาลกับเจ้าหน้าที่เดินผ่านไปมา รอแล้วรอเล่าจนกระทั่งพัลลภกลับเข้ามาเธอก็ยังไม่มีโอกาสเข้าไป หญิงสาวจึงจำต้องรอให้ปลอดคนอีกครั้งในช่วงหัวค่ำซึ่งเป็นเวลาปิดคลินิกพิเศษ
หญิงสาวซุ่มดูจนมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นแล้ว จึงค่อยย่องออกมาจากที่ซ่อนอย่างเงียบกริบ
‘แค่เอาเสื้อไปคืนเท่านั้นเอง เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราต้องทำได้’ ณัฐมลให้กำลังใจตัวเองในระหว่างที่เอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูห้อง
แล้วหญิงสาวก็แทบจะกรีดร้องเมื่อเปิดประตูห้องไม่ได้ เธอหลบมุมอยู่จึงไม่รู้ว่าก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน มีเจ้าหน้าที่มาจัดการล็อกห้องเอาไว้
เมื่อจนหนทางจะเอาเสื้อไปคืน หญิงสาวก็ตัดสินใจวางมันทิ้งไว้แถวนั้นเพื่อหนีความผิด เธอแขวนมันไว้ที่ลูกบิดประตู เพื่อที่จะได้หาเจอง่ายๆ ในจังหวะที่กำลังแขวนเสื้ออยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงของบางอย่างในกระเป๋าเสื้อกระแทกกับบานไม้ เธอเลยเอื้อมมือไปจับดูแล้วก็พบว่ามันเป็นโทรศัพท์มือถือ
ขโมยเสื้อกราวน์มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่มีของมีค่าติดมาด้วย ถ้าใครรู้เข้ามีหวังเธอได้โดนข้อหาโรคจิตกับลักทรัพย์พร้อมกันทีเดียวสองกระทง ใจหนึ่งหญิงสาวนึกอยากจะรีบเผ่นหนีออกจากตรงนั้นแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่อีกใจก็เต็มไปด้วยสำนึกผิดบาปเอาไว้ เธอห่วงว่าถ้าทิ้งไว้ตรงนี้แล้วเกิดโทรศัพท์มือถือหายขึ้นมา มิเท่ากับเป็นความผิดของเธอหรอกเหรอ
‘ซวยแล้ว จะทำยังไงดีล่ะทีนี้’

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ย. 2554, 22:10:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2555, 15:21:54 น.
จำนวนการเข้าชม : 2859
<< บทที่ 7 ระยะห่าง | บทที่ 9 สตอล์กเกอร์ >> |

ปรางขวัญ 10 ก.ย. 2554, 22:37:17 น.
หายเร็วๆนะคะคุณนิชาภา
ดีใจๆจะได้รอลุ้นดูปฏิกิริยาของคุณหมอกับณัฐมลต่อ
หายเร็วๆนะคะคุณนิชาภา
ดีใจๆจะได้รอลุ้นดูปฏิกิริยาของคุณหมอกับณัฐมลต่อ

แล่นแต๊ 10 ก.ย. 2554, 23:18:42 น.
หายไวๆนะคะ
หายไวๆนะคะ

หมูอ้วน 11 ก.ย. 2554, 05:42:08 น.
รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ
รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ

Pat 11 ก.ย. 2554, 09:46:17 น.
ไม่ถือโทษ แต่ยินดีรับการไถ่โทษ(อิอิ จะได้อ่านวันเว้นวัน ดีใจ) รักษาสุขภาพด้วยค่ะ
ไม่ถือโทษ แต่ยินดีรับการไถ่โทษ(อิอิ จะได้อ่านวันเว้นวัน ดีใจ) รักษาสุขภาพด้วยค่ะ



Zephyr 12 ก.ย. 2554, 00:00:59 น.
หายไวๆนะคะ รักษาสุขภาพด้วย คงไม่นอนเป็นแมวน้ำตลอดไปหรอกนะ หึหึ กรี๊ด ได้อ่านวันเว้นวัน มีความสุขจริงๆ แต่ แหม หมอพันนี่ขี้ลืมใช้ได้เลย เสื้อกาวน์ก็ของหากินนะน่ะ มือถืออีก คราวนี้แป้งเค้าบริสุทธิ์ใจนะ อย่าดุเลย
หายไวๆนะคะ รักษาสุขภาพด้วย คงไม่นอนเป็นแมวน้ำตลอดไปหรอกนะ หึหึ กรี๊ด ได้อ่านวันเว้นวัน มีความสุขจริงๆ แต่ แหม หมอพันนี่ขี้ลืมใช้ได้เลย เสื้อกาวน์ก็ของหากินนะน่ะ มือถืออีก คราวนี้แป้งเค้าบริสุทธิ์ใจนะ อย่าดุเลย


cherryfirm 16 ต.ค. 2554, 23:36:23 น.
อ่านเหตุผลที่หายไปไม่มาต่อนิยาย นี่....สุดบรรยายเลยอ่ะ...อิอิ
อ่านเหตุผลที่หายไปไม่มาต่อนิยาย นี่....สุดบรรยายเลยอ่ะ...อิอิ