เพียงใจเสน่าหา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อเทพบุตรในฝันมายืนอยู่ตรงหน้ามีหรือคนอย่างแป้งร่ำจะปล่อยให้หลุดมือ ปฏิบัติการล่ารักฉบับพลีชีพจึงเกิดขึ้น แต่เอ๊ะยังไง นานๆไปเทพบุตรในฝันกลับกลายร่าง รู้ตัวอีกทีเธอก็เป็น "เป็ดน้อยในมือซาตานไปแล้ว"

เรื่องนี้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ไลต์ออฟเลิฟค่ะ เป็นภาคต่อของมธุรัตน์เสน่หา สามารถสั่งซื้อได้ในราคาลด 15% ได้ที่เว็บนี้นะคะ
http://www.lightoflovebooks.com/

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกรั่วๆ นางเป็นเภสัชกร พระเอกเป็นจิตแพทย์

ตอน: บทที่ 11 ไม่คาดคิด

บทที่ 11 ไม่คาดคิด

ในขณะที่กันติทัตถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดี คนใจร้ายทอดทิ้งน้องก็ถูกกรรมตามสนองโดนทิ้งบ้าง หญิงสาวได้รับข้อความจากศศิชาว่ามาหาไม่ได้แล้ว แต่นัดให้ไปเจอที่ร้านอาหารนอกห้างสรรพสินค้าแทน

ณัฐมลไม่ได้สนใจจะเปิดอ่านข้อความเลยสักนิด สาเหตุไม่ใช่เพราะมัวแต่ดูภาพยนตร์ แต่เป็นเพราะมัวแอบมองคนนั่งข้างๆ ต่างหาก

ถึงในโรงหนังจะค่อนข้างมืด แต่ณัฐมลก็ยังสู้อุตส่าห์พยายามมองสำรวจชายหนุ่ม ผมเขาดูยาวขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอนิดหน่อย รูปร่างดูไม่อ้วนหรือผอมลงเลย ส่วนใบหน้ายังดูหล่อเหลาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน พอเห็นเขายิ้มหรือหัวเราะเพราะเนื้อหาภาพยนตร์ เธอก็แทบจะละลายตายคาที่

หญิงสาวชอบเวลาที่เขายิ้มจนเห็นลักยิ้มข้างแก้มเป็นพิเศษ แต่ก็จ้องมองนานๆ ไม่ได้ เพราะเห็นแล้วมันไปกระตุ้นต่อมความคิด อยากก่ออาชญากรรมอย่างลักพาตัวดู ถ้าจับตัวเขามาได้ เธอคงจะล่ามโซ่ขังเอาไว้ในบ้านไม่ให้ออกไปไหน เขาจะได้เป็นของเธอคนเดียว

พอรู้ตัวว่าเริ่มมีจินตนาการแบบเลยกรอบศีลธรรม ณัฐมลก็ละสายตาจากใบหน้าของเทพบุตรสุดหล่อเพื่อตั้งสติ ประจวบเหมาะกับที่พัลลภหันมาพอดี หญิงสาวก็เลยรีบก้มตัวทำเป็นกำลังเก็บของ

ถึงจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ทว่าเรื่องในอดีตมันก็ตามมาหลอกหลอน เธอกลัวว่าเขาจะระแคะระคายว่าคนที่แอบสะกดรอยตามเขาเป็นเธอ เลยพานวิตกไปล่วงหน้าว่าเขาจะคิดว่าเธอกลับมาแอบตามอีก

ณัฐมลลอบมองพัลลภอยู่อย่างนี้จนกระทั่งหนังฉายจบ ไฟที่สว่างวาบขึ้นมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เธอหันขวับไปมองพัลลภ นึกหวั่นใจว่าเขาจะหันมาประสานสายตากับเธอพอดี แต่ก็ไม่เกิดเรื่องอย่างที่คิดขึ้น พอไฟสว่างเขาก็ผุดลุกจากที่นั่งแล้วก้าวยาวๆ เดินออกไปโดยไม่สนใจใคร

หญิงสาวลุกตามออกไปโดยอัตโนมัติ ใจเธอนึกอยากจะเข้าไปทักทายเขาแต่ก็ยังลังเล เลยได้แต่เดินตามไปอย่างกระชั้น

‘เอาไงดี ทักดีไม่ทักดี’

ความลังเลทำให้ช่วงก้าวของณัฐมลช้าลง ระยะห่างระหว่างสองหนุ่มสาวเลยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพเขาถอยห่างออกไปไกลเกินเอื้อมทำให้รู้สึกใจหายวาบ พอคิดว่าตัวเองไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และอาจจะไม่ได้พบกันอีก หญิงสาวก็ตัดสินใจว่าจะต้องทักเขาให้ได้

ณัฐมลเพิ่มความเร็วในการเดินเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ในจังหวะที่เธอกำลังจะเปล่งเสียงเรียก ผู้หญิงคนหนึ่งก็ปราดเข้ามาหาพัลลภแล้วเกาะแขนชายหนุ่มอย่างสนิทสนม

ภาพที่เห็นทำเอาหญิงสาวตะลึงจนต้องกลืนคำพูดทักทายลงคอ คนที่มาทักเป็นหญิงสาววัยประมาณยี่สิบปลายๆ หน้าตาสวย รูปร่างสูงเพรียว บุคลิกดูปราดเปรียวสดใส มองดูแล้วสมกันกับพัลลภราวกับกิ่งทองใบหยก

หญิงสาวรีบสะบัดหน้าสลัดความคิดไม่เข้าท่าออกไปจากหัว แล้วบอกตัวเองว่า

‘อาจจะเป็นแค่คนรู้จักก็ได้ อย่าคิดมากน่า’

ณัฐมลรีบเดินตามทั้งสองคนไปอย่างกระชั้น เธอต้องรู้ให้ได้ว่าสาวสวยคนนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับพัลลภ

แล้วหญิงสาวก็ต้องอึ้งอีกครั้งเมื่อเห็นแววตาอ่อนโยนของพัลลภที่มอบให้กับคนข้างกาย เธอไม่เคยเห็นเขามองใครด้วยสายตาที่อ่อนโยนเจือความเอ็นดูแบบนี้มาก่อน มันสื่อความนัยโดยไม่ต้องอธิบายว่า ‘เธอคนนี้คือคนพิเศษ’

หญิงสาวรู้สึกเข่าอ่อน เหมือนตัวเองกำลังจะหงายหลังล้มตึงไปตรงนั้น ณัฐมลเสียศูนย์อย่างหนัก ในหัวเธอมันเบลอไปหมด แล้วสองขามันก็วิ่งพาตัวเองไปที่ลานจอดรถเพื่อหนีภาพบาดตา

ทว่าโชคชะตานั้นช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน เวลาไล่ตามเขากลับหายไป พออยากหนีเขากลับปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า พัลลภเดินไปคนละทางกันกับณัฐมล แต่กลับมาเจอกันที่ลานจอดรถได้ แถมรถของชายหนุ่มก็จอดอยู่ห่างจากรถของณัฐมลไปไม่เท่าไร

พัลลภกลับขึ้นรถไปตามลำพัง ข้างกายเขาไร้เงาของหญิงสาวแสนสวย เห็นอย่างนั้นเลยรู้ว่าต่างคนต่างมา แต่ณัฐมลก็ยังไม่วางใจ เธอกลัวว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นแฟนเขา แล้วนัดเจอกันที่บ้านก็เป็นได้

‘ต้องไปดูให้เห็นกับตา’
ด้วยเหตุนี้ ณัฐมลเลยขับรถตามชายหนุ่มไป กว่าจะรู้ตัวเธอก็อยู่บนทางด่วนแล้ว ทั้งที่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านของเธอเลย

“ไม่จริง! ฉันกลับมาเป็นสต็อกเกอร์อีกแล้ว”

ณัฐมลเหลียวซ้ายแลขวาเลิกลักด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี รถที่ขับอยู่เริ่มส่ายไปส่ายมาจนคันข้างหลังบีบแตรใส่ หญิงสาวจึงต้องเรียกสติตัวเองกลับมาอย่างเร่งด่วน

‘เธอต้องเลิกสะกดรอยตามเขา ต้องรีบกลับบ้าน ต้องหาทางลงจากทางด่วน’

หญิงสาวกวาดตาไปบนถนน แล้วก็เห็นว่ามีป้ายทางเบี่ยงเป็นสัญลักษณ์มาแต่ไกล เธอเลยขับรถมาชิดเลนซ้าย ทว่ารถของพัลลภเองก็เปิดไฟเลี้ยวเหมือนจะลงด้วย ณัฐมลเปลี่ยนเลนไม่ทัน ก็เลยจำต้องลงทางด่วนไปพร้อมกันเขา

“หายูเทิร์น เราต้องเลี้ยว ต้องหนีไปให้ไกล” หญิงสาวพูดซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับกำลังสะกดจิตตัวเอง ด้วยกลัวว่าจะเผลอเลยทางกลับรถแล้วตามเขาไปอีก

ก่อนที่เธอจะได้ทำตามความตั้งใจ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งผ่านเกาะกลางถนนเข้ามาชนกับรถของพัลลภอย่างจัง

เสียงชนโครมใหญ่ทำเอาณัฐมลตกใจแทบสิ้นสติ ร่างกายมันหักพวงมาลัยหลบไม่ให้รถตัวเองเข้าไปชนซ้ำโดยอัตโนมัติ หญิงสาวเหยียบเบรกจนรถปัดเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะพุ่งชนรั้วข้างทาง โชคดีที่เธอใส่เข็มขัดนิรภัยและขับมาไม่เร็วมากจึงสามารถประคองรถเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด

หญิงสาวจอดรถไว้ที่ข้างทาง เพื่อลงมาดูความเสียหายที่เกิดกับรถของพัลลภ แล้วก็ต้องใจหายวาบ เมื่อเห็นสภาพรถที่ถูกชนจนยับเยิน

ณัฐมลถึงกับตัวแข็งทื่อ เมื่อมองเข้าไปด้านในรถแล้วเห็นว่าพัลลภหมดสติไป ศีรษะของชายหนุ่มมีเลือดไหลอาบเปรอะลงมาที่ข้างแก้ม เลือดสีสดย้อมเสื้อคอปกสีขาวที่เขาสวมจนเป็นสีแดงน่ากลัว

“พี่หมออย่าเป็นอะไรนะ แป้งจะช่วยพี่หมอเดี๋ยวนี้แหละ พี่หมอต้องไม่ตายนะคะ” ณัฐมลร้องตะโกนทั้งน้ำตา แล้ววิ่งตรงเข้าไปหาโดยไม่กลัวว่าอาจจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างรถระเบิด

‘เธอต้องช่วยเขาให้ได้ ต่อให้ตายก็จะต้องช่วยให้ได้’


ศศิชารอณัฐมลอยู่ที่ร้านอาหารจนดึก แต่เพื่อนก็ไม่มาหาเสียที พยายามติดต่อไปเพื่อนก็ไม่รับสาย เธอสังหรณ์ใจชอบกลว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เมื่อกลับถึงที่พักแล้ว หญิงสาวจึงลองโทรศัพท์ไปหาอีกครั้ง หนนี้เจ้าของเครื่องยอมกดรับสายในที่สุด

“รับได้สักทีนะ ไปอยู่ไหนมา” ศศิชาเอ็ดใส่

“ฮือๆ ชา แกมาหาฉันที ฉันทำอะไรไม่ถูกแล้ว พี่หมอถูกรถชน”

“แกอยู่ที่ไหน”

ศศิชาก้าวยาวๆ ไปหยิบกุญแจรถทันที น้ำเสียงของณัฐมลดูย่ำแย่จนเธอเป็นห่วง

ณัฐมลสะอึกสะอื้นบอกชื่อโรงพยาบาลแล้วก็ร้องไห้ใหญ่ ศศิชาจึงหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ แล้วคุยกับเพื่อนเป็นระยะจนกระทั่งขับรถมาถึงที่โรงพยาบาล

หญิงสาวตรงดิ่งไปที่แผนกฉุกเฉิน แล้วก็เห็นณัฐมลกำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงเก้าอี้ที่จัดเอาไว้ด้านหน้า ข้างตัวหญิงสาวมีผู้ชายหนุ่มสวมชุดเครื่องแบบของมูลนิธิแห่งหนึ่งนั่งอยู่ด้วย สีหน้าของชายหนุ่มดูลำบากใจไม่น้อยที่มาทำหน้าที่ปลอบเพื่อนสาวสติแตกของเธอ

พอเห็นหน้าเธอ ณัฐมลก็โผเข้ามากอดเอาไว้แน่น ในขณะที่ชายหนุ่มนักกู้ชีพลอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอกสุดขีดที่มีคนมารับช่วงต่อ

“ชา ฮือ…ถ้าพี่หมอเป็นอะไรไปนะ ฉันจะฆ่ามัน ฉันจะจองล้างจองผลาญมันไปทั้งชาติเลย” ณัฐมลร้องไห้ไปกล่าวอาฆาตไป

“ใจเย็นๆ สงบใจหน่อย” ศศิชาเขย่าไหล่เรียกสติ

“ก็มัน...ไอ้เลวนั่นมันจะฆ่าพี่หมอ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นด้วยก็ไม่รู้”

“อุบัติเหตุจากคนเมาครับ ขับข้ามเลนมาชน” หนุ่มนักกู้ชีพช่วยอธิบาย ด้วยคิดว่าถ้ารอให้ณัฐมลเล่า คืนนี้ทั้งคืนก็คงไม่ได้ความ

ศศิชายังไม่เข้าใจสถานการณ์นักแต่ก็พอเดาได้ว่าพัลลภเกิดอุบัติเหตุ ที่สงสัยคือทำไมตามตัวเพื่อนจึงมีคราบเลือดได้ พอสังเกตดีๆ ก็เห็นว่าที่แขนมีรอยกระจกบาดด้วย

“ไปโดนอะไรมา แกอยู่ในรถกับเขาเหรอ”

ณัฐมลตอบคำถามด้วยการส่ายหน้าแล้วก็เงียบไป คนนั่งข้างๆ ที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยต้องช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังอีกครั้ง

“พี่ผู้หญิงเขาขับรถตามมาแล้วเห็นอุบัติเหตุพอดีครับ”

ชายหนุ่มยังเล่าอีกด้วยว่าหญิงสาวเป็นคนช่วยพัลลภออกมาจากรถ ตอนเกิดอุบัติเหตุ รถไม่ถึงกับระเบิดแต่ว่ามีไฟไหม้ที่ด้านหน้า หญิงสาวกับเขาอยู่ในเหตุการณ์พอดีก็เลยเสี่ยงเข้าไปช่วยพาตัวผู้เคราะห์ร้ายออกมาก่อนจะถูกเผา

“ผมเป็นมือใหม่ พอไม่มีพวกพี่ๆ ในทีมก็เลยลนน่ะครับ ดีว่าพี่ผู้หญิงคนนี้มีสติกว่า เราเลยช่วยคนเจ็บออกมาได้” หนุ่มกู้ชีพบอกอย่างเก้อๆ

เขาเพิ่งจะมาเป็นอาสาสมัครได้ไม่นาน วันนี้ก็เพิ่งเลิกเวรมา ตั้งใจจะขับรถกลับบ้านแต่บังเอิญเห็นอุบัติเหตุก่อนเลยจอดลงรถไปดู เขาไม่ได้ทำอะไรมากนักนอกจากยกตัวชายหนุ่มออกมาจากรถที่กำลังลุกไหม้ คนเรียกรถพยาบาล แจ้งตำรวจ ตลอดจนช่วยห้ามเลือดที่ศีรษะพัลลภคือณัฐมลทั้งนั้น ใครจะคิดว่าพอคนเจ็บถึงมือหมอแล้วคนที่สติแตกที่สุดกลับเป็นหญิงสาว

“อาการคนเจ็บเป็นยังไงบ้างคะ”

“หัวแตกน่ะครับ เลือดออกเยอะ แล้วเหมือนมือจะหัก”

“หมดสตินานไหมคะ” ศศิชาอดซักตามประสาหมอไม่ได้

“ไม่แน่ใจครับ ตอนช่วยออกมาเหมือนจะมีสติ ลืมตาขึ้นมาหน่อยแล้วก็หลับตาลงไปอีก”

“ดีนะครับ รถพุ่งมาอัดด้านหน้าแบบทแยง ถ้าชนตรงๆ คงเจ็บหนักกว่านี้ ถุงลมนิรภัยก็เอาไม่อยู่”

คุยได้เท่านี้ คนฟังที่กำลังใจเสียอย่างณัฐมลก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง การสนทนาเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องจบลงเพียงเท่านี้

นั่งอยู่อีกครู่หนึ่ง หนุ่มนักกู้ชีพก็ขอตัวกลับ เนื่องจากเห็นว่าณัฐมลมีเพื่อนแล้ว

“ขอบคุณนะคะที่อยู่เป็นเพื่อน” ศศิชาเอ่ยขอบคุณแทนเพื่อนสาวที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด

“ไม่เป็นไรครับ ช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป” ชายหนุ่มยิ้มรับ แล้วเดินหายไปตรงประตูทางออก

ถึงจะไม่มีบุคคลที่สาม แต่โรงพยาบาลยามดึกก็ไม่ได้เงียบสงัดอย่างที่คิด เนื่องจากที่นี่เป็นโรงพยาบาลในเมืองใหญ่จึงมีคนไข้เข้าออกตลอดเวลา ศศิชาเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวไม่เอื้อต่อการทำใจให้สงบ ก็เลยจูงมือพาณัฐมลไปล้างหน้าแล้วให้สงบสติอารมณ์ในห้องน้ำก่อน

ณัฐมลหยุดร้องไห้ได้ในที่สุด หญิงสาวเดินซึมออกมานั่งรอที่จุดเดิมโดยไม่สนใจว่าสภาพของตัวเองในขณะนั้นเป็นอย่างไร ภาพของพัลลภตอนเกิดอุบัติเหตุยังคงติดตาเธออยู่ ร่างเล็กๆ จึงไหวสะท้านเพราะความกลัวว่าจะต้องสูญเสียคนที่รักไป

ศศิชาเห็นแบบนั้นก็เลยดึงมือเย็นเฉียบของเพื่อนมากุมเอาไว้

“สงบใจซะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อีกเดี๋ยวหมอคงมาบอกว่าอาการเป็นไง น่าจะรอผลเอกซเรย์สมองอยู่”

โดยปกติผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุทางศีรษะจะต้องได้รับการเอกซเรย์สมอง เธอไม่รู้ว่าพัลลภเป็นมากน้อยแค่ไหนเพราะไม่ได้เห็นมาด้วยตา แต่ดูจากท่าทางของณัฐมลแสดงว่าคงหนักไม่ใช่เล่น

รออีกสักครู่ใหญ่ก็มีพยาบาลคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน แล้วประกาศหาตัวญาติของพัลลภ

ณัฐมลผุดลุกขึ้นโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกันกับผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ห่างกันไปไม่ไกล สองสาวสบตากันอยู่อึดใจ ณัฐมลชะงักไปเมื่อเห็นว่าเธอคนนี้คือสาวสวยที่เดินเข้ามาเกาะแขนพัลลภในห้างสรรพสินค้า

อีกฝ่ายไม่รู้จักณัฐมลเลยมองกลับมาด้วยแววตาสงสัย สักอึดใจริมฝีปากของหญิงสาวก็เหยียดออกเป็นรอยยิ้ม

“คุณเป็นคนที่โทรหาฉันใช่ไหมคะ”

ณัฐมลงงไปพักหนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนช่วยพัลลภออกมา หนุ่มนักกู้ชีพช่วยเก็บมือถือและของมีค่าเอาไว้ให้ พอเขาเข้าห้องฉุกเฉินไปเรียบร้อยแล้ว เธอก็เลยโทรศัพท์บอกทางบ้านเขา คนแรกที่ติดต่อได้ในรายชื่อของคนในครอบครัวคือคนชื่อพิม

“คุณพิมใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ”

พอได้สบตากัน ณัฐมลก็พบว่าหญิงสาวคนนี้มีดวงตากับจมูกที่คล้ายกับพัลลภมาก ถ้าเดาไม่ผิด เธอน่าจะเป็นน้องสาวคนเล็กของชายหนุ่ม

“คุณเป็นแฟนพี่พันสินะคะ มาค่ะ ไปฟังผลด้วยกัน” หญิงสาวเอ่ยพลางจูงมือณัฐมลก้าวยาวๆ ตามพยาบาลไป ก่อนจะได้รับการตอบรับ

พิมลตราทึกทักเอาว่าอีกฝ่ายเป็นคนรักของพี่ชาย เพราะใบหน้าของณัฐมลเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา ถ้าไม่ใช่คนที่มีสายสัมพันธ์ต่อกันก็คงไม่ร้องไห้ขนาดนี้

เธอใจชื้นขึ้นมาเป็นกองเมื่อรู้ว่าไม่ได้รับมือกับสถานการณ์นี้ตามลำพัง พิมลตราเพิ่งกลับมาถึงบ้านได้ไม่นานตอนที่ณัฐมลโทรศัพท์ไปบอกว่าพี่ชายประสบอุบัติเหตุ หญิงสาวตกใจจนทำอะไรไม่ถูก วันนี้อรรณพ สามีของเธอไปต่างจังหวัด ส่วนพศวีร์ พี่ชายคนเล็กก็ปิดโทรศัพท์มือถือ ต้องสงบใจอยู่นานกว่าจะมีสติขับรถมาที่นี่ได้

ณัฐมลเดินตามแรงจูงไปโดยไม่ขัดขืนหรือแก้ต่าง เธอกลัวว่าถ้าบอกความจริงไปว่าเธอกับเขาเป็นเพียงคนรู้จักธรรมดา เธอคงไม่มีโอกาสฟังอาการของเขาจากปากหมอ

พยาบาลนำทางสองสาวไปที่ห้องเล็กห้องหนึ่งที่เชื่อมกับห้องฉุกเฉิน มันเป็นห้องสีขาวล้วน ผนังด้านหนึ่งมีฟิล์มเอกซ์เรย์เรียงกันเต็มพื้นที่

“ญาติคุณพัลลภ เอกหฤหัยใช่ไหมครับ” นายแพทย์วัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมาจากชาร์จในมือเมื่อเห็นสองสาวเดินเข้ามา

“ใช่ค่ะ” พิมลตราตอบ

“เชิญนั่งครับ หมอจะอธิบายอาการให้ฟัง ตอนนี้ผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ แผลภายนอกไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผลเอกซเรย์ออกมาแล้วปรากฏว่าซี่โครงร้าวสองซี่ กับกระดูกข้อมือหักครับ ตรงส่วนนี้ค่อนข้างโชคดีทีเดียวที่ไม่โดนจุดสำคัญ”

“แล้วสมองล่ะคะ เป็นอะไรมากไหม” ณัฐมลโพล่งถามออกมาอย่างเป็นห่วง

“สมองกระทบกระเทือนนิดหน่อยแต่ไม่บวมหรือมีเลือดคั่งครับ ผู้ป่วยยังมีอาการมึนงงสับสนอยู่บ้าง ต้องให้พักผ่อนเต็มที่สักคืน พรุ่งนี้หลังเที่ยงค่อยมาเยี่ยมนะครับ” นายแพทย์หนุ่มส่งยิ้มปลอบใจมาให้ ก่อนจะอธิบายฟิล์มเอกซเรย์ของพัลลภอย่างละเอียดอีกครั้ง

ระหว่างที่ฟังคำอธิบาย สองสาวกุมมือกันเอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ถึงจะไม่ได้พูดอะไรแต่ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกถึงกำลังใจที่มอบให้กันผ่านแรงบีบของฝ่ามือ ณัฐมลรู้สึกถูกชะตากับพิมลตราอย่างประหลาด ในขณะที่พิมลตราเองก็คิดไม่ต่างกัน

เมื่อฟังคำอธิบายเรียบร้อยแล้ว สองสาวจึงพากันเดินออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายมากขึ้น

“ขอบคุณนะคะที่โทรศัพท์แจ้ง แถมยังไปนั่งฟังหมออธิบายด้วยกันอีก ถ้าไม่มีคุณ พิมต้องร้องไห้แน่ๆ” พิมลตรารู้สึกขอบคุณจากใจจริง

“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย เอาแต่ร้องไห้มากกว่า” ณัฐมลยิ้มกลับอย่างเก้อๆ

ระหว่างนั้นเอง ศศิชาที่นั่งรออยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาสมทบ

“เป็นไงบ้าง”

“พี่หมอปลอดภัยแล้วล่ะชา พรุ่งนี้ก็เข้าเยี่ยมได้” ณัฐมลเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

“ดีแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำแผลได้แล้ว”

ตามตัวณัฐมลมีรอยแผลถลอกกับกระจกบาด ถึงเลือดจะหยุดไหลและไม่ใช่แผลลึก แต่ก็ควรจะใส่ยาและกินยาให้เป็นเรื่องเป็นราว ป้องกันการอักเสบและติดเชื้อ

“คุณบาดเจ็บด้วยเหรอคะ ตายแล้ว! แผลไม่ใช่น้อยๆ เลย” พิมลตราเดินจ้ำอ้าวไปหาพยาบาลทันทีเมื่อเห็นรอยบาดยาวที่หลังแขนของณัฐมล

ยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ณัฐมลก็ได้มานั่งให้พยาบาลทำแผลอยู่ในห้องฉุกเฉินแล้ว พอออกมาเธอก็เห็นว่าพิมลตรายังคงนั่งอยู่หน้าห้อง หญิงสาวรู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายดีต่อเธอทั้งที่เพิ่งจะเคยพบหน้ากันวันนี้ แต่ที่ทำให้แปลกใจมากกว่าคือเธอเห็นศศิชายิ้มขณะคุยกัน พิมลตราคงจะต้องมีอะไรดีในตัวเป็นแน่ คนเข้าถึงยากอย่างศศิชาจึงยอมยิ้มให้

“เสร็จแล้วเหรอคะ นี่ค่ะยา ฉันจัดการไปเอามาให้เรียบร้อยแล้ว กลับเองไหวไหมคะ ให้พิมไปส่งดีไหม” พิมลตราอาสาอย่างมีน้ำใจ

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับกับเพื่อนได้” ณัฐมลจอดรถเอาไว้ข้างทางแล้วมากับรถพยาบาล อย่างไรเสียก็ต้องกลับไปเอาคืนนี้เพราะกลัวหาย

“แล้วพรุ่งนี้คุณจะมาเยี่ยมพี่พันไหมคะ”

“มาค่ะ” หญิงสาวเผลอรับคำไปแบบไม่คิด


“ดีจังค่ะ พี่พันต้องดีใจแน่เลยถ้าฟื้นมาแล้วได้เห็นหน้าแฟน”
ณัฐมลควรจะบอกไปว่าเธอไม่ใช่แฟนแต่ก็ไม่ได้อธิบาย เธอปล่อยให้พิมลตราเข้าใจผิดไปอย่างนั้นเพราะรู้สึกดีกับความเข้าใจผิดอย่างบอกไม่ถูก

พอหญิงสาวไปแล้ว ณัฐมลก็หันไปยิ้มหวานกับเพื่อนสนิท

“นี่ชา ได้ยินไหม น้องสาวพี่หมอเขาคิดว่าฉันเป็นแฟนพี่หมอล่ะ อ๊าย! เขินเป็นบ้าเลย ฮิๆๆ”

“อืม…ดีใจให้เต็มที่ไปเถอะ แล้วจะหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ ตอนที่พี่หมอบอกว่าหล่อนเป็นคนไข้โรคจิต”

ความจริงทำให้คนที่กำลังกระดี๊กระด๊าก็ถึงกับหน้าเหวอ เธอมัวแต่สติแตกแล้วก็ห่วงเรื่องเขาจนลืมนึกถึงข้อนี้ไปเลย

เอาแล้วไงแป้งร่ำ งานเข้าแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกแล้ว


ณัฐมลรู้สึกปวดหัวกับปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นแบบไม่ได้ตั้งตัว พอรวมเข้ากับภาพติดตาจากอุบัติเหตุเธอเลยรู้สึกไม่อยากนอนคนเดียว หญิงสาวขอให้ศศิชาไปส่งเธอเอารถ จากนั้นก็ขับตามมาขอนอนค้างกับเพื่อนที่ห้อง

พอมาถึงหอพัก ศศิชาก็อาบน้ำอย่างลวกๆ แล้วทิ้งตัวลงนอนหลับสนิทในทันที ผิดกับณัฐมลที่ค่อยๆ บรรจงเช็ดตัวอย่างไม่เร่งรีบ เธอโยนเสื้อผ้าเปื้อนเลือดลงถังขยะ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีเครื่องเตือนใจถึงเหตุการณ์น่ากลัวที่เกือบจะพรากชีวิตพัลลภไป

หญิงสาวรู้สึกดีอย่างประหลาดที่เธอทิ้งเสื้อผ้าเปื้อนเลือดลงถังอย่างไม่ไยดี เพราะมันบ่งบอกว่าเธอไม่ได้คลั่งไคล้เขาขนาดเก็บเสื้อเปื้อนเลือดเอาไว้เป็นที่ระลึก

พอเช็ดตัวเสร็จเธอก็ถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้ายืมชุดนอนของศศิชามาใส่ จากนั้นก็มานอนเบียดอยู่กับเพื่อน อาศัยไออุ่นที่สัมผัสได้บอกตัวเองว่าไม่ได้อยู่ลำพัง แล้วจึงหลับสนิทไปเพราะความเพลีย

ตื่นมาอีกครั้ง ณัฐมลก็ถูกทิ้งให้อยู่ลำพังแล้ว รอบตัวเธอไม่มีข้อความวางเอาไว้แต่ก็พอเดาออกว่าศศิชาคงไปทำงาน สังเกตได้จากเสื้อกราวน์ที่แขวนเอาไว้ที่หน้าตู้หายไป

ณัฐมลลุกไปล้างหน้าให้หายงัวเงียแล้วจึงโทรศัพท์ไปลาหยุด เธอรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ต้องหยุดกะทันหัน แต่ก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการติดตามอาการของพัลลภก่อน

หญิงสาวหวีผมและแต่งตัวอย่างรีบๆ ตอนนี้สายมากแล้วแต่เธอยังไม่ได้หาของเยี่ยมเลย ณัฐมลคิดอยู่นานว่าจะเอาอะไรไปดี สุดท้ายก็เลือกชุดอาหารเสริมและวิตามินกล่องใหญ่เอาไปให้ร้านในตลาดจัดเป็นกระเช้าให้ แล้วเตรียมการ์ดอวยพรแนบไปด้วย

เธอตั้งใจว่าจะบอกความจริงกับพิมลตราก่อนเข้าไปเยี่ยม จะได้ไม่หน้าแตกเวลาที่พัลลภปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน หญิงสาวคิดว่าคงรู้สึกกระดากพิลึก ถ้าต้องบอกพิมลตราว่าเธอเป็นแค่คนไข้ของเขา ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอยากจะเข้าไปเยี่ยม หญิงสาวต้องการเห็นด้วยตาตัวเอง เพื่อที่จะได้สบายใจว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ

ณัฐมลนัดกับพิมลตราเอาไว้ตอนเที่ยงครึ่ง หญิงสาวมาก่อนเวลาก็เลยมาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง แม้พยาบาลจะบอกว่าให้เข้าไปเยี่ยมได้ แต่เธอก็ไม่กล้าเข้าไป ด้วยกลัวว่าถ้าไปเพียงลำพังแล้วเห็นสภาพไม่น่าดูของพัลลภ จะสติแตกเผลอปล่อยโฮออกมาเพราะความสงสาร

หญิงสาวรออยู่จนเลยเวลานัดมาประมาณห้านาที ก็มีผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องไอซียู ณัฐมลไม่ได้สนใจเขานัก จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาหา

“ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าใช่คุณแป้งไหมครับ” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงรื่นหู

หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองชายปริศนาอย่างพิจารณา เธอมั่นใจว่าไม่รู้จักเขาแน่ แต่ใบหน้าของเขาก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคย

‘หน้าคล้ายพี่หมอเลย หรือว่า...’

“ผมเป็นน้องพี่พัน ชื่อพศครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวพลางส่งรอยยิ้มพิฆาตใจมาให้

พศวีร์ดูต่างจากพี่ชายก็ตรงดวงตาที่ดูคมกว่าและริมฝีปากที่บางกว่าเท่านั้น นอกนั้นเหมือนกันแทบจะทุกอย่าง ทว่าก็น่าแปลกที่ความรู้สึกเวลาได้อยู่ใกล้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ที่เป็นแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะแววตาก็ได้ นัยน์ตาของพัลลภให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนต้องแสงตะวัน ในขณะที่สายตาคมของพศวีร์ให้ความรู้สึกความลึกลับอันตรายแต่กลับเย้ายวนชวนให้หลงใหล คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าพัลลภเป็นเทพบุตรรูปงามในขณะที่น้องชายคือซาตานเจ้าเสน่ห์

‘ให้ตายสิ! พี่น้องบ้านนี้หล่อแบบกินกันไม่ลงเลย’

“ยัยพิมติดงานด่วนมาไม่ได้ครับ ผมเลยมาดูแลแทน ตอนนี้พี่พันหลับอยู่แต่เข้าไปเยี่ยมได้”

“ยังไม่ฟื้นอีกเหรอคะ” ณัฐมลถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“ฟื้นตั้งแต่เช้ามืดแล้วครับ หมอตรวจแล้วปกติดี เห็นพยาบาลบอกว่าเพิ่งจะหลับไปได้สักครึ่งชั่วโมงนี่เอง ผมเห็นหลับสบายเลยไม่ได้ปลุก ตั้งใจว่ารอคุณมาก่อน พี่พันคงดีใจถ้าได้ตื่นมาเห็นแฟน”

หญิงสาวอ้าปากจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ถูกพยาบาลคนหนึ่งขัดขึ้นเสียก่อน

“คุณพัลลภตื่นแล้วค่ะ จะเข้าไปเยี่ยมไหมคะ” พยาบาลสาวส่งยิ้มหวานหยดมาให้พศวีร์ มองแล้วก็รู้เลยว่าเจตนาทำเกินหน้าที่เพื่อจะได้คุยกับชายหนุ่ม

“ขอบคุณครับ”

เพียงคำขอบคุณกับรอยยิ้มน้อยๆ ก็ทำให้พวงแก้มของพยาบาลสาวแดงเรื่อขึ้นมาได้

ณัฐมลมัวแต่สนใจพยาบาลเลยไม่ทันมองว่าพศวีร์ก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องแล้ว หญิงสาวเรียกไม่ทันเลยยืนละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจหอบของเยี่ยมเดินตามเข้าไปด้านใน

“เป็นไงบ้างพี่ ดีเนอะที่ไม่ตาย” พศวีร์กระเซ้าก่อนจะผายมือไปทางณัฐมล “ดูซะก่อน มีใครมาเยี่ยม”

พัลลภกำลังจะทำปากขมุบขมิบว่าน้อง แต่พอได้ยินว่ามีคนอื่นมาชายหนุ่มก็หันไปมอง แล้วก็เห็นว่าที่ปลายเตียงมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนร้องไห้อยู่

“ฟื้นแล้วเหรอคะ ดีจัง ดีจริงๆ ที่ไม่เป็นอะไร” ณัฐมลยิ้มทั้งน้ำตา

ศีรษะเขามีผ้าพันแผลพันเอาไว้ มือเขาสวมเฝือกหนา มีสายน้ำเกลือกับสายอีกสองสามอย่างต่อมาที่ตัว แต่สีหน้าก็ดูดีกว่าที่เธอคิดไว้มาก เห็นแล้วมันก็โล่งอกจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

พัลลภมองน้ำตาของหญิงสาวโดยไม่พูดอะไร สักอึดใจชายหนุ่มก็สะกิดแขนน้องชายแล้วกระซิบบอกอะไรบางอย่าง จากนั้นพศวีร์ก็เดินตรงมาที่ณัฐมล

“ขอโทษนะครับ ช่วยออกไปสักครู่ได้ไหม ผมขอคุยกับพี่ชายเป็นการส่วนตัวหน่อย”

ณัฐมลเลยยื่นของเยี่ยมให้ แล้วเดินออกไปตามคำขอ เธอไม่รู้ว่าพัลลภกระซิบบอกอะไรพศวีร์ ถ้าเกิดเขากระซิบว่านี่เป็นคนไข้โรคจิตที่แอบตามเขา เธอต้องแย่แน่

ความคิดนี้ทำให้หญิงสาวหน้าซีดเผือด นึกอยากวิ่งหนีไปให้ไกล แต่เมื่อคิดได้ว่าการหนีเท่ากับเป็นการยอมรับ เธอจึงตัดสินใจรออยู่หน้าห้อง แล้วปลอบใจตัวเองว่าอาจจะเป็นเรื่องอื่น พัลลภไม่รู้สักหน่อยว่าเธอแอบตามเขาอยู่ช่วงหนึ่ง

ประมาณสิบนาทีผ่านไป พศวีร์ก็เดินหน้าเครียดออกมาหา ชายหนุ่มแนะนำให้เธอนั่งก่อนเพราะเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ไม่ค่อยจะดีนัก

“อย่าบอกนะคะว่าพี่หมออาการทรุดหรือตรวจเจอความผิดปกติ” น้ำตาที่เหือดไปเริ่มจะมาคลอตาอีกครั้งเมื่อเอ่ยคำถามนี้

หญิงสาวภาวนาขอให้สิ่งที่ตัวเองคิดไม่เป็นความจริง ทว่าพศวีร์กลับพยักหน้ารับ ชายหนุ่มวางมือบนไหล่เธอแล้วพูดว่า

“พี่พันความจำเสื่อมครับ เอ่อ...จะบอกยังไงดี พี่พันจำทุกเรื่องได้ยกเว้นเรื่องคุณ พี่พันไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร”

คำพูดของชายหนุ่มทำให้ณัฐมลตัวเบาโหวง วินาทีนั้นหญิงสาวไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ย. 2554, 00:24:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.พ. 2555, 00:04:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 2980





<< บทที่ 10 เริ่มใหม่อีกครั้ง   บทที่ 12 เทพบุตรหล่นทับ >>
konhin 17 ก.ย. 2554, 03:12:17 น.
พี่หมอๆๆๆๆๆๆๆ


Zephyr 17 ก.ย. 2554, 08:24:59 น.
อ่านมาหลายตอนชักจะหมั่นไส้ยายแป้งรั่วแล้วอ่ะ ยังทำตัวเหมือนเดิมอีก พี่หมอเดือดร้อนเลย ที่รถชนนี่เพราะพยายามขับหนียายแป้งป่าวคะ เรื่องน้องสาวน่าจะให้เข้าใจผิดนานๆหน่อยนะ หึหึ อารมณ์อยากแกล้งนางเอกให้ทุรนทุราย ^^ คู่หนูชากะน้องครามเริ่มฟ้าฝนสดใสแล้ว


bow 17 ก.ย. 2554, 08:56:28 น.
วันนี้แป้งจะได้เป็นนางเอกหรือคะเนี่ย!? :)


pookza 17 ก.ย. 2554, 10:14:38 น.
^^มาลุ้นยัยแป้ง


หมูอ้วน 17 ก.ย. 2554, 12:17:12 น.
งานนี้หนูแป้ง แจ้งเกิดแน่ ๆ เลยค่ะ


anOO 18 ก.ย. 2554, 16:14:27 น.
ไม่รู้ว่าพี่หมอจะเป็นไงมั่ง น้องครามสู้ๆๆๆๆๆ


shimoro 18 ก.ย. 2554, 19:38:16 น.
พีหมอๆๆ อย่าเป็นอะไรไปนะ สงสารยัยแป้ง



ameerahTaec 21 ก.ย. 2554, 11:35:53 น.
อ่ะ พิมกะน้ำผึ้ง รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นๆนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account