มายาไฟในดวงตา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ
เมื่อพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาตั้งใจจะเก็บมรดกทั้งของตนเองและน้องสาวเอาไว้
อันตรายบางอย่างกลับคืบคลานเข้ามา หญิงสาวจึงทำได้เพียงหนี !
ก่อนที่ “เขา” เจ้าของพลอยที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงจะมาทวงมันคืนไปจากเธอ
Tags: อสิตา มนตรามุกจันทรา ม่านธาราเร้นดาว พลอยตาเสือ มัชฌิตา ชามัล อัคนิวรา

ตอน: บทที่ 2 ลิขิตของสองเรา 2/2(ต่อถึงจบบท)

@ คุณAuuuu
อ่านเรื่องนี้รับรองได้ลุ้นตลอดค่ะ

@ หนูบุลินทร
อย่ากลัววนาลีเลย คุคุคุ

@ คุณNeferretti
วนาลีตั้งใจจะดูดเลือดพี่มิ้งค์ ไม่ใช่ละ...

@ คุณเบญจามินทร์
คนกรุงนางนี้ยังได้เข้าป่าอีกหลายยกแน่ๆ

@ คุณหมูอ้วน
เย้ คุณหมูอ้วนกลับมาแล้ว คนเขียนจะพยายามขยันอัพมากขึ้นนะคะ อิอิอิ

@ คุณหยกสีน้ำผึ้ง
โผล่มาส่งยิ้มแล้วได้อ่านรึเปล่าจ๊ะ หุหุหุ สนุกน้า /ล่อลวง

...อร๊าวววววว คราวนี้คุณ ameerahTaec หาย (ร้องหาคนอ่านเป็นพักๆ)




ความรู้สึกของมัชฌิตา คล้ายกับเธอได้เดินตามการนำของวนาลีไปไกลหลายร้อยเมตร
ทั้งที่เอาเข้าจริงมันคงไม่ได้ไกลมากมายอะไรขนาดนั้น ในป่านี้มืด แต่เสียงหรีดหริ่งเรไร
ยังดังให้ได้ยินอยู่บ้างตามปกติ ไม่รู้สึกว่าอันตรายเกินไปนัก แม้คิดว่าพลังของการมองเห็น
น่าจะลดน้อยถอยลงไปเพราะไม่สามารถสัมผัสการเตือนถึงอันตรายใดใดจากพลอยตาเสือ
ได้เหมือนเมื่อวาน แต่มัชฌิตายังคงมองเห็นในที่มืดอย่างค่อนข้างดีเหมือนเก่า

รอบกายเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง จนไปหยุดอยู่หน้าต้นไม้ต้นหนึ่ง วนาลีก็
ทรุดลงคุกเข่า ใช้มือกอบดินออก แหวกเศษกิ่งไม้และอะไรอีกหลายอย่างที่สุมอยู่โคนต้น
อย่างไม่กลัวงูหรือสัตว์มีพิษอย่างแมงป่องตะขาบ อะไรบ้างเลย มัชฌิตาเองก็เสียวๆ
แทนอยู่ แต่หญิงสาวเลือกที่จะมองการกระทำนั้นเงียบๆ ไม่อยากรบกวนอีกฝ่าย

“ต้นรังนี้มีโพรงอยู่ข้างใต้ ไม่มีใครรู้นอกจากพ่อฉัน ไม่ใช่ที่ลึกลับซับซ้อน แต่ก็ไม่มีใครสนใจ”
ในที่สุดวนาลีก็หยิบเอากล่องโลหะทรงกระบอกเลอะดินออกมา ยื่นส่งให้มัชฌิตา
“นั่งก่อนสิคะ ฉันอยากจะให้คุณเปิดดูอะไรนิดหน่อยตอนนี้”

เมื่อวนาลีนั่งลงตรงโคนต้นไม้มัชฌิตาจึงต้องนั่งตาม ขมวดคิ้ว ก่อนเปิดฝากล่องฝืดๆ ออก
ได้กลิ่นกระดาษเก่าๆ ที่ม้วนอยู่ข้างใน พอจับดูจึงพบว่ามันเป็นกระดาษเหนียวเกือบจะพอๆ
กับแผ่นหนังอ่อน แถมยังเก่าคร่ำเป็นสีน้ำตาล เธอคลี่มันช้าๆ อุทานออกมาเมื่อเห็นแผนที่
ขนาดกว้างเกินหนึ่งไม้บรรทัดไปเพียงไม่กี่มากน้อย ซึ่งไม่มีรูป เป็นเพียงจุดและตัวอักษร
แต่จุดนั้นมีจำนวนมากเกินไป ทั้งรอยดินสอขีดลากโยงใยให้วุ่นไปหมด ที่ดูไม่รู้เรื่องยิ่งกว่า
คือตัวอักษรเทวนาครีอันเขียนกำกับบนแต่ละจุดเอาไว้

วนาลียื่นหน้ามามองบ้าง ก่อนจะเปรยถึงเรื่องของตนเอง “ฉันชอบบ้านที่อยู่ตอนนี้มาก
ก็จริง ถึงรู้ตัวว่าคงอยู่ที่นี่ไปได้ไม่ตลอด บ้านป่าแบบนี้มันไม่เหมาะกับฉันมากเท่าพ่อ
แต่ฉันก็ยังไม่ได้จากไป เพราะรอจะเจอใครคนหนึ่งก่อน ก็เท่านั้นเอง” หญิงสาวรำพึง

“พ่อคุณเขียนแผนที่นี้งั้นหรือคะ แล้วฉันจะดูมันออกได้ยังไง” มัชฌิตาเอ่ยคล้ายบ่น
แต่ในใจก็คิดว่าดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

“เดี่ยวคุณก็หาทางได้เอง ส่วนตัวฉันไม่คิดว่าคุณจะเจอสถานที่นี้ด้วยวิธีปกติหรอกนะ”

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

“ก็เหมือนที่ฉันพาคุณเดินมาที่นี่ เรื่องบางอย่างเราสามารถทำได้แค่บางเวลา เพราะเขาไม่เปิดให้”

“เขาคือ...”

“ผู้ที่รักษาอยู่”

มัชฌิตาขนลุกซู่ คนระดับเธอคงไม่ต้องมีคำถามว่าเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งเหนือจริงมากน้อยแค่ไหน
ตั้งแต่เด็กมา วันดีคือดีเธอก็จะมองเห็นวิญญาณของคนตายได้ ไม่ถึงกับว่าไม่กลัว แต่มัชฌิตา
ก็เริ่มชิน แม้บางครั้งสัมผัสของเธอจะเข้มข้นหรือเจือจางลงไปบ้าง แต่มันก็ไม่เคยหายไป

“ทำไมคุณถึงบอกที่ซ่อนของถ้ำกับฉันล่ะ วนาลี”

“เพราะว่าไม่อยากให้มันสูญเปล่า ก่อนพ่อจะตายพ่อพูดถึงแต่เรื่องแผนที่ของถ้ำนี้
ฉันไม่เคยเห็นมันด้วยซ้ำ รู้ว่าพ่ออุตส่าห์ใช้เวลาทั้งชีวิตค้นหาถ้ำแห่งหนึ่ง จนสามารถ
ไปถึง แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปในถ้ำนั้นได้ พ่อผิดหวังมาก และตอนนี้ฉันก็ได้ส่งมันต่อ
ให้คนอีกคนที่อาจสามารถเข้าไปในถ้ำนั้นเรียบร้อยแล้ว”

“แล้วทำไมถึงเขียนเป็นตัวหนังสือภาษาแขกแบบนี้ พ่อคุณเป็นคนไทยไม่ใช่หรือ”

“ก่อนจะไปถึงถ้ำนั้น พ่อได้พบกับโยคีผู้มาบำเพ็ญตบะในป่าเขา มีอยู่ทั่วไปนะคะ
เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้อยากให้คนพบเห็นเท่านั้นเอง แล้วท่านก็ช่วยพ่อร่างแผนที่ขึ้นมา
โดยใส่สัญลักษณ์อย่างที่ท่านรู้จัก”

“ฉันจะหาคนช่วยอ่านมัน คิดว่าคงไม่โชคร้ายถึงขนาดต้องย้อนกลับไปกรุงเทพฯ
แล้วคุณ หลังจากนี้จะไปทำอะไรที่ไหน”

มัชฌิตาตั้งใจว่าจะชวนวนาลีกลับไปยังรถ เธอสบตาอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มมา
แล้วก็ไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นผ่านไปยังไง เพียงแต่เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง
แสงแดดที่ผ่านร่มใบซึ่งบดบังผืนฟ้าลงมาก็เริ่มจะร้อน เธอเอนร่างอยู่บนพื้น
โคนต้นรังรกๆ ในมือยังถือกระป๋องโลหะเอาไว้ หญิงสาวสลัดศีรษะ
กะพริบตาถี่ๆ อีกครั้งอย่างงุนงงเมื่อชันร่างขึ้น

แต่แล้วมัชฌิตาก็ดีดตัวผาง แทบจะเต้นร้องกรี๊ด เมื่อพบว่าที่แขนของตนซึ่ง
พับถกแขนเสื้อขึ้นมาสูงนั้น นอกจากทากแล้วยังมีเจ้าตัวแมลงที่คิดว่ามันคง
จะเป็นเห็บ ถึงทำเป็นเก่งกล้าไม่กลัวได้กับพวกทาก แต่กับเห็บนี่เห็นจะ
ทนไม่ไหวจริงๆ มัชฌิตาได้ยินเสียงรถและเสียงคนจึงหาทางกลับไปทิศที่
รถของตนน่าจะจอดอยู่ได้ไม่ยาก โดยสะบัดร้อนสะบัดหนาวเรื่องทากและ
ตัวอะไรก็ตามที่อาจจะกำลังดูดเลือดของตนอยู่ใต้ร่มผ้าไปตลอดทาง
ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายพินิจสิ่งที่อยู่ในมือ

กระป๋องคุกกี้ซึ่งทำจากโลหะคร่ำคร่าสนิมเริ่มจับ ลายแบบเก่าที่พิมพ์ไว้
ลบเลือนไปเกือบหมด แต่ในสายตาคนเรียนศิลป์อย่างมัชฌิตาสิ่งนี้ก็ดูขลังดี
อยู่หรอก แม้จะไม่เข้ากับแผนที่อันถูกเก็บซ่อนไว้ภายในเลยก็ตาม ภาษาแขก
งั้นหรือ ชื่อแรกที่แวบเข้ามาในหัวสมองของมัชฌิตากลับเป็นชามัล
ก็เขาบอกว่าเป็นลูกครึ่งอินเดีย แต่มัชฌิตาคงไม่อาจบอกเรื่องนี้กับเขาได้
เพราะตอนนี้ชามัลเป็นบุคคลน่าสงสัยหมายเลขหนึ่งสำหรับเธอ

หญิงสาวค่อนข้างหัวเสียที่วนาลีจากไปเพียงลำพัง แต่นอกจากความโมโหนั้น
สติรับรู้บางอย่างก็เริ่มเข้ามาแทนที่ เธอเร่งขับรถไปยังส่วนทำการซึ่งใกล้ที่สุด
ก่อนตรงรี่เข้าไปหาใครสักคนที่พอจะให้ความกระจ่างกับตนได้

“รู้จักลุงพิทักษ์ป่าที่ชื่อชาติ ตะการสงวน ไหมคะ รู้สึกว่าลุงแกเพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นาน”

“เอ ไม่เคยมีคนชื่อนั้นนี่ครับ”

“แต่ว่าฉัน...”

ก่อนที่มัชฌิตาจะทันพูดอะไรต่อ เสียงอีกเสียงก็ดังขึ้น “ลุงชาติไม่ได้เพิ่งตายนะครับ
แกตายไปตั้งแต่สิบห้าปีก่อนแล้ว”

“อ้อ งั้นหรือคะ” มัชฌิตาหันไปสบตาชายกลางคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในตึกทำการ
“แต่ว่าลูกสาวของลุงเพิ่งบอกฉันว่าลุงตายไปยังไม่ถึงปี ก็เลยเข้าใจแบบนั้น”

“เพิ่งบอก แต่น้องลีเขา... หลังจากลุงชาติเสียไปได้ไม่นานน้องลีลูกสาวของลุงแกก็
เสียชีวิตตามลุงไปนี่ครับ”

มัชฌิตายกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมขมับ ว่าแล้วไหมล่ะ ในขณะที่คิดว่าตาที่สามของตัวเอง
จะปิดลงไป นี่มันถึงขนาดเพิ่มขึ้นมาจนเธอมองเห็นวนาลีไม่ต่างจากการได้พบหน้า
มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเลยหรือนี่ ทั้งที่เธอควรจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คน หรือเป็น
ความต้องการของวนาลีเองซึ่งอยากคุยกับเธอในฐานะมนุษย์

“ถ้าเธอยังอยู่ตอนนี้จะอายุเท่าไหร่คะ” มัชฌิตาถามชายกลางคน

“ก็เป็นรุ่นน้องผมไม่กี่ปีหรอกครับ” คนตอบยิ้ม “ลีเขาเป็นคนดี รักพ่อมาก น่าเสียดาย”

“ค่ะฉันเชื่อ” มัชฌิตาพยักหน้า ก็ขนาดห่วงที่ทำให้เธอผู้นั้นยังรั้งอยู่บนโลกใบนี้
ยังไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เป็นปรารถนาสุดท้ายของพ่อเลยนี่นะ ส่วนตัวลุงชาติ
ผู้ไม่สามารถอยู่กับห่วงนั้นได้แม้ใจยังผูกพัน อาจเพราะลุงมีห่วงกรรมแน่นหนา
กว่าชักพาให้ไปต่อ เดาจากที่เวลาตายก็ตายอย่างทรมานทั้งจิตอันไม่ยอมสงบลง
“ลี...ลูกสาวลุงชาติไม่ได้ตายที่นี่หรอกครับ เขาอยากกลับไปเรียนต่อ แต่โชคร้าย
เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เอากลางทาง ก่อนจะถึงกรุงเทพเสียอีก”

เธอคนนั้นคงไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาตาย แต่เพราะยังไม่ลืมคำสั่งเสียของพ่อ
เรื่องต้องมอบแผนที่ซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ให้ใครสักคน วนาลีจึงกลับมา
มัชฌิตาเข้าใจดี...วิญญาณซึ่งมีอำนาจมากพอ ไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับบริเวณ
ที่ตายด้วยอุบัติเหตุ แต่อาจกลับมาอาศัยอยู่ยังสถานที่ซึ่งกระแสจิตผูกพันด้วย
เหนือที่อื่นใด

หญิงสาวขับรถลงจากเขาใหญ่ อดไม่ได้ที่จะเหลียวหันมองจุดชมวิวเมื่อวันวาน
รู้แก่ใจว่าบ้านพักหลังนั้นในเวลากลางวันเธอคงมองไปไม่เห็นมันอีก วนาลีเองก็
จากไปแล้ว บ้านหลังหนึ่งเคยตั้งอยู่ที่นั่น บ้านอันอบอุ่นของสองพ่อลูก ลุงชาติ
และวนาลี มัชฌิตาคงไม่มีวันลืมสิ่งที่เธอได้รับจากทั้งสองคนเลย

“ขอบคุณนะวนาลี”
หญิงสาวยิ้มทั้งขยิบตาให้ ก่อนจะเห็นพื้นที่ว่างเปล่านั้นลับตาไปทางกระจกหลัง



มัชฌิตาอยากอาบน้ำแล้วนอนหลับแบบดีๆ สักตื่นหนึ่งก่อนที่จะคิดอะไรต่อ
รู้สึกแหยงตัวเต็มทีกับเรื่องที่โดนเห็บเกาะ ตามตัวเห็นจะนับได้สักสาม นี่ถ้ามัน
ยังอยู่ตรงใต้ร่มผ้าที่เธอยังไม่ได้เปิดดูอีกล่ะ ไม่อยากจะคิด

หญิงสาวแวะร้านกาแฟเล็กๆ ที่ขับผ่านตามรายทางเพื่อหาขนมใส่ท้องและอาจจะ
เป็นช็อกโกแลตเย็นแก้วโตอีกสักแก้ว มัชฌิตาเลือกจอดรถฝั่งตรงข้ามของร้าน
ห่างออกไปเล็กน้อย เพราะบริเวณหน้าร้านมีรถจอดอยู่เต็มหมดแล้ว ในระหว่างที่
กำลังเลือกขนมเธอไม่รู้เลยว่ามีสายตาจากรถที่แล่นมาจอดไกลๆ กำลังจับจ้องมา

“ท่านชามัล...ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นจอดรถทิ้งไว้ กำลังลงไปซื้อกาแฟครับ”
บุคคลในรถซึ่งถูกเจ้านายสั่งให้มาตามมัชฌิตาใช้จังหวะนี้รายงาน ที่เป็นการสั่งให้
มาตามเพราะว่าพวกเขาไม่ได้ตามติดมัชฌิตามาตั้งแต่เมื่อวาน ชามัลมีขอบเขต
การ “รู้” ได้ในระดับหนึ่ง เขาพอจะรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน แม้ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร
แต่หลังจากปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระไปหนึ่งคืนก็เกิดความคิดที่จะนำตัวเธอ
กลับมาอยู่ใกล้ให้ได้อีกครั้งเหมือนกำลังเล่นหยอกเย้ากับเหยื่อก็ไม่ปาน

“ถ้ายังมีรถก็หนีไปหนีมาได้อีก” ชามัลส่งเสียงมาทางโทรศัพท์

“แล้วท่านจะให้จัดการยังไงครับ”

“ทำให้เธอไม่มีรถซะสิ” ชามัลสั่ง

“ครับ”

“ไม่ใช่แค่ให้รถเสีย แต่ทำให้ไม่มีรถใช้ไปเลย เข้าใจนะ...”



เสียงดังโครมใหญ่และล้อบดถนนดังเอี๊ยดไม่ห่างออกไปจากหน้าร้านนัก
ทำให้มัชฌิตาต้องหันไปดู หญิงสาวอุทานลั่น ก่อนจะวิ่งแล่นออกไปโดยไม่สนใจ
อะไรอื่นอีก
ก็ภาพเจ้ารถคู่ชีพของตัวเองกลิ้งพลิกข้างลงเนินไปเอียงแหงแก๋ห่างจากจุดเดิม
หลายตลบโดยมีรถโฟรวีลคู่กรณีคันใหญ่กว่าจอดอยู่แทนที่ทำให้หญิงสาวโมโหเดือด
เธอยังจะต้องใช้รถอีกมาก นอกจากกระเป๋าสตางค์หายเมื่อวาน ไปเมาหลับในคลับ
ของชามัล โดนวนาลีจูงเข้าป่าไปนอนให้ทากกับเห็บสูบเลือด นี่จะต้องมาซวยอะไร
ขนาดนี้ในเวลาติดๆ กัน ดวงตกขนาดหนักแบบนี้จะตายก่อนได้เจอศัตรูหรือเปล่า
ก็ยังไม่รู้เลย

“คุณขอโทษแล้วรถฉันมันหายพังไหม ! ” หญิงสาวไม่สนใจคำขอโทษขอโพยของ
เจ้าของรถที่มาชนเธอ เป็นชายหนุ่มวัยสามสิบกว่า มากับน้องชายผู้ยังเป็นเพียง
เด็กหนุ่มซึ่งมีเค้าหน้าละม้ายคล้ายกับพี่คือไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ทั้งคู่อยู่ในชุด
ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยว น้องชายยังคงนั่งรออยู่บนรถราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนพี่ชายซึ่งเป็นคนขับรถมาชนรถของมัชฌิตานั้นมีท่าทีรู้สึกผิดอย่างมาก
ทั้งยังสุภาพ แต่มัชฌิตาเองไม่อยากเป็นมิตรกับเขาเท่าไหร่ในเวลานี้

หญิงสาวยีผมดัดอ่อนๆ เคลียไหล่ของตนเองจนยุ่งมากขึ้นอีกสิบเท่า ก่อนจะตะกาย
ลงเนินเพื่อไปเอาของสำคัญออกมาจากรถ เธอทนรอคนมายกรถอยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้แน่

“หมดกัน สมบัติตกทอดจากพ่อ” หญิงสาวบ่นกับตัวเอง โมโหจนเริ่มจะเป็นขำ
ประชดโชคชะตา ถึงเธอจะไม่ได้รักใคร่ห่วงหาอะไรกับบิดา แต่รถคันนี้มันก็อาจจะ
เรียกว่าเป็นสายใยสุดท้ายของพ่อกับคนในบ้านเลยก็ว่าได้ ในสมัยที่มัชฌิตาถูกทิ้งไว้
กับแม่และน้อง แม่ก็เป็นคนขับเจ้ารถจี๊ปคู่บ้านพาเธอพาน้องไปยังที่ไหนๆ คิดว่าสักวัน
มันจะแก่ไปพร้อมๆ กับเธอ ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาจากกันในสภาพพังเละเทะไปทั้งคัน
เพราะถูกชนกลิ้งลงเนินมาอัดแง่หินแบบนี้

เมื่อพบว่าประตูด้านคนขับเปิดไม่ได้มัชฌิตาจึงอ้อมไปเข้าอีกข้างประตูซึ่งบิดเบี้ยว
อ้าออกอยู่น้อยๆ พบว่ามันเปิดได้ไม่ยากเย็นนัก ที่ไม่เลือกเข้าด้านนี้แต่แรกเพราะ
ตัวรถค่อนข้างเอียงลงมาทางนี้และมีทีท่าว่าจะล้มกลิ้งลงมาทับได้ทุกเมื่อ

“นี่ คุณครับ มันอันตรายนะ ผมว่ารอคนมายกดีกว่า” ตัวการที่พยายามจะ
ออกความเห็นอย่างประสงค์ดีตะโกนมาแว่วๆ

“ไม่ช่วยก็เก็บปากไว้เฉยๆ ได้ไหมคะ คุณคนก่อปัญหา” มัชฌิตาตะโกนกลับไป
แบบไม่ออมเสียง

เธอหยิบได้กระบอกคุกกี้เก่าใส่แผนที่ กระเป๋าสะพายข้างลวดลายกราฟิคยุคซิกตี้
ใบไม่ใหญ่ซึ่งเอาไว้ใส่ของที่อยากจะพกพาไปไหนมาไหน โน้ตบุคคู่ชีพกับเมาส์ปากกา
คู่ใจสำหรับทำงานออกแบบ รวมถึงแผนที่จังหวัดนครราชสีมาซึ่งเพิ่งซื้อเมื่อวันก่อน
กับหนังสือท่องเที่ยวสองสามเล่มที่ปล้นมาจากอาจารย์ไตร เพื่อนหนุ่มผู้เป็นอาจารย์
สอนมหาวิทยาลัย แต่ที่เพื่อนของเธอมีหนังสือพวกนี้เห็นจะไม่ใช่เพราะวิชาภูมิศาสตร์
ซึ่งเขาสอน หากด้วยความชื่นชอบในการท่องเที่ยวของไตรเอง เธอยังเคยไปเที่ยวป่า
กับเขาออกบ่อย ทั้งทางเหนือและแถวกาญจนบุรี ไม่ทราบว่าพลาดเขาใหญ่ไปได้อย่างไร

มัชฌิตายังต้องการกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอซึ่งหนักพอควรแต่ก็พอเอามาสะพายไว้กับ
ไล่ข้างหนึ่งได้ ปัญหาก็คือมันอยู่ในช่วงหลังของรถ เอื้อมหยิบไม่สะดวกเพราะติด
โครงหลักของตัวรถจี๊ปซึ่งหักเบี้ยวลงมาขวาง หญิงสาวยังไม่ยอมแพ้ พยายามออกแรง
กระชาก เพราะค่าที่ไม่ได้ระวังใต้ท้องแขนบริเวณเกือบติดข้อมือจึงพลาดไปโดนเหล็ก
ซึ่งแหลมออกมาบาดเข้าให้จนได้

“โอ๊ยยย” หญิงสาวสูดปาก โดนเอาจังๆ ชนิดว่าแผลไม่ได้เล็กเลย ก่อนที่เลือดจะไหลหยด
มัชฌิตาเผลอตัวกดบาดแผลของเธอแนบอกเสื้อด้วยความตกใจมากกว่าอื่น แล้วก็ต้อง
ตกใจอีกครั้งเมื่อรู้สึกร้อนวาบตรงพลอยตาเสือข้างใต้นั้นจนเหมือนมีไฟลุกอยู่กลางอก
มัชฌิตารีบกระชากสร้อยออกมาจ้องมอง วาวเรื่อเรืองของดวงตาพยัคฆ์ที่แฝงในเนื้อพลอย
บัดนี้เจือด้วยแสงคล้ายสีของโลหิต เธอก้มลงมองอกเสื้อซึ่งเป็นผ้าสีแดงเข้มจนออก
น้ำตาลมีลายในเนื้อ สังเกตดีๆ จึงเห็นว่ามันเลอะเลือดเข้าให้แล้ว เป็นตำแหน่งซึ่งตรง
กับพลอยตาเสือพอดิบพอดี แปลกนักที่ตอนนี้มันกลับส่องประกายวาววามประหนึ่งว่า
อยากได้เลือดใครสักคนและกำลังพอใจกับหยาดโลหิตของมัชฌิตาที่ซึมไปสัมผัสกระนั้น

“คุณทำอะไรครับ”

หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงคู่กรณีของเธอมาดังขึ้นไม่ห่างออกไปนัก รีบร้อนเก็บ
พลอยตาเสือเข้าไว้ใต้เสื้อ ทั้งยังดึงแขนเสื้อลงมาปิดแผลที่ข้อมือแล้วกดไว้ ค่อยจัดการ
กับแผลทีหลัง กดไว้สักพักเลือดคงไม่ไหลซึมออกมามากมายนักหรอก

“ช่วยหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าให้หน่อยสิคะ”

“ผมต้องขอโทษมากๆ จริงๆ นะครับคุณ เรื่องรถ ไว้เดี๋ยวรอประกันมาถึง ผมจะ
รับผิดชอบทุกอย่าง จ่ายค่าทำขวัญให้ด้วย”

หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ
นอกจากต้องรออย่างเขาว่าเธอจะมีทางเลือกอะไรอีกเล่า



มัชฌิตาได้ทราบว่าชายผู้ขับรถมาชนรถของเธอชื่อพรต ข้างน้องชายเขานั้น
มีคนมารับตัวไปแล้วตั้งแต่ตอนที่มัชฌิตากำลังยุ่งๆ อยู่กับรถของตนเอง เมื่อไป
ลงบันทึกประจำวันยังโรงพักเพราะอีกฝ่ายพูดจาดีจึงสามารถตกลงกันได้
มัชฌิตาไม่คิดเรียกร้องอะไรเกินกว่าเหตุ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกผิดเต็มที่
จนเต็มใจชดเชยหลายๆ อย่างให้แก่เธอ

“เดี๋ยวผมพาคุณไปหาที่พักให้ได้ในวันนี้ ไม่ต้องห่วงครับ ผมมีคนรู้จักเป็นหุ้นส่วน
รีสอร์ทแถวนี้อยู่พอดี จากนั้นจะลองดูว่าสักพรุ่งนี้จะหารถมาให้คุณมัชฌิตา
ใช้ได้หรือเปล่า

ดังนั้นมัชฌิตาจึงนั่งรถออกมาจากโรงพักกับเขา ค่อนข้างเหม่อลอยและเพลียจน
ไม่อยากพูดอะไรมากมาย เขาว่าอะไรก็เอาตามนั้น นายพรตอะไรนี่คงมีเงินมาก
อยากมาทำรถเธอเจ๊งดีนัก ต้องรับผิดชอบแบบนี้ก็นับว่าสมควร


มัชฌิตาทำตาโต เมื่อเขาขับมาถึงทางเข้า “ไพรมายาคลับแอนด์รีสอร์ท”
ที่จะบอกว่าคุ้นตาก็ไม่ถูกนัก เรียกว่าติดตาคงเหมาะกว่า นี่มันอะไรกัน
เธอต้องวนกลับมาที่นี่อีกแล้ว ถ้างั้นก็มีหวังจะได้พบกับ...ชามัล

เมื่อรถจอดสนิทและมัชฌิตาลงจากรถพร้อมพรต ชายหนุ่มจึงเดินนำหน้า
หญิงสาวเข้าไปยังโถงรับรองซึ่งเป็นห้องทันสมัยชั้นเดียวที่มัชฌิตาเพิ่งจะ
จากมันไปเมื่อวานนี้ พรตคุยโทรศัพท์ตรงเคาน์เตอร์ติดต่อด้วยตัวเอง

ในขณะที่มัชฌิตานั่งร้อนๆ หนาวๆ อยู่ยังโซฟารับแขกตัวยาว ไม่นาน
ข้างกายของเธอก็ยวบลง เธอตั้งใจจะหันไปถามพรตว่าจะได้เข้าพักเมื่อไหร่
เพราะเพลียใจเหลือเกินแล้ว ดวงตาสีนิลของหญิงสาวก็ต้องเบิกว้าง
เมื่อพบว่าคนซึ่งทิ้งตัวลงมาข้างกายเธอนั้นเป็นคนคนเดียวกับที่เธอหวั่นๆ
ว่าจะต้องเจอเขาอยู่พอดี

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับคุณมิ้งค์”

“ทำไมฉันถึงหนีคุณไม่พ้นนะ ชามัล”

“จะหนีพ้นได้ยังไง ก็คุณเล่นกลับมาหาผมเองแบบนี้”

หญิงสาวขยับปากจะเถียง แต่แล้วก็ชะงัก ที่เขาว่ามาก็จริง “ฉันไม่ได้
อยากมานักหรอก แล้วก็ยิ่งไม่อยากเจอคุณด้วย” พูดไปแล้วก็ต้องกลับมา
ถามใจตัวเองว่าจริงหรือ เพราะเธอแทบลืมหายใจเพียงเมื่อชามัลเขยิบเข้ามา
ใกล้ขึ้นอีกนิด มัชฌิตาได้กลิ่นน้ำหอมเย็นๆ ที่เขาใช้ เธอสบตาสีน้ำตาลทอง
ที่จ้องมองมา ร้อนวูบวาบไปทั้งกายอย่างบอกไม่ถูก

“ผมว่า...ความประทับใจแรกเริ่มเป็นสิ่งสำคัญ แต่คงไม่มากเท่าความประทับใจ
ที่ได้กลับมาเจอกันใหม่หรอก คุณว่างั้นไหม”




ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่หญิงสาวหลับไปในห้องชุดสำหรับแขกซึ่งตกแต่งแบบ
อินเดียโบราณคล้ายห้องที่เธอตื่นขึ้นมาเมื่อวันวาน

หลังจากได้รับประทานอาหารร้อนๆ ซึ่งเป็นอภินันทนาการแถมจากพรต
ชายหนุ่มผู้เป็นตัวการสร้างเรื่องวุ่นๆ ให้เธอปวดหัวในวันนี้ มัชฌิตาก็ได้ห้องพัก
เธออาบน้ำฝักบัวโดยเมินอ่างดินเผาโออ่าที่น่าลงไปแช่เล่นเพราะอยากเอนกาย
ลงนอนพักไวๆ หญิงสาวใช้เบตาดีนที่พกติดมาด้วยในกระเป๋าเสื้อผ้าทาแผล
ถูกเหล็กรถบาดที่เฉียดข้อมือไปไม่เท่าไหร่ ดีว่าเธอชอบใส่เสื้อแขนยาวเป็นนิจ
ไม่งั้นใครเห็นแผลนี้เข้าอาจคิดว่ามัชฌิตาเป็นพวกคิดสั้นที่เกิดนึกจะเชือดข้อมือ
ตัวเองแล้วไม่ตายก็เป็นได้

ผมที่สระยังไม่ทันแห้งดี เมื่อหัวถึงหมอนหญิงสาวก็ผล็อยหลับสนิทเหมือนน็อคไป
เพราะสองคืนที่ผ่านมาเธอนอนในสภาพไม่ปกติมาตลอด ซึ่งแม้จะค่อนข้างนาน
แต่ก็ตื่นมามึนงงปวดหัวปวดตัวไปหมด จะหาคำว่าสบายนั้นไม่ได้เลย แต่คราวนี้
ได้นอนเต็มตาและหลับสบายโดยไม่ฝัน

มัชฌิตาซึ่งตื่นมาเพราะติดนิสัยทำงานตอนกลางคืนแบบนกฮูกราตรีอยู่แล้วคิดจะ
ออกไปยังบาร์เพื่อหาอะไรทานให้สบายใจสักหน่อย พรตรับปากว่าทุกอย่างที่นี่ฟรี
สำหรับเธอ หญิงสาวก็รับน้ำใจนั้นไว้เพราะเห็นว่าเขารู้สึกผิดมากมายเหลือเกิน
เรื่องที่ทำรถจี๊ปคู่ชีพของมัชฌิตาเยินไปทั้งคั้นขนาดนั้น ในคืนนี้จึงตั้งใจจะสนอง
เจตนารมณ์ของอีกฝ่ายโดยการทำยอดบิลให้พุ่งสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้
ก็ไม่ใช่ว่าผูกใจเจ็บอะไรหรอก แต่ไหนๆ เขามีคนรู้จักเป็นหุ้นส่วนที่นี่ถึงกับหยิบ
โทรศัพท์ของโอเปอเรเตอร์มาพูดสายปาวๆ ได้เองแบบนั้น ฐานะของเขาหรือไม่ก็
คนรู้จักที่ว่าคงไม่ใช่ระดับต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายพวกนี้เลยจนนิดเดียว


ลึกๆ มัชฌิตารู้ว่าเธอแอบหวังว่าตนจะได้พบชามัล เธอพยายามพาตัวหนีจากเขา
แต่วันนี้ก็ยังมีดวงได้กลับมาเจอ เมื่อเย็นเขาเพียงแค่โฉบมาทักนิดเดียวแล้วก็ลุกไป
ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกสักครั้งไหมก่อนเธอจะต้องไปจากที่นี่

มัชฌิตาเลือกสวมเสื้อยืดแขนกุดสีดำเข้ารูปวาดลายทองระยิบระยับที่อกกับ
กางเกงผ้าดำเนื้อบางที่ปลายขาบานออกเล็กน้อย แตะน้ำหอมกลิ่นโปรดที่หลังใบหู
ก่อนออกจากห้อง แวะที่โถงต้อนรับเพื่อสอบถามรายละเอียดของที่นี่ซึ่งเธออยากรู้
กับพนักงาน หลังจากได้รับข้อมูลปากเปล่าคร่าวๆ หญิงสาวยังหยิบแผ่นพับแนะนำ
สถานที่มาเปิดๆ ดู จึงเพิ่งได้ทราบว่าสาเหตุที่บาร์เป็นแบบสมัยใหม่และห้องพักของตน
ตกแต่งแบบเก่านั้นเพราะจัดไว้ให้ลูกค้าได้เลือกตามความพอใจ บาร์แบบเก่าโบราณ
สไตล์อินเดียก็มีแยกออกไปต่างหากอยู่ทางด้านหลังทว่าหญิงสาวไม่นึกอยากไป
ในตอนนี้ แม้มันจะน่าสนใจ แต่เธออยากทบทวนความจำของคืนก่อนมากกว่า


ในบาร์นั้นมืดมาก ทั้งที่วันวานมัชฌิตาจำได้ว่ามันสว่างไสวกว่านี้ แต่ท่ามกลาง
ความมืดกลับมีอารมณ์บางอย่างซึ่งจริงยิ่งขึ้นกว่าเดิม หญิงสาวมองไปรอบๆ
เริ่มจากซ้าย ย้ายไปขวา ชายหนุ่มบางคนมองมาสบตาเธอแล้วยิ้มให้ มีคนบอก
มัชฌิตาอยู่เสมอว่าเธอเป็นคนสวย ทั้งยังสง่า แต่ธรรมชาติของผู้ชายก็คงจะมอง
ผู้หญิงที่พอดูได้ทุกคนซึ่งเดินเข้ามาในบาร์เพียงลำพัง

ในที่สุด สายตาก็นำพาเธอไปพบเจ้าของผมดำหยักศกเสมอไหล่ในชุดดำหันหลัง
อยู่ตรงเคาน์เตอร์เดิม ที่นั่งข้างกายเขาเว้นว่างไว้ ชายหนุ่มค่อยๆ หันกลับมา
คลี่ยิ้มให้มัชฌิตา ดวงตาน้ำตาลทองเป็นประกายของชามัลแฝงรอยยินดีคล้ายกับว่า
ได้รอคอยเธออยู่นานแล้ว

“มิ้งค์... มาย มิดไนท์ เลดี้”

“พูดเหมือนเราเจอกันครั้งแรกตอนเที่ยงคืนอย่างนั้นแหละ” หญิงสาวเปรย
ก่อนจะนั่งลงข้างเขา “นี่ที่ประจำคุณหรือคะ”

“เปล่า แต่มันอาจจะกลายเป็นที่ประจำของผมจากนี้ไป หลังจากที่ไม่มีคุณ”
ชายหนุ่มแกล้งทอดเสียงเศร้าๆ

มัชฌิตาสั่งเครื่องดื่มเบาๆ สำหรับตัวเองแล้วจึงค่อยหันมาพูดกับคนข้างกาย
“อย่าแกล้งพูดหน่อยเลยค่ะ ไม่มีฉันคุณก็หาคนมานั่งข้างๆ ได้เยอะแยะไป”

“หาได้ แต่ไม่อยากหา” ชามัลพูดเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนยกแก้วขึ้นจิบ
“การจะหาใครสักคนที่ถูกใจมันยากมากนะคุณรู้ไหม”

มัชฌิตาหน้าแดงกับคำพูดดังกล่าว แต่พยายามแสดงออกไม่ให้ชามัลรู้ว่าเธอเอง
หวั่นไหวเพียงใด “เข้าใจสิ จนป่านนี้ฉันยังหาคนถูกใจไม่ได้เลย”

“จริงเหรอครับมิ้งค์ ผมคิดว่าคุณจะบอกว่าเจอคนคนนั้นแล้วเสียอีก” ชามัลหมุน
เก้าอี้หันหลัง เปลี่ยนมาเป็นเอาศอกเท้ากับเคาน์เตอร์บาร์ เอนตัวมาใกล้มัชฌิตา
มากขึ้น “คุณพรตเล่าให้ผมฟังนิดหน่อย เรื่องที่ขับรถไปชนรถคุณเข้า เขาบอกว่า
ขับมาเร็วไป แล้วก็กำลังคุยโทรศัพท์เพลินด้วยใช่ไหม”

“ค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ว่าจะชนจังๆ ขนาดนั้น ฉันยังสงสัยว่าเมาหรือเปล่า
แต่เขาก็ไม่ได้เมา”

“อืม ผมก็ไม่ค่อยรู้จักเขาดีเท่าไหร่ เผอิญว่าเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที”

“คนที่เป็นหุ้นส่วนของไพรมายาน่ะหรือคะ”

“ครับ กับคนนั้นจะสนิท ส่วนคุณพรตนี่เรียกว่าเป็นคนรู้จักก็แล้วกัน
เพราะเขาไม่ได้มาที่นี่บ่อยนักหรอก”

“เขามีหุ้นที่นี่ด้วยไหมคะ เขาไม่ได้บอกออกมาตรงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้ถาม”

“เปล่าครับ แต่เขาก็เป็นคนมีฐานะอยู่ เลยอยากจะมาช่วยอุดหนุนที่ที่เพื่อน
มีเอี่ยวด้วยก็เท่านั้นเอง”

มัชฌิตาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

“แล้วคุณมิ้งค์จะอยู่เที่ยวที่นี่ต่อไปอีกหรือครับ รถพังไปทั้งคันแล้วอย่างนี้”

“เอ่อ...ค่ะ คือว่าฉันนัดเพื่อนไว้ เลยต้องอยู่รอ” มัชฌิตาพูดไปอย่างนั้น

“งั้นพรุ่งนี้ให้ผมเป็นสารถีเอาไหมครับ บังเอิญว่าช่วงนี้ชักขี้เกียจอยู่เฝ้าไพรมายา”

“แต่คุณพรตเขาอาสาจะหารถมาให้ใช้แล้วน่ะค่ะ”

“ครับ เขาเพิ่งมาถามหาเอากับผม แล้วผมก็รับปากไปว่าจะช่วยจัดการให้
ก็จะให้คุณขี่เจ้าเสือดำของผมนี่ไง แถมคนขับด้วย”

“เสือดำ ? ”

“บังเอิญว่าผมขับจากัวร์”

มัชฌิตานึกไปถึงความทรงจำของวันวาน รถจากัวร์สปอร์ตคันสีดำที่เธอเห็น
ก่อนจะตัดสินใจเข้ามาในไพรมายา เป็นเขาเองหรือนี่ หรือว่าลิขิตของเธอจะเป็น
หนุ่มหล่อ รวย น่ารัก เป็นที่ฝันใฝ่ของสาวๆ มัชฌิตาคงจะไม่โชคดีขนาดนั้นหรอกน่า

“คุณอยากได้สารถีแบบนี้ไว้ข้างตัวบ้างรึเปล่า” ชามัลเอ่ยคล้ายเย้ามัชฌิตาเล่น

“ไม่ละค่ะ เพราะฉันไม่อยากผิดหวัง ฉันมักอยากได้อะไรที่มีแนวโน้มว่าจะได้มา
ครอบครองจริงๆ อย่างถาวร ไม่ใช่ชั่วคราว” เธอตอบขำๆ เช่นกัน

“แต่ผมไม่เหมือนกัน เวลาที่ผมอยากได้ ผมจะทำให้ได้มันมา ไม่ว่ามีแนวโน้มหรือไม่
ก็จะพยายาม...” ชามัลยังคงมองคู่สนทนาด้วยดวงตาที่เปล่งความหมาย
ซึ่งเขาไม่พยายามซ่อนเร้น

“หึ พวกเศรษฐีก็แบบนี้ คิดว่าตัวเองต้องได้ทุกอย่างที่ต้องการจนเป็นนิสัย”
มัชฌิตาพูดออกมาตามใจคิด

“ก็อาจใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ผมรู้ดีว่ามีอีกหลายอย่างที่เงินซื้อไม่ได้ หากอยากได้
ต้องทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเอามาครอง” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก “ว่าแต่ห้องพักถูกใจหรือเปล่าครับ”

“ค่ะ สวยมาก รู้สึกเหมือนตัวเองได้ย้อนเวลาไปสมัยอินเดียโบราณ เป็นเจ้าหญิง
เสียแต่ว่าไม่มีนางกำนัลคอยป้วนเปี้ยนอยู่ในห้องเท่านั้นเอง”

“ผมเดาว่าคุณคงไม่อยากให้ใครรบกวน แต่ถ้าอยากให้มีอะไรพวกนั้นก็บอกนะ
ผมจัดให้ได้ตามคำขอ”

“ไม่หรอกค่ะ คุณเดาถูกแล้ว ฉันชอบอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า”

“รู้รึเปล่าว่าห้องที่คุณอยู่ตอนนี้มีชื่อว่า มหารานี เป็นห้องที่ดีที่สุด เหมาะกับนางพญา
ในตระกูลของผมที่อินเดียเรามีคฤหาสน์แบบนี้ มีห้องมากมาย แต่จะมีห้องดีที่สุด
สำหรับหัวหน้าตระกูล แล้วก็อีกห้องของภรรยาหัวหน้าตระกูล จัดไว้คล้ายๆ กับห้องรานีแบบนี้”


ชามัลเล่าถึงชีวิตแต่เก่าก่อนของตนเองที่อินเดีย แม้จะดูว่าเขารักบ้านเกิด แต่ก็ยังอด
บ่นไม่ได้ว่าที่นั่นน่าเบื่อ “เวลากลางวัน ผมรู้สึกว่าหาความสงบใจไม่ได้เลย ผมชอบ
ความมืดของกลางคืน และชอบไฟที่ถูกจุดขึ้นมาระหว่างความมืดนั้นมากกว่าแสงอาทิตย์”

“ฉันก็ชอบทำงานกลางคืน เอ่อ หมายถึงตัวเองทำงานพวกรับจ้างออกแบบอิสระ
อะไรพวกนี้ใช่ไหมคะ รับงานมาแล้วจะทำตอนไหนหรือเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ทำมืดๆ
มันสบายใจแล้วก็ไม่มีใครกวน เงียบดีด้วย” มัชฌิตาไม่อยากพูดถึงเรื่องของตนเอง
มากนัก แต่ก็อดแง้มออกมานิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้ คิดว่าแค่นี้คงไม่เป็นไร

ทั้งที่เขาน่าจะช่วยเธอได้ เรื่องภาษาแขกในแผนที่ของวนาลี แต่ในเวลาซึ่งต้องระวังตัว
และชามัลก็มีบางอย่างที่ชวนสงสัย พูดออกไปคงไม่ดีแน่ อาจเป็นเพราะเขาแค่ดู
มีอำนาจในมือมากเกินไป อยู่ที่ว่าอยากจะใช้มันเมื่อไหร่ก็คงกระดิกนิ้วเรียกหาเอา
ได้ทุกอย่างจนเธอกลัว กับอีกเรื่อง เขาบังเอิญวนเวียนมาใกล้มัชฌิตาบ่อยๆ แม้จะ
ไม่ได้สนใจแตะต้องพลอยของเธอเลย แต่อีกฝ่ายอาจมีเหตุผลที่ต้องรอเวลาก็เป็นได้

ยังดี อย่างน้อยเธอก็กำจัดพลอยของมาริณไปพ้นจากน้องสาวคนเล็กได้
กับเรื่องมูนสโตนของมุกดายังไม่ค่อยน่าห่วง ที่มุกดาไม่กล้าปิดเรื่องอความารีน
หยดน้ำเม็ดนั้นกับมูนสโตนซึ่งได้รับมาจากย่า ก็แปลว่ายังเหลือความเคารพนับถือ
เธออยู่บ้าง ความรู้สึกซึ่งน้องสาวคนรองเคยมีให้อย่างเปี่ยมล้นในอดีต แม้วันนี้
ดูเหมือนจะเจือจางไปเมื่อมัชฌิตาแสดงออกว่าไม่สนใจไยดีย่า หวังว่าน้องคงจะ
สามารถเข้าใจการกระทำของเธอได้ ไม่วันนี้ก็วันไหนสักวันในอนาคตข้างหน้า

ย่าของเธอเป็นคนพรากเอาชีวิตที่ควรจะมีกันพ่อแม่ลูกไป เธอจึงไม่ได้สนิทสนม
กับพ่อนัก เพราะบิดามักจะไปๆ มาๆ ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ในที่สุดก็เลือกมารดามาก่อน
คนรักและลูกสาวทั้งสาม ถ้ารู้ตัวว่าจะทำแบบนั้นทำไมถึงอยู่กันมาจนมีลูกตั้งสามคน
จึงค่อยทิ้งแม่ของเธอ น่าจะไปเสียตั้งแต่แรก

พอไม่มีพ่อบนโลกนี้แล้ว ย่าเกิดจะหันมาสนใจพวกเธอพี่น้อง มัชฌิตาเคยได้ยิน
แม่พูดก่อนเสียชีวิตไม่นาน ว่าย่าอยากได้พวกเธอไปอยู่ด้วย ซึ่งนั่นอาจไม่รวมแม่...
แต่ยังไม่ทันได้รู้ว่าชีวิตจะเป็นยังไงต่อไปแม่ก็มาด่วนจากไปอย่างมีปริศนา
แม่เธอถูกพาเข้าโรงพยาบาล ย่าเป็นผู้ยื่นมือเข้ามารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ไม่กี่วันจากนั้นมัชฌิตาก็ได้รับข่าวหลังกลับมาจากโรงเรียน แม่เธอเสียชีวิตแล้ว
ทั้งไม่ได้รับอนุญาตแม้กระทั่งให้ดูหน้าผู้เป็นมารดาครั้งสุดท้าย มีงานศพเรียบง่าย
เพียงวันเดียว ไม่มีแม้แต่การรดน้ำศพ

ตอนนั้นมัชฌิตาเพิ่งจะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง แต่ย่าก็รับเลี้ยงดูส่งเสีย
หลานสาวทั้งสามจนจบมหาวิทยาลัย เธอพยายามบอกตัวเองว่าเพราะย่าร่ำรวย
จากการดูดวงให้พวกเศรษฐีจนมีเงินเหลือใช้ ทั้งยังสมบัติล้ำค่าเก่าแก่ที่เสาะหา
มาเก็บสะสมไว้มากมาย ที่ต้องเลี้ยงพวกเธอก็สมควรแล้วกับการพรากพ่อไป
ลึกๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะรักและผูกพันกับย่า แต่ไม่อยากใกล้ชิดให้มากเกินจำเป็น
เหมือนเป็นความเจ็บปวดที่จะต้องรักทั้งยังสงสัยอยู่ในใจไม่รู้คลาย

เรื่องที่แม่เธอเสียชีวิต แม่ป่วยเป็นอะไรตาย...

สี่คนย่าหลานอยู่ร่วมบ้าน มัชฌิตามักประหยัดถ้อยคำเมื่อมีผู้สูงวัยอยู่ด้วย
ย่าก็ดูจะเอ็นดูเจ้ามูนกับเจ้ามีนน้องสองคนมากกว่าตัวเธอเป็นไหนๆ แต่ก็มี
นานๆ ครั้งที่เกิดอยากไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว มัชฌิตาจะทำหน้าที่ขับรถจี๊ป
เก่าคันที่เพิ่งประสบเหตุไปคันนั้น มีมาริณน้องสาวคนเล็กนั่งเคียงที่เบาะหน้า
ปล่อยให้ย่านั่งข้างหลังซึ่งสบายกายน้อยกว่า แต่คงคลายความอึดอัดใจ
อยู่กับมุกดาสองคน
ช่วงหลังๆ มานี่เองที่มัชฌิตาทุ่มเทเวลาให้กับงานเพราะอยากมีบ้านและอะไร
หลายๆ อย่างเป็นของตัวเอง จะได้ไม่ต้องพึ่งใบบุญคนเป็นย่าตลอดไปเธอจึง
มักไม่ค่อยกลับบ้าน ย้ายไปนอนตึกซึ่งถูกทำเป็นกึ่งออฟฟิศของเพื่อนสนิท
ที่ทำงานร่วมกันเป็นทีมหลายคนอยู่กลายๆ เวลาลูกค้าเร่งงานก็สุมหัวทำงานกัน
ดึกยันเช้าสนุกไป เป็นชีวิตลุยๆ ของวัยทำงาน มีสีสันไปอีกแบบ

“มิ้งค์ครับ คุณช่วยบอกผมทีได้ไหม ว่าเพราะอะไรเราถึงมีชะตาต้องวนเวียน
มาเจอกันอย่างนี้” ในขณะที่เธอกำลังเผลอไผล ชามัลก็ขยับเข้ามาจนคล้ายจะ
เอ่ยอยู่ริมหู

หญิงสาวถอยห่างออกมานิดหนึ่ง “มุกนี้มันออกจะเก่าไปหน่อยหรือเปล่าคะ”

ชามัลหัวเราะเบาๆ หยิบแก้วซึ่งมัชฌิตาเพิ่งวางลงขึ้นมา หันด้านที่เธอดื่มเข้าหาตัว
ก่อนค่อยๆ ยกขึ้นประทับริมฝีปากเข้ากับร่องรอยนั้น จิบเครื่องดื่มอย่างละเลียดโดย
สายตาที่แสร้งให้ขรึมของเขาไม่คลาดไปจากดวงหน้าของมัชฌิตาแม้แต่นิดเดียว

หญิงสาวหน้าชา ไม่เคยเจอใครรุกถึงขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ถ้าคนอื่นทำเธอคงว่า
โรคจิต แต่กับเขา... หัวใจเจ้ากรรมกลับเต้นแรงด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
ชามัลกระเถิบเข้ามาใกล้มาก สายตาเว้าวอนเหมือนรีรอให้เธอสัมผัสเขาก่อน
แต่มัชฌิตาก็ไม่ได้ทำสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังรอคอย

“คุณเชื่อเรื่องชะตาลิขิตหรือเปล่า”

“ก็แค่คนเหงาใจมาเจอกันมากกว่า” หญิงสาวข่มเสียงตอบไปเบาๆ

“ในยามค่ำคืน ฝันอันอ้างว้างลอยล่องไปเหมือนฟองสบู่ หากลอยไปชนเข้ากับ
ฟองซึ่งอ้างว้างใกล้เคียงกัน ฟองแห่งความอ้างว้างคงหลอมรวมเป็นหนึ่ง
แต่ถ้าหากว่าไม่ มันอาจแตกสลายลงทั้งคู่ก็เป็นได้...”
ชามัลทำตาลอยคล้ายสะกดให้มัชฌิตาฝันตามคำที่เขาพูดไป

“ฟังดูเปราะบางจังเลยนะคะ” หญิงสาวไหวไหล่ หลบสายตาแรงร้อน
ซึ่งจับจ้องมาอย่างช่วยไม่ได้

ชามัลหัวเราะเอ็นดู ก่อนจะยื่นปลายนิ้วมาเขี่ยปอยผมสองสามปอยที่ตกลงมา
ปรกข้างแก้มคนข้างกายออกแผ่วเบา เพื่อเขาจะได้มองแก้มแดงๆ ของเธอให้ชัด
“เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเปราะบางที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งยังไงล่ะครับ”

“ฉันง่วงแล้วละค่ะ อยากจะขอตัวไปนอนต่ออีกนิด คิดว่าคงยังหลับไม่เต็มอิ่ม
เมื่อหัวค่ำ” มัชฌิตาโกหกคำโต อันที่จริงเธอแค่อยากหนีจากเขา

“ฟังจากน้ำเสียงคุณคงไม่อยากให้ผมไปส่ง... แต่ผมคิดว่ารู้ ว่าคืนนี้คุณจะฝันถึงอะไร
ฝันถึงใคร”

มัชฌิตายังคงไม่สบตาเขาในยามที่พึมพำบอกลาเบาๆ แต่ใจกลับเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ

เมื่อกลับมาอยู่ตามลำพังในห้อง เธอจึงค่อยๆ หยิบแผนที่จากกระบอกโลหะซึ่งซุกไว้
ในกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาดูอีกครั้ง ชะตาลิขิตงั้นหรือ หญิงสาวหลับตา ทิ้งตัวลงแรง
ลงบนเตียง คว้าหมอนมาปิดหน้า “แต่ยังไงฉันก็บอกคุณไม่ได้หรอกชามัล
แม้ว่าคืนนี้ฉันอาจจะต้องฝันถึงคุณจริงๆ ก็เถอะ” หญิงสาวกระซิบคล้ายเตือนตนเอง
ก่อนจะดึงพลอยตาเสือที่อยู่ใต้อกเสื้อมากำไว้ในมือ ด้วยความรู้สึกทั้งหวั่นไหวและสับสนใจใน


ชามัลกลับไปยังห้องของตนเช่นกัน ห้องของเขามีนามว่า มหาราชา
ห้องสำหรับผู้เป็นราชันโดยเฉพาะ ไม่เปิดให้ใครเข้าพัก ห้องของมัชฌิตาเองก็เช่นกัน
เธอเป็นคนแรกที่ได้นอนบนเตียงนั้น พูดให้ถูก ต้องบอกว่าห้องนั้นรอคอยเธอมาตลอด
และตัวเขาก็ด้วยที่รอ เขารู้ดีว่าเธอเป็นใครแม้ไม่รู้จักหน้าค่าตามาก่อน แต่รู้ว่าวันหนึ่ง
จะต้องมีสตรีผู้มีความงดงาม ท่วงท่าดุจนางพญามาถึงที่นี่ คืนนี้เขาจะหลับตาลง
และคิดถึงเธอ

ชายหนุ่มนั่งลงข้างเตียงที่มัชฌิตาถูกพามานอนตอนเธอหมดสติไปเพราะกำยานของเขา
มือเรียวแข็งแรงหยิบกุญแจออกมาไขลิ้นชักข้างเตียง

เขาเทบางอย่างออกมาจากถุงผ้ากำมะหยี่สีดำซึ่งซ่อนไว้ในลิ้นชัก พลอยตาเสือทรงมาคีย์
เม็ดหนึ่งกลิ้งลงมานอนสงบบนฝ่ามือ เป็นคนละเม็ดกับพลอยซึ่งอยู่ที่มัชฌิตา แต่คาดว่า
มันคงเหมือนกันมากเหลือเกินแม้เขาจะยังไม่เคยเห็นอีกเม็ดก็ตาม แรงไฟเหลืองส้มวาววาม
ในเนื้อพลอยทรงดวงตาสีน้ำตาลเข้มลึกจนเกือบดำวาบขึ้น มันเรืองโรจน์ปะทุตอบไฟในใจเขา

ของที่ลอบนำออกมาจากตระกูล...แต่ไม่ว่ายังไง ในอนาคตมันก็ควรตกเป็นของเขา
อย่างถูกต้องอยู่แล้วมิใช่หรือ ทั้งพลอยเนตรราชันนี้และเนตรราชินีนั่นอีกเม็ด

“มิ้งค์...มัชฌิตา ผมไม่เคยเชื่อเรื่องชะตาลิขิตเหมือนอย่างคุณ
ทุกอย่างที่เกิด เพราะคนเราลิขิตชีวิตเราเอง”





อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ม.ค. 2555, 08:42:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 23:57:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 2693





<< บทที่ 1 ดวงไฟในเงามืด (ต่อถึงจบบท)   บทที่ 3 มือที่ช่วยนำทาง (1/3) >>
อสิตา 9 ม.ค. 2555, 08:48:21 น.
ป.ล. ทวนเวลาให้หน่อยค่ะ
ตอนพี่มิ้งค์เริ่มเรื่องคือหลังจากย่าตายไม่เท่าไหร่
แต่พอน้องมีนออกมาตามนี่ผ่านไปเป็นเดือนแล้ว
แปลว่าพี่มิ้งค์ก็เตลิดไปไหนต่อไหนไกลแล้วนะจ๊ะ


ameerahTaec 9 ม.ค. 2555, 10:30:17 น.
อ่อ พระเอกมีแผนกะนางเอกตลอดเลยอ่า อิอิ


Auuuu 9 ม.ค. 2555, 12:07:41 น.
อยาเห็นเวลาพลอยสองเม็ดอยู่ด้วยกันจัง จะเป็นยังไงหว่า แล้วมาริณจะตามหาอความารีนเจอไม๊น้อ??


หมูอ้วน 9 ม.ค. 2555, 12:12:55 น.
สัมผัสที่หกของหนูมิ้งค์แรงมากค่ะ พลิกความคาดหมายที่หนูวนาลีเป็น...


Zephyr 9 ม.ค. 2555, 13:39:06 น.
ว่าแล้วเชียวว่าวนาลีต้องเป็รอะไรที่เหนือธรรมชาติ
ยิ่งอ่านแล้วยิ่งขนลุกอ่ะ จิ้นเรามันไปไกลมาก เราไม่กล้าอ่านกลางคืนแล้ว มาอ่านกลางวันละกัน
คุณพรตนี่ลูกน้องชามัล ใช่มั้ยคะ แต่เอ๊ะ ตอนแรกชามัลบอกมิ้งค์ไปแล้วนี่คะ ว่าเป็นเจ้าของไพรมายารีสอร์ท ทำไมตอนนี้ มิ้งค์ทำเหมือนไม่รู้เลย หรือเพราะหลังจากหลับคราวนั้น เหตุการณ์ก่อนหน้า มิ้งค์เลยเบลอๆคิดว่าฝันอยู่
มหาราชา มหารานี พลอยตาเสือเนตรราชาและเนตรราชินี ฟังดูอลังการมาก แถมเข้ากั๊น เข้ากันเนอะ มีซาดิสม์เล็กน้อยที่พลอยดื่มเลือดนี่แหละ อึ๊ยย สยอง


เบญจามินทร์ 9 ม.ค. 2555, 14:06:29 น.
เรื่องนี้ดูแฟนตาซีสุดในสามเรื่องจริงๆ


บุลินทร 9 ม.ค. 2555, 21:09:29 น.
ตอนรู้ว่าวนาลีเป็นผีก็ขนลุกเหมือนกันครับ อ่านตอนกลางคืนด้วยตอนนั้น


อสิตา 10 ม.ค. 2555, 06:10:45 น.
ในสายตาของคนเขียน...ยังไม่ค่อยแฟนตาซีเท่าไหร่ ออกแนวลึกลับเหนือจริงมากกว่า (ถ้าแฟนตาซีต้องมีข้ามโลก หุหุ)


silverraindrop 10 ม.ค. 2555, 11:36:05 น.
กำลังลุ้นอยู่คาะ ว่าพระเอกจะหลอกอะไรนางเอกอีก


Canopus 22 ม.ค. 2555, 23:45:22 น.
ขนลุกอ่านตอนดึก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account