มายาไฟในดวงตา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ
เมื่อพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาตั้งใจจะเก็บมรดกทั้งของตนเองและน้องสาวเอาไว้
อันตรายบางอย่างกลับคืบคลานเข้ามา หญิงสาวจึงทำได้เพียงหนี !
ก่อนที่ “เขา” เจ้าของพลอยที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงจะมาทวงมันคืนไปจากเธอ
Tags: อสิตา มนตรามุกจันทรา ม่านธาราเร้นดาว พลอยตาเสือ มัชฌิตา ชามัล อัคนิวรา

ตอน: บทที่ 3 มือที่ช่วยนำทาง (1/3)

@ คุณ ameerahTaec
ชามัล ชายผู้ร้ายกาจ 55

@ คุณAuuuu
พลอยสองเม็ดเจ้าของซ่อนอย่างดีไม่ยอมให้โผล่ออกมาทักทายกัน
แต่คนถือพลอยนี่เจอกันตลอดค่ะ เอิ๊ก

@ คุณหมูอ้วน
สัมผัสหนูมิ้งค์ติดๆดับๆ จนเจ้าตัวขาดความมั่นใจ

@ คุณNeferretti
ดีใจนะคะที่อ่านแล้วอิน ฮี่ๆ ตอนนี้ไม่น่ากลัวเล้ยยย จริงๆน้า
ตอนไหนน่ากลัวจะบอก(คนเขียนแอบยิ้มมีเลศนัย)
มิ้งค์รู้ทั้งรู้ว่าชามัลเป็นเจ้าของไพรมายา แต่ที่ยอมอยู่เพราะ “ใจสั่งมา”
...ท่าจะต้องพายายมิ้งค์ไปเข้าสถานบำบัดด่วน

@ คุณเบญจามินทร์
หุหุ พารานอมอลๆ

@ หนูบุลินทร
ตอนนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว

@ คุณ silverraindrop (ชื่อโรแมนติกนะคะ)
ตอนนี้คนอ่านจะเริ่มเกลียดชามัลไหมน้า หรือจะชอบมากขึ้นก็ไม่รู้





บทที่ ๓ มือที่ช่วยนำทาง

เกือบสายแล้วเมื่อมัชฌิตาลงมายังห้องรับประทานอาหารเช้าตามคำเชิญของ
ผู้ชายชื่อชามัลซึ่งโทรมาปลุกเธอถึงที่ ดีว่าหญิงสาวนอนจนไม่รู้จะนอนให้อิ่มยังไงได้อีก
เธอจึงไม่ได้อารมณ์เสียใส่เขา

รู้สึกว่าชามัลชอบสวมเสื้อสีดำเสียจริง แต่วันนี้เขาดูลำลองขึ้นด้วยกางเกงยีนส์เทาฟ้า
ค่อนข้างเข้ารูป ผมหยักศกใส่น้ำมันเล็กน้อยพอสวย แลดูเรียบร้อยกว่าวันอื่นๆ
ที่เห็นกันมา และเมื่อเขายิ้มให้มัชฌิตาก็รู้สึกอิ่มจนแทบไม่ต้องกินอะไรเลยก็ยังได้
เธอยังมีพิรุธในใจ เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมาในฝันเลือนรางอันจับความไม่ได้นั้น
ดูเหมือนจะมีใบหน้าของเขาวนเวียนผ่านเข้ามาจริงๆ

ในห้องมีของจัดไว้ให้แขกเลือกรับประทานกันตามอัธยาศัย มัชฌิตายังไม่หิว
ในเวลาเช้าๆ จึงพอใจแค่เบคอนไม่กี่ริ้วกับน้ำส้มสด หญิงสาวคิดว่าเพราะตนเป็นคน
จริงจังจึงไม่กินจุกกินจิกให้มันเหนื่อย เพราะเหตุนี้จึงสามารถรักษาหุ่นสะโอดสะอง
ไว้ได้ตลอดเวลา โชคดีที่สัดส่วนซึ่งควรจะเต็มอิ่มสมหญิงก็ไม่ได้ลดลงตามไปด้วย
แต่อย่างใด

ก่อนนี้ไม่ทันได้มีเวลาพอจะสังเกตปฏิกิริยาที่คนรอบข้างมีต่อชามัล หรืออาจ
เป็นเพราะในบาร์มืดจนไม่มีใครมองใคร แต่ยามนี้เห็นได้ชัด คนในรีสอร์ทแลดู
คุ้นเคยกับเขา ทว่าไม่มีใครยิ้มแย้มหรือเอ่ยทักทาย นอกจากเพียงก้มศีรษะให้
ด้วยท่าทีนอบน้อมราวบ่าวรับใช้ จนมัชฌิตาอดคิดไม่ได้ว่านายชามัล
เศรษฐีหนุ่มตรงหน้าเธอคนนี้จะต้องรวยมากหรือไม่ก็คงเป็นผู้ดีเก่าแก่
มหาเศรษฐีหมื่นล้านมาจากไหน

“วันนี้คุณจะออกไปข้างนอกตอนไหน ผมรอบริการอยู่นะ” ชามัลพูดก่อนจัดการ
กับอาหารเช้าของตนด้วยท่าทีเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ จนมัชฌิตาเห็นแล้ว
ลืมกิน ด้วยนึกว่ากำลังชมคลิปวีดีโอสอนมารยาทสากลอยู่อย่างใกล้ชิด

“ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ เดี๋ยวรอเจอคุณพรตก่อน เขานัดไว้ว่าจะมาตกลงเรื่องรถ
กันนิดหน่อย” หญิงสาวตอบ กำลังคิดว่าจะปฏิเสธสารถีรูปหล่อตรงหน้าคนนี้
อย่างไรดี ใจหนึ่งก็อยากรับน้ำใจเขา ถ้าออกไปด้วยกันอีกฝ่ายก็ต้องรู้ว่าเธอ
มาทำอะไรที่นี่จนได้ แต่ถ้าไม่กังวลเรื่องนั้นหากจำเป็นต้องใช้บริการชามัลก็คง
เพียงวันสองวัน
เพราะหลังจากนั้นมัชฌิตาได้นัดแนะไตรเพื่อนซึ่งเป็นอาจารย์คณะภูมิศาสตร์
ผู้น่ารักให้ขับรถมาหาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องแผนที่ ใจจริงอยากจะให้มาวันนี้
เลยด้วยซ้ำ แต่เป็นอีกฝ่ายที่ติดธุระ แม้ว่าเพื่อนของเธออาจไม่เข้าใจภาษาซึ่ง
เขียนเอาไว้ ในระหว่างรอเขาเธอคงพยายามมองหาคนมาช่วยไปพลาง
แต่อย่างน้อยไตรซึ่งที่มีความรู้หลากหลายอาจเคยเห็นแผนที่รูปแบบประหลาด
ใช้การจุดและโยงความหมายเข้ามาบอกทิศทางแทนที่จะวาดออกมาเป็น
สภาพพื้นที่ตามความเป็นจริง

มัชฌิตาพยายามเฉไฉไปเรื่องอื่นจนอิ่มอาหารเช้า ชามัลทำให้เธออารมณ์ดีอยู่
ตลอดซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติหญิงสาวมักตีหน้าเฉยได้สม่ำเสมอกว่าการยิ้ม

ชายหนุ่มเจ้าของไพรมายารีสอร์ทชวนแขกคนพิเศษที่เขาปวารณาตัวมาดูแล
อย่างเต็มใจไปเดินเล่นสัมผัสบรรยากาศแบบอินเดียพลางๆ เนื่องจากพรต
โทรศัพท์มาบอกมัชฌิตาว่าติดคุยธุระเรื่องธุรกิจไวน์อยู่ไม่ไกลออกไปนัก
แต่ก็อาจจะทำให้มาถึงช้ากว่าเวลานัด

“นี่เป็นห้องสปาแบบอินเดีย เรามีผู้เชี่ยวชาญส่งตรงมาถึงนี่เลยนะครับคุณมิ้งค์”
ชามัลอวดสรรพคุณก่อนจะเปิดโอกาสให้มัชฌิตาได้ใช้เวลาส่วนตัวในสปาที่ว่า

หญิงสาวซ่อนยิ้มเอาไว้อย่างแนบเนียน ลงถ้าแบบนี้อาจมีคนอื่นๆ ที่เธอพอจะ
ชวนคุยและอาศัยพึ่งพาเรื่องภาษาในแผนที่ได้โดยที่ชามัลไม่รู้

“ของมีค่าฝากไว้รวมกับเสื้อผ้าในช่องเก็บของได้ค่ะ รับรองว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์”
พนักงานต้อนรับซึ่งรออยู่แนะด้วยน้ำเสียงสุภาพและรอยยิ้มอบอุ่น

“ไม่ดีกว่าค่ะ สร้อยนี่ฉันอยากใส่มันไว้กับตัวตลอดเวลา” แม้จะอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ
สีขาวสะอาดและผ้าขนหนูหญิงสาวก็ยังไม่ยอมให้พลอยตาเสือเม็ดสำคัญห่างตัวไป

มัชฌิตาต้องผิดหวังนิดๆ ที่มือนวดซึ่งชามัลคุยให้ฟังว่าเชี่ยวชาญนั้นดูว่าจะเป็น
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจริงๆ หญิงสาววัยสามสิบปลายๆ เหล่านี้พากันสงบนิ่ง
นอบน้อม ตั้งแต่ขั้นทำความสะอาดตัวและอะไรต่างๆ จนไปถึงการนวดอโรมา
ก็ยังไม่ปริปากกับแขกเกินจำเป็น ไม่ว่าเธอจะพยายามหลอกล่อท่าไหน
นอกจากสงบปากสงบคำแล้วยังแต่งกายรุ่มร่ามคล้ายข้ารองบาทเจ้าหญิงอย่างที่
ชามัลอาสาจะจัดหามาให้จริงๆ

ข้าวของทุกอย่างรวมถึงสถานที่ชวนให้นึกไปว่าได้พลัดหลงเข้ามาสู่แดนภารตะโบราณ
เสียงซีต้าซึ่งให้ความรู้สึกหนักแน่นในความอ่อนไหวบ่งบอกว่ามันถูกบรรเลงด้วยมือบุรุษ
ยินมาจากหลังม่านซับซ้อนหลายฉากหลายชั้นที่กั้นแบ่งส่วนห้องหับเอาไว้ พลิ้วพราย
จากเครื่องสายของอินเดียนั้นขรึมขลังลึกซึ้ง ชวนให้ประหวัดไปถึงยามตะวันเยี่ยมฟ้า
แห่งอรุโณสมัย แดดอ่อนอาบเมืองทั้งเมืองให้ค่อยพลิกฟื้นตื่นจากนิทรา

ฟังไปฟังมาความสบายเพราะกล้ามเนื้อได้รับการผ่อนคลายหญิงสาวจึงกลับกลายเป็น
เคลิ้มสู่นิทราเสียแทน แม้จะนอนมากพอแล้วแต่ท้องอิ่มและแสนสบายอย่างนี้ก็อดไม่ได้
ที่จะรู้สึกง่วง

การนวดแบบอินเดียนอกจากการนวดเฟ้นเรือนร่างตามปกติแล้วยังเน้นที่บริเวณศีรษะ
ลงมาจนถึงไหล่ มัชฌิตารู้สึกว่าเป็นการบำบัดอันเหมาะสมอย่างยิ่งยวดสำหรับคนที่
ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานอยู่ตลอดเวลาเช่นตน แม้ตอนนี้จะถือว่าพักช่วงการทำงาน
ชั่วคราวมาแล้วก็เถอะ

ปลายนิ้วแผ่วเบาแต่เน้นย้ำกดลงบนจุดต่างๆ บริเวณศีรษะ ทำให้หญิงสาวคล้ายตกอยู่
ในภวังค์ ทุกอย่างสว่าง สะอาด ขาวโพล่ง เธอล่องลอยอยู่บนความว่างที่เหมือนปุยเมฆ
มีเพียงเสียงดนตรีเบาๆ ลอยล่องมาในความเย็นของบรรยากาศเท่านั้น

ท่ามกลางความเคลิบเคลิ้ม เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วๆ เป็นเสียงสตรีสาวที่กำลังกดจุดกระซิบ
เรียกชื่อของเธอ แต่มัชฌิตาซึ่งกำลังง่วงซึมไม่ได้รู้สึกตกใจ ตรงกันข้าม เธอกลับละเมอ
ขานรับเสียงนั้นแต่โดยดี

“มัชฌิตา...”

“อืมมม-”

“ถอดสร้อยเส้นนั้นออก”

“ไม่ได้หรอก” หญิงสาวพึมพำตอบทั้งที่ยังหลับตา “ฉันต้องรักษาพลอยนี้เอาไว้”

“นายท่านของเราต้องการสิ่งนั้น ถอดออกเถอะ ท่านต้องการมัน รวมถึงตัวคุณด้วย
จงมอบมันให้เราแล้วคุณจะได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอะไร”

“ไม่ ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น” หญิงสาวขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่ค้านกับ
ความสบายซึ่งซึมซาบอยู่ทุกอณูกาย

“ถอดมันออก มัชฌิตา”

“ไม่ ! ”

หญิงสาวซึ่งกำลังเคลิ้มหลับสะดุ้งเฮือก พร้อมทั้งยันตัวขึ้นมา ทำให้ผ้าขนหนูที่ปิด
แผ่นหลังของเธอไว้หล่นร่วงลงไปข้างกาย เผยเรือนร่างนวลเนียนน่าสัมผัสจรดปลายเท้า

สีหน้างุนงงและตกใจของผู้นวดรวมถึงสายตาเป็นคำถามทำให้มัชฌิตารู้สึกตัว
“อะ เอ่อ ตะกี้คุณพูดว่าอะไรนะคะ”

“ไม่ได้พูดอะไรเลยค่ะ” หญิงสาวผู้นั้นตอบมาด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย

“สงสัยฉันคงเผลอหลับไปมังคะ ฝันอะไรเลอะเทอะ” หญิงสาวอุบอิบอย่างกระดาก
พลางขยี้ตางัวเงีย ถึงกระนั้นเธอก็ปฏิเสธที่จะรับการนวดผ่อนคลายซึ่งยังไม่ครบคอร์สให้จบ
“พอดีกว่าค่ะ นี่ก็สดชื่นขึ้นมากแล้ว”


ชามัลถอนหายใจแรง เขาแอบดูเธออยู่ตลอดที่ด้านหนึ่งของผนัง นวลเนื้อหนั่นแน่น
เนียนตาใต้ร่มผ้านั้นขาวกว่าส่วนที่มองเห็นภายนอก ผิวน่าสัมผัสของมัชฌิตาขาวแต่
ไม่ขาวจัด มีสีอมเลือดฝาด แลดูมีน้ำมีนวลไปเสียทั้งตัว สวยอย่างเย้ายวนจนเขาแทบ
กลั้นใจเมื่อได้แต่มองเธออยู่แบบนี้ นอกจากพลอยแล้วเขายังอยากจะได้ตัวเธอ
แต่หากหญิงสาวไม่ยอมถอดสร้อยนั้นออกเอง เมื่อใดที่จิตเริ่มคิดมุ่งร้ายจริงจังเขาก็
ไม่สามารถสัมผัสเธอได้ รวมทั้งคนของเขาทุกคนก็ไม่ต่างกัน

แต่เอาเถอะ อย่างน้อยเธอยังหลวมตัวมาอยู่ในภายใต้เงื้อมมือนี่แล้ว ไม่แน่เขาอาจจะ
พอทำอะไรได้บ้าง ไม่เช่นนั้นก็เห็นทีจะไม่ใช่คนอย่างชามัล

มัชฌิตาสวมเสื้อ แม้จะยังติดกระดุมไม่มิดชิดและยังมิได้สวมกางเกงเพื่อให้สาวใหญ่
สองคนที่ขนาบข้างวาดเฮนน่า หรือสมุนไพรที่ชาวอินเดียใช้สีซึ่งเกิดจากยางของมัน
มาวาดลวดลายลงบนหลังเท้า มัชฌิตาชอบงานศิลปะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เฮนน่า
เธอเองก็เคยลองมาก่อนจนติดอกติดใจ ถ้าหากว่าปฏิเสธมืออาชีพอย่างนี้คงจะต้อง
มาเสียดายทีหลังน่าดู ตาพรตนั่นก็อะไรไม่รู้ มีส่งแมสเสจมาว่าให้รออีกนิด นี่ก็สาย
ร่วมชั่วโมงกว่าแล้วยังจะให้รอไปถึงไหนกัน

มัชฌิตามัวก้มมองลวดลายสวยงามที่หลังเท้า รู้สึกว่าผู้หญิงอีกคนจับมือขวาของเธอยกขึ้น
แต่ไม่เห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังเริ่มวาดลวยลาดดวงตาที่หรี่ลืมเพียงเล็กน้อยบนหลังมือของเธอ
ก่อนจะวาดสีดำลงทับปิดช่องเปิดของดวงตานั้นเสียมืดทึบ ทันใดนั้นมัชฌิตาก็หลับใหลลง

ร่างของหญิงสาวโงกเงน ก่อนจะล้มคว่ำหน้าลงหัวโขกฟาดพื้นอย่างน่ากลัวว่าจะบาดเจ็บ
แต่หญิงทั้งสองที่เฝ้าดูเธออยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะใส่ใจเป็นเดือดเป็นร้อนแต่ประการใด

เมื่อชามัล เมห์ฮรา แหวกม่านเข้ามายังห้องนั้น สตรีสองนางหมอบราบลงกับพื้น
ขณะที่นายเหนือของพวกตนเดินเข้ามาใกล้

“นับว่าไม่เสียทีที่ขอแรงคนมีพลังอำพรางจิตขั้นสูงจากเมห์ฮราให้ช่วย
ปิดตาของเธอเรียบร้อยแล้วสินะ”

“เจ้าค่ะ ท่านชามัล”

ชายหนุ่มมองไปที่หลังมือของมัชฌิตา เพ่งพิศดูดวงตาหลับสนิทซึ่งถูกวาดไว้บนมือนั้น

“อุ้มเธอไปไว้ที่ห้องด้วยจิตปรารถนาจะช่วยเหลือ ที่พวกเจ้าสามารถแตะต้อง จนถึง
วาดลวดลายลงบนร่างกายของเธอได้ก็เพราะเป็นคำอนุญาตของผู้หญิงคนนี้ แต่ใน
เวลาซึ่งเธอไม่ได้สติ จงอย่าคิดมุ่งร้ายต่อเธอเด็ดขาด” ชามัลกำชับเรียบๆ ก่อนสายตา
ของเขาจะพลันสะดุดตรงแขนของมัชฌิตา
“รอยแผลที่ท้องแขนนี่มันอะไรกัน คงไปโดนอะไรมาก่อนหน้านี้ ช่างเถอะ”
ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกทางปาก “ถึงจะยังถอดสร้อยออกไม่ได้
แต่เวลานี้คุณก็ยังไปจากผมไม่ได้เหมือนกัน หลับฝันดีนะครับคุณมิ้งค์...”



ชามัลมิได้ให้ความสนใจกับมัชฌิตาที่เวลานี้ถูกพามานอนหมดสติอยู่บนเตียงงดงาม
หลังใหญ่ในห้อง ที่เขาสนใจเห็นจะเป็นข้าวของซึ่งเธอติดตัวมามากกว่า

ชายหนุ่มค่อยๆ รื้อค้น โดยคิดว่าเมื่อเขาพอใจจะให้เธอตื่นขึ้นมาหญิงสาวผู้นี้จะต้อง
ไม่รู้ว่ามีคนมายุ่งกับข้าวของของเธอ มีโน้ตบุคที่เขาตั้งใจว่าจะเอาไปตรวจเช็คดูทีหลัง
บางทีคงจะได้รู้จักตัวตนของเธอมากขึ้นถ้าดูประวัติการสนทนาออนไลน์กับคนรู้จักและ
อะไรหลายๆ อย่างซึ่งถูกบันทึกไว้ในเครื่อง หากรู้ใจก็ง่ายที่จะเข้าถึงใจ... ในกระเป๋าเสื้อผ้า
มีเสื้อกางเกงอยู่ไม่มาก กับชั้นในลายสวยบอบบางสมหญิงเกินกว่ากิริยาทระนงที่เจ้าตัว
มักแสดงออก ถ้าเธอรู้จักใช้เสน่ห์อันล้นเหลือที่มีมาออดอ้อนเอาใจเขาก็คงจะดี
ชามัลยิ้มมุมปาก เอาเถอะ อะไรที่ได้มายากถือว่ามีค่าเสมอ

ที่ซุกไว้ใต้เสื้อผ้านั้นมีกล่องเหล็กทรงกระบอกเก่าๆ ที่ไม่รู้ไปขุดมาจากไหน แต่แลดูว่า
คงจะได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดีแล้ว ชามัลพบแผนที่ในนั้น อ่านดูจึงได้รู้
ว่ามันสำคัญ แม้จะไม่มากเท่าพลอยตาเสือ ...อาจไม่เคยนับเนื่องว่าเป็นความปรารถนา
ของเขามาก่อน แต่ลองว่าผ่านมาถึงมือแล้วอย่างนี้ไฟปรารถนาอย่างใหม่ก็จุดขึ้นในใจ
ของชามัลได้ไม่ยาก และอะไรที่เขาต้องการ เขาต้องได้มันมา ที่สำคัญ
สัญลักษณ์ในรูปแบบนี้เขาเคยเห็นมันมาก่อน ไม่ผิดแน่...

โทสะของชามัลฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ บนใบหน้า ตัวอักษรเทวนาครีนั้นจารึกไว้เป็นภาษา
สันสกฤต ให้ตายเถอะ เขาอ่านมันออก แต่กลับไม่สามารถตีความให้เข้าใจได้
คำในแผนที่ถูกจัดเรียงไว้แบบที่ทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง ชายหนุ่มโกรธกรุ่น กรามขบเป็นสัน
เผลอตัวขยำกระดาษเหนียวคร่ำคร่าในมือแน่น กลิ่นเหม็นไหม้แทบจะหนึ่งในร้อย
ของอณูบรรยากาศกำลังจะจุดขึ้น แต่สัมผัสฆานประสาทของชามัลก็ไวพอ
จนจำต้องปาม้วนกระดาษทิ้งลงกับพื้น ก่อนที่อาจทำให้มันลุกติดเป็นไฟขึ้นมา

ถึงกระนั้นยังมีใจความในส่วนที่อ่านออก แผนที่นี้จะนำไปสู่ ถ้ำอันเป็นที่สุดแห่งดวงตา
กับข้อความกำกับบางอย่างซึ่งน่าแปลกเหลือเกิน เขาเคยเห็นข้อความแบบเดียวกันนี้
ในสุสานของเมห์ฮรา ทำให้ยิ่งมองข้ามมันไปไม่ได้
“ดวงตะวัน ตาวัน ดวงตาแห่งยามวัน เนตรมหึมาที่ส่องสว่าง
กลางความมืดมิดอันไพศาลจะเปิดออก เมื่อเจ้ามาเยือนเรา”




เบื้องหน้าของมัชฌิตามีกระจกสูงขนาดเท่าตัวเธอ กรอบและขาตั้งทำขึ้นอย่าง
สวยงามประณีต ทว่าที่สำคัญบานกระจกนั้นแตกร้าว... เวลานี้เธอก็ยังอยู่ในห้อง มหารานี
ไม่ใช่ที่ไหน แต่ทั้งห้องสว่างไสวสวยงามขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า มัชฌิตาไม่ได้สนใจสิ่งใด
นอกจากกระจกปริศนาที่คล้ายถูกนำมาว่างไว้ไม่ห่างไปจากข้างเตียงนอนของเธอนัก

ในเงาสะท้อนผมของเธอยังเป็นทรงดัดอ่อนๆ เคลียไหล่ แสกกลางแทบจะตรงพอดีดุจเดิม
...ที่พาดกลางศีรษะ เส้นสายติกกะเครื่องประดับผมแบบอินเดียเป็นทองคำประดับอัญมณี
พาดทาบลงมาจรดกลางหน้าผาก แผ่ออกเป็นอุบะพลอยล้ำค่าแลดูคล้ายแฉกริ้วของดวงตะวัน
สองข้างถูกเชื่อมด้วยสายคาดขนานไปกับไรผม ก่อนจะสอดทัดหูไปพร้อมๆ กับเส้นผมดุจ
ไหมสีนิล ผืนผ้าโปร่งเบาดุจเส้นด้ายซึ่งถักทอจากละอองหมอกพาดคลุมครึ่งหลังของศีรษะ
ต้องไอแสงอาทิตย์อ่อนๆ ซึ่งสาดมาจากด้านหนึ่งของผนังที่กลายเป็นบานหน้าต่างมหึมา
เรียงรายตลอดแนว มองออกไปเห็นเพียงท้องฟ้าแซมด้วยเมฆขาวเคลื่อนคล้อยผ่านไป
ดุจภาพที่ถูกเร่งความเร็วในจอโทรทัศน์

มัชฌิตารู้สึกสับสน เธอหันกลับมาพินิจตนเองในกระจกอีกครั้ง ไหล่เปล่าเปลือยมีสร้อยคอ
แผงหรูลาดคลุมคล้ายทับทรวง เสริมด้วยแผ่นทองลงยาดุนลายและเดินลายด้วยเกล็ดทับทิม
กับเพชรซีกแพรวพราย ส่าหรีพันกายตั้งแต่อกลงมาเป็นสีปูนสุก แขนสองข้างเต็มไปด้วย
กำไลทองสลับแดง ชายผ้าแหวกออกให้เห็นว่าตรงข้อเท้าซ้ายนั้นแทนที่จะเป็นเครื่องประดับ
กลับกลายเป็นโซ่ทองคำใหญ่ผูกโยงไว้กับขาเตียงหนักอึ้งที่คงเกินกำลังจะเขยื้อนมัน

“กำลังฝันอยู่งั้นรึ ไม่ใช่นี่นา...” หญิงสาวขมวดคิ้ว เมื่อเห็นร่อยรองของความจริงบางอย่าง
ที่ยังติดตามตนมา
รอยเขียนเฮนน่าที่หลังเท้าเพิ่งจะแห้งสนิทดี สะเก็ดลอกหลุดออกเหมือนริ้วของงูสลัดคราบ
เมื่อยกหลังมือทั้งสองขึ้นมอง มือซ้ายว่างเปล่า ส่วนมือขวามีรูปตาที่ปิดสนิทวาดไว้ รายรอบ
ดวงตามีสัญลักษณ์ที่เธอไม่เข้าใจความหมาย เพียงแต่มองแล้วทำให้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

เพดานห้องคล้ายจะสูงขึ้นไปกว่าที่จำได้ ละอองเมฆหมอกเบื้องนอกบางส่วนคล้ายล่องลอย
หลงเข้ามาวนเวียนอยู่เหนือเพดาน ทุกอย่างสว่างไสวเต็มไปด้วยแสงเงินแสงทองจากทุกทิศทาง
ลมและอากาศรินเรื่อยถ่ายเทเข้ามา แม้จะเป็นเช่นนั้นมัชฌิตาก็ยังรู้สึกอึดอัด อาจเป็นเพราะ
เธอถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยตรวนข้อเท้า ในโลกซึ่งไม่ใช่ที่ของเธอและไม่รู้ว่าจะหลีกลี้ไปได้เช่นไร

ประตูห้องหายไปเหมือนไร้ทางออก แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาแทนในความรู้สึกของหญิงสาว
ก็คือกระจก นี่อาจเป็นทางสู่โลกภายนอกของเธอก็เป็นได้ มัชฌิตาเอื้อมมือไปลองแตะบน
บานกระจกเงาตรงหน้า ภาพสะท้อนของตัวเธอและห้องด้านหลังเริ่มกลายเป็นห้องพักสลัวๆ
แม้จะสวยงามคล้ายคลึงกันแต่ก็ไม่อาจเทียมได้กับในโลกแห่งนี้

ไม่ผิดแน่...กระจกคือบานประตูที่โยงทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน อาจเป็นโลกแห่งความฝัน
มัชฌิตารู้คล้ายว่าตัวเธอเองเพียงแค่นอนหลับ ถึงทุกอย่างจะชัดเจนเหมือนเป็นจริง
แต่สักพักเธอก็ต้องตื่นขึ้นอย่างแน่นอน

หญิงสาวเอื้อมแตะกระจกด้วยปลายมือได้ก็จริง ทว่าไม่อาจเข้าใกล้มันมากกว่านั้น
ด้วยสายโซ่ที่ข้อเท้าตรึงรั้งไว้
“จะนานแค่ไหนกัน ฉันยังมีเรื่องที่ต้องรีบกลับไปทำ รีบจัดการให้ลุล่วง...”




ไตรขับรถมุ่งสู่ปากช่องตามบัญชาของเพื่อนสาว อันที่จริงเขาก็เต็มใจทำให้อยู่แล้ว
หากอีกฝ่ายขอ แต่มัชฌิตาเป็นพวกเกลียดการขอร้อง ฝ่ายนั้นจึงเลือกใช้วิธีข่มขู่อยู่กลายๆ
ซึ่งเขาก็ต้องยอมเพราะเพื่อนสาวถือไพ่ใบเด็ดอยู่เหนือกว่า

‘อะไรกันยายมิ้งค์ เธอคิดว่าโทรมาเรียกวันนี้แล้วฉันจะต้องไปหาได้เลยยังงั้นรึ ไม่เคยคิด
จะถามว่าเพื่อนว่างไหม งานยุ่งหรือเปล่า เขาใหญ่จะว่าไม่ไกลก็ถูก แต่มันก็ไม่ใช่ใกล้ๆ นะ’

‘แล้วจะถึงได้เมื่อไหร่ พูดมา ไม่งั้นฉันจะแอบบอกยายน้องมีน ว่ามีใครก็ไม่รู้แอบหลงเสน่ห์เด็ก
มาตั้งนานแล้ว ครั้นจะจีบก็กลัวพี่สาว หึๆ ’ มัชฌิตาหัวเราะร้ายลงในโทรศัพท์

‘ไม่เคยกลัวสักนิด’ ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงยวนน้อยๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ใจไปกว่านี้

มัชฌิตาคงเห็นว่าเขาเพิ่งปิดคอร์สสอนเทอมนี้พอดี แม้ไตรเองจะไม่ได้ว่างมากมายถึงขนาดที่
เพื่อนคิด แต่เขาก็สัญญากับเธอว่าวันมะรืนจะเก็บข้าวเก็บของตามไปหา จากนั้นไตรยังต้อง
ฟังแม่เพื่อนตัวดีโอดเสียยกใหญ่เรื่องมีคนมาชนรถจี๊ปคู่ใจของเธอจนเละ กลิ้งตกเนินตัว
เครื่องกระแทกพังและคงใช้การไม่ได้ไปอีกนาน ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน
กลับเรียกให้เขาไปหาเสียนี่

ไตรเอ็นดูมัชฌิตาซึ่งเป็นเพื่อนสาวคนสนิทที่สุดของเขาดุจน้องสาว ซึ่งอันที่จริงอีกฝ่ายก็
อ่อนกว่าเขาถึงสองปี เรียนก็ต่างสาย ต่างมหาวิทยาลัย เกิดมาพบกันในค่ายอาสา
มัชฌิตาฉวยโอกาสข้ามรุ่นมาทำตัวสนิทสนมกับเขาที่คุยกันถูกคอ คล้ายมัดมือชกแล้วก็เลย
ไม่ยอมเรียกพี่มานับตั้งแต่นั้น เขาพอใจจะเป็นเพื่อนเธอ แม้อีกฝ่ายเป็นคนสวยจนเพื่อนชาย
หลายคนยุให้จีบ ก็อันที่จริงเขาสนใจน้องสาวคนเล็กของมัชฌิตาที่ชื่อน้องมีนอยู่ แล้วจะให้
เปลี่ยนมาจีบคนพี่มันก็กระไร นอกจากไม่ยอมเป็นรุ่นน้อง วันดีคืนดีมัชฌิตายังอยากจะ
เขยิบขั้นมาทำตัวเป็นพี่สาวเขาอีกต่างหาก ก็ขอให้ได้เป็นจริงเถอะ แต่เอาเป็นพี่สะใภ้ก็แล้วกัน

เมื่อไปถึงไพรมายารีสอร์ท อาจารย์หนุ่มใช้เวลานั่งรอเพื่อนในห้องโถงรับรองแขกตั้งแต่บ่าย
อีกฝ่ายไม่รับโทรศัพท์มือถือ ...รออยู่นาน จากเบื่อนิดๆ เป็นเริ่มห่วงใย จนที่สุดเขาก็ทนไม่ได้
เมื่อเวลาล่วงเข้าสี่โมงเย็น

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามีแขกชื่อมัชฌิตาเข้ามาพักที่นี่หรือเปล่า”
เนื่องจากไตรไม่รู้ตื้นลึกหน้าบางว่าเพื่อนตนได้เข้าพักที่นี่โดยไม่ต้องจองห้อง
ชายหนุ่มจึงถามออกไปเช่นนั้น

“ทางเราไม่สามารถบอกข้อมูลของแขกได้นะคะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ”

“แต่ผมเกรงว่าเธอจะเป็นอันตรายหรือเป็นอะไรไปในห้อง เพราะว่าโทรเท่าไหร่ก็ไม่รับสาย
ถ้ายังไงพวกคุณช่วยเช็คให้หน่อยแล้วกันนะครับ”

เจ้าหน้าที่สาวสองคนของรีสอร์ทปรึกษากันก่อนก้มดูในคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจรายชื่อแขก
ที่เข้าพัก ก่อนจะหันมาบอกกับไตรด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ไม่มีแขกชื่อนั้นเลยค่ะ อาจจะเป็นการเข้าใจผิดกับเพื่อนของคุณหรือเปล่าคะ
ทางเราต้องขอโทษด้วยนะคะ”

คิ้วหนาเข้มของไตรขมวดเป็นปมยิ่งกว่าเวลาสอนแล้วมีนักศึกษาไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่เลิกล้ม
ความพยายาม ยังคงถามพนักงานต้อนรับสืบไปว่ามีผู้หญิงลักษณะหน้าตาท่าทางโดดเด่น
เช่นมัชฌิตาผ่านมาให้เห็นบ้างหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบอย่างเดิมชายหนุ่มจึงถอยทัพมานั่งรอ
ยังโซฟารับแขก หวังว่าเพื่อนของเขาจะสบายดีอยู่ แม้รู้สึกสังหรณ์ประหลาด ขอให้มัชฌิตา
โผล่เข้ามาด้วยสีหน้าไม่รู้สึกผิดเหมือนปกติทีเถอะ เขาจะได้ต่อว่าเสียให้แสบ
ดีกว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับเธอ



มัชฌิตาพยายามรวบรวมสติและคิดหาทางออก แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ได้แต่นอนมอง
เมฆที่เคลื่อนคล้อยผ่านไป คิดอีกทีในโลกอันสว่างไสวของเธอก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายเกินไปนัก
หญิงสาวจึงพยายามอยู่ในความสงบและเริ่มนั่งลงคิดหาหนทาง

“ในเวลาแบบนี้ต้องใจเย็นๆ มัชฌิตาเอ๋ย จะทำได้ไหมเนี่ย” หญิงสาวส่ายหัว รู้ว่าตนเองเป็นคน
ใจร้อนฉุนเฉียวง่ายอยู่เสมอแม้จะชินกับการวางแผน แต่พูดถึงเรื่องจัดการความรู้สึกในใจ
ให้สงบราบคาบลงเธอทำไม่ค่อยจะได้เสียที เพราะฉะนั้นถึงได้ไม่มีสมาธิ พลังตาในเพิ่มๆ ลดๆ
ไม่คงที่อย่างน่าเวทนา
ตัวเธอจริงๆ ยังนอนอยู่แต่จิตของเธอติดค้างอยู่ที่นี่ เธอมองเห็นโลกฝั่งนั้นเลือนรางจนไม่อาจ
สัมผัสรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในห้องพักซึ่งเห็นได้ทางกระจก มัชฌิตารู้เพียงตัวเธอเองยังนอนสงบนิ่ง
อยู่บนเตียง แต่เธออาจไม่มีพลังเพียงพอที่จะพาตัวเองกลับไป

“ตั้งสติสิ ทุกอย่างนี่ก็เป็นแค่มายา”

หญิงสาวตัดสินใจนั่งขัดสมาธิบนเตียง พยายามใช้บทสวดมนต์ช่วยรวมสมาธิให้เป็นหนึ่ง
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเธอด้วยก็แล้วกัน... ไม่มีอะไรแน่นอนไปกว่าอำนาจของพุทธานุภาพ
แต่ตัวเธอเองจะมีความดีอะไรมากพอที่พระท่านจะช่วยหรือเปล่า

มัชฌิตาสงบลมหายใจอยู่นาน เพ่งกระแสจิตส่งไปยังข้อเท้าซึ่งถูกพันธนาการ โซ่ค่อยๆ
ทวีความร้อน หญิงสาวเผยอตาขึ้นมอง เห็นเส้นโซ่ทองคำกลายเป็นสีส้มแดงคล้ายกำลัง
ร้อนจนเจียนสุกจึงตัดสินใจออกแรงกระชาก

ได้ผล ! โซ่ข้อสุดท้ายซึ่งเชื่อมกับส่วนที่รัดข้อขาเธอไว้ขาดหลุดออก

ในขณะนั้นเอง แสงสว่างจากบานหน้าต่างเริ่มจางไป ปรากฏเป็นลมพายุทะมึนม้วนฮือมา
หญิงสาวรู้สึกราวจะถูกพัดให้ลอยขึ้นพ้นพื้น เธอพยายามยึดผ้าคลุมเตียงไว้และหมอบต่ำ
แต่ลมนั้นก็ดูเหมือนไม่ได้พยายามจะทำร้ายมัชฌิตา เธอได้ยินเสียงบางอย่างในห้องเขยื้อนไหว
กึงกัง เมื่อหันไปมองก็พบว่ากระจกบานนั้นกำลังถูกดึงดูดให้เลื่อนเข้าไปใกล้หน้าต่างบานกว้าง
มากขึ้นๆ ในที่สุดมือที่มองไม่เห็นของพายุสีดำก็พัดมันลอย ก่อนสูบบานกระจกที่แตกร้าว
ปลิววูบออกไปทางหน้าต่าง แล้วทุกอย่างก็สงบลง

ไม่มีกระจก ก็ไม่มีประตูผ่าน...

มัชฌิตาเริ่มกังวล ใครบางคนกำลังกันไม่เธอไปจากที่นี่ อาจเพียงแค่ชะลอให้ออกไปได้ช้าลง...
ในนี้อาจเป็นเพียงโลกแห่งความฝัน แต่ข้าวของก็ใช่ว่าจะไม่มีความหมาย ทุกอย่างมีที่มาที่ไป
เป็นตัวแทนของบางสิ่งบางอย่าง แต่เธอไม่รู้ว่าตัวตนแห่งพายุทะมึนนั้นคือใครหรืออะไร
บางทีอันตรายที่คิดว่ากำลังตามไล่ล่ามันอาจมาถึงตัวแล้วโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

จู่ๆ หญิงสาวก็นึกได้ สติอีกส่วนที่หลับใหลไปด้วยมายาภาพคล้ายเพิ่งตื่นขึ้นมาด้วยพลังสมาธิ
พลอยตาเสือของเธอล่ะ พลอยเม็ดนั้นยังอยู่หรือเปล่า มือตะปบลงไปกลางอก ใจชื้นขึ้นมานิดๆ
ที่ใต้แผงสร้อยและผ้าสวยพลิ้วที่พันกาย จี้ดวงตาของเธอยังอยู่ดี
แต่หินนี้จะช่วยได้ขนาดไหนมัชฌิตาก็สุดจะรู้...



ชามัล เมห์ฮรา นั่งยกขาทั้งสองขึ้นมาขัดสมาธิสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องของเขาเอง
ศอกวางบนเท้าแขน มือแตะขมับ หลับตาแน่น คิ้วขมวดเล็กน้อย ในโลกแห่งจิต หากเป็น
ขอบเขตที่พลังของเขายังพาไปได้ ไม่จำเป็นต้องพาตัวไปอยู่ใกล้มัชฌิตา เพราะถึงยังไงก็
แตะต้องตัวเธอไม่ได้ และเวลานี้กายของหญิงสาวยิ่งค่อยๆ ทวีความร้อนราวกับจะลุก
เป็นเพลิง เพราะพลอยนั้นรับรู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายเมื่อถูกปิดตาเช่นนี้

เสียงโทรศัพท์ดังบาดแก้วหูรบกวนสมาธิแผดขึ้นปลุกเขาจากภวังค์ ชายหนุ่มขบกราม
รู้สึกหงุดหงิดใจที่ไม่ได้ตัดการสื่อสารลงตั้งแต่ต้น ถึงกระนั้นเขาก็ยังไปหยิบมันขึ้นมากดรับสาย

“วันนี้มีผู้ชายคนหนึ่งมาที่นี่ครับท่านชามัล มาถามหาผู้หญิงชื่อมัชฌิตา
ทางเราบอกไปแล้วว่าไม่เคยพบเห็นเธอ ก็ยังไม่ยอมไป”

“งั้นรึ ก็ปล่อยให้รอไป ยังไงก็ทำอะไรในอาณาเขตของเราไม่ได้อยู่ดี จับตาดูไว้ห่างๆ ก็แล้วกัน”

“ครับ”

ชามัลกดตัดสายอย่างหงุดหงิด หึ มัชฌิตานอนหลับไปนานข้ามคืนจนครบวันแล้ว
เขาพยายามปิดกั้นจิตของเธอเป็นการถ่วงเวลาหากว่าหญิงสาวพยายามจะตื่น
เพราะตอนนี้ยังไม่อาจทำอะไรกับพลอยที่เธอเอามันติดตัวไว้ได้

เรื่องฆ่าเธอเพื่อชิงพลอยเขายังไม่คิด เพราะหาได้ต้องการเช่นนั้นไม่

ในยามนิทรา เขาเห็นพลอยตาเสือเนตรราชินีไหลลงมากองอยู่กับซอกคอขาว
แต่กายเธอกลับยิ่งทวีความร้อนราวกองไฟอันกำลังลุกโหม ร้อนกว่าที่เขาเคยรู้สึก
มาก่อนหน้านี้ ชามัลจึงได้แต่มองและต่อสู้กับเธอเพียงทางจิต เขายังไม่อยากเปิดเผยตัว
ออกไปตรงๆ แม้ว่าต่อให้เจ้าตัวตื่นขึ้นมาก็อาจไม่ไว้ใจเขาอีกแล้ว แต่ชายหนุ่มอยากเผื่อ
โอกาสนั้นไว้เพื่อเล่นเกมกันต่อ

“หรือมีทางเดียว คือจะต้องทำให้เธอพูดว่าไว้ใจ และยื่นมันให้กับมือ
ก็ของที่ควรเป็นของเมห์ฮราอยู่แล้ว มันไม่มากไปหน่อยหรือไง มัชฌิตา”



กระจกปลิวหายออกไปทางหน้าต่าง ทางออกของเธอก็เช่นกัน แม้ไม่มีโซ่แล้ว แต่จะลงไป
จากหอคอยสูงที่มองลงไปมีแต่ความเวิ้งว้างนี้ได้ยังไง หรือบางทีคงต้องใช้ความกล้า...

มัชฌิตาตัดสินใจกระโดดลงจากหน้าต่างห้องซึ่งเหมือนเป็นหอคอยสูงเยี่ยมเทียมเมฆ
หลับตาแน่น แม้หวาดหวั่นกับลมแรงซึ่งปะทะหน้าและกาย ตกลงไปคงไม่ตาย เธออาจตื่น
ขึ้นมาตอนนี้ จะเป็นไปได้ไหม ไม่แน่...

สิ่งที่หญิงสาวภาวนาไม่เป็นผลเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอตกกระทบพื้นหญ้าเบาๆ
แล้วเด้งสะท้อนขึ้นยืนราวกับเป็นลูกโป่ง ก่อนที่เท้าลงแตะพื้นได้สนิท หญิงสาวกะพริบตา
มองไปรอบๆ เห็นเป็นเงาป่าสีดำ

ข้างหลังเป็นหอคอย ข้างหน้าเป็นป่า ท้ายสุดแล้วก็ต้องก้าวไป...

ป่าซึ่งเย็นชื้นคล้ายจะดูดกลืนพลังงานของเธอไปทุกขณะที่เวลาล่วงผ่าน กิ่งไม้ตามทางรกๆ
เกี่ยวให้ชายกระโปรงยาวสวยงามเริ่มขาดวิ่น แม้เท้าซึ่งเหยียบก้าวไปข้างหน้าจะไม่รู้สึกถึง
ความเจ็บปวด มีเพียงความหยุ่นสบายคล้ายเดินบนเมฆ แต่มัชฌิตาก็เหนื่อยล้าเต็มทน

หญิงสาวตัดสินใจนั่งลงพัก รู้สึกคล้ายหลงอยู่ในวังวนไร้ทางออก หูแว่วเสียงลม
แต่ที่ยินมาพร้อมๆ กันนั้นกลับมีเสียงของกระพรวนข้อเท้าเบาแสนเบาทำให้ต้องเงี่ยหูฟัง

เงาวูบไหวอยู่ในราวป่าวับแวม หญิงสาวหันตาม รู้สึกคล้ายว่าหางตาของเธอมองเห็น
ใครคนหนึ่งกำลังร่ายระบำอยู่ ชวนให้นึกถึงการเต้นรำของหญิงยิปซี

มัชฌิตาลุกขึ้น วิ่งตามร่างนั้นไป... สู่ทางอันมืดมิดจนความสามารถในการรับรู้อันเหนือกว่า
คนปกติของเธอยังไม่อาจใช้การได้ เธอเข้าใกล้ เอื้อมคว้ามือของเงาไว้ได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็จับตอบ
เห็นชัดว่าอยากนำพาให้วิ่งไปข้างหน้าด้วยกัน หญิงสาวถกชายผ้าขึ้นสูง วิ่งโลดตามเงาไป
คล้ายว่ากำลังเต้นระบำล่องลอยไปพร้อมๆ จังหวะก้าวตามอีกฝ่าย

ทุกอย่างรอบกายมืดลง แต่กลับกัน เงาค่อยๆ สว่างโพล่นขึ้นเรื่อยๆ เห็นเป็นรูปร่างชัดเจน
เป็นเธออีกคน ไม่สิ...ผู้หญิงที่คล้ายเธอมาก แต่ผมยาวสลวยเป็นคลื่นนั้นสีน้ำตาล ขณะที่
ผมสั้นกว่าของมัชฌิตาดำสนิท ดวงตาเรียวสวยได้รูปหันมา สายตาคมกล้าฉายแวว
แข็งกระด้างยิ่งกว่าแววตาของเธอเอง และชั่วขณะนั้นหญิงสาวก็รู้ทันทีว่าที่อยู่ต่อหน้าคือใคร

“ย่า...”

หญิงสาวยิปซีนั้นไม่ตอบ แต่ในพริบตามัชฌิตาก็ถูกพาโจนออกพ้นชายป่ามืด สู่สถานที่
โล่งกว้างอันสว่างไสว ณ ที่แห่งนั้นมีกระจก เงาไม่ได้หยุดรอ เพียงแต่ก้าวผ่านกระจกนำออกไป
บนบานกระจก ตอนนี้รอยร้าวหายไปแล้ว มัชฌิตาไม่มัวรีรอ ตัดสินใจเดินผ่านหนทางแห่งแสง
ซึ่งเปิดรอเธออยู่ในทันที...

“บ้าเอ๊ย ! ” ชามัลจำต้องลืมตาตื่นจากภวังค์สมาธิ ชายหนุ่มพรวดพราดลุกขึ้น
แล่นไปยังห้องมัชฌิตาเพื่อดูให้เห็นกับตาว่าสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้กำลังบังเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

“ทำไมเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มขบกราม พึมพำอย่างหัวเสีย รอยวาดเฮนน่าบนหลังมือของ
หญิงสาวบนเตียง บัดนี้มันกำลังค่อยๆ เลือนหายไปเอง ราวกับดวงตาที่ถูกปิดไว้นั้นกำลังจะ
เปิดขึ้นมา ถ้าเป็นแบบนี้ คงอีกไม่นานที่เธอจะตื่นขึ้นมา ไม่น่าเชื่อว่าพลังตาในของหญิงสาวผู้นี้
จะสามารถหักล้างกับวิชาเก่าแก่ซึ่งเขานำมาใช้ได้

ชายหนุ่มเท้าสะเอว หลับตานิ่งอย่างใช้ความคิด จะรอให้มัชฌิตาตื่นมาเฉยๆ ทั้งแบบนี้
คงไม่ดีแน่ เขาตั้งใจไว้ว่าจะพาเธอไปโรงพยาบาล อยู่ที่นั่นตื่นมาพบว่าเวลาผ่านไป
หลายวันแล้วมันคงไม่ดูน่าแปลกใจเท่ากับนอนอยู่ในห้องแบบนี้

ใช่แล้ว ! โรงพยาบาล !! ถ้าเขาพาเธอไป พวกพยาบาลก็คงจะถอดสร้อยคอหญิงสาวออก
ด้วยจิตที่ไม่มีความประสงค์ร้ายแต่อย่างใด ...บ้าจริง ทำไมถึงเพิ่งมาคิดได้เอาตอนนี้ !!

ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดสำหรับคนอย่างชามัลที่จะจัดการให้ทุกอย่างเป็นไปตามประสงค์
หลังโทรศัพท์เรียกรถฉุกเฉิน มัชฌิตาก็ถูกนำตัวไปไว้ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลอย่าง
เรียบร้อยตามที่ชามัลต้องการในเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง ชายหนุ่มนั่งมองเงียบๆ อยู่ตรงโซฟา
รอให้หมอและพยาบาลรุดเข้ามาตรวจดูอาการของคนไข้ซึ่งดูเผินๆ ไม่ได้หนักหนาอะไรนัก
เพียงแต่ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเท่านั้นเอง

“อาการภายนอกไม่มีอะไร อาจจะต้องเอ็กซเรย์สมอง ถ้าหากว่าคุณชามัลต้องการ”

“ไม่ต้อง ! ทำตามที่ผมบอกแต่แรก ให้เธอนอนอยู่แบบนี้ แค่ต่อสายน้ำเกลือให้ก็พอ”

“แต่ผมเกรงว่า...” หมอหนุ่มมีทีท่ากังวลใจ

“ก็บอกว่าไม่ต้องไงครับ ทำตามที่ผมสั่ง ง่ายๆ แค่นี้ มันเข้าใจยากนักหรือ...”

เป็นที่ความกดดันในน้ำเสียงซึ่งทำให้หมอสงบปากลงได้ แม้ว่าจรรยาแพทย์ยังต้องรักษาไว้
แต่นายแพทย์หนุ่มรู้ดี บุคคลตรงหน้านี้นอกจากจะสามารถเข้ามาควบคุมทุกอย่างใน
โรงพยาบาลได้ด้วยอำนาจเงินมหาศาลและอิทธิพลท้องถิ่น อาจถึงขนาดว่าสามารถเปลี่ยน
เส้นทางอนาคตของหมอสักคนจากขาวให้กลายเป็นดำได้ง่ายๆ ถ้าหากว่าเกิดไม่พอใจขึ้นมา

ชามัลยังนั่งอยู่ด้วยแม้ขณะที่พยาบาลเข้ามาเพื่อเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดของโรงพยาบาลให้มัชฌิตา
โดยทำไม่สนใจกับสายตาที่มองมาของพยาบาลทั้งสอง

“เปลี่ยนไปเถอะครับ เธอเป็นผู้หญิงของผมเอง” ชายหนุ่มพูดอย่างเปิดเผย ประสานมือไว้ใต้คาง

เหล่าพยาบาลมีสีหน้างงงันอยู่บ้าง แต่พยาบาลรุ่นพี่ใช้สายตาปรามทำนองว่าอย่าไปต่อปาก
กับสุภาพบุรุษคนนี้ ทั้งคู่จึงก้มหน้าทำงานของตนต่อไปเงียบๆ

ชามัลลุกขึ้นยืนช้าๆ เมื่อมือของพยาบาลวัยกลางคนเลื่อนไปสัมผัสสร้อยเส้นนั้น
เขาจะต้องดูอยู่เฉยๆ สะกดจิตคุกคามเอาไว้ด้วยพลังอำพราง เฉยไว้ ไม่รู้สึก ไม่ต้องการ
ไม่ประสงค์ร้ายต่อเธอ... สมาธิขั้นสูงสุดถูกนำมาใช้ในเวลาเช่นนี้ มันได้ผล ไม่แน่ว่า
เพราะเขาอยู่ห่างออกมา หรือด้วยเหตุที่ว่าพยาบาลพวกนี้ไม่ใช่คนในอาณัติของเขา

นั่น อย่างนั้น แกะตะขอสร้อยออก ทำเลย ก็แค่อยากให้คนไข้สบายตัวเท่านั้นเอง

ในขณะที่ขอสร้อยกำลังถูกแกะ คนบนเตียงก็ครางฮือทั้งลืมตาขึ้นมาอย่างไม่มีใครคาดคิด !

“จะทำอะไรคะ...” มัชฌิตาที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ตะครุบมือพยาบาลผู้ซึ่งกำลัง
ดึงสายสร้อยซึ่งถูกแกะขอเรียบแล้วออกจวนพ้นตัวเธอได้ทันท่วงที ความงัวเงียและ
เจ็บร้าวที่ศีรษะยังไม่อาจเอาชนะความตกใจทั้งหวงแหนพลอยตาเสือเม็ดสำคัญซึ่งเธอ
คิดพะวงอยู่แต่กับมันทั้งยามหลับ ยามตื่น หรือแม้กระทั่งเวลาที่จิตหลุดลอยไปสู่อีกโลกหนึ่ง

ผู้หญิงบ้า เกิดจะมาตื่นได้จังหวะอะไรขนาดนี้กัน !!!

ชามัลสบถในใจกับตนเองอย่างหัวเสีย ร่างสูงผลุนผลันออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
โดยที่คนบนเตียงยังไม่ทันได้มีเวลาหันมาพบ



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ม.ค. 2555, 12:09:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ม.ค. 2555, 13:29:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 2491





<< บทที่ 2 ลิขิตของสองเรา 2/2(ต่อถึงจบบท)   บทที่ 3 มือที่ช่วยนำทาง (ต่อ2/3) >>
บุลินทร 11 ม.ค. 2555, 12:46:36 น.
เอ เริ่มสงสัย ชามัลจะเป็นพระเอกจริงรึเปล่า


silverraindrop 11 ม.ค. 2555, 14:04:15 น.
ขอบคุณค่ะ
แต่โกรธพระเอกแล้ว นิสัยไม่ดีเลย


หมูอ้วน 11 ม.ค. 2555, 14:31:59 น.
หนูมิ้งค์พลังจิตแข็งมากเลยค่ะ สู้ ๆ อ่านไปลุ้นไปค่าาา


ameerahTaec 11 ม.ค. 2555, 15:43:51 น.
ชามัลร้ายกาจมากกกกกก แต่ก้อพระเอกอ่ะนะ อิอิ


Zephyr 11 ม.ค. 2555, 18:21:54 น.
เอ๊ หรือพระเอกจะเป็นอีกชื่อที่โผล่ใน tag คะ อัคนิวรา ชื่ออลังการอีกแล้ว เราเข้าข้างพี่มิงค์ให้ตื่นมาก่อนพลอยจะถูกฉก ฮ่าๆๆ เป็นบ้าไงไม่รู้ไม่อยากให้ชามัลเอาพลอยไปได้สำเร็จ แกล้งชามัลเยอะๆนะคะ คุณอสิตา เชียร์พี่มิ้งค์ให้รบกะตาชามัลต่อไป หึหึ พี่ไตรเก็บผ้ามาหาพี่มิ้งค์ เหมือนหนีตามมาหาเลยอ่ะ แต่ พี่ไตรนั่งตรงล็อบบี้ ตอนเอารถ ambulance มารับพี่มิ้งค์ไปโรงบาล ที่ไตรไม่เห็นพี่มิ้งค์เหรอคะ หรือตาชามัลเอามนต์ไรพลางตาอีก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account