มายาไฟในดวงตา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ
เมื่อพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาตั้งใจจะเก็บมรดกทั้งของตนเองและน้องสาวเอาไว้
อันตรายบางอย่างกลับคืบคลานเข้ามา หญิงสาวจึงทำได้เพียงหนี !
ก่อนที่ “เขา” เจ้าของพลอยที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงจะมาทวงมันคืนไปจากเธอ
Tags: อสิตา มนตรามุกจันทรา ม่านธาราเร้นดาว พลอยตาเสือ มัชฌิตา ชามัล อัคนิวรา

ตอน: บทที่ 3 มือที่ช่วยนำทาง (ต่อ2/3)

@ หนูบุลินทร
ไม่ใช่ค่ะ จริงๆแล้วชามัลเป็น.......นางเอก

@ คุณ silverraindrop
โกรธเลยค่ะ อิอิ คนอย่างชามัลต้องโดนซะบ้าง

@ คุณหมูอ้วน
หนูมิ้งค์หวังว่าจะมีพัฒนาการพอจะสู้รบปรบมือกับอันตรายได้อะน้า

@ คุณ ameerahTaec
ชามัลเป็นแบบนี้เพราะมีคนให้ท้ายมาแต่เด็กค่ะ

@ คุณ Neferretti
คนเขียนทั้งสามแอบปลื้มคุณ Neferretti อยู่นะคะ ในฐานะนักอ่านดีเด่น
พี่มิ้งค์เลยตั้งใจจะโผล่มาตอนกลางวันเพื่อคุณโดยเฉพาะ จะได้ไม่กลัวและหวาดเสียว
จนทนอ่านไม่ไหว ^>.<^
ตอนไตรนั่งรอในล็อบบี้เป็นคนละวันกับที่ชามัลพาหนูมิ้งค์เข้ารพ.
เพิ่งจะมาบอกไว้ตอนนี้น่ะค่ะ บอกช้าไปไหม
ส่วนอัคนิวรา เขาคือชายผู้........... *+* ‘ อุบไว้ก่อน
เดี๋ยวจะออกมาตอนบทที่4 อดใจรออีกนิดนะคะ

นักอ่านสองคนนี้หายไป
@ คุณAuuuu
@ คุณเบญจามินทร์
ดิ้นปัดๆ...
หุหุ ยังไงก็อย่าลืมตามมาอ่านให้ทันนะคะ *-*









“นี่ฉันเป็นอะไร ทำไมมาอยู่ที่นี่”
มัชฌิตาถามหลังจากสวมเสื้อของโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว

“คุณล้มหัวฟาดพื้น แล้วก็สลบไปครับ”
หมอหนุ่มซึ่งเพิ่งกลับเข้ามาในห้องตามคำสั่งของชามัลเอ่ยกับคนไข้

มัชฌิตารู้สึกเจ็บรุมๆ ที่ศีรษะด้านหน้าอยู่จริงๆ เธอเอื้อมไปสัมผัสมันเบาๆ แล้วก็ต้อง
ห่อปากครางออกมา “อูยยย...” หญิงสาวติดจะงงๆ อยู่บ้าง เมื่อหมอยืนยันว่าเธอ
สะดุดล้มในห้องสปาจนน็อคไป

“ฉันจำไม่ค่อยได้ค่ะว่าตอนนั้นทำอะไรอยู่ รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสปาของรีสอร์ท แล้วก็...”
หญิงสาวพยายามทบทวนความจำสุดท้ายที่ขาดช่วง นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก มีเพียง
ความฝันในโลกอันสว่างไสวที่ยังตราติดในความทรงจำชัดเจนทุกบททุกตอน
หญิงสาวส่ายหน้า ฟังหมอพูดบ้างไม่ฟังบ้าง หลับตาลงด้วยอยากพักผ่อน
พยาบาลสองคนให้เธอรับประทานยา ก่อนจะประคองให้มัชฌิตาเอนลงพัก
แต่หลังจากหมอและนางพยาบาลคล้อยหลังไปไม่ทันไร หญิงสาวก็ได้ยินเสียง
ประตูห้องเปิดขึ้นอีกครา

“คุณมิ้งค์ เป็นยังไงบ้างครับ” ชามัลก้าวเข้ามาด้วยท่าทีห่วงใย

“หมอบอกว่าฉันล้มหัวฟาด”

“ครับ นี่ก็เข้าวันที่สามแล้ว” ชามัลพูดออกไป เพราะยังไงสุดท้ายมัชฌิตาก็ต้อง
รู้อยู่ดีว่าเธอหลับไปนานแค่ไหน

“อะไรนะคะ”

“ฟังไม่ผิดหรอกครับ”

“แล้วทำไมคุณถึงเพิ่งพาฉันมาโรงพยาบาล ก็ตอนที่ตื่นขึ้นมาฉันยังไม่ได้สวมเสื้อ
ของโรงพยาบาลเลย แถมยัง...ใส่เสื้อชั้นในอยู่ด้วย”

ชามัลหลับตา ระบายลมหายใจอย่างอดทน เริ่มคิดสงสัยว่าถ้าเขาเอายาพิษใส่ในอาหาร
ให้แม่ผู้หญิงจอมยุ่งคนนี้กินแล้วหลังจากนั้นจะสามารถเอาพลอยมาจากเธอได้หรือไม่
แต่ติดที่เขายังต้องการให้ชีวิตของเธอดำรงอยู่ ไม่อยากจะทำรุนแรงถึงขนาดนั้น

“คงเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ให้มังครับ ผมพาคุณมาตั้งแต่วันแรกที่ล้ม ลองถามหมอหรือ
พยาบาลดูได้” ชามัลโกหกคำโต เขาอาจจะพลาดที่พาเธอมาช้าไป แถมมัชฌิตาเกิด
รู้สึกตัวขึ้นมาได้ทันท่วงที แต่เขาไม่พลาดเรื่องกำชับหมอและพยาบาลให้พูดตรงกับ
ที่ตนเองต้องการ
“ส่วนเรื่องชุดชั้นใน...เอาเป็นว่าผมก็ไม่ทราบ บางทีพยาบาลมือใหม่อาจจะเป็นคน
เปลี่ยนเสื้อให้คุณกระมังถึงลืมถอด อย่าเอาอะไรกับพวกนี้นักเลย หมอที่ลืมกรรไกร
ไว้ท้องคนไข้ยังมีออกบ่อย ไม่ใช่หรือไง...” ชายหนุ่มเบะปากน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้า
เป็นทำนองว่าเซ็งพวกหมอพยาบาลไร้จรรยาบรรณที่ไม่ให้ความสำคัญกับคนไข้อย่างเหลือทน

มัชฌิตาขมวดคิ้ว จะไว้ใจเขาได้อย่างไร เมื่อความฝันนั้นบอกชัดว่าเธอกำลังอยู่ในอันตราย
และก็มีเพียงผู้ชายคนนี้ที่เข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเธอจะชอบเขาและตอนนี้ก็ยัง
ชอบอยู่ แต่เห็นทีคงต้องบอกลากันเสียที

“โทรศัพท์มือถือของฉัน คุณเอามาด้วยหรือเปล่า”

ชามัลไม่มีทางเลือก จะให้คนบนเตียงสงสัยเขามากไปกว่านี้อีกไม่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจ
หยิบโทรศัพท์ของมัชฌิตาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นส่งให้ผู้เป็นเจ้าของ

“ในโรงพยาบาลเขาห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ คล้ายอยากเย้าเธอเล่น

“ฉันจะหาเบอร์เพื่อน...” มัชฌิตาพูดโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย แต่ก่อนเธอจะกดไปจนถึง
เลขหมายที่ต้องการชามัลก็ดึงความสนใจหญิงสาวไปจากโทรศัพท์โดยสิ้นเชิง

“มิ้งค์ครับ รู้ตัวไหมว่าคุณเองกำลังอยู่ในอันตราย” ชายหนุ่มพูดออกไปเช่นนั้น ด้วยหมายใจ
จะทิ้งไพ่อีกใบเพื่อเปลี่ยนรูปแบบเกม ไหนๆ เธอก็สงสัยในตัวเขาแล้ว ชิงบอกเสียก่อนดีกว่า
ตีหน้าตายทำเป็นไม่รู้อะไรเลยต่อไป

“คุณหมายถึงอะไร...” มัชฌิตาถามเสียงเบา

“เอ้า ผมยอมรับก็ได้ว่าตัวเองเป็นคนมีสัมผัสในเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่บ้าง ฟังนะครับมิ้งค์
เวลานี้ผมมองเห็นอันตรายอยู่รอบตัวคุณ อยากจะช่วยอะไรสักอย่างถ้าช่วยได้”

“งั้น ฉันขอให้คุณอยู่ห่างๆ ฉันเอาไว้ก็พอ” หญิงสาวตอบสั้นๆ รู้สึกเจ็บนิดๆ ที่หัวใจ เมื่อคิดว่า
จากนี้คงไม่ได้เจอเขาอีก แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เธอจะทำตามหัวใจตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“คุณอาจยังไม่ไว้ใจผม”

“ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นละค่ะ ยิ่งเราเป็นคนแปลกหน้า ฉันยิ่งต้องอยู่ห่างคุณไว้”

“ทำไมครับ ค่ำคืนที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คุยอะไรต่อมิอะไร หัวเราะกัน ช่วงเวลานั้นมัน
ไม่ได้มีความหมายอะไรกับคุณเลยเหรอไง มิ้งค์” ชายหนุ่มทอดเสียงอ่อน แววตาที่มอง
คนบนเตียงฉายแววอาทรลึกซึ้ง แม้จะบอกตัวเองว่าแกล้งทำ แต่เขาก็รู้สึกกับเธอ
ต่างไปจากผู้หญิงคนอื่นจริงๆ

“แต่ฉัน...” มัชฌิตาหลุบตาลงต่ำ สีหน้าบอกว่ากำลังรู้สึกขัดแย้งในใจ
“ขอเวลาคิดก่อนได้ไหมคะ”

“ครับ”

“ช่วยออกไปก่อนนะคะ ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว”



มัชฌิตารอให้ชามัลออกไปจากห้อง เธอติดต่อหาไตร และเพียงไม่นานเพื่อนหนุ่ม
ก็รุดมาถึงอย่างที่ไม่ต้องใช้เวลารอเขานานแต่อย่างใด มัชฌิตาได้ทราบว่าไตรมาถึง
ตั้งแต่วันถัดจากที่เธอล้มหมดสติไป เมื่อแรกเขาไม่พบเธอแต่ก็ตัดสินใจเปิดห้องพัก
ที่ไพรมายารีสอร์ทนั่นเอง เช้ามาไตรเห็นยังไม่ได้การจึงลองไปถามดูที่โรงพัก
จากเรื่องรถชนและบันทึกประจำวันซึ่งลงไว้ เขาหาทางติดต่อพรตได้ และวันต่อมา
ฝ่ายนั้นก็โทรมาบอกข่าว ไตรจึงเพิ่งรู้ว่ามัชฌิตาเข้าโรงพยาบาล

“โทรมาไม่รู้กี่สิบมิสคอล ดีนะที่แบตไม่หมด”
มัชฌิตาดูบันทึกในเครื่องของตนไปพลางขณะคุยกับเพื่อน

“เป็นห่วงจะแย่ เห็นไม่ได้เรื่องก็กะว่าวันนี้จะแจ้งความแล้วว่าเธอหายตัวไป พอดีว่า
คุณพรตเขาโทรมา...บอกว่าเพิ่งรู้เหมือนกันเรื่องเธอเข้าโรงพยาบาล ล้มหัวฟาด
ตั้งแต่ก่อนฉันมา แต่เขาลืมถามเลขห้องผู้ป่วยจากทางรีสอร์ทที่เธอพัก กว่าฉันจะ
หาเธอเจอก็นี่แหละ ปาเข้าไปบ่าย ตอนเธอโทรมาก็กำลังจะถึงอยู่แล้ว”

“ก็ยังดีว่ามาทันดูใจ” มัชฌิตาเริ่มมีอารมณ์พูดเล่นแบบหน้าตาย

“ทันได้คุยกับหนุ่มหล่อที่มารอเธออยู่หน้าห้องนี่ด้วย” ไตรย้อนสีหน้ากรุ้มกริ่ม

“อะไรนะ นี่เขายังไม่ไปอีกเหรอ” มัชฌิตาอุทาน “ไม่ต้องมายิ้มแบบนั้น เขาก็แค่เป็น
เจ้าของไพรมายาที่ฉันพัก คงกลัวมีคนมาตายเพราะล้มในรีสอร์ทตัวเองแล้วจะเสียชื่อละมัง”

“แล้วทำไมต้องไม่สบตาเวลาพูดถึงเขา มีพิรุธในใจละสิ”

“ไม่มีทาง”



ไตรบังคับให้เพื่อนสาวตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง มัชฌิตาพบว่าตน
ยังไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เพราะแพทย์อยากให้อยู่รอดูอาการอีกสักวัน
แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็เริ่มออกคำสั่งให้เพื่อนของตนไปเก็บข้าวของทั้งของเธอ
และของเขาที่ยังทิ้งไว้ในห้องพักออกมาโดยไม่ฟังเสียงของชามัลจนเขาต้องล่าถอย
กลับไป รอจนกระทั่งเพื่อนหนุ่มกลับมาหญิงสาวก็สำรวจดูความเรียบร้อย
พบว่าไม่มีอะไรถูกแตะต้องก็ค่อยเบาใจ เธอจัดแจงบอกให้ไตรเอาแผนที่ออกมาดู
ก่อนเริ่มยิงคำถาม
“อยากให้มาช่วยตีความแผนที่ ตอนแรกระหว่างที่รอเธอฉันว่าจะหาคนมาช่วยดู
เรื่องภาษา ถ้าไม่ติดมาล้มหัวฟาดนี่เสียก่อน”

“แค่อยากให้มาดูแผนที่อย่างเดียวรึ” ชายหนุ่มถาม
“เธอกำลังกลัวแล้วก็อยากได้เพื่อน ใช่ไหมล่ะมิ้งค์”

“กลัวอะไร แล้วคิดว่าถ้ามีเรื่องต้องกลัว ผู้ชายอย่างหนุ่มแว่นที่สอนภูมิศาสตร์สักคน
นี่พอจะช่วยบรรเทาความกลัวของฉันได้ไหมล่ะ”

“ได้ ถ้าในแง่ของการช่วยกลัวเป็นเพื่อน”

มัชฌิตาเกือบจะแอบซึ้งกับคำพูดดังกล่าว ถ้าไตรไม่พูดคำต่อไปออกมาให้เธอหมั่นไส้แทน

“อย่ามาคิดอะไรเกินเลยหรือว่าหลงรักฉันขึ้นมาตอนนี้ก็แล้วกัน”

“พูดจา... หึ ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเธอไม่หลงรักฉันเสียที ทั้งสวย ทั้งเก่ง หาได้ที่ไหนอีก”

“เพราะเธอไม่น่ารัก”

“อ้อ นึกว่ารักคนน้องอยู่”

“ไม่ถึงขนาดนั้น แค่เล็งๆ ไว้ น้องมีนเขายังเด็กเกินไปสำหรับฉัน”

“แบบนี้ทั้งปี เลยได้แต่ห้อยต่องแต่งอยู่บนคาน”

“เหมือนกันแหละ ผู้หญิงแก่เร็วกว่าผู้ชายนะ ระวังตัวไว้”

“ไม่สนหรอก ฉันอยู่คนเดียวได้” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ใบหน้าหล่อเหลาของชามัล
ก็แว่บผ่านเข้ามา ทำให้มัชฌิตาต้องรีบไล่เขาไปจากห้วงความคิดแทบไม่ทัน
นี่ระหว่างที่ไตรกลับไปเก็บของฝ่ายนั้นก็พยายามเข้ามาพูดกับเธออีก เรื่องที่
มัชฌิตาทำไมต้องทำเหมือนไม่อยากเห็นหน้าเขา ดูจากคำพูดแล้วเหมือนว่า
ชายหนุ่มจะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าที่เขาอยากปกป้องดูแลเธอมันไม่ดีตรงไหน

‘ตอนนี้ฉันมีเพื่อนมาดูแลแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ’

‘แน่ใจเหรอครับว่าแค่เพื่อน แต่ถ้าคุณมิ้งค์พูดแบบนั้น ผมก็จะเชื่อว่าเขาเป็นเพื่อนคุณจริงๆ ...’

ชามัลคล้ายจากไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ แต่ดวงตาของเขามีประกายบางอย่าง
ที่แฝงความหมายว่ายังไม่ยอมตัดใจ และคงจะวนเวียนมาเจอเธอให้ได้อีก ดังนั้น
มัชฌิตาก็คิดว่าควรต้องเป็นฝ่ายหนีจากเขาเสียเอง



พอออกจากโรงพยาบาลมัชฌิตาและไตรเลือกเช่าที่พักไม่หรูหราอยู่แถวปากช่อง
โดยพยายามให้ห่างออกมาจากไพรมายารีสอร์ทมากพอสมควร หญิงสาวได้บัตรเอทีเอ็ม
กลับมาใช้ด้วยการไปติดต่อกับทางธนาคารด้วยตนเองพร้อมหลักฐานซึ่งสั่งการให้ไตร
ช่วยเตรียมมาให้ ผ่านไปหลายวันไตรซึ่งยังคิดไม่ตกเห็นควรจะถ่ายสำเนาแผนที่เพื่อนำมัน
กลับไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ โดยอาสาจะหาเพื่อนอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาเก่าแก่
โบราณมาช่วยดูเรื่องตัวหนังสือซึ่งเขียนกำกับไว้อีกทาง

“จะไม่กลับไปด้วยกันจริงๆ รึ” ไตรพยายามตะล่อมเป็นคำรบสุดท้ายเมื่อมัชฌิตา
ออกมาส่งเขาตรงลานจอดรถ

“ไม่ละ เดี๋ยวจะมีเพื่อนตามมาเที่ยวกันต่อ ฉันนัดไว้แล้ว อยากเที่ยวตามประสาสาวๆ
มากกว่า เธอกลับไปก่อนได้เลยไม่ต้องห่วง”

“ร้ายจริงๆ เดี๋ยวนี้มีแก๊งค์เดินป่าแก๊งค์อื่นนอกจากไปกับฉันแล้วเหรอ ก็เลยเห็นเรา
อยู่เป็นตัวเกะกะไปเสียแล้ว น้ำเสียงนี่คนละเรื่องกับตอนเรียกให้มาเลยนะ... หึ ทำอะไร
ก็อย่าโลดโผนโจนทะยานให้มันมากนักล่ะ ระวังสังขารด้วย ใกล้สามสิบเข้าไปทุกทีแล้ว”

“ตัวเองนั่นแหละใกล้ ฉันยังอีกสามปี ผู้ชายไทยนี่ก็แปลก ทีกับพวกเดียวกันบอกชีวิต
เพิ่งเริ่มต้นตอนสามสิบ ทีกับผู้หญิงละทำเหมือนชีวิตสาวเขาจะจบลงตอนสามสิบ มันน่านัก”

ไตรถอนหายใจ แม้หลายวันที่ผ่านมาจะเห็นว่ามัชฌิตาไม่ได้มีอาการข้างเคียงอะไรจากการ
ล้ม บวกกับเพื่อนสาวของเขาเป็นคนที่ดื้อจนถึงดื้อมากที่สุด ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่าเกินกำลัง
จะเคี่ยวเข็ญเธอ “แล้วนี่บอกน้องบอกนุ่งอะไรบ้างหรือยัง เรื่องที่มาล้มลุกคลุกคลานแถวนี้น่ะ”

“บอกแค่ว่ามาเที่ยวยาวเฉยๆ จะทำให้ทางนั้นเป็นห่วงเกินจำเป็นทำไมล่ะ”
มัชฌิตาตอบอย่างเริ่มจะหงุดหงิด

“แต่เธอนี่ก็จริงๆ เลยนะ อยู่ๆ ก็แจ้นมาคนเดียว แถมยังทำเหมือนแผนที่นี่มันสำคัญ
เสียมากมาย จะบอกให้รู้ไม่ได้หรือไงว่ามันคืออะไร ขอให้คนอื่นช่วยทั้งที”

“ก็ฉันยังไม่รู้นี่ว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่าสำคัญแล้วกันน่า อาจจะเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าเลยก็ได้
เอาเป็นว่าเธอนั่นแหละที่ต้องไปหาคำตอบแล้วรีบบอกมาไวๆ เข้าใจหรือเปล่า แล้วก็
เรื่องพวกนี้ไม่ต้องไปรายงานยายมีนด้วย ฉันขี้เกียจตอบคำถามของยายน้องสองคนนั่น”
หญิงสาวกอดอกทำท่าทีราวกับเป็นมารดาของอีกฝ่าย เพราะแกล้งไตรเล่นมากกว่าอื่น

เพื่อนหนุ่มจึงได้แต่ส่ายหน้ากับความเอาแต่ใจของยายมิ้งค์ตัวแสบ ในขณะที่ไตรกำลังออกรถ
และมองมัชฌิตาซึ่งโบกมือบ๊ายบายด้วยสีหน้าแช่มชื่นเกินเหตุ เขาก็สังเกตเห็นพรต ผู้ชายที่มี
บุคลิกจืดสนิท ไม่มีอะไรเตะตาน่าสนใจเอาเสียเลยแต่ดันมาเป็นคู่กรณีเรื่องรถชนของมัชฌิตา
ด้วยหนี้เวรแต่ชาติปางก่อน เพราะใครก็ตามที่มีเรื่องกับมัชฌิตาควรจะต้องโดนหนัก
แต่ที่เห็นหญิงสาวยังพูดจาดีกับพรตเพราะว่าฝ่ายนั้นสุภาพถึงขีดสุดและยอมให้เธอในทุกทาง
คล้ายสำนึกผิดเต็มประตู นี่ก็สงสัยคงจะนัดมาตกลงกันเรื่องค่าใช้จ่ายหรืออะไรจิปาถะ
พรตคงมายืนรีๆ รอๆ อยู่นานแล้ว รอให้ไตรเองขึ้นรถก่อนจึงค่อยเข้ามาคุยกับเพื่อนเขา

“สวัสดีครับคุณมัชฌิตา”

“ค่ะ... แต่วันนี้เราไม่ได้นัดกันไม่ใช่เหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัยนิดๆ

“ครับ บังเอิญผมมีธุระแถวนี้ ก็เลยแวะมาทักทายตามมารยาท รอให้เพื่อนคุณไปก่อน”
พรตพูดขณะที่เดินเคียงมัชฌิตาเข้าไปหาที่นั่งคุยกันในร่ม “ผมบังเอิญได้ยินคุณคุยกัน
เรื่องหาคนแปลภาษาเก่าแก่ จริงๆ ผมพอจะช่วยเรื่องนี้ได้นะครับ เพราะชนะทัศน์
น้องชายผม เห็นเงียบๆ อืม...จะเรียกว่าไงดี เขาเป็นอัจฉริยะ พูดได้สิบกว่าภาษา
ตอนนี้เพิ่งจะจบปริญญาตรี ยังไม่ได้เรียนอะไรต่อ อาจเพราะสนใจหลายแขนง
จนเลือกไม่ถูก แต่รับรองว่าความรู้ในหัวเกินหน้าพวกอาจารย์สบายๆ แถมยังสนใจ
ภาษาเก่าแก่โซนเอเชียแทบทุกภูมิภาค ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยละก็”

“ตกลงคุณกับน้องเป็นคนไทยใช่ไหมคะ ดูหน้าตาก็บ่งบอกว่าใช่ละนะ
แต่เห็นรู้จักกับคุณชามัล ฉันเลยสงสัย”

“ครับคนไทย ผมรู้จักเขาแต่ไม่สนิท เพื่อนเพิ่งแนะนำไม่นานนี้เอง เพื่อนที่เป็นหุ้นส่วน
ไพรมายา ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักหรอกครับ เพราะคุณชามัลเขาคุมเกือบหมด ที่ให้เข้ามา
ร่วมหุ้นก็เพราะเคยมีไมตรีต่อกันมาก่อนอะไรทำนองนั้น กับเพื่อนคนที่ว่าผมก็สนิทอยู่
แต่กับคุณชามัล ถือว่าห่างๆ ออกมา กลับมาเรื่องน้องผมก่อน พูดแล้วจะหาว่าคุย
คุณอาจจะจำชื่อชนะทัศน์ ไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงเด็กที่มีข่าวว่าพูดได้สิบภาษาตั้งแต่อายุ
สิบขวบ หลายคนก็อาจเคยได้ยิน”

“เด็กคนนั้น ในข่าวหลายปีแล้ว ที่บอกว่าไอคิวร้อยเก้าสิบกว่าน่ะหรือคะ ฉันได้ยินอยู่แว่วๆ ”

“ครับ น้องผมเอง” แม้สีหน้าจะบ่งบอกว่าภูมิใจอยู่ส่วนหนึ่ง แต่มัชฌิตาก็แอบเห็นแวว
เศร้าลึกๆ อยู่ในดวงตาของคนเป็นพี่ชาย

พรตบ่นว่าเริ่มหิว เขาชวนมัชฌิตาไปหาอะไรรับประทานกันง่ายๆ ที่ร้านอาหารแถวนั้น
โดยนั่งรถของตนออกไป มัชฌิตาตอบตกลง เพื่อที่ว่าอาจจะได้คุยทั้งเรื่องรถที่เธออยากจะ
ซ่อมและเรื่องภาษาโบราณซึ่งอีกฝ่ายอาสาช่วยไปพร้อมๆ กัน

“ผมจบสถาปัตย์มาจากกรุงเดลี เพราะบังเอิญว่าที่บ้านย้ายไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่ผมย่างเข้า
วัยรุ่นเห็นจะได้ งานก่อสร้างก็ต้องรู้เรื่องโบราณสถานเยอะพอดูเหมือนกัน ไหนจะภาษา
ที่ต้องเห็นผ่านตาบ่อยๆ แต่ผมไม่เก่งเท่าน้องหรอก เจ้าทัศน์มันรู้ลึก แบบที่เรียกว่า
เชี่ยวชาญจริงๆ เสียแต่ว่าเป็นคนเก็บตัวไม่ยอมไปพบปะผู้คนที่ไหน คราวก่อนกว่าจะ
ลากตัวออกมาเที่ยวได้ก็แทบตาย ถ้าอยากปรึกษาอาจต้องเทียบเชิญคุณไปบ้านผม
ไม่ไกลมากหรอกฮะ แถววังน้ำเขียว ขับรถไปจากนี่ก็ใช้เวลาไม่เท่าไหร่ ซิ่งแป๊บเดียวถึง”

“ไม่ดีนะคะ” หญิงสาวส่งสายตาปรามเขาโดยที่ปากกลับแย้มยิ้ม เตือนให้รู้ว่าพรตเอง
ควรจะขับรถระวังมากขึ้น ไม่ให้เกิดเรื่องอย่างวันก่อนอีก “แต่เรื่องน้องชายคุณก็นับว่าน่าสน”

มัชฌิตายังสงสัยว่าเจ้าของที่แท้จริงของพลอยตาเสือซึ่งติดตามเธอมาจะสนใจถ้ำที่เธอ
ต้องการไปให้ถึงด้วยไหม ก็อาจเป็นไปได้ว่าสนแค่พลอยซึ่งเป็นสมบัติเก่าแก่และอยากจะ
ได้กลับคืนไป แม้พรตจะอยู่ในข่ายที่เธอต้องระวังไม่ต่างกับชามัล เหตุเพราะเพิ่งมารู้จักเขา
แต่การจะพบคนเข้าใจอักษรเทวนาครีแตกฉานในที่แบบนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ว่า
จะดั้นด้นไปหาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยใกล้ที่สุดสักคนก็อาจไม่มีใครให้ความกระจ่างได้
เธออยู่ในสถานการณ์ที่เลือกไม่ได้ ทั้งที่อยากเลือกปรึกษาคนที่ไว้ใจ แต่จะไปหาจากไหนมา

หลังจากพามัชฌิตามาส่งยังที่พักแห่งใหม่ซึ่งเป็นรีสอร์ทเล็กๆ แยกเป็นบ้านชั้นเดียว
หลังเดี่ยวๆ เอาราวห้าโมงเย็นเพราะคุยกันเพลิน พรตมีสีหน้าพึงใจเมื่อกดโทรศัพท์หา
ใครคนหนึ่ง บุคคลผู้ซึ่งเขามอบความภักดีรวมถึงลมหายใจไว้แทบเท้าเสมอมา

“ท่านชามัล ตอนนี้มัชฌิตายังไม่เชื่อใจผมนัก แต่คิดว่าเธอคงไม่มีตัวเลือกอื่น...”

“หึ ทำตามแผนต่อไป ถึงเราจะมีสำเนาของแผนที่นั่นแล้วก็เถอะ แต่ที่ต้องการเวลานี้
คือประกบติดและเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของมัชฌิตามากกว่า ทำให้แนบเนียนก็แล้วกัน”

“จะพยายามอย่างยิ่งครับท่าน” พรตก้มศีรษะอย่างน้อบน้อมยิ่ง แม้บุคคลทางอีกปลาย
สายจะมิได้มานั่งอยู่ตรงหน้าเขา เป็นความภักดีซึ่งน้อมนำมาจากการถูกชุบเลี้ยง
ทุกสิ่งที่ชีวิตเขาได้รับจนเติบใหญ่ พรตตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อให้เมห์ฮราได้ผู้นำที่เหมาะสม
ซึ่งจะเป็นใครไปเสียไม่ได้ นอกจากท่านชามัล


ใกล้เที่ยงวันรุ่งขึ้น พรตมารับมัชฌิตาเพื่อไปเยี่ยมเยือนบ้านของเขาตามที่นัดกันไว้
ทั้งคู่ไม่ได้แวะรับประทานมื้อเที่ยงเนื่องจากตกลงไว้ล่วงหน้าว่าต่างคนต่างทานก่อนมาเจอกัน

“ผมไม่ค่อยได้มาแถวเขาใหญ่บ่อยนักหรอก เพราะก็ไปๆ มาๆ ต่างประเทศกับเมืองไทย
วันก่อนเลยพาน้องนั่งรถเที่ยวเสียหน่อย บังเอิญว่าวันนั้นผมทานยาแก้แพ้เข้าไปเลยมึนๆ
กำลังคุยโทรศัพท์ พร้อมๆ กับคุ้ยหาซีดีในรถอย่างว่า เจ้าทัศน์ก็หลับอยู่ข้างๆ เลยไม่มีใคร
ช่วยดู ครอบครัวคนขี้โรคมั้งครับ สุดท้ายเลยไปจูบท้ายรถของคุณเข้าจังเบ้อเร่อ”

“ทำหลายอย่างมากเลยนะคะตอนขับรถเนี่ย” มัชฌิตาเหน็บไปตรงๆ “ชนซะหัวทิ่ม
ลงข้างทางแบบนั้นเรียกว่าพุ่งมาอัดเลยมากกว่า ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลย”
หญิงสาวบ่นต่อยิ้มๆ อย่างคนปลงตกไปแล้ว เธอเป็นเช่นนี้เสมอ โกรธง่าย
แต่ไม่เคยโกรธใครนาน ยิ่งถ้าอีกฝ่ายสำนึกและยอมรับในความผิดละก็

พรตเองก็ดูมีฐานะอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่วันที่เอารถมาชนเธอเขาก็เปลี่ยนจากโฟร์วีล
ขับเคลื่อนสี่ล้อคันนั้นมาเป็นรถเก๋งที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น เรียบง่ายและธรรมดา
เหมือนกับการแต่งตัวของเจ้าของซึ่งคล้ายจะไปออกรอบตีกอล์ฟอยู่ตลอด แม้แต่
เมื่อวานที่เขาโผล่มาเจอเธอหลังจากไตรกลับไป ชายหนุ่มแก่กว่าเธอหลายปี
ผมใส่น้ำมันให้พออยู่ทรงหวีแนบไปกับศีรษะเกือบจะเรียกว่าเชย
ยังดีว่ารูปร่างหน้าตาเขาอยู่ในเกณฑ์เรียบร้อยดีพอใช้จึงไม่ได้น่าเกลียดอะไร

“บ้านผมอยู่ใกล้ผาเก็บตะวัน ชื่อเพราะใช่ไหมครับ”

“เคยได้ยินค่ะ ฟังดูน่าไปเที่ยวยังไงก็ไม่รู้”

“หลายคนได้ยินชื่อแล้วก็อยากไปดูกับตาสักครั้ง ว่าจะเก็บตะวัน
ใส่ขวดโหลแห่งความทรงจำกลับไปได้รึเปล่า”

“ขวดโหลแห่งความทรงจำ ชอบคำนี้แฮะ” มัชฌิตาอดเปรยออกมาไม่ได้

“อยากอยู่เที่ยวสักพักไหมครับ พูดก็พูดเถอะ ถึงเราจะไม่ได้มีรีสอร์ทหรูหราแบบคุณชามัล
แต่ผมก็มีบ้านพักอยู่ใกล้ๆ อุทยานทับลาน เปิดไว้ให้พวกที่มาเที่ยวเช่าอยู่ ถ้าคุณสนใจละก็
ผมจะลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

มัชฌิตายิ้มในหน้า รู้สึกดีกว่าเขาจะเสนอให้ฟรีๆ
“ให้ฉันจ่ายแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เหรอคะ” เธอสัพยอก

“แบบนั้นก็โอเคครับ ผมอยากให้คุณพักโดยไม่คิดเงินด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าจะเกรงใจ”
พรตหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

เวลาอยู่กับผู้ชายคนนี้ มัชฌิตารู้สึกว่าผ่อนคลายได้มากกว่าอยู่กับชามัล อาจเพราะกับพรต
เธอไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลยสักนิด กับคนที่อยากอยู่ใกล้กลับต้องทำใจถอยห่างออกมา
หัวใจช่างทำงานขัดแย้งกับสมองเสียจริง ถ้าสามารถโยนเรื่องทุกอย่างทิ้งไปได้ ให้เธอ
เกิดเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เธอก็คงจะชอบชามัลได้อย่างใจต้องการ คงมีโอกาสรัก
ใครสักคนได้เหมือนชาวบ้านเขาบ้าง มันก็มักเป็นเสียอย่างนี้ คนที่รักได้เรากลับไม่ต้องการ
จะมาต้องการเอาแต่คนที่ไม่น่าวางใจว่าดีสำหรับตัวเอง เรื่องแบบนี้ ใครๆ ก็คงเคยเจอ
สักครั้งในชีวิต หญิงสาวได้แต่ปลอบตนเองอย่างจนใจ

ตลอดทางที่นั่งไปในรถมัชฌิตามองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน ชวนให้คิดว่าไม่ช้าไม่นาน
วันหนึ่งข้างหน้าที่จวนเจียนจะมาถึงเธอต้องเข้าไปโลดเล่นอยู่ในโลกสีเขียวเช่นนั้น
แม้จะสวยงาม บริสุทธิ์ แต่มันอาจกลายเป็นหลุมฝังเธอโดยที่ไม่มีใครรู้เลยก็ได้ คิดแล้วก็
ชักจะหวั่นๆ ขึ้นมา บางทีเธอคงจะกดเก็บความกลัวไว้ในใจอย่างที่อีตาไตรเขาวิเคราะห์จริงๆ
นั่นแหละ
บ้านของพรตอยู่ลึกเข้าไปในเชิงเขา กว่าจะเข้าไปถึงก็ต้องผ่านถนนเป็นหลุมเป็นบ่อสูงๆ ต่ำๆ
ลาดขึ้นไปตามเนินหิน ข้างทางรายล้อมด้วยแมกไม้เขียวชอุ่ม

“ผมไม่น่าไปชนคุณเมื่อวันก่อนเลย คันนี้มันลุยสู้ไอ้คันที่เข้าอู่ไปไม่ได้ ปกติเราก็ไม่ได้อยู่กัน
ที่นี่หรอกครับ ระหว่างผมไปนอกน้องก็อยู่กรุงเทพฯ แต่น้องชายผมเพิ่งเรียนจบ ก็เลย
อยากจะหลบมาพักยกเงียบๆ ที่นี่”

ตัวบ้านที่หญิงสาวผู้มาเยือนได้เห็นจากภายนอกดูมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ตกแต่งสวยงามสมตัว
พรตบอกว่าอยู่กันสองคนพี่น้อง มีเพียงคนเข้ามาดูแลแค่บางวันเท่านั้น มัชฌิตานั่งรอในห้อง
รับแขกซึ่งตกแต่งเหมือนบ้านทั่วไป เธอสังเกตเห็นของจุกจิกใหญ่น้อยในตู้โชว์ที่มีอยู่ถึง
สองสามตู้ในห้อง คงเป็นวัตถุที่มีคุณค่าทางศิลปะของอินเดีย ก็ไม่แปลก เขาเคยอยู่ที่นั่น
หลายปี แล้วก็คงเป็นโอกาสที่ทำให้ได้รู้จักเพื่อนของชามัลซึ่งเป็นหุ้นส่วนไพรมายา

พรตบริการน้ำท่าและขนมถึงมือมัชฌิตาแล้วก็ขอตัวหายไปอีกครู่ เห็นว่าจะขึ้นไปบอกกล่าว
น้องชายซึ่งอยู่ข้างบนเรื่องมีแขกมาหาถึงที่ มัชฌิตาไม่ได้แตะต้องน้ำหรือขนม เธอเดินไป
สำรวจข้าวของในห้องรับแขกนั้นใกล้ๆ ก่อนหยุดลงหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง
หญิงสาวไม่ได้คิดสนใจแต่อย่างใด แต่พอเธอหันหลัง พลอยที่อกก็อุ่นวาบขึ้นคล้ายจะ
บอกเตือนบางอย่าง มัชฌิตาหมุนตัวกลับ มือค่อยๆ เอื้อมไปจับลูกบิด นิ่วหน้าน้อยๆ
เมื่อลองหมุนเบาๆ แล้วพบว่าเปิดไม่ได้

ในนี้มีอะไรงั้นหรือ...ระหว่างนั้นหญิงสาวได้ยินเสียงประตูห้องข้างบนเปิดออก
พรตคงกำลังจะลงมา เธอจึงกลับไปนั่งยังเก้าอี้รับแขก ทำทีเป็นรอคอยชายหนุ่มอย่างสงบ



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ม.ค. 2555, 13:41:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ม.ค. 2555, 15:20:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 2429





<< บทที่ 3 มือที่ช่วยนำทาง (1/3)   บทที่ 3 มือที่ช่วยนำทาง(ต่อถึงจบบท) >>
Auuuu 13 ม.ค. 2555, 15:49:19 น.
ลุ้นไปด้วยอย่างแรง เดาไม่ค่อยได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลุ้นๆๆๆๆ ^^

ป.ล.มาแล้วนะค้า


silverraindrop 13 ม.ค. 2555, 15:51:03 น.
เอ...ในห้องนั้นมีอะไรอยู่น๊า เมื่อไหร่ชามัลจะรัก และปกป้องนางเอกของเราน๊า ...
ช่วงนี้คนอ่านขาดน้ำตาล คนเขียนจัดให้หน่อยค่ะ 555


เบญจามินทร์ 13 ม.ค. 2555, 16:05:58 น.
ไม่ได้หายไปไหนจ้า ตามมาอ่านตามมาลุ้น ว่าแต่อะไรอยู่ในห้องนั้นล่ะ (ผีรึเปล่า) กลัวผีนะ


อสิตา 13 ม.ค. 2555, 16:32:25 น.
เรื่องนี้ไม่มีผีสักตัว แต่มีตัวอย่างอื่นที่น่าหวาดหวั่น (ว่าแต่ย่ากับวนาลีนี่
ไม่นับเป็นผีได้ไหม *-*'หุๆ คนเขียนชอบโกหกเหมือนตัวละครไม่มีผิด)

นั่นสิน้า เมื่อไหร่ชามัลจะรู้จักความรัก นิสัยแบบนี้ต้องโดนสั่งสอนซะแล้ว


Zephyr 13 ม.ค. 2555, 17:48:48 น.
ชามัลนิสัยไม่ดีเลย ให้พี่มิ้งค์สั่งสอนให้เข็ด ทำตัวลึกลับ ลับๆล่อๆ ต้อนหน้าต้อนหลังนะคะ แต่ ฮึ พี่มิ้งค์เก่งไม่หลงกลง่ายๆหรอก แต่จะใจอ่อนเมื่อไรนี่สิปัญหา
ชักหมั่นไส้ตาชามัลตงิดๆค่ะ รู้สึกลูกน้องเยอะมากเกินเหตุ ดูเจ้าชายๆไงไม่รู้ มีคนรองมือรองเท้าเต็มไปหมดเลย งี้แหละไม่มีใครกล้าขัดใจ ให้พี่มิ้งค์เล่นตัวเยอะๆ ขัดใจเยอะๆ สะใจดี หึหึ
เชียร์พี่มิ้งคืให้ขัดใจตาชามัลต่อไป ฮ่าๆๆๆ มีความสุข อิอิ
ขอบคุณนักเขียนทั้งสามท่านนะคะ ให้เป็นนักอ่านดีเด่นเลยเหรอคะ อิอิ เขินอ่ะ ^^ แต่ว่าพออ่านสามเรื่องแล้วจะเริ่มฟุ้งซ่านค่ะ เอาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาโยงกัน ปนกัน หุหุ อย่างที่ในเรื่องน้องมีนเราก็ให้เงาดำตัวร้ายนั่นเป็นตาชามัลในเรื่องนี้ ^^ เนื่องจากความหมั่นไส้ล้วนๆ


ameerahTaec 13 ม.ค. 2555, 17:52:48 น.
ชามัลเอาแต่ใจจริงๆ ดูมีอำนาจมากด้วยนะคะ


หมูอ้วน 14 ม.ค. 2555, 06:53:09 น.
หนูมิ้งค์ ระวังตัวด้วยนะ ทั้งนายพรตและนายซามัล ตัวอันตรายทั้งน้านนนน


SunSeed 14 ม.ค. 2555, 10:03:05 น.
พี่แป้งตามอ่านทีเดียวรวมสามบทเลย หนุกๆๆๆ พี่แป้งมาต่อเร็วๆน๊า กำลังลุ้นว่าจะมีอะไรในห้อง -*- แล้วนางเอกจะหาทางแอบเข้าไปได้มั๊ยหว่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account