มายาไฟในดวงตา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ
เมื่อพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาตั้งใจจะเก็บมรดกทั้งของตนเองและน้องสาวเอาไว้
อันตรายบางอย่างกลับคืบคลานเข้ามา หญิงสาวจึงทำได้เพียงหนี !
ก่อนที่ “เขา” เจ้าของพลอยที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงจะมาทวงมันคืนไปจากเธอ
Tags: อสิตา มนตรามุกจันทรา ม่านธาราเร้นดาว พลอยตาเสือ มัชฌิตา ชามัล อัคนิวรา

ตอน: บทที่ 3 มือที่ช่วยนำทาง(ต่อถึงจบบท)

@ คุณAuuuu
คนเขียนพยายามยึดหลักไอเดียสดใหม่ค่ะ เชื่อไหมว่าขนาดตอนเขียนมาถึงนี่ยังไม่รู้เลยว่า
อะไรอยู่ในห้อง -*-‘ แล้วก็ต้องมานอนคิดหลังจากนั้นว่าอะไรดีๆๆ แต่ไอ้ที่อยู่ในห้องคง
ไม่ตื่นเต้นเท่าตัวละครที่จะออกมา ในบทที่4หรอกค่ะ หุหุหุ รอดูนะคะ

@ คุณ silverraindrop
แรกๆอาจไม่หวาน แต่เรื่องนี้ใช้พลังส่งขึ้นไป...พอถึงตอนหวานนี่รับรองว่า
หวานจนแสบคอ (อาจจะเลือดกำเดาไหลด้วย มีคนบอกว่าอ่านแล้วหวิวๆ จะเป็นลม)

@ คุณเบญจามินทร์
ไม่ช่ายผี เรื่องนี้ไม่มีผีแล้วมั้งงง (ยกย่าอมินตากับวนาลีไว้เคสผู้ช่วยเหลือตัวเอก)

@ คุณ Neferretti
ชามัลไม่สำนึกง่ายๆแน่ เป็นพวกหัวดื้อแบบสุดๆ แถมยังเห็นคนอื่นเป็นมดปลวก
ต้องหาคนมาช่วยหนูมิ้งค์สั่งสอนแล้วมั้งเนี่ย...
แต่ชามัลยังไม่ได้รับเชิญข้ามเรื่องไปม่านธาราเร้นดาวนะคะคุณเนเฟอฯ
ที่รับเชิญมีแค่ย่าอมินตากับพี่ไตร หุหุ ได้ค่าตัวเรื่องเดียวก็เยอะพอแล้ว
ตัวละครรับเชิญนี่เป็นพวกว่างงาน เลยต้องเก็บเบี้ยน้อยหอยน้อยเรื่องละนิดละหน่อย

@ คุณ ameerahTaec
ไปจนจบเรื่องก็ยังไม่หายบ้าอำนาจเลยตาคนเนี๊ยะ >.<

@ คุณหมูอ้วน
พรตแอบรักชามัลเลยยอมทำตามทุกอย่าง อร๊ายยยย... ล้อเล่นนะคะ

@ คุณ SunSeed
เดี๋ยวตอนนี้ก็รู้แล้วค่ะว่าเข้าไปได้ไหม เรื่องสำคัญกำลังใกล้ตัวเข้ามาเรื่อยๆแล้วน้า



พรตบริการน้ำท่าและขนมถึงมือมัชฌิตาแล้วก็ขอตัวหายไปอีกครู่ เห็นว่าจะขึ้นไปบอกกล่าว
น้องชายซึ่งอยู่ข้างบนเรื่องมีแขกมาหาถึงที่ มัชฌิตาไม่ได้แตะต้องน้ำหรือขนม เธอเดินไป
สำรวจข้าวของในห้องรับแขกนั้นใกล้ๆ ก่อนหยุดลงหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง
หญิงสาวไม่ได้คิดสนใจแต่อย่างใด แต่พอเธอหันหลัง พลอยที่อกก็อุ่นวาบขึ้นคล้ายจะ
บอกเตือนบางอย่าง มัชฌิตาหมุนตัวกลับ มือค่อยๆ เอื้อมไปจับลูกบิด นิ่วหน้าน้อยๆ
เมื่อลองหมุนเบาๆ แล้วพบว่าเปิดไม่ได้

ในนี้มีอะไรงั้นหรือ...ระหว่างนั้นหญิงสาวได้ยินเสียงประตูห้องข้างบนเปิดออก
พรตคงกำลังจะลงมา เธอจึงกลับไปนั่งยังเก้าอี้รับแขก ทำทีเป็นรอคอยชายหนุ่มอย่างสงบ

ผู้ที่กลับลงมาเอ่ยบอกมัชฌิตาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ เป็นเชิงขออภัย “ขึ้นไปข้างบนได้แล้วละครับ
เจ้าเด็กคนนี้นิสัยแปลกหน่อยแถมว่ายากเป็นที่หนึ่ง อย่าถือเลยนะครับ”

“ไหนๆ ก็มาขอให้น้องชายคุณช่วย ฉันจะว่าอะไรได้ละคะ”



“ผมไม่อยากทำ !!! ”

มัชฌิตาตกตะลึงอยู่หน้าห้อง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังลอดออกมา ขณะที่พรตขอตัว
คุยกับน้องอีกครั้งก่อนจะให้เธอเข้าไป นี่เด็กคนนั้นไม่เต็มใจขนาดนี้เลยหรือนี่ บางที
เธอควรจะขอตัวกลับ ไปหาความช่วยเหลือเอาจากที่อื่น หรือว่าพี่น้องมีปัญหาอะไรกัน
มาก่อนหน้านี้ เสียงในห้องสงบลงแล้ว ก่อนที่มัชฌิตาจะตัดสินใจอย่างใดประตูห้อง
ก็เปิดออก คล้ายกับว่าเธอเห็นแววไม่พอใจในดวงตาของพรตวูบหนึ่ง
แต่แล้วมันก็อันตรธานหายไปราวกับภาพลวงตา เมื่อเขาแย้มยิ้ม

“เข้ามาได้เลยครับ อ้อ คุณมัชฌิตาคุยกับน้องผมไปนะครับ ผมต้องขอตัวไปเช็คอีเมล
เรื่องงานหน่อย อาจจะยาว”
พรตมีทีท่ากังวลใจ ไม่ทราบว่าเพราะน้องชายหรือเพราะเรื่องงานที่อ้างว่าต้องไปสะสาง
ถึงเขาจะพูดอย่างนั้นแต่มัชฌิตากลับรู้สึกว่าพรตจงใจเปิดโอกาสให้เธอได้คุยกับชนะทัศน์
ตามลำพังมากกว่า ก็ดีสำหรับเธอด้วย เพราะไม่อยากให้ใครได้รู้รายละเอียดของแผนที่นี้
มากนัก แม้ว่าน้องชายเขาอาจบอกต่อแต่คงไม่เหมือนพรตได้ดูหรือพินิจมันกับตา

ในห้องนั้นเต็มไปด้วยข้าวของซึ่งเหมาะกับศาสตราจารย์ผู้คงแก่เรียนสักคนมากกว่า
จะเป็นห้องของเด็กหนุ่มวัยเพียงสิบหกย่างสิบเจ็ด ค่อนข้างสว่าง เสียแต่ว่าความอับทึบ
ยังรู้สึกได้แม้เครื่องปรับอากาศจะกำลังทำงานของมันอย่างเต็มที่
เมื่อหญิงสาวมองไป เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องไม่ได้หลบหน้าเธออย่างที่คาด
แต่กลับหันมาเผชิญหน้ากันโดยไม่กลัวเกรง ไม่มีแววเหมือนคนที่อยากหลบอยู่แต่บนห้อง
ถ้าหากจะมีปัญหา เขาคงมีปัญหาไม่พอใจเรื่องต้องช่วยเหลือเกี่ยวกับสิ่งที่เธอหอบมา
มากกว่าเป็นโรคกลัวคนแปลกหน้าเหมือนที่พรตพยายามบอก

มัชฌิตาเพิ่งได้สังเกตจริงๆ จังๆ ก็ตอนนี้ ดวงหน้าเจ้าของห้องบ่งบอกถึงความเยาว์อายุ
แต่จากระดับไอคิวที่ทราบ ถึงเขาจะเรียนจบมหาลัยวิทยาลัยเร็วกว่านี้อีกหลายปีก็คง
ไม่น่าแปลกใจ หรือว่าบุคลิกซึ่งผิดเพี้ยนรวมถึงสีหน้าหาความสุขไม่ได้นั้นอาจเป็นราคา
ซึ่งต้องจ่ายให้กับคำว่าอัจฉริยะก็เป็นได้

แม้น้องชายของพรตจะมีเค้าหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับผู้เป็นพี่อยู่มาก หากทว่าแม้มองเพียง
ผาดๆ ผ่านๆ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าแววตานั้นผิดกันไกล เด็กหนุ่มมีสายตาคมกล้า สีหน้าเรียบสนิท
เต็มไปด้วยความหยิ่งอันผสานกลมกลืนกับสุขุมเยือกเย็นจนกลายเป็นเนื้อเดียวอย่างลงตัว
สำหรับมัชฌิตา เธอเห็นว่าบุคลิกเช่นนี้ดึงดูดให้ชวนสนใจมากกว่าพี่ชายเขาถ้าจะเทียบกัน
แต่ที่ไม่คาดคิดก็คือ เธอเพิ่งเห็นว่าชนะทัศน์นั่งอยู่บนรถเข็นอย่างคนพิการ

เขาเดินไม่ได้งั้นหรือ แล้วแบบนี้จะเรียนมหาวิทยาลัยได้ยังไง ...แต่สำหรับเด็กพิเศษมีมันสมอง
เกินหน้าคนปกติอย่างนี้ทางมหาวิทยาลัยอาจพิจารณาให้เป็นกรณีพิเศษ มิน่า วันที่รถชน
เธอไม่ได้เห็นอีกฝ่ายเดินเลย อาจจะเพราะชุลมุนด้วยอีกอย่าง พอมัชฌิตารู้ตัวพรตก็บอกว่า
มีคนมารับน้องชายกลับไปแล้วจึงไม่ได้ไปถึงโรงพักด้วยกัน หญิงสาวกวาดตาผ่านขาทั้งสองข้าง
ที่มีผ้าห่มคลุมไว้เร็วๆ อย่างไม่อยากเสียมารยาท ไม่ทันได้เห็นว่าขาของชนะทัศน์เป็นอะไร
เธอยิ้มให้เขา เด็กหนุ่มมองกลับมานิ่งๆ ทั้งสองสบตากันอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งชนะทัศน์ก็เอ่ย
ทำลายความเงียบขึ้นมา

“อะไรเอ่ย เช้าเดินไม่ได้ กลางวันเดินไม่ได้ พอตกเย็น...ก็ยังเดินไม่ได้อยู่เหมือนเดิม”

มัชฌิตายิ้ม เด็กคนนี้ต้องการจะหาเรื่องหรือว่าหยั่งเชิง ด้วยคำถามคล้ายที่เธอเคยได้ยินมา
คำถามควรจะเป็น
อะไรที่ตอนเช้าเดินสี่ขา ซึ่งคำตอบคือวัยเด็ก
กลางวันเดินสองขา คือมนุษย์ที่เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่
และตอนเย็นสามขาคือแก่เฒ่าชราจนถือไม้เท้า
แต่ชนะทัศน์กลับนำคำถามนั้นมาใช้เสียดสีตัวเอง เป็นทำนองว่าเธอจะสามารถเข้าถึง
คนอย่างเขาได้มากแค่ไหน แล้วถ้ามัชฌิตาตอบไม่ถูกใจ อีกฝ่ายจะปล่อยให้เธอ
ผ่านด่านนี้ไปหรือเปล่า

“เช้าเดินไม่ได้...หมายถึงเกิดมาพิการ ก็ไม่ได้หมายความว่ากลางวันจะต้องเป็นอย่างเดิม
สมัยนี้การแพทย์ไปถึงไหนๆ แล้ว คนที่หัดใช้ขาเทียมทั้งสองข้างจนเดินได้กลายเป็นสองขา
ก็มีอยู่” หญิงสาวไม่รู้ว่าชนะทัศน์จะชอบคำตอบตรงไปตรงมาเช่นนี้หรือไม่
แต่ดูจากแววตาของเขา การประนีประนอมไม่ใช่ทางเลือก เธอมีแต่ต้องชนเท่านั้น
“แต่เดินไม่ได้ก็ยังพูดได้ คิดได้ ทำได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะนั่งอยู่เฉยๆ หรือจะทำวันหนึ่ง
ให้มีค่าสำหรับตัวเองและคนอื่นๆ ตกเย็นบางคนอาจจะสามขา บางคนกลับมานั่งรถเข็น
เหมือนไม่เคยเดิน สุดท้ายทุกคนก็ต้องนอนในโลงเหมือนกัน ตอบแบบนี้ พอจะให้ผ่านไป
ได้หรือเปล่า คุณสฟิงซ์...”

ชนะทัศน์ยังหน้าเฉยเหมือนเดิม แต่ดวงตาเขามีรอยยิ้มจุดขึ้นรำไร เด็กหนุ่มผายมือให้มัชฌิตา
แม้ตอนแรกจะขัดเขินกันอยู่บ้าง แต่ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มคุยกันด้วยดี...

“ที่เขียนอยู่บนแผนที่นี้คือภาษาสันสกฤต แต่ไม่ใช่คำที่จะอ่านรู้เรื่องในทันที เพราะรูปแบบ
อักษรถูกจัดไว้ให้ดูปนเปจับทางยาก ถ้าเป็นคนธรรมดานะ แต่ผมพอจะมองมันออกแล้วละ”

มัชฌิตาเลิกคิ้ว กึ่งยินดีที่ชนะทัศน์พูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่คำว่าคนธรรมดาที่เขาใช้
เรียกคนอื่นนั้นไม่เชิงว่ายกตนเหนือกว่า ในน้ำเสียงนั้นมีกังวานเสียดสีที่เกือบจะเรียกว่า
มาจากความริษยาแฝงอยู่กว่าครึ่ง เขาไม่ซักไม่ถามว่าแผนที่นี้มีที่มายังไง และเธอจะ
เอามันไปทำอะไร แต่ตลอดเวลาชนะทัศน์มีสีหน้าเหมือนคนถูกบังคับให้อมบอระเพ็ด
จนมัชฌิตานึกขำปนสงสัย

“อยากช่วยพี่หรือเปล่าน้องทัศน์” มัชฌิตาเรียกอีกฝ่ายสั้นๆ ตามพี่ชายของเขา ที่ต้องถาม
แบบนั้นก็เพราะเห็นได้ว่าเขาลอบถอนหายใจบ่อยๆ รวมถึงเสียงตะโกนที่ได้ยินก่อนเข้า
ห้องมานั่นอีก ถึงเด็กคนนี้จะดูภายนอกว่าหยิ่งอย่างร้ายกาจ แต่พอได้คุยกันเขากลับ
สุภาพพอใช้ มากกว่าที่คิดไว้หลายเท่านัก เป็นไปได้ว่าคงตัดสินใจช่วยในระดับหนึ่งแล้ว
ตอนพรตเข้ามาครั้งสุดท้าย และเมื่อมัชฌิตาได้ตีปราการด้วยคำพูดของเธอซึ่งนับว่า
ค่อนข้างแรงสำหรับคนที่เพิ่งเจอหน้า ดูเหมือนเขาจะรับได้และพอใจกับมัน

เด็กคนนี้มีกลิ่นของความน่าสงสาร เหมือนคนที่ถูกบังคับ กดดันตลอดมา หากเขา
ไม่อยากช่วย บางทีมัชฌิตาอาจต้องตัดใจ “ถ้าช่วยพี่เพราะถูกพี่ชายเราบังคับ
ทัศน์จะเลิกเมื่อไหร่ก็ได้นะ ยังไงพี่ก็ไม่อยากฝืนใจคนที่เพิ่งเห็นหน้ากันขนาดนั้น
รู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ ” มัชฌิตาพูดไปแล้วก็เกือบอยากกัดลิ้นตัวเอง
ถ้าไม่ได้เขาเธอจะไปหาใครมาช่วยได้อีกตอนนี้ ทั้งที่ต้องรีบ เธอต้องการพลังของตาที่สาม
ไม่ว่าแน่ชีวิต อนาคตความเป็นความตายอาจฝากไว้ที่คำตอบของเขาต่อจากนี้ไปเลยก็เป็นได้

ชนะทัศน์ชะงักจากที่กำลังจดจ่อกับแผนที่ ถอนหายใจนิดหนึ่ง ไม่ได้หยุดตอบคำถาม
ของหญิงสาว แต่เด็กหนุ่มกลับแย้มยิ้มนิดๆ เหมือนอยากปลอบใจเธอ ทว่ารอยยิ้มนั้น
กลับดูฝืดฝืนกว่ายิ้มในดวงตายามที่มัชฌิตาตอบคำถามหยั่งเชิงเรื่องตัวเขาเป็นไหนๆ
เด็กหนุ่มเขียนอะไรบางอย่างยาวเป็นพรืดลงในสมุด ส่ายหน้าแล้วก็ขีดฆ่าทิ้ง ขมวดคิ้ว
พยักหน้ากับตัวเองบ้าง เขียนใหม่แล้วก็วงไว้ สลับกับขีดฆ่าทิ้งอีก จนความกระจ่าง
บางประการเริ่มผุดพรายในดวงตา

“ผมยังตีความและจัดเรียงคำได้ไม่หมด แต่จับใจความได้ว่าสิ่งที่เขียนกำกับไว้
เป็นอันดับแรกกล่าวถึงพลอยเม็ดหนึ่ง” ชนะทัศน์เอ่ยเสียงเครียดๆ ไม่มองสบตา
มัชฌิตาในขณะที่พูด “บอกว่าอาจไปถึงถ้ำนี้ได้ แต่การเป็นที่สุด...ต้องอาศัย
พลอยส่องแสงนำทาง ฟังดูเข้าใจยากจังเลย เหมือนว่าถ้าไม่มีพลอยที่บอก
ก็อาจคลำทางไปถึงได้แบบยากขึ้นหลายเท่า ถ้าสามารถไปถึงโดยไม่มีพลอย
สิ่งที่อยากได้ก็จะได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป้าหมายอันเป็นที่สุดแห่งดวงตา
ทิศทางไป ต้องคำนวณเอาจาก...”

เมื่ออีกฝ่ายหยุดไปนานคล้ายไม่รู้จะพูดออกมาดีหรือไม่ มัชฌิตาจึงเป็นฝ่ายถาม
“จากอะไรคะ”

“รูปร่าง เหลี่ยมมุมของพลอย ถ้าไม่เห็นรูปร่างพลอยที่ว่า ผมก็คงบอกไม่ได้...
ว่าจะไปให้ถึงได้ยังไง ที่สำคัญตีความภาษาพวกนี้ต่อก็คงไม่เข้าใจอีกด้วย”
ชนะทัศน์กล่าวด้วยสีหน้าหนักใจเอามากๆ

มัชฌิตาได้ฟังดังนั้นก็อึ้งไปเช่นกัน เมื่อแรกเธอคิดว่าหากเขาไขปริศนาแผนที่แล้วเว้นที่
ให้เธอไปเติมส่วนของพลอยลงในช่องว่าง ก็คงไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องพลอยตาเสือ
แต่ถ้าหากไม่มีพลอยแล้วไปต่อไม่ได้แบบนี้จะทำยังไง ใช้เวลาคิดตัดสินใจไม่นาน
เพราะความใจร้อนและไม่ใช่พวกชอบเสียเวลาเปล่า เมื่อเป็นแบบนี้แม้อะไรจะตามมา
ก็คงต้องให้เป็นไป

หญิงสาวขยับสร้อยให้โผล่พ้นคอเสื้อ ก่อนจะเอ่ยเรียบๆ คล้ายไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก
กับชนะทัศน์ “แล้วพลอยเม็ดนี้พอจะเข้าเค้ากับไอ้ที่เขียนไว้บนแผนที่นั่นบ้างไหม”

“เอ่อ ชะ...ช่วยส่งมันมาให้ผมดูใกล้ๆ ได้ไหมครับ”

“อืม...” เนื่องจากไม่อาจถอดสร้อยออกทางศีรษะ มัชฌิตาจึงก้มลงแกะขอก่อนจะ
ยื่นส่งให้อีกฝ่าย คิดว่าคนที่แลดูผอมแห้งแรงน้อยอย่างชนะทัศน์ ชั่วๆ ดีๆ ยังไงเธอก็คง
แย่งพลอยคืนมาจากเขาได้ไม่ยาก และไม่อยากให้เด็กหนุ่มเห็นว่าพลอยนี้สำคัญอะไร
เสียมากมายจนต้องหวงไว้กับตัว แสดงออกให้เหมือนมันไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาเธอนัก
น่าจะดีกว่า

ชนะทัศน์มีท่าทางอึ้งไปบ้างเมื่อเห็นพลอยตาเสือของมัชฌิตา เขาเอื้อมมือมาอย่างลังเล
ก่อนจะรับมันไปกำไว้ ไม่ได้แบออกพิจารณาอย่างที่บอก เพียงแต่กำไว้แน่นมองตรงไป
ข้างหน้านิ่งๆ
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” เด็กหนุ่มเอ่ยลอยๆ ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงดีใบหน้าของชนะทัศน์ก็
เริ่มกระตุก เหงื่อผุดพรายอย่างรวดเร็ว เขาหอบถี่รัวทั้งที่มือยังกำพลอยอยู่

“เป็นอะไร น้องทัศน์” มัชฌิตาถามอย่างตกใจ

ชนะทัศน์ตาเบิกโพลง กล้ามเนื้อเกร็ง คล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ขากรรไกร
เขาแข็งไปแล้ว ฟันสั่นกระทบกันกึ่กๆ มือข้างว่างบีบเท้าแขนของเก้าอี้รถเข็นแน่น
ร่างเริ่มสั่นเทิ้ม เมื่อมัชฌิตาเอื้อมมือไปแตะกายอีกฝ่าย เธอต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบว่า
ชนะทัศน์ตัวร้อนราวกับกำลังจะสุกทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังดูปกติดี

“ตายแล้ว คุณพรต น้องคุณเป็นอะไรก็ไม่รู้ คุณพรตคะ !! ”

“ฟะ ฟะ... ไฟฟฟ ไฟ.........” ชนะทัศน์พยายามออกเสียง นัยน์ตาของเขามีน้ำตาไหลพราก
เบิกโพลง แต่คล้ายไม่ได้รับรู้ถึงภาพเบื้องหน้า เขากำลังเห็นอะไร ม่านตาของเด็กหนุ่ม
ขยายออกคล้ายหวาดกลัวสิ่งซึ่งมองเห็น แต่ในนั้นไม่มีภาพสะท้อนของมัชฌิตาอยู่เลย

วินาทีที่พรตวิ่งตึงตังขึ้นบันไดมาจากห้องทำงานชั้นล่าง ชนะทัศน์ก็ร่วงลงไปชักกึ่กๆ
อยู่กับพื้น มัชฌิตาโอบเขาไว้ ยังมีสติพอจะดึงสายสร้อยในมือเด็กหนุ่มกลับมาสวมร้อนรน
นี่เธอควรจะหาอะไรให้เขากัด ก่อนที่อีกฝ่ายจะกัดลิ้นตัวเองใช่หรือเปล่า ท่ามกลาง
ความว้าวุ่นนั้นพรตก็เปิดประตูผัวะเข้ามา

“ทัศน์เป็นอะไร ! ”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ อยู่ๆ เขาก็ชัก เป็นแบบนี้บ่อยหรือเปล่า...”

“ไม่เคยเป็นมากขนาดนี้” พรตเอ่ยร้อนรน

มัชฌิตางุนงงไปหมด จะว่าชนะทัศน์เกิดอาการขึ้นมาหลังสัมผัสพลอย แต่พี่ชายของเขา
ก็บอกมาว่าไม่เคยเป็นมากขนาดนี้ แปลว่าเคยเป็นมาก่อน

ระหว่างที่พรตอุ้มน้องชายไปขึ้นรถมัชฌิตาตามติดไปกับเขาด้วย เธอถือผ้าห่มติดมือมา
เพราะคิดว่าคนเจ็บอาจจะหนาวสั่นในรถ เพิ่งได้เห็นว่าขาของเด็กหนุ่มก็เป็นปกติ
เหมือนขาของคนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้ลีบเล็กดูว่าพิกลพิการอะไรอย่างที่คิดไว้ตอนแรก
แต่มัชฌิตาเชื่อว่าในบุคลิกเขามีส่วนมาจากความพิการจริงๆ คงไม่ถึงกับแกล้งทำ
เพื่อหลอกเธอหรืออะไรแบบนั้น บางทีชนะทัศน์อาจจะเดินไม่ได้เพราะสาเหตุอื่น

โรงพยาบาลวังน้ำเขียวอยู่ไม่ห่างจากบ้านของพรต ชนะทัศน์ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน
ในขณะที่คนเป็นพี่เดินกลับไปกลับมาอย่างว้าวุ่นใจ แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็เดินมา
นั่งลงข้างๆ มัชฌิตาที่รออย่างสงบ พรตมีทีท่าว่ารู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขา
หม่นหมอง แม้จะพยายามรักษาอาการให้เป็นปกติมากที่สุดก็ตามที

“น้องคุณเป็นอะไรคะ”

“เขา บางทีก็เป็นแบบนี้ นอกจากเรื่องที่ว่าเป็นอัจฉริยะ ชนะทัศน์ก็ไม่ได้โชคดี
แต่เพียงอย่างเดียวหรอก บางทีเวลาที่รู้สึกผิดปกติ น้องผมจะอึดอัด ทรมาน
หายใจไม่ทัน สั่นบ้าง แต่ไม่เคยถึงกับชักไม่หยุดแบบนี้”

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง แพทย์กลับออกมาบอกว่าอาการของชนะทัศน์ดีขึ้น พรตและ
มัชฌิตาเข้าพบคนไข้ได้ เด็กหนุ่มยังคงไม่ฟื้น ไข้ขึ้นสูง ตัวสั่น พึมพำอะไรจับความไม่ได้
ทั้งสองเฝ้าดูอาการของคนป่วยอยู่ราวชั่วโมงกว่าจนชนะทัศน์ค่อยๆ สงบลง
ผู้เป็นพี่ของจึงเบาใจขึ้นบ้าง เขาพามัชฌิตาลงมาหาอะไรง่ายๆ ทาน
ระหว่างนั้นก็เอ่ยกับเธอ
“ผมห่วงน้อง คิดว่าคืนนี้คงต้องเฝ้า ว่าแต่คุณมัชฌิตา จะค้างบ้านผมสักคืนไหมครับ”

“เอ่อ ฉันไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย แต่คิดว่าหาทางกลับเองได้ ว่ารถจากนี่ไป คงมีคนยอมไปส่ง”

“แบบนั้นไม่ได้หรอกครับ ผมพาคุณมาทั้งทีก็ต้องรับผิดชอบ จะปล่อยให้กลับไปเองได้ยังไง
ถ้าคุณไม่อยากอยู่จริงๆ ผมจะให้ชาวบ้านแถวนี้ที่รู้จักขับไปส่ง ชื่อลุงไผ่ครับ ไว้ใจได้
แกคอยดูแลสวนที่บ้านมาหลายปี หากินสุจริตเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียดีอยู่ นิสัยก็ออกจะหงอๆ
ขี้เกรงใจ คิดว่าไม่เป็นพิษเป็นภัยกับสาวๆ สวยๆ อย่างคุณแน่ เดี๋ยวให้ลุงแกเอารถมารับที่นี่เลย”

“ค่ะ แต่ฉันทิ้งของไว้ที่บ้านคุณหลายอย่าง กำลังตกใจก็เลย... จะว่าอะไรไหมคะถ้าขอให้
วนรถกลับไปเอาของที่นั่นก่อนกลับ”

“ครับ เดี๋ยวผมบอกให้ตามนั้น”


ลุงไผ่มีหน้าตาท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ตามที่พรตบอก แม้จะสุภาพแต่ก็แลดูป้ำเป๋อเล็กน้อย
เนื่องจากรถที่ลุงขับมาเป็นจี๊ปทหาร ทำให้มัชฌิตาหวนคิดถึงเจ้ารถแก่คันเก่าของตนขึ้นมา
ติดหมัด แต่รถคันนี้แก่ยิ่งกว่าเพราะมันดูท่าว่ารับใช้เจ้าของมายาวนานจนแทบจะผุเป็น
เศษเหล็ก เป็นจี๊ปแบบมีแค่ที่นั่งตอนหน้าและไม่มีประตูปิด ทำให้สัมผัสอากาศภายนอกได้เต็มที่

“ลุงบ้านอยู่แถวนี้หรือคะ”

“ครับบบ ลุงไม่ได้เกิดที่นี่หรอก แต่อยู่มาตั้งกะหนุ่มๆ ” ลุงไผ่พูดลากเสียงน้อยๆ
“แถวทับลานมันก็เย็นตลอดปี นั่งรถไม่มีแอร์แบบนี้คุณคงไม่ร้อน”

“โอ๊ย หนูไม่ใช่พวกติดสบายอะไรแบบนั้นหรอกค่ะลุง แล้วนี่ก็ยังไม่เข้าหน้าร้อนเลย
คงไม่ขี้ร้อนขนาดนั้น ว่าแต่ลุงทำงานกับคุณพรตมานานกี่ปีแล้วคะ”

“สักสี่ซ้าห้าปีเห็นจะได้ แต่ผมไม่ค่อยได้เจอหน้าแกหรอกครับคุณ เพราะนานน๊านแกจะมา
อยู่ที กับคุณน้องชายแกที่เดินไม่ได้ เอ้อ คุณทัศน์ แกก็รักน้องแกนะคุณพรตเนี่ย
ไปไหนไปกันตลอด แกไว้ใจให้ผมกับเมียมาดูบ้านดูสวนไม่ให้มันรกไปมั่ง ทำความสะอาด
บ้านเดือนละสักทีสองที ส่วนใหญ่ก็ปิดเอาไว้น่ะ”

ลองลุงยืนยันมาอย่างนี้ก็แปลว่าชนะทัศน์เดินไม่ได้จริงๆ เพราะพรตคงไม่มีเวลาจะไป
เตี๊ยมอะไรกับลุงไผ่ แต่มัชฌิตาก็แทบไม่ได้เหลือความสงสัยอะไรในเรื่องนั้นอยู่แล้ว
มีลุงยันมาอีกเสียงก็ทำให้ยิ่งเบาใจ บางทีเธออาจคิดมากเกินไปกับไอ้อันตรายเรื่อง
เจ้าของพลอยอะไรที่ว่า มันจะมีค่าสักขนาดไหนกันเชียว ถ้ามีค่าจริงตลอดเวลา
ที่ย่าครอบครองพลอยอยู่ทำไมคนพวกนั้นถึงไม่มาตามเอาคืนไปล่ะ หรือว่าย่าของเธอ
มีพลังอำนาจมากจนถึงขั้นบังตาทุกคนได้ หญิงสาวก็ยังคลางแคลงใจ

เพราะขณะนั้นเป็นเวลาย่ำสนธยามัชฌิตามองทิวทัศน์ที่เริ่มห่างตัวเมืองจึงรู้สึกว่าตน
ได้กลับเข้าสู่อ้อมแขนของธรรมชาติอีกครั้ง เมฆซับสีพรายริ้วของตะวันรอนกำลังจะ
ลาลับฟ้า ทิวเขาสูงต่ำสลับแมกไม้ เสียงเรไรก็พอแว่ววิเวกเจือจางมากับเสียงลม
แต่ฟ้าวันนี้เป็นสีเหลืองอย่างประหลาด

“ผีตากผ้าอ้อม” ลุงไผ่พึมพำ

มัชฌิตารู้ว่านั่นเป็นคำที่คนโบราณใช้เรียกเวลาท้องฟ้าเป็นเช่นนี้ซึ่งไม่ได้จะเห็นกันทุกวัน
บางคนกลับเข้าใจว่าเป็นคำที่ไว้ใช้เรียกช่วงเวลาเย็นเฉยๆ แต่มัชฌิตาจับความจากน้ำเสียง
ลุงไผ่ก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติ ฟ้าในวันนี้เหลืองมัวแลบเฉดแดงผิดประหลาดออกไป
ยิ่งมองยิ่งพาใจหวิวๆ

อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ฝูงค้างคาวก็เริ่มออกบินร่อนโฉบแมลงเห็นเป็นเงาดำตัดกับผืนฟ้า
ที่ค่อยๆ มืดลง ลุงพูดน้อยอย่างน่าแปลก ทั้งยังขับรถเร็วขึ้นทั้งที่ทางเป็นหลุมเป็นบ่อ
จนกระแทกกระเทือนไปทั้งคัน ลมพัดอู้โยนโยกผืนป่าที่รายล้อมไหวเอนลู่ราวกับทะเลใบไม้
เห็นหลังคาบ้านพรตอยู่รำไรข้างหน้าทำให้มัชฌิตารู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดหนึ่ง
แต่เดี๋ยวอีกไม่นานเธอก็ต้องกลับออกมาข้างนอกนี้อยู่ดี

สังหรณ์ย้ำเตือนให้รุ่มร้อนในจิต ราวกับว่าคืนนี้กำลังมีการมาของอะไรสักอย่าง
ความกลัวแล่นขึ้นจับใจ แต่อะไรที่จะมาพร้อมกับความมืดนี้กันแน่
มัชฌิตาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ม.ค. 2555, 14:41:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ม.ค. 2555, 14:41:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 2439





<< บทที่ 3 มือที่ช่วยนำทาง (ต่อ2/3)   บทที่ 4 รอยเล็บแห่งรัตติกาล(ตอนแรก) >>
ameerahTaec 16 ม.ค. 2555, 14:50:30 น.
นางเอกถอดสร้อยออกจากคอแล้วจะเป็นไงต่อหนอ


อสิตา 16 ม.ค. 2555, 14:56:06 น.
ถอดแป๊บเดียวก็รีบใส่กลับก่อนพรตจะเข้ามาค่ะ


Auuuu 16 ม.ค. 2555, 16:31:44 น.
ไอ๊ย่ะ ลุ้นมากอ่ะ 0.0 ต้องมีอะไรแน่ะๆเลย


Zephyr 16 ม.ค. 2555, 19:55:22 น.
เอ๊ะ อ่านมาตอนแรกๆก็เรื่อยๆค่ะ มาเริ่มลุ้นๆตอนใกล้จบอีกแล้ว เรื่องพี่มิ้งค์นี่ ชวนให้ตื่นเต้นตลอดเลยค่ะ ส่วนของพี่มูนออกหวานๆเจ้าชายในฝัน น้องมีนแนวคู่กัด แหวกแนวหมดเลยสาวๆบ้านนี้
จริงด้วยค่ะ พี่ไตรนี่ออกน้อยหน่อย แต่ย่าอมินตาสิคะ ออกมาเป็นวิญญาณกะเสียง ไม่ได้มาเป็นตัวๆเลย ยังงี้จะจ่ายค่าตัวด้วยเหรอคะ ^^


silverraindrop 17 ม.ค. 2555, 08:53:59 น.
น้องทัศเห็นอะไร แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับนางเอก โอ๊ย ... ลุ้นจนตัวโก่งเลยค่ะ


เบญจามินทร์ 17 ม.ค. 2555, 12:55:14 น.
อะไรจะมาพร้อมกับความมืดหนอ...


หมูอ้วน 17 ม.ค. 2555, 13:43:56 น.
ลุ้นทั้งน้องทัศน์ และความมึดที่กำลังจะมาเยือนค่าา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account