มายาไฟในดวงตา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ
เมื่อพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาตั้งใจจะเก็บมรดกทั้งของตนเองและน้องสาวเอาไว้
อันตรายบางอย่างกลับคืบคลานเข้ามา หญิงสาวจึงทำได้เพียงหนี !
ก่อนที่ “เขา” เจ้าของพลอยที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงจะมาทวงมันคืนไปจากเธอ
Tags: อสิตา มนตรามุกจันทรา ม่านธาราเร้นดาว พลอยตาเสือ มัชฌิตา ชามัล อัคนิวรา

ตอน: บทที่ 4 รอยเล็บแห่งรัตติกาล(ตอนแรก)

@ คุณ ameerahTaec
หุหุ ถอดสร้อยมาให้น้องทัศน์ดู แต่ก่อนพรตเข้ามา...แม้จะหน้าสิ่วหน้าขวาน
ยายมิ้งค์ก็รีบใส่กลับได้ทันค่ะ หล่อนเป็นพวกเขี้ยวลากดิน

@ คุณAuuuu
หุหุหุ อะไรที่ว่ากำลังออกมาแล้วตอนนี้.........

@ คุณ Neferretti
คนเขียนเป็นพวกชอบหย่อนระเบิดตอนใกล้จบตอนค่ะ หุหุ
พี่มิ้งค์ก็อยากจะหวานแบบน้องมูนบ้างนะ รอก่อนๆๆ ถึงเวลาต้องหวานไม่ยั้งมั่ง แต่คง
คู่กัดแข่งกับน้องมีนไม่ไหว เพราะฝ่ายชายดุมาก ไม่ยอมให้กัดแน่ๆ มีแต่จะงับเราฝ่ายเดียว
ฮ่าๆๆ ย่าอมินตามีฉากออกมาเป็นตัวๆนะคะ ยังไงก็ต้องจ่ายค่าตัวละ แต่ออกมาแบบเป็นศพ ใช้ได้ไหมเอ่ย........ “*-*’


@ คุณ silverraindrop
น้องทัศน์อาการหนัก จริงๆเกลียดขี้หน้าชามัลแต่ก็ต้องทำเพื่อพี่ชาย

@ คุณเบญจามินทร์
สิ่งที่จะมาพร้อมความมืดคือ........ปิกาจู

@ คุณหมูอ้วน
น้องทัศน์เนี่ยสำคัญกับพี่มิ้งค์น้า แต่สิ่งที่มากับความมืดสำคัญยิ่งกว่า







บทที่ ๔ รอยเล็บแห่งรัตติกาล

หลังจากมัชฌิตาคล้อยหลังไป พรตต่อสายถึงนายเหนือหัว รายงานด้วยเสียง
ติดจะสั่นเล็กน้อยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

“ตอนแรกชนะทัศน์พยายามปฏิเสธ แต่ผมบังคับให้น้องทำครับ อย่างที่เรารู้กัน
ถ้าเว้นท่านชามัลเสียคน ชนะทัศน์ยังทำไม่ได้ก็คงไม่มีใครในพวกเราทำได้อีกแล้ว
ตามที่คุยกันไว้...ต้องให้ผู้หญิงคนนั้นยอมออกปากมอบพลอยให้เขาอย่างสมัครใจ
โดยเอาเรื่องแผนที่มาหลอกล่อ ก็คิดว่าเธอคงจะยอมตามนั้นไม่ยาก
คงทำไปแล้วด้วยซ้ำถึงได้เป็นอย่างนี้ แต่ดูเหมือนน้องผมจะไม่สามารถถือ
พลอยตาเสือเม็ดนี้ได้ และขนาดเขายังทำไม่ได้ผมก็คงยิ่งไม่มีทาง”

หลังจากคุยกับคนในบัญชาของตนอยู่ครู่หนึ่งชามัลจึงวางสายลงอย่างหัวเสีย

ครั้นจะลงมือเองพลอยเวรนั่นก็เห็นเป็นเขาตัวอันตรายต่อมัชฌิตา มันอาจมาจาก
การที่เขามีพลังในทางทำลายล้างมากเกินไปจนยากจะสะกดกลั้น พลอยตาเสือ
เม็ดนั้นต่อต้านเขาเมื่อมัชฌิตารู้สึกต่อต้าน ยิ่งยามที่เขาไม่ประสงค์ดี คิดแตะต้อง
ตัวเธอโดยมิใช่ความยินยอมจากหญิงสาว พลอยยอมรับเธอในฐานะผู้ครอบครองมัน
อย่างสมบูรณ์ บ้าที่สุด ทั้งที่มันควรจะเป็นของเขาอย่างถูกต้อง แต่เนตรราชินีกลับ
ยอมรับในตัวมัชฌิตา ผู้หญิงที่แทบจะมีอะไรไม่ต่างจากคนธรรมดามากกว่าผู้ซึ่งคู่ควร
ไม่อยากเชื่อว่าเวลาเพียงไม่นานตัวเธอจะเกิดสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับเม็ดพลอย
ได้ลึกซึ้งขนาดนี้ จนมันทวีความต้องการที่จะปกป้อง ป้องกัน จนถึงยอมรับเพียงแต่เธอ
ขนาดชนะทัศน์ซึ่งมีความสามารถในการรู้ระงับจิตขั้นสูง ทั้งไม่มีพลังในทางกระหาย
ทำลายแต่อย่างใดเลยยังถูกเล่นงานเอาเจียนตายแบบนั้น จะมีใครพรากเอามันมาได้

“ทำได้แค่ป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวมัชฌิตา !! แต่ลองทางไหนก็ยังเอาพลอยกลับมาไม่ได้
เป็นอยู่แบบนี้มันน่าหงุดหงิดนัก หรือว่าสมควรแก่เวลาแล้ว...ที่จะต้องเรียก สิ่งนั้น ออกมา”

ชามัลสูดหายใจเข้าลึกลงในอกซึ่งกำลังรุ่มร้อน เขาเริ่มทำให้ห้องมืดสนิทลงยิ่งขึ้น
หับบานหน้าต่าง ปิดไฟ ในห้องมีเชิงเทียนและตะเกียงน้ำมันอยู่มากมาย ทั้งหมด
ล้วนถูกวางไว้ตรงตำแหน่งจักระอันเหมาะสมสำหรับเฉพาะยามต้องใช้ แต่ยังไม่เคย
มีครั้งใดที่ชายหนุ่มคิดจะทำเหมือนอย่างในเวลานี้

ชามัลโบกมือผ่านไส้เทียนเบาๆ ครั้งใดไฟก็ติดขึ้นมาตามมือ ชายหนุ่มเดินวนเวียน
ไปทั่วห้อง จุดเทียนและตะเกียงไล่ตามเข็มนาฬิกาไปทีละจุด มีเว้นบ้าง ก่อนจะวนผ่าน
กลับมาจุดบางเล่มซึ่งถูกเว้นไว้ทีแรก เขาไม่เดินย้อนทาง เพียงแต่ตามเข็มนาฬิกา
ไปเรื่อยๆ ตามลำดับก่อนหลังที่หลับตาดูแล้วเล็งเห็นว่าเป็นลำดับการเดินของ
กระแสพลังอันเหมาะสม

วิชาไฟของเมห์ฮราไม่ใช่ทุกคนจะเรียนได้ น้อยคนจึงจะสามารถเสกไฟออกมาจากอากาศ
ธรรมดาแล้วต้องมีวัถตุสื่อนำร่วมกับปราณธาตุจากวิญญาณของผู้ใช้เป็นส่วนหลัก แต่
สำหรับชามัล ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเขา
พลังแข็งกล้าอันหายากยิ่งแม้ในตระกูลแห่งแสงสว่าง ทำให้ชามัลเชื่อมั่นมาตลอด
ว่าเขานี่แหละเหมาะจะเป็นทายาทแห่งไฟที่แท้จริง และเพื่อการนั้น เขาจำเป็นต้องมี
พลอยตาเสือทั้งสอง เนตรราชัน และราชินี...

ชายหนุ่มไขลิ้นชักข้างเตียงอีกครั้ง หยิบพลอยตาเสือเม็ดสำคัญซึ่งกำลังส่องประกาย
วาววามน่าสะพรึงออกมาถือไว้ในมือ เลือกนั่งขัดสมาธิลงบนเตียงแทนที่จะเป็น
บนเก้าอี้อย่างที่มักทำ

พลอยสีดำเจือน้ำตาลในเนื้อนั้นเข้มลึกดุจราตรี วาวตาเสือแลบประกายออกมาจาก
ความมืดดำ ดุจดวงสุริยาทิตย์ ดาวฤกษ์อันทรงพลังแสงสว่างไม่สุดสิ้นราวกับจะ
เผาผลาญตัวเองผ่านห้วงเวลานานนับอนันต์ เพียงแต่จักรวาลที่ว่าถูกย่อส่วนลงมา
อยู่ในมือของเขา และจะต้องโลดเริงไปตามแต่ชามัล เมห์ฮรา ผู้นี้จะชักนำ

ไฟในตำแหน่งต่างๆ ทั่วทั้งห้องคล้ายมีกระแสลมเบาๆ วิ่งผ่านตามลำดับการจุดของ
ทายาทแห่งเมห์ฮรา ลมค่อยๆทวีความแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระนั้นเทียนแต่ละเล่ม
ก็มิได้ดับลง หนึ่งแรงเทียนกลับแลดูคล้ายสว่างขึ้นเป็นสิบเท่าทวีคูณ บรรยากาศ
ในห้องร้อนระอุเหมือนอยู่ในเตาไฟ แต่ชามัลไม่ได้ประหวั่นไอร้อนนั้นเลย
ตรงข้ามเขากลับรู้สึกมีกำลังวังชาและแรงจิตสูงยิ่งขึ้นตามความร้อนอันทบทวี

“ตื่น ! ...ตื่นขึ้นมา อัคนิวรา ดวงตาพระเจ้า ในนามของผู้เป็นนาย ข้าขอสั่งเจ้า
ขอเรียกเจ้าจากนิทราขึ้นมารับใช้ผู้ถือครองพลอยพญาเนตรราชันนี้ จงลืมตา !! ”

พลอยในกำมือของชามัลร้อนวาบ แต่เป็นความร้อนที่เขาสามารถทนได้ เนื่องด้วย
พลอยเม็ดนี้ได้เชื่อมโยงกับเขาโดยทางเลือดแล้ว ความร้อนทั้งสองสายประสาน
เป็นหนึ่งเดียว ถึงกระนั้นชามัลก็เริ่มรู้สึกรุ่มร้อนขึ้นมา เป็นความร้อนคล้ายกันกับที่
พลอยราชินีสะท้อนใส่เขา นอกจากสองสิ่งนี้แล้วยังไม่เคยมีความร้อนใดกล้ำกราย
ผู้สามารถอยู่เหนือมันอย่างเขาได้เลย

พลอยในมือสั่นไหวราวกับกำลังปริแยก หลายคนเคยตั้งจิตขอยืมพลังจากพลอย
เนตรราชันยามเมื่อมันยังประทับอยู่บนเนตรข้างขวาของเหรียญพระอาทิตย์ซึ่ง
กระจายอำนาจสู่เมห์ฮรา บ้างก็สำเร็จ บ้างก็ไร้การตอบรับจากพลอย
แต่ไม่มีผู้ใดในตระกูลล่วงรู้ความลับซึ่งซ่อนอยู่ และเพราะสิ่งนั้นเองที่ทำให้
พลอยราชันทรงพลังสูงกว่าพลอยราชินีจนได้ชื่อว่าเป็นพลอยพญา
เหนืออัญมณีมีอำนาจใดๆ

ปากชามัลพร่ำบ่นถ้อยคำโบราณราวกับสายน้ำหลั่งไหล เขาเริ่มสั่นไปทั้งตัว
เหงื่อผุดพรายเมื่อรับรู้ว่ากระแสพลังในพลอยนี้ช่างมหาศาล มากมายเกินกว่า
ที่มนุษย์ธรรมดาจะรับได้ หากมิได้รวมเป็นหนึ่งกับพลอยแล้วตนคงไม่อาจ
ต้านทานพลังของมันได้เลย
ความร้อนที่ชามัลเค้นคั้นส่งไปสู่พลอยแทบจะเป็นไฟกรด ทะลุทะลวงเข้าไป
จุดปะทุเชื้อไฟข้างในให้ติดวาบขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อติดแล้วก็ยิ่งทวี
ความโชนฉาน ระเบิดเป็นลูกโซ่ต่อๆ กัน ชายผู้เป็นทายาทแห่งไฟเริ่มได้ยินเสียง
ของบางอย่าง เสียงคำรามต่ำลึกที่ทำเอาเขาขนลุกไปทั้งร่าง แต่จะแสดงความ
หวาดหวั่นออกมามิได้เป็นอันขาด ไม่ว่าสิ่งนี้จะทรงพลังอันมหาศาลสักเพียงไหน
เขาจะต้องกดมันไว้ใต้ฝ่าเท้าให้ได้ มันจะต้องมาเป็นพลังรับใช้เขาแต่เพียงผู้เดียว

กระแสลมเฮือกสุดท้ายหมุนวนผ่านจุดแห่งแสงในห้อง แต่คราวนี้ไฟดับพรึ่บพรั่บ
ลงตามกัน คล้ายลมนั้นดึงดูดแสงทั้งหมดวูบหายเข้าสู่อุ้งมือของชามัล เมห์ฮรา
ที่กุมกำหินล้ำค่าแห่งผืนปฐพีเอาไว้
ความมืดและเงียบตลอดชั่วเสี้ยววินาทีนั้นราวกับความเงียบก่อนที่จักรวาลจะก่อกำเนิด
ระเบิดออกเป็นระบบสุริยะ...........

ฉับพลัน แสงปะทุฉายฉานทะลุทะลวงออกรอบทิศ ชามัลยังต้องหลับตาด้วยมิอาจ
ทนแรงแห่งแสงนั้นได้ ไม่น่าเชื่อว่าแสงอภิมหาศาลจะมีแหล่งกำเนิดจากพลอยตาเสือ
เม็ดเดียวในมือเขา ชายหนุ่มได้กลิ่นเหม็นไหม้จากมือที่กำลังลุกเป็นไฟ กระนั้นเขา
ก็ยังฝืนยื้อพลังเข้าต้านทานไม่ยอมปล่อย ผู้ไม่เคยระย่อต่อสิ่งใดถึงกับหายใจกระชั้น
หอบถี่ แทบกลั้นใจระหว่างที่รอให้แสงในมือตนนั้นราลง ราลง...

ร่างหนึ่งค้อมคู้หอบหายใจอยู่ต่อหน้าเขา ร่างนั้นมีผิวเนื้อเป็นสีทองอาบแดงปลั่ง
ประหนึ่งทองแดงอันสุกร้อนด้วยฤทธิ์เพลิง แผ่นหลังเปล่าเปลือยตราด้วยเส้นริ้ว
ลายสะบัดดั่งเสือโคร่ง ดุจลายมารอันจารจากพู่แห่งจิตรกรเอก เสียงคำรามแหบต่ำ
ของผู้ทุกข์ทนทรมาดังออกมากับทุกลมหายใจ ตั้งแต่สะโพกลงไปพันกระหวัด
ด้วยผ้านุ่งผืนยาวเสมอข้อเท้าที่แหวกออกตรงกลาง ชายทั้งขาดเป็นริ้วเลอะรอย
เก่าคร่ำคร่าแต่ยังคงไม่ทิ้งสีแสดแดงดุจครั่งย้อม

“สบตาข้า สมิงพญาอัคนิวรา... ข้าชามัล เมห์ฮรา นายของเจ้า จงจดจำดวงตา
และน้ำเสียงของข้าไว้ให้จงดี”

ตาเรียวคมกริบบนดวงหน้าที่เงยจากอาการก้มขึ้นมองผู้เป็นนายซึ่งตนเพิ่งรู้จัก
นั้นหรี่เล็กน้อย คล้ายกับยังลืมขึ้นไม่เต็มที่ กระนั้นก็ไม่อาจซ่อนแววดุจพยัคฆ์ร้าย
ในดวงตาดำจุดด้วยสีของไฟไม่ต่างจากพลอยตาเสือ ผมตรงยาวดำขลับ
เสยเปิดหน้าผากโดยตลอดแต่เงาของเส้นผมนั้นเหลือบส้มทองเลื่อมพราย
ที่โผล่พ้นริมฝีปากบนลงมาน้อยๆ คือปลายเขี้ยวขาวน่าสะพรึง

“ท่าน ชามัล คือ...นายของข้า” เสียงแหบต่ำคล้ายครางตอบอยู่ในคอ
จากนั้น ผู้พูดนิ่วหน้า ก้มมองแขนเกร็งของตนซึ่งประดับด้วยข้อแขนทองคำ
สลักลายโบราณ เมื่อข้อนิ้วเกร็ง กรงเล็บซึ่งค่อยๆ งอกยาวแหลมคมออกมา
แลดูน่าฉงนไม่เว้นแม้แต่กับเจ้าตัว “ข้ารู้สึก ไม่มีแรงเลย...” อัคนิวราพึมพำ

“อาจเพราะเพิ่งตื่นจากการหลับใหล” ขนาดไม่มีแรง เจ้านี่ยังทำเขาแทบแย่...
“ไม่มีแรงของเจ้าน่ะมันขนาดไหน แค่นี้เจ้าก็เป็นตัวอันตราย
อย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว เชื่อเถอะ”

“ข้าเชื่อท่าน ฟังท่าน” อัคนิวราคำราม ดวงตาทรงอำนาจหรี่ปรือลงราวกับ
ถูกสะกดด้วยมนตรา “แต่ข้า สับสนไปหมด จำได้แต่เพียงนามของตนเอง
นามหลายนามของคนอื่นๆ ข้ายังนึกไม่ออก เห็นเพียงดวงหน้าที่ลอยผ่านมา
กับความทรงจำว่างเปล่า บอกข้าได้หรือไม่ ข้าเคยเป็นมาเช่นไร ก่อนจะมารับใช้ท่าน...”

“ไม่ต้องถามให้มากเรื่อง !! ” ชามัลพูดด้วยน้ำเสียงซึ่งเริ่มโกรธกรุ่นเมื่อสมิงพราย
สบตาเขาอย่างคลางแคลง จุดไฟในเนตรสีนิลขยายขึ้นจนคล้ายเพลิงที่กำลังคุติด
ถ่านไม้สีดำ “ทำตามข้าสั่งก็พอ พรายพญา อัคนิวรา ! สมิงผู้สิงสู่ในพลอยตาเสือ
เนตรราชัน ข้าขอสั่งให้เจ้าลงมือแทนตัวข้า...จงไปหาสตรีนาม มัชฌิตา
สะบั้นสายใยระหว่างเม็ดพลอยกับนางผู้นั้นเสีย แต่จงระวัง อย่าให้หยาดโลหิต
ของนางแม้เพียงเรณูกระเซ็นต้องพลอยดวงเนตรราชินีแห่งเราเป็นอันขาด...

ไป ! อัคนิวรา” ...



มัชฌิตารีบร้อนเข้าไปยังห้องของชนะทัศน์ที่ถูกเปิดอ้าไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน
เห็นสำเนาแผนที่ซึ่งเธอเองวางทิ้งเอาไว้ หญิงสาวเก็บมันเข้ากระเป๋าสะพายเฉียงไหล่คู่ใจ
รวมถึงสมุดซึ่งเด็กหนุ่มขีดเขียนอะไรไว้เต็มระหว่างดูแผนที่ เพราะเปิดดูพบว่าเป็น
สมุดเปล่าเพิ่งถูกใช้เพียงหน้ากลางหญิงสาวจึงถือวิสาสะหยิบมันมาด้วย แต่นั่นไม่ใช่
จุดประสงค์ที่เธอกลับมาเสียทีเดียวนัก

ที่กลับมาก็เพราะนึกถึงการเตือนของพลอยตาเสือเมื่อกลางวันนี้ต่างหาก...

แม้จะไว้ใจในตัวชนะทัศน์ค่อนข้างมาก ด้วยแววตากร้าวแต่จริงใจนั้นสามารถบ่งบอกได้
แต่ในเวลานี้ กับพรต เธอเกิดความไม่มั่นใจในตัวเขาขึ้นมามากมาย หลังจากเกิดเรื่อง
กับน้อง ผู้เป็นพี่ชายหลบตามัชฌิตาเกือบตลอดเวลา ทั้งที่ก่อนหน้านี้พรตสุภาพ แนบเนียน
แต่ความกังวลใจและความรู้สึกผิดเรื่องน้องกลับทำให้ชายหนุ่มแลดูแปลกออกไป คล้ายกับ
เขาคิดว่าไม่น่าพามัชฌิตามาพบน้องชายของตนเองเลย และถ้าเป็นเช่นนั้นแปลว่าพรต
อาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับพลอยตาเสือ รู้กระทั่งว่าชนะทัศน์อาจไม่ปลอดภัยเมื่อต้องเข้ามา
พัวพันกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังทำ

หญิงสาวกวาดตาไปรอบๆ ห้อง หนังสือหรือข้าวของอย่างอื่นในห้องนี้มีแต่เป็นภาษา
ต่างประเทศที่มองแล้วเดาแทบไม่ได้ว่าเป็นภาษาอะไรเรียงรายอยู่บนชั้น แต่ละเล่ม
หนาจนยกไปด้วยไม่ไหว มัชฌิตาตัดใจ เธอมุ่งลงไปชั้นล่าง ยังประตูห้องซึ่งคาดว่า
น่าจะเป็นทำงานของพรตที่เมื่อกลางวันเธอไม่สามารถเปิดเข้าไปแม้จะได้รับสัญญาณ
เตือนจากพลอย ...แล้วก็เป็นอย่างคาด ประตูไม่ได้ล็อก เป็นเพราะเขารีบร้อนตอนที่
ชนะทัศน์เกิดชักขึ้นมากะทันหัน

หญิงสาวกวาดมือควานเปะปะไปบนกองเอกสารบนโต๊ะ พยายามทรงสมาธิเพื่อรับรู้
ถึงอะไรบางอย่างที่แปลกปลอม เธอใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็
เจอซองสีน้ำตาลซึ่งมีรังสีน่าสงสัยแผ่ออกมา

มัชฌิตาหยิบกระดาษในนั้นออกมาอ่าน เป็นเอกสารจัดการเรื่องที่ดินอย่างปกติธรรมดา
ของต่างประเทศ เธอไล่สายตาเรื่อยไปจนพบชื่อหนึ่งซึ่งกระทบความรู้สึกเข้าอย่างจัง

ศานติมัน เมห์ฮรา...

ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่นามสกุลนั้น ไม่มีทางที่เธอจะลืมได้เลย ว่าแล้วว่าพรต
ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับชามัลมากกว่าที่แน่ๆ นี่เองสิ่งที่พลอยพยายามเตือนเธอ
หญิงสาวถอนหายใจหนักๆ

มัชฌิตาไม่มีเวลาพะวงกับสิ่งที่เหลืออยู่ห้องทำงานของพรตมากนักในเวลานี้
เธอรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าพลอยตาเสือกำลังเต้นด้วยความร้อนเป็นจังหวะ
คล้ายสุ้มเสียงแห่งการเต้นของหัวใจ ดัง ตึกตึก ตึกตึก แต่นั่นไม่ใช่หัวใจของเธอ
เป็นเสียงของบางสิ่งซึ่งกำลังใกล้เข้ามา หญิงสาวตัวสั่นเยือกขึ้น รู้สึกหนาว
สลับร้อนรุ่มในเวลาเดียวกัน กระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก


“ขอโทษที่ให้รอนะคะลุงไผ่” มัชฌิตาก้าวขึ้นรถทันทีโดยไม่ให้เสียเวลาเพราะลม
พัดอู้มาแรงยิ่งกว่าก่อนที่เธอจะเข้าไปเอาของในบ้านพรตเสียอีก

ลุงไผ่เงียบมากจนผิดไปเป็นคนละคน ความช่างพูดช่างจาแลดูจะหายไปหมด
แต่ก็ยังไม่วางส่งเสียงฮึดฮัดเมื่อรถโขยกเขยกตกลงในหลุมบ่อ ทำให้เคลื่อนที่
ไปข้างหน้าได้เร็วไม่ทันใจ

“ทำไมคุณพรตเขาไม่คิดจะซ่อมทางเข้าบ้านให้มันดีๆ บ้างรึยังไงคะลุง
หรือเป็นเพราะถนนเส้นนี้มันยาวเกินไป”

“คงงั้นมั้งครับ ก็แกนานๆ มาที” ลุงไผ่ตอบอย่างประหยัดถ้อยคำ

อากาศเย็นลงอีกจนมัชฌิตาคิดว่าเธอน่าจะเอาเสื้ออุ่นๆ มาด้วย หญิงสาว
หยิบโทรศัพท์ออกมา ตั้งใจจะโทรหาพรตเพื่อถามอาการของชนะทัศน์ กลับ
พบว่าไม่มีสัญญาณโทรออก เธอไม่ควรเข้าใกล้เขาอีก แต่การโทรไปถามอาการ
คนเจ็บมันก็อีกเรื่อง ถึงแม้วันนี้จะได้เบาะแสสำคัญแต่บางทีมัชฌิตาก็คิดวูบๆ
ขึ้นมาว่าตนเองไม่ควรมาที่นี่เลย ไม่เช่นนั้นชนะทัศน์ก็คงยังสบายดีอยู่ที่บ้าน
แล้วอีกอย่างไอ้บรรยากาศชวนขนหัวลุกที่กำลังโรยตัวลงมาเรื่อยๆ
ทั้งลุงไผ่ซึ่งเงียบสนิทจนกลายเป็นคนแปลกหน้าอย่างสมบูรณ์สำหรับเธอ

เสียงพุ่มไม้ข้างทางไหวแสกสากเหมือนมีการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง
มัชฌิตาหันขวับไปมอง เหงื่อผุดพรายทั้งที่ยังรู้สึกหนาวสันหลังวูบวาบ

“อะไรน่ะคะลุงไผ่ ลุงได้ยินหรือเปล่า”

“เสียงลมกระมังครับคุณ” ลุงไผ่ยังคงมองไปข้างหน้า แต่ดูจากน้ำเสียงก็พอรู้
ว่าลุงอยากไปให้พ้นถนนเส้นนี้เต็มแก่แล้วเหมือนกัน

“ไม่ใช่แน่ค่ะ หนูเห็นอะไรยวบยาบในพุ่มไม้ด้วย” มัชฌิตาพยายามกลืนน้ำลาย
ลงคอซึ่งเริ่มแห้งผาก รถคันนี้ไม่มีประตู ไม่มีกระทั่งหลังคา เพียงโครงเหล็ก
คงไม่สามารถกำบังอันตรายอะไรได้

“เหมือนพายุกำลังจะมาเลย” ลุงไผ่ว่า พลางเร่งความเร็วขึ้น ทางเป็นหลุมเป็นบ่อ
ทำให้รถวิ่งได้ไม่เร็วดั่งใจ เสาไฟแต่ละต้นที่ตั้งอยู่ห่างๆ กันออกไปหรี่แสง กะพริบ
วูบสองสามทีก่อนจะดับมืดลง

“ฉิบหาย...” ลุงไผ่สบถลอดไรฟัน

ยังไม่ทันหายตกใจที่ไฟทางดับ เงาดำของตัวอะไรบางอย่างก็โฉบผ่านหน้ารถไป
ในระยะประชั้นชิด แต่ที่น่าตกใจคือ ร่างมหึมาโจนลอยสูงยิ่งกว่ากระจกรถ
ลุงไผ่ร้องลั่น หักหลบวูบ รถจี๊ปทหารเสียหลักพุ่งลงข้างทางทันที

“โอ๊ย ! ” มัชฌิตาหัวคะมำไปกระแทกกรอบกระจกหน้า แม้จะไม่เต็มที่นักเพราะอาศัย
มือยันไว้หญิงสาวก็ยังต้องสูดปาก แต่ความเจ็บยังไม่เท่ากับความตกใจ เงาซึ่งโดด
ตัดหน้ารถนั้นมีขนาดใหญ่โตยิ่ง และถ้ามองไม่ผิด จากลวดลายนั้นมันคือเงาของเสือ...
ถ้ารวมความยาวจากหัวจนจรดหาง น่าจะไม่ต่ำกว่าสามเมตร กับรถที่ไม่มีประตูเช่นนี้
ถ้ามันพุ่งเข้ามาจู่โจมเธอและลุงไผ่จะทำยังไง ทั้งที่ปกติสัตว์ป่าไม่น่าเข้าใกล้มนุษย์
เกินจำเป็น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะอธิบายอย่างไร

หญิงสาวร้องถามร้อนรนเมื่อหันไปทางด้านคนขับ “ลุงไผ่ เป็นยังไงบ้าง... ...”
พูดยังไม่ทันจบภาพที่เห็นก็ทำให้เสียงที่เหลือไม่อาจลอดพ้นลำคอไปได้ ลุงไผ่หายไป
ที่นั่งคนขับว่างเปล่า จี๊ปคันนี้หลังคาเป็นเพียงโครงเหล็ก และมัชฌิตาก็เห็นความ
เคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง เลือดหยดหนึ่งแหมะลงมาบนที่นั่งอันว่างเปล่า ตามด้วย
หยดที่สอง เธอค่อยๆ เงยขึ้นมองตามอย่างช้าๆ แทบกรีดร้องออกมากับภาพเบื้องบน

ร่างของลุงไผ่พาดอยู่กับกิ่งของต้นไม้เหนือหัวด้วยสภาพเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่ง
ลุงอาจไม่ได้สติ แต่ที่มัชฌิตากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือลุงคงหาชีวิตไม่แล้วด้วยซ้ำ !!!

กึงงงง ! ...

รถจี๊ปทหารผุๆ สะเทือนโยกไปทั้งคันเมื่ออะไรบางอย่างทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มแรง
บนโครงเหล็กช่วงหลัง มัชฌิตาสัมผัสได้ถึงไอร้อนของสิ่งมีชีวิตทรงพลังแลบเลีย
ต้นคอของเธอ รู้สึกราวลมวูบหวิวรอบตัวคล้ายจะหยุดนิ่งลงทั้งที่ความจริงมัน
ยังพัดต่อไปตามครรลอง ที่ใกล้จะหยุดจริงๆ น่าจะเป็นหัวใจของเธอมากกว่า

หญิงสาวกึ่งเงยแหงนกึ่งเอี้ยวตัวกลับไปดู แล้วก็ต้องชาวาบจรดปลายเท้า
เสือตัวนั้นผงาดเงื้อมอยู่บนโครงเหล็ก นัยน์ตาวาวโรจน์ดุจถ่านไฟร้อนจากนรกานต์
เสียงครามต่ำๆ ทำให้เธอแทบไม่กล้าขยับตัว ลมหายใจของมันร้อนราวเพลิงเป่ารดลงมา
แปลกที่แม้จะอยู่ใกล้ขนาดนี้กลับไม่มีกลิ่นสาบสัตว์ แต่กับเสือที่มีดวงตาลุกไหม้
ราวไฟเช่นนี้ มันคงจะไม่ใช่เสือธรรมดาเป็นแน่ !!!



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ม.ค. 2555, 13:03:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ม.ค. 2555, 13:03:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 2424





<< บทที่ 3 มือที่ช่วยนำทาง(ต่อถึงจบบท)   บทที่ 4 รอยเล็บแห่งรัตติกาล (ต่อ...) >>
ameerahTaec 19 ม.ค. 2555, 13:43:32 น.
ลุ้นตื่นเต้นแทนมิ้งค์ จะเป็นไงต่อไปหนอ


หมูอ้วน 19 ม.ค. 2555, 15:52:48 น.
นายชามัลน่ากลัวมาก ๆ เลยค่ะ ลุ้นตอนต่อไปค่ะ


Zephyr 19 ม.ค. 2555, 17:09:36 น.
เสียใจด้วยนะ ตาชามัล พี่มิ้งค์สังเวยเลือดให้พลอยไปนานแระ(ว่าแล้วเชียวที่พลอยปกป้องพี่มิ้งค์จัง เพราะไอ้การดื่มเลือดโดยบังเอิญครั้งนั้นแน่ๆ)
นายช้าไปหลายก้าวทีเดียวแหละ ขี้โกงได้อีกมีเรียกตัวช่วยด้วย ชื่อเพราะจังค่ะ อัคนิวรา ดูแล้วยังงงๆเบลอๆไงไม่รู้ เหมือนตื่นมาแล้วเมาขี้ตาเลย
พี่มิ้งค์เรียกมั่งดิ ในพลอยพี่มิ้งค์ต้องมีแฟนของอัคนิวราแน่ๆเลยอ่ะ (เริ่มเดามั่ว หึหึ แต่ว่าอยากให้มีจริงๆจังเลย ^^)
ชามัลเอ้ย ยังนิสัยเสียไม่เปลี่ยน กลายเป็นตาลุงขี้หงุดหงิดได้ตลอดๆๆ โวยวายได้อีก สมิงน้อยอัคนิวรากลัวหัวหดหมดแล้ว ระวังเถอะ ปกครองด้วยพระเดชมันไม่ยืดนะ เกิดสมิงตัวนี้ไปสวามิภักดิ์เนตรราชินีแทน เนตรราชาจะลำบากนา


อสิตา 19 ม.ค. 2555, 20:14:13 น.
อัคนิวราไม่กลัวชามัล แต่ต้องทำตามเท่านั้นเอง อิอิ


เบญจามินทร์ 19 ม.ค. 2555, 21:29:39 น.
ไม่ใช่เสือธรรมดาแล้วเป็นเสืออะไรหนอ น่ากลัวนะเนี่ย


Auuuu 19 ม.ค. 2555, 23:14:15 น.
ไอ๊ย่ะะะะะ ลุ้นสุดใจขาดดิ้น


silverraindrop 20 ม.ค. 2555, 09:57:06 น.
อ๊ายยย ชามัลนิสัยแย่ ทำอย่างงี้ได้ไงคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account