มายาไฟในดวงตา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ
เมื่อพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาตั้งใจจะเก็บมรดกทั้งของตนเองและน้องสาวเอาไว้
อันตรายบางอย่างกลับคืบคลานเข้ามา หญิงสาวจึงทำได้เพียงหนี !
ก่อนที่ “เขา” เจ้าของพลอยที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงจะมาทวงมันคืนไปจากเธอ
Tags: อสิตา มนตรามุกจันทรา ม่านธาราเร้นดาว พลอยตาเสือ มัชฌิตา ชามัล อัคนิวรา

ตอน: บทที่ 4 รอยเล็บแห่งรัตติกาล (จบบท)

@ คุณAuuuu
อัคนิวรารู้จักอมินตาในฐานะอะไรน้า หุหุ
(ป.ล. ขอบคุณนะคะ...ที่แวะมาคุยเป็นเพื่อนในกระทู้ก่อน *0* Auuuu นี่อ่านอุ๊ หรือว่าอะไรคะ)

@ คุณ Neferretti
พี่มิ้งค์หลับสบายเลย
กว่าจะจบเรื่องคงได้สลบอีกหลายที เจ็บจริง แสดงจริง ...รับค่าตัวเพียบ
แต่ได้เข้าฉากกับหนุ่มหล่อสองคนแบบนี้พี่มิ้งค์สู้ตายฮ่ะ ^-^v
ย่าอมินตาก็ต้องเป็นแฟนกับปู่ของหลานๆสิจ๊ะ
แต่ก่อนหน้านั้นอาจมีซัมติงวรองอะไรกับใครยังไง ไม่รู้... ไม่บอก...
อย่างน้อยอัคนิวราก็เป็นคนตรงกว่าชามัลนะคะ (แค่โหดกว่า^^’ )

@ คุณ SunSeed
หายไปตอนนึงนะคะ แต่ดีใจที่ตามมาเก็บสแปร์ได้ทัน เรื่องช่วงนี้กำลังเข้มข้น หุหุ
อัคนิวราได้ยินชื่อย่าแล้วก็ต้องหยุดคิดนิดนึงละ แต่จะทำยังไงเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที

@ คุณหมูอ้วน
^>.<^ ตอนนี้อารมณ์ลุ้นน่าจะลดลงค่ะ แต่มีอารมณ์อื่นเข้ามาแทน อร๊าวววววว

@ คุณบุลินทร
ขยันเข้าน้องมีน แล้วสักวันเราสามพี่น้องจะได้ดี

@ คุณ silverraindrop
โฉมงามกับอสูรร้าย ครึ่งเสือครึ่งคน …ฮีลืมย่าไปแล้ว ตอนนี้ขอเอี่ยวกับหลานสาวคนสวยก่อนละกัน^^

@ คุณ ameerahTaec
มาลุ้นกันต่อค่ะ ตอนนี้ชามัลต้องรีบกลับมาก่อนที่สาวๆ จะปันใจไปทางอัคนิวรา
แต่กลับมาทำแบบนี้ไม่รู้ว่าคะแนนจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงกันแน่...


เธอฟุบอยู่ตรงนั้น กับพื้นหินเย็นเยียบ นัยน์ตาปิดสนิท สติสะลึมสะลือ
ยังคล้ายรับรู้ถึงความหนาวเย็นบาดกระดูกจวบความมืดจางหาย
หยาดน้ำค้างฉ่ำแห่งพงไพรแห้งเหือดไปด้วยความร้อนของแสงสุรีย์ที่แผดเผา
จนมันระเหิดระเหยหายกลับขึ้นไปบนฟากฟ้า

เจ็บร้าวล้าไปทั้งร่าง โดยเฉพาะคอและไหล่ที่ปวดหนึบจนไม่อยากขยับกาย
จนกระทั่งรู้สึกถึงแรงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง มัชฌิตาจึงค่อยๆ
ขยับตัว หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างยากลำบาก กดรับสาย

“สวัสดีครับ คุณมัชฌิตา นี่ผมพรตนะฮะ...จะบอกว่าเจ้าทัศน์น้องผมดีขึ้น
มากแล้ว อ้อ เมื่อคืนผมโทรหาคุณตั้งหลายครั้ง แต่ไม่มีสัญญาณเลยโทรไม่ติด
คุณกลับถึงที่พักปลอดภัยดีไหมครับ

หญิงสาวเงียบ
เมื่อนึกถึงภาพร่างของลุงไผ่เธอก็ยิ่งลำคอตีบตันลงอีกจนปวดร้าวในคอ
“คุณพรต เมื่อคืน...เกิดเรื่อง”



มัชฌิตาอยากร้องไห้ แต่เธอก็ไม่มีแรงจะร้องออกไป เมื่อพรตและ
พวกตำรวจมาถึงที่นั่นก็พอดีกับที่เธอเซซังกลับไปถึงซากรถ ไม่มีใคร
พบร่างของลุงไผ่ที่เมื่อคืนยังแขวนต่องแต่งอยู่บนต้นไม้ ลุงหายไป
อย่างลึกลับ แต่ผู้เชี่ยวชาญที่ถูกพามาดูร่องรอยก็พบรอยเท้าของ
เสือใหญ่อย่างที่ไม่เคยเจอมาเพ่นพ่านนานมากแล้ว

“รอยมันใหญ่ไม่น่าเชื่อเลยนะครับคุณ ดีที่คุณรอดมาได้ เราเจอรอยเลือด
ของลุงไผ่แค่ที่รถ เหมือนว่าแกกระแทกกับพวงมาลัยมากกว่า นอกนั้น
ก็คงต้องบอกว่าแกหายตัวไปอย่างลึกลับ พอๆ กับรอยเสือ ที่เราไม่รู้ว่า
มาจากทางไหน แล้วก็รอยมันหายไปทางไหนอีกเหมือนกัน”

“รอยเท้ามันไม่ได้หายไปหรอก” ชายชราในชุดชาวบ้านที่มากับตำรวจเอ่ยขึ้น
ไม่ดังนัก “รอยเสือ มันกลายเป็นรอยเท้าคน หายลับเข้าไปในป่า ก็แค่นั้น”

คำพูดของชายชราที่แลดูว่าเป็นพวกเจนไพรซึ่งมาช่วยแกะรอยเป็นกรณีพิเศษ
นั้นทำเอามัชฌิตาขนลุกเกรียว เธอทราบความจริงข้อนั้นดี แต่ไม่คิดจะบอก
ใครออกไป เรื่องที่ว่าเสือกลายเป็นคน เพราะจากที่เจอมาเมื่อคืน เธอไม่คิดว่า
คนพวกนี้จะช่วยอะไรได้ รวมทั้งชีวิตของลุงไผ่ก็ไม่อาจกู้กลับมาเช่นกัน

พรตอาสาไปส่งมัชฌิตาที่ปากช่องเพราะน้องชายเขาอาการทรงตัวในขั้นที่
ไม่น่าเป็นห่วงอะไรมากมายแล้ว ชายหนุ่มดูอึ้งและขรึมลงไปเพราะเรื่องที่
เกิดขึ้นกับมัชฌิตา เหมือนเขาจะเชื่อตามหญิงสาว ที่เธอว่าลุงไผ่ได้
เสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของเสือประหลาดตัวนั้น

“ลุงแกเป็นคนไม่มีพิษมีภัย น่าสงสารนะครับ” พรตพูดเรียบๆ “แต่ผมก็คง
ต้องบอกเมียลุงอย่างที่พวกตำรวจบอก ว่าเรากำลังตามหาตัวแกอยู่
ไม่มีอะไรยืนยันว่าลุงตายแล้ว พอๆ กับที่ไม่มีอะไรยืนยันว่ายังอยู่”

เมื่อส่งมัชฌิตาถึงที่พักพรตก็ขอตัวกลับไปแทบจะในทันทีซึ่งก็เข้าใจ
ได้ว่าเขายังมีธุระวุ่นวายอีกมาก ทั้งเรื่องน้องชายและเรื่องของลุงไผ่
มัชฌิตานั้นรู้สึกผิดมากมาย แต่จะปริปากบอกใครเรื่องที่เธอเห็นและ
พบเจอมาทั้งหมดก็ไม่ได้ คงจะมีแต่คนหาว่าเสียสติมากกว่าเชื่อคำพูดของเธอ

พออยู่ตามลำพัง หญิงสาวคว้าผ้าเช็ดตัวก้าวเข้าไปในห้องน้ำ ค่อยๆ
ปลดกระดุมเสื้อนอกเม็ดบนสุดออกอย่างช้าๆ หน้ากระจก รอยเขียว
จนออกม่วงช้ำบนลำคอเห็นชัดเป็นนิ้วมือทั้งห้านิ้ว ก่อนพบปะ
พวกตำรวจที่มาดูสถานการณ์มัชฌิตาเตรียมกลัดกระดุมและดึงคอเสื้อ
ขึ้นมาสูงเพื่อปกปิดร่องรอยและเสื้อยืดตัวในที่ถูกกรงเล็บกรีดตัดจนขาด

ดีที่ทรงเสื้อนอกซึ่งเธอใส่ออกไปเมื่อวานช่วยเอื้อต่อการทำเช่นนั้น
อยู่แล้วจึงไม่มีใครติดใจสงสัย เพียงทราบว่ามัชฌิตาวิ่งหนีเสือเข้าป่า
ไปแล้วไม่กล้าออกมาก็เท่านั้น ครั้นจะโทรหาใครโทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ
จนมาตอนเช้าจึงติดต่อกับพรตได้

หลังจากอาบน้ำ มัชฌิตากินยาแก้ปวดอีกครั้ง คิดว่าอาจจะต้องไปหา
อะไรมาแก้ช้ำในหรือทารอยที่คอด้วย เจ้าสัตว์ร้ายตนนั้นคงไม่มีความ
ปรานีกับใครเลย มัชฌิตารู้สึกคล้ายว่าอีกฝ่ายไม่อาจเอาพลอยไปได้
แม้ดูจะไม่เจ็บปวดกับการแตะต้องมันเหมือนอย่างชนะทัศน์ แล้วทำไม
ถึงไม่ฆ่าเธอเพื่อเอาพลอยไป นั่นก็สุดรู้อีกเช่นกัน

มัชฌิตาส่ายหน้ากับตนเอง ตั้งแต่มานี่เธอหมดสติไปแล้วสามครั้ง
เมาหนึ่ง ล้มหัวฟาดหนึ่ง ล่าสุดนี่ถูกบีบคอจนสลบกันเลยทีเดียว
“ท่าจะอายุไม่ยืนเสียแล้วยายมิ้งค์เอ๋ย พินัยกรรมอะไรก็ยังไม่ได้
ทำไว้เสียด้วยสิ”
หญิงสาวบ่นกับตนเองขำๆ ในเวลาแบบนี้เธอไม่รู้จะช่วยตัวเอง
ได้ยังไงเมื่อสิ่งที่ต้องเผชิญเกินกำลังของคนธรรมดาไปมากมายนัก
แต่ครั้นจะหาใครมาช่วยก็ไม่ได้ ไปบอกใครเขาก็คงไม่เชื่อ

ก่อนหลับลงมัชฌิตาหวนคิดถึงใบหน้าของชามัลขึ้นมาอีกครั้ง
เธอชอบเขาจริงๆ นั่นแหละ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังอยากเจอ ถ้าชามัล
รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเขาจะว่ายังไง จะช่วยเธอไหม แต่ไม่ว่าใครที่อยู่รอบตัว
ในเวลานี้ก็อาจเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมดได้ ทั้งที่ใกล้จะตายอยู่แล้ว
เธอก็ยังไว้ใจใครไม่ได้เลย บางทีถ้ายอมเสี่ยงกับใครสักคนและขอให้ช่วย
เธออาจไม่ต้องตายก็ได้ เมื่อคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วก็ไม่ควร
ต้องมานั่งคอยระแวงอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่หรือไง...

ฝันเมื่อตอนเด็กซึ่งหลงลืมไปนานแสนนานแล้วเริ่มต้นขึ้น จากความมืด
จุดแห่งอัคคีอ่อนไหวค่อยๆ ลุกเรือง มันทวีความแรงขึ้น สูงขึ้นๆ
กลายเป็นไฟกองใหญ่ มัชฌิตาร้อนจนแทบบ้า อากาศรอบกาย
แตกปะทุราวกับเธอกำลังถูกเผาในกองไฟมหึมาเบื้องหน้า
เงาร่างหนึ่งได้ก้าวออกมา ดวงตาที่จับจ้องมายังเธอเรืองแสงสว่างโรจน์

ตาของชายคนนั้น...เสือตัวนั้น !!!


มัชฌิตาสะดุ้ง ลืมตาตื่น เหงื่อไหลโซมกายจนน่ากลัวว่าจะต้องอาบน้ำ
อีกรอบ ใช่แล้ว... แววตานั่นเธอเคยเห็นมาก่อนในฝันเมื่อยังเยาว์
ผ่านมาเนิ่นนานจนแทบหลงลืมไป รู้สึกวูบไหวขึ้นมาเมื่อสัมผัส
พลอยตาเสือครั้งแรก แล้วเธอก็ได้พบจริงๆ เจ้าของดวงตาคู่นั้น
ต้องการอะไรจากเธอกันแน่ เพียงแค่เอาพลอยเม็ดนี้กลับคืนไป
หรือไม่ใช่เพียงเท่านั้น

วันต่อมาหญิงสาวใช้เวลานั่งพินิจดูในสมุดที่ชนะทัศน์ขีดเขียนเอาไว้
ลายมือของเขาอ่านออกยากดูแทบไม่รู้ว่าเขียนอะไรเอาไว้ แต่ขาดก็
เพียงตำแหน่งท้ายๆ จากจุดสำคัญที่เด็กหนุ่มได้ทำสัญลักษณ์เทียบไว้
แปลว่าเขารู้ความหมายของสิ่งที่เขียนลงมานี่จนปะติดปะต่อได้แล้ว
หรือว่าไม่ใช่

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มัชฌิตากดรับสาย
“สวัสดีไตร”

“มีข่าวที่ไม่ค่อยจะคืบหน้ามาบอก เรื่องภาษาน่ะยังตีความไม่ได้
แต่เรื่องแผนที่ พอจะบอกอะไรได้บ้างแล้ว”

มัชฌิตาเงี่ยหูฟัง มือเตรียมจดในขณะที่เพื่อนพูดไปเรื่อยๆ
นึกฉุกใจเมื่อเหลือบตาไปมองลายมือของชนะทัศน์
เทียบกับสิ่งซึ่งเพื่อนเธอกำลังบอกมาในสาย

“เดี๋ยวก่อนไตร มีคนช่วยฉันแปลภาษานี่พอจะออกบ้างแล้ว
แปลกจังเลยพอเธอพูดมา ฉันลองลากเส้นต่อจุดแล้วอ่านตาม
คำแปลได้ว่า
ปากช่อง เขาใหญ่ ไพรมายา ผาเก็บตะวัน ประจันตคาม...
ไอ้ตอนต้นๆ นี่มันเรียงมาตามสถานที่ที่ฉันผ่านมาแล้วแทบทั้งนั้นเลยนี่นา”

“ฟังดูงงดีนะ”

มัชฌิตาเพิ่งนึกได้ว่าเธอไม่เคยเล่าอะไรที่มันเหลือเชื่อสำหรับ
คนธรรมดาให้ไตรฟังเลยสักนิด หญิงสาวจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วบอก
ให้เพื่อนพูดสายต่อ

แปลก...จุดพวกนี้มันไปซ้อนกับที่ซึ่งเธอผ่านมาแล้วทั้งหมด แปลว่า
ต้องไปต่อตามตามนี้หรือ ถึงจะไปถึงถ้ำที่ว่าได้ ถ้าเธอรู้ที่หมายของจุดใกล้ๆ
ปลายทาง จะข้ามบางจุดไปบ้างได้หรือเปล่า

หลังจากได้รับถ่ายทอดข้อมูลทั้งหมดจากไตรมัชฌิตาก็วางสายลงอย่างเพลียๆ
กลับมาหมกมุ่นวิเคราะห์แผนที่ต่อด้วยใจสับสนยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม


ชามัลขัดเคืองอยู่มากที่สมิงพรายของตนไม่ได้เอาพลอยกลับมาตามคำสั่ง
อัคนิวราหายไปตลอดคืน แม้ในช่วงแรกเขารู้สึกได้ยามเมื่อพญาพราย
และมัชฌิตาประจันหน้ากัน เขาไม่ได้สั่งไปให้ฆ่า แต่ก็ไม่ได้ห้าม...

เพียงแค่ให้สะบั้นสายใยหมายถึงเอาพลอยตาเสือมาจากหญิงสาว
ถึงกระนั้นชามัลก็ยังไม่อยากให้เธอตาย เขาอดแปลกใจตัวเองไม่ได้
ว่าส่วนหนึ่งในใจนั้นแอบหวังว่าอัคนิวราจะมิได้พรากชีวิตของเธอ
ไปด้วยกรงเล็บ น่าแปลก เขาไม่เคยปรานีใคร ไม่เคยหยุดคิดถึง
แต่ละชีวิตที่ปลิดปลง หากแม้ว่าเกะกะขวางทางมากเข้า
แม้มีประโยชน์หรือไร้ค่าก็ฆ่าเสียได้หมดเหมือนกัน จากการดำเนิน
ตามหนทางนั้นมาเนิ่นนานทำให้ชามัลรู้สึกแปลกใจยิ่ง
เมื่อเขาพะวงถึงชีวิตของหญิงสาวผู้ครองพลอยตาเสือ

คืนนั้นทั้งคืน และจนเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวันพญาพรายของเขา
ยังไม่กลับมาชามัลจึงเลือกโทรศัพท์หาพรตก่อนเป็นอันดับแรก

“มัชฌิตายังมีชีวิตอยู่ไหม”

พรตค่อนข้างงุนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาไม่ทราบล่วงหน้า
ว่าเมื่อคืนท่านชามัลจะทำสิ่งใด และเมื่อไปพบมัชฌิตาพร้อมตำรวจ
ก็ยังเดาไม่ถูกว่าเจ้านายตนลงมือด้วยวิธีไหนทั้งที่ก็คงไม่มีใครอื่น
ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่คำถามที่ว่ามัชฌิตาตายหรือยังนี่ออกจะ
เกินความคาดหมายของพรตไปหน่อย เพราะที่ผ่านมาเขาเองก็
สัมผัสได้ว่าท่านชามัลต้องการตัวเธอ ทว่าเมื่อสำนึกได้ว่าผู้เป็นนาย
ไม่จำเป็นต้องบอกตนทุกเรื่อง ชายหนุ่มก็ปรับสติได้ว่องไว
“ครับ ท่านชามัล เธอยังไม่ตาย...”

“แล้วพลอยเม็ดนั้นยังอยู่กับเจ้าตัวด้วยรึเปล่า”

“คิดว่าพลอยตาเสือก็คงยังอยู่กับเธอด้วยครับ ไม่งั้นคงสติกระเจิงยิ่งกว่านี้”

ชามัลนิ่วหน้า อัคนิวราหายไปไหนกัน แต่เขาก็ยังเงียบ
รอฟังเสียงของพรตที่พูดมาตามสาย

“เธอเล่าว่าเมื่อคืนถูกเสือโจมตีรถจี๊ปตอนกลับออกมาจากเข้าไปเอาของ
ที่บ้านผม มัชฌิตาวิ่งหนีเข้าป่าไปซ่อนในซอกหินเพราะมันมีทีท่าว่าจะ
ทำร้ายเธอด้วย แต่ลุงที่ขอให้มาช่วยขับรถไปส่งเธอแทนผม ตายครับ...”
พรตพูดไปแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเขา
ถ้าอยู่กับมัชฌิตาในเวลานั้นก็คงไม่รอดเช่นกัน

“แล้วจะบอกทำไม” ชามัลพูดเรียบเรื่อยอย่างไม่ยินดียินร้าย
“อย่าเอาเรื่องไร้สาระมาพล่าม พญาพรายของข้าจำเป็นหรือไง
ที่จะต้องใส่ใจชีวิตไร้ค่าแบบนั้น”

“ครับท่านชามัล ขออภัยที่บังอาจเอ่ยวาจาให้ท่านระคายหู”

ชามัลตัดสายไปเสียแล้วก่อนที่คนของเขาจะพูดจาให้ยืดยาวไปอีก
เขาหนุ่มกดโทรศัพท์หามัชฌิตา ปั้นน้ำเสียงสดใสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“สวัสดีครับคุณมิ้งค์ อืม ไม่มีอะไรหรอก อยู่ๆ ผมก็คิดถึงคุณขึ้นมา
ไม่รู้ว่า...เมื่อคืนที่ผ่านมาคุณได้คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า”


แม้ว่ามัชฌิตาจะพยายามบอกชามัลว่าเธอไม่พร้อมที่จะพบเขาหรือใคร
ในตอนนี้ แต่ชายหนุ่มในสายโทรศัพท์ก็ยังดึงดันขอพบเธอให้ได้

“ที่ผมยอมเงียบไปตั้งแต่วันก่อน ไม่ได้หมายความว่าผมจะลืมคุณนะครับ
ก็แค่อยากเว้นระยะ เผื่อว่าคุณมิ้งค์จะรู้ใจตัวเอง ว่าคุณก็คิดถึงผมเหมือนกัน...”

หญิงสาวระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ทางปาก เธอไม่มีวันยอมรับกับชามัล
เด็ดขาดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำแบบนั้นจากอีกฝ่าย
ใจกลับเต้นแรงเกินกว่าจะบิดบัง ในที่สุด เธอก็ใจอ่อนยอมบอกออกไปว่าพัก
อยู่ที่ไหน ทว่ายังไม่อยากพบใคร

“ค่ะ แต่ตอนนี้ฉันอยากนอน เอาไว้เราค่อยนัดเจอกันทีหลังดีไหมคะ”

ชามัลยิ้ม เขารู้อยู่แล้วว่าเธออยู่ที่ไหน เขารู้สึกได้ แต่ถึงจะไม่ พรตก็ยัง
บอกเขาได้อยู่ดีว่าตอนนี้ตัวมัชฌิตานั้นหลบไปพักอยู่ไหน ที่เขาต้องการก็คือ
แค่ให้เธอยอมพูดมันออกมาด้วยตัวเองเท่านั้น เพื่อที่จะสามารถไปหาอีกฝ่ายได้

มัชฌิตาวางสายโทรศัพท์ เข้าไปอาบน้ำชำระความอึดอัดทรมานที่เกิดจาก
ฝันร้ายแห่งไฟ รู้สึกราวกับต้องเผชิญหน้าชายผู้มีดวงตาเหมือนเพลิงอีกครั้งจริงๆ
ในความฝัน แม้จะรู้สึกกลัวมากแค่ไหนแต่ภาพติดตานั้นก็มีอะไรบางอย่างที่
ทำให้เธอไม่อยากสลัดมันออกไปจากห้วงความคิด หลังจากเป่าผมจนแห้ง
หมาดดีแล้วหญิงสาวจึงค่อยๆ เอนกายที่ปวดร้าวลงบนหมอนอีกครั้ง
ตั้งใจจะหลับลงให้ได้ แต่ยังไม่ทันสมประสงค์ เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้นหน้าห้องพัก

ทั้งที่พอจะรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใครแต่พอไปเปิดประตูเข้าจริงๆ หัวใจของมัชฌิตา
ก็โลดแรงออกมาจากทรวงอกเมื่อมองเห็นประกายในดวงตาสีน้ำตาลทอง
ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของผู้มาเยือน

“ไงครับ คุณมิ้งค์ ใจคอจะไม่เชิญผมเข้าไปในห้องหน่อยหรือ”

มัชฌิตาเกาหลังคอ ไม่สบตาเขาโดยเธอยังเอาตัวเองดันประตูไว้ราวกับ
จะใช้มันเป็นป้อมปราการด่านสุดท้าย
สายตาว่องไวของชามัลแอบมองลอดมาเห็นรอยช้ำๆ ที่คอของหญิงสาวเข้าจนได้

“นั่นคุณไปโดนอะไรมา ! ”

มัชฌิตารู้สึกปวดประสาท เพราะเขามากะทันหันตอนเธอกำลังง่วงงุน
ทำให้หลงลืมที่จะกลบเกลื่อนร่องรอยปริศนาบนลำคอเสียสนิท

ชามัลถอนหายใจหนักๆ ใช้กำลังที่เหนือกว่าดันประตูเข้าไปในห้อง
กับผู้หญิงคนนี้เขาเองรู้สึกต่อเธออย่างแปลกออกไป บางทีก็อยากให้เธอ
ตายๆ ไปเสียให้มันหมดเรื่องหมดราว แต่พอได้มาสบตา เห็นหน้ากัน
เขาก็ยังอยากเก็บเธอเอาไว้ ไม่อยากให้เจ็บตัวหรือชอกช้ำไป
เป็นความรู้สึกซึ่งตัดกันราวกับแสงและเงา...
บางทีคงจะเป็นมัชฌิตาที่ดึงตัวตนของเขาออกมาได้มากที่สุด
ทั้งแสงสว่างและความมืด เกินกว่าใครเคยทำได้ เพราะก่อนนี้เขาไม่มี
อารมณ์ในเชิงสว่างไสวกับใคร เธอทำได้...
แต่ที่สุดแล้ว มันจะมากมายสักขนาดไหนกัน

เมื่อเขาสัมผัสเธอด้วยความห่วงใยโดยลืมสิ้นถึงความร้อนที่อาจแผดเผา
ชามัลก็สามารถแตะต้องตัวเธอได้ตามปกติ เขาเชยคางมนที่ยอมเอน
ไปตามแรงมือด้วยคร้านจะต่อต้าน พินิจรอยนิ้วมือทั้งห้าซึ่งตราอยู่บน
ผิวเนื้อนวลเนียน แน่นอนว่าอัคนิวราได้ประจันหน้ากับเธอผู้นี้แล้ว
แต่เหตุผลใดกันพญาพรายจึงจากไปโดยที่ไม่ได้กลับไปหาเขา
แม้ตอนนี้จะยังไม่เข้าใจแต่ชามัลเชื่อว่าไม่นานหรอกเขาต้องได้คำตอบ

“บอกผม มัชฌิตา ใครกันที่ทำให้คุณเป็นถึงขนาดนี้”

มัชฌิตาส่ายหน้า พยายามก้มหลบสายตาที่มองมา “ไม่มีอะไรค่ะ
ก็แค่เรื่องของคนเป็นแฟนกันน่ะ เขาตามมา เราทะเลาะกัน แต่ตอนนี้
เขากลับไปแล้ว” เธอโกหกเอาตัวรอดไปอย่างที่เชื่อว่าน่าจะทำให้ชามัล
คลายสงสัยจากเรื่องที่เขาสนใจอยู่ได้มากที่สุด

“แต่เท่าที่เราคุยกัน ดูเหมือนว่าคุณจะแสดงออกว่าคุณไม่มีใคร
เป็นคนตัวเปล่า หรือว่าไม่ใช่...”

“ฉัน เอ่อ ฉัน...”

“ถ้าคุณมีใครสักคน แล้วเขาทำกับคุณได้ถึงขนาดนี้ก็อย่ามีมันเลยดีกว่า
หันมาทางผมนี่ไง” ชามัลจับไหล่หญิงสาวให้สบตาเขาตรงๆ “คุณมิ้งค์
บอกความจริงผมมาเถอะนะ”

ใช่แล้ว เขาต้องการให้เธอพูดทุกอย่างออกมาจากใจ เรื่องพลอยตาเสือ
เรื่องแผนที่ รวมถึงสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้เธอเองต้องระเห็จมาถึงนี่
เมื่อไหร่ที่เธอบอกเขา ชามัลก็จะอาสาช่วยเธอ ทำให้เธอสบายใจ
ไว้วางใจ ไม่มีอะไรต้องสูญเสีย ทุกอย่างเขาจะดูแลให้เอง
ขอเพียงแค่เธอยอมบอกออกมาเท่านั้น

มัชฌิตาส่ายหน้าเหมือนกับไม่มีอะไรจะพูด ชามัลมองเธอด้วยสายตา
เข้มขรึมอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี หญิงสาวตอนนี้อยู่ในเสื้อตัวยาว
ลายสก็อตติดกระดุมหน้ายาวเกือบถึงเข่า เป็นชุดนอนที่แลดูไม่เรียบร้อย
แต่ก็ไม่เชิงว่าหละหลวม เห็นได้ชัดว่าเธออยากให้เขากลับไปแต่แรก
ไม่คิดจะเชื้อเชิญเข้ามา เป็นชามัลเองที่ดึงดันรั้นจะเข้ามาในห้อง

ใบหน้าเธอช่างสวยคม คิ้วได้รูป ผมดำ ตาดำ ปากที่ไร้สีสันเคลือบแต่ง
เป็นสีชมพูอ่อน ผมจากยุ่งอยู่แล้วก็ยุ่งมากขึ้นเพราะเพิ่งลุกจากที่นอน
เป็นความสวยสดใสเย้ายวนใจอย่างเหลือร้าย

“ผมเป็นห่วงคุณนะ” ชามัลจูบเธอที่หน้าผาก ซึ่งหญิงสาวก็มิได้ขัดขืน
เขาจึงสัมผัสริมฝีปากแผ่วๆ ระเรื่อยผ่านจมูกโด่งงามนั้นลงมา ที่สุดก็
พบกับปากอ่อนใสซึ่งแย้มเผยออยู่ของหญิงสาว คลอเคล้าอย่างแผ่วเบา
ราวปลอบประโลม กระเถิบไกลไปจนสนิทแนบอย่างโหยหา

เขาอยากจะทำแบบนี้มาตั้งแต่ประโยคแรกที่เธอพูดกับเขา ตั้งแต่ที่เธอ
มานอนหลับอยู่บนเตียง กี่ครั้ง แล้วก็ไม่เคยได้ทำ จนความหงุดหงิด
สุมเป็นความกราดเกรี้ยวในใจอย่างประมาณมิได้ พยายามไม่สนใจ
เธอนอกจากเรื่องของพลอย แต่ความน่ารักของมัชฌิตาก็ทำให้เขา
ลืมตัวได้ทุกทีที่เห็นหน้า

และเขาก็ต้องการเธอ ที่นี่ ในเวลานี้ คนอย่างชามัล ไม่เคยมีอะไรที่
อยากได้และไม่ได้มา หากเป็นเช่นนั้นเขาก็คงจะทำลายสิ่งที่ต้องการ
เสียด้วยมือของตัวเองให้จบเรื่องไป...

เป็นทั้งความอ่อนแอ สับสน และอยากได้ใครสักคนเป็นที่พึ่ง บวกกับ
ความรู้สึกซึ่งอ่อนไหวไปกับเขาตั้งแต่แรกสบตา มัชฌิตาจึงยอมจำนน
กับจูบนั้น แต่วูบหนึ่งเธอก็ลังเล รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ใช่
อะไรสักอย่างผิดที่ผิดทาง เธอไม่ต้องการให้เป็นอย่างนี้
ฝ่ามือของหญิงสาวกดที่ต้นแขนแข็งแรง ออกแรงผลักเขา เบือนหน้า
ให้ริมฝีปากซึ่งกำลังแนบชิดคลาดจากกัน

“ฉันไม่ต้องการแบบนี้ ! ”

ฉับพลันนั้นเอง ชามัลถูกแรงไฟร้อนวูบจู่โจมเข้าใส่ ทำให้เขาต้อง
ผละจากตัวเธอเหมือนโดนของร้อน ชายหนุ่มสลัดศีรษะแรงๆ
เงยมองตาหญิงสาวด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่จะให้เธอรู้ไม่ได้
ว่าเขาปวดแสบปวดร้อนถึงเพียงไหนกับแรงต่อต้านซึ่งเกิดจากพลอย
ทั้งที่ตอนแรกเหมือนเธอยอมรับสัมผัสของเขา แต่นี่ก็ยัง...

มัชฌิตามองชายตรงหน้าอย่างคนอ่อนแอสิ้นไร้ที่พึ่ง อยากจะร้องไห้
อยากให้เขาปลอบด้วยความอ่อนโยนจากใจมากกว่าใช้แรงแห่งไฟราคะ
แต่ชามัลไม่เข้าใจ... ชายหนุ่มขบกราม ผลุนผลันสะบัดหน้าจากไป
ด้วยความโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด เขามันโง่เองที่มัวมาเสียเวลากับผู้หญิง
ไร้ค่าน่ารำคาญพรรค์นี้ ทั้งเรื่องพลอยที่เธอทำท่าเหมือนจะไม่ยอม
ง้างปากบอกเขาต่อให้ต้องตาย งั้นก็ให้สมใจไปเลยก็แล้วกัน...

ของที่ต้องการแล้วไม่มีทางได้มา สู้ทำลายให้แตกหักกันไปเสียมันน่าจะดี
และตอนนี้ความอดทนของเขาก็ใกล้ถึงที่สุดแล้ว !!



“ราชะแห่งไฟ...ข้าขอสั่ง สมิงพญาผู้สิงสถิตอยู่ในพลอยราชันซึ่งได้
กลืนกินโลหิตแห่งข้า อัคนิวรา ไม่ว่าอยู่ที่ใด จงกลับมา !
กลับมาตามบัญชาช่วงใช้แห่งนายของเจ้า !!! ”

สิ้นเสียงเกรี้ยวกราดของทายาทแห่งไฟลมวูบหนึ่งพัดกระโชกมา
ทั้งที่หน้าต่างยังปิด กลายเป็นพายุไฟอัดกระแทกลงกับพื้นห้อง
ระเบิดเป็นร่างสีทองแดงเลื่อมลายเพลิงยืนตระหง่าน ผมดำยาว
สะบัดพลิ้วโลดขึ้นกับไฟที่ผลาญเผาจนแทบจะลุกติดเป็นเพลิงไปด้วยกัน

เป็นภาพอันงดงาม น่าสะพรึ่ง ดิบเถื่อน และอันตราย แต่สำหรับชามัล
ตอนนี้เขามีแต่ความโกรธเพียงอย่างเดียว อารมณ์อื่นใดล้วนถูกขับไล่
ด้วยไฟโทสะอันเผาอยู่ในใจกลบกลืนสลายสิ้น ต้องการมัชฌิตางั้นหรือ
เขาไม่เคยปล่อยให้ความรู้สึกพวกนั้นมามีผลกับตัวเองอยู่แล้ว
ผู้หญิงไม่ตายก็หาเอาใหม่ได้ จะกี่สิบกี่ร้อย
แต่เขาจะไม่ต้องการผู้หญิงที่มีธาตุอันเป็นปฏิปักษ์กับตน

“อยู่ต่อหน้าข้า ให้คุกเข่าลง” ชามัลตวาดเสียงดัง

เนตรพยัคฆากระตุกวูบไหวด้วยความขัดเคือง แต่เพราะข้อแขน
ทองคำอันเป็นดุจตรวนพันธนาการกระชากร่างโชนแสงที่ยืนผงาดเงื้อม
ให้หมอบลงตามวาจาสิทธิ์ อัคนิวราคำรามโดยมิอาจตอบโต้ ได้แต่
ก้มหน้าลงข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ในใจ

“เอาพลอยมาไม่สำเร็จ แล้วทำไมจึงไม่กลับมารายงาน”
ชามัลแค่นเสียงออกมาเป็นคำถาม ไม่พูดเปล่ายังเรียกแส้ไฟเส้นหนึ่ง
ขึ้นมาถือไว้ในมือ เขาตวัดแส้นั้นไปรับรอบคอของพญาพราย
กระชากให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นจ้องให้ชัดถนัดตา “เวลาที่ข้าถาม ให้ตอบ !! ”

“ข้า...ดึงให้สร้อยเส้นนั้นขาดไม่ได้”

“แล้วทำไมไม่ฆ่าผู้หญิงคนนั้นเสีย แค่ไม่ให้เลือดโดนพลอย จะบีบคอ
ให้ขาดใจตายไปก่อนแบบที่เจ้าเกือบจะทำก็ได้นี่นา”

“ข้ารู้สึก...ว่าท่านอาจมิได้ต้องการให้ฆ่านาง เพราะถ้าใช่ก็ควรจะสั่งแล้ว”
อัคนิวราเม้มปาก ซ่อนคมเขี้ยวที่คล้ายจะยืดยาวออกยามตนเกรี้ยวกราดโกรธา
ไม่คิดจะพูดถึงนามนั้น...อมินตา ซึ่งเป็นเหตุให้ตนติดใจสงสัยและเว้น
ชีวิตของเหยื่อ เรื่องนี้ชามัล เมห์ฮรา คงไม่มีวันปริปากบอกให้เขาได้รู้

“อ้อ เกิดจะเชื่องขึ้นมาในเรื่องยิบย่อย ห่วงความรู้สึกของข้าเสียด้วย...”

อัคนิวราเบือนหนีสายตาของชามัล หาใช่ด้วยกริ่งเกรง แต่แววคล้ายรำคาญ
นั้นฉายชัดจนชามัลกระชากแส้ไฟที่พันธนาการรอบคออีกฝ่ายแน่นเข้า
รั้งให้หันกลับมา

“เมื่อคืนเจ้าหายไปไหน”

“ข้าคิดว่าคงไม่สามารถทำลายสายใยของนางกับพลอยในขณะที่รูปจิต
ของข้าหิวโซไร้พลังเช่นนี้ จึงย้อนกลับมากินร่างของชายที่ข้าสังหารไป”

“แล้วอิ่มหรือไม่”

“ไม่เลยสักนิด ยังหิวเท่าเดิม”

ชามัลหัวเราะหึ ก่อนวางมือลงบนศีรษะของพรายพญาในลักษณะที่
คล้ายการจิกกดมากกว่าด้วยความปรานี แต่กระแสปราณซึ่งไหล
จากมือนั้นก็ทำให้อัคนิวรารู้สึกว่าได้รับอาหาร ทว่ายังไม่ทันใกล้เคียง
กับคำว่าอิ่ม ผู้เป็นนายก็ชักมือออกกะทันหัน

“หากเจ้าทำงานได้ดี ข้าอาจเมตตาให้รางวัลเจ้าบ้าง”

อัคนิวราเหลือบตาขึ้นมองผู้พูดอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก ถึงกระนั้นเขาก็
ต้องการจะได้ปราณนั้นอีก หิว...มากเหลือเกิน

“ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เพราะข้ากำลังมีแผนดีๆ อย่างใหม่
กับเหยื่อที่ชื่อมัชฌิตา จริงๆ เลยนะ ทั้งที่อยากให้ตายแต่ก็ตัดใจไม่ได้ง่าย
อย่างที่คิด นึกเสียดายอยู่ไม่หาย เพราะงั้นข้าจะลองอดทนกับผู้หญิงคนนั้น
ดูอีกสักยก ใช้เจ้าเป็นเครื่องมือทางอ้อม เช่นนี้อาจได้ผลมากกว่าใช้ไม้แข็ง”

“ต้องการให้ข้าทำอะไร”

“ช่วยข้า จัดการกับผู้หญิงคนนั้น ก่อนความอดทนของข้าจะหมดลง”
ชามัลคลายแส้ออกจากคอของพญาพรายด้วยสีหน้าคล้ายปรานี
“คงจะดีนะอัคนิวรา ถ้าอาศัยความอันตรายของเจ้าคุกคามเธอ
แล้วก็ให้ข้าเป็นพระเอกขี่ม้าขาว ทำให้มัชฌิตาไว้ใจข้ามากขึ้น
เพื่อการนี้ข้าคงต้องสละหมากอีกตัวทิ้งไปแล้วใช้เจ้าเดินรุกฆาต เอาตามนี้ก็แล้วกัน...”





อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ม.ค. 2555, 16:25:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ม.ค. 2555, 16:26:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 2487





<< บทที่ 4 รอยเล็บแห่งรัตติกาล (ต่อ...)   บทที่ 5 ห้องที่ปิดไม่สนิท (ตอนแรก) >>
อสิตา 24 ม.ค. 2555, 16:43:11 น.
อ๊ะ ว่าจะบอกแล้วลืม... สามเล่มนี้จำนวนบทไม่เท่ากันนะคะ
มายาไฟฯ กับ มนตรามุกฯ จะแบ่งบทถี่น้อยกว่าม่านธาราฯ ของยายน้องมีน
(ของพี่สาวสิบกว่าบท ของน้องเล็กนี่หลายสิบ)ตัวเลขบทม่านฯเลยจะนำไปกว่าเรื่องอื่น


Canopus 24 ม.ค. 2555, 17:44:44 น.
ชามัลใจร้าย


Zephyr 24 ม.ค. 2555, 18:47:56 น.
ชามัลก็ยังชอบกินสตอเบอร์รี่เป็นอาหารหลักนะเนี่ย
อ๊ายยยย มาทำร้ายสมิงผู้น่ารักอย่างอัคนิวราได้อย่างไร กบฏเลยๆๆๆๆ ปฏิวัติๆๆๆด่วนๆๆๆ
ตอนนี้ชามัลเรตติ้งตกอย่างมาก - -" ทำตัวไม่น่ารักเลยอ่ะ ปันใจให้อัคนิวราดีก่า ^^ อิอิ อยากรู้จักอมินตากะอัคนิวรามีความหลังไรกัน
บทละครสุดท้ายถ้าสลับบทตาชามัลกะน้อง(ทวด)อัคได้จะดีมาก
ไปทำป้ายเชียร์ พี่มิ้งค์กะน้องอัคดีกว่า ^^ เย้ เย เย้ เย ส่วนตาชามัล ชิ่วๆๆๆ ไปไหนก็ไปไป๊


Auuuu 24 ม.ค. 2555, 20:16:16 น.
เริ่มหมั่นไส้พระเอกมากขึ้นเรื่อยๆ = " =

ป.ล. Auuuu คือ อุ๊ ถูกต้องนะคร้าบบบบบ ^^


อสิตา 24 ม.ค. 2555, 20:36:23 น.
-.,- อยากสปอยล์คนอ่านจังเลยค่ะ


silverraindrop 25 ม.ค. 2555, 09:39:25 น.
ชามัล ... ร้ายกาจที่สุดเลย ลุ้นให้หลงรักนางเอกมาก ๆๆ ตอนหลังให้นางเอกเอาคืนซะให้เข็ดเลย -/-


ameerahTaec 25 ม.ค. 2555, 10:38:55 น.
แน่ใจหรอคะว่าชามัลเป็นพระเอก บทตัวร้ายเหมาะกว่านะ ฮึ่ม


หมูอ้วน 25 ม.ค. 2555, 13:37:13 น.
เห็นด้วยกับคุณ ameerahTaec เลยค่าา


SunSeed 26 ม.ค. 2555, 10:22:03 น.
เฮ้อ รู้สึกว่าเกลียดๆอีตาชามารรร เอ๊ย ชามัลนี่ยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่พระเอกปากแข็งก็เงี๊ย แอบคิดให้ยัยหนูมิ๊งค์รู้แผนอีตาชามัลจะได้ไม่หลงกล อิอิ ตอนแรกอ่านเรื่องนี้รู้สึกว่านางเอกร้ายๆ พออ่านไปเรื่อยๆก็เจอพระเอกร้ายเหมือนกัน เหอๆๆๆ อยากรู้หนุ่มก็ร้ายสาวก็ร้ายจะมีบทสรุปยังไงนะ แล้วรีบมาต่อนะคะ ^^


ling 24 มี.ค. 2555, 16:58:25 น.
นางเอกเรายังมีโดนหนักกว่านี้อีกมั้ยเนี้ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account