มายาไฟในดวงตา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ
เมื่อพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาตั้งใจจะเก็บมรดกทั้งของตนเองและน้องสาวเอาไว้
อันตรายบางอย่างกลับคืบคลานเข้ามา หญิงสาวจึงทำได้เพียงหนี !
ก่อนที่ “เขา” เจ้าของพลอยที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงจะมาทวงมันคืนไปจากเธอ
Tags: อสิตา มนตรามุกจันทรา ม่านธาราเร้นดาว พลอยตาเสือ มัชฌิตา ชามัล อัคนิวรา

ตอน: บทที่ 5 ห้องที่ปิดไม่สนิท (ตอนแรก)

@ คุณ Canopus
ยินดีต้อนรับค่า หรืออ่านมานานแล้วเพิ่งทักทายครั้งแรกก็ไม่รู้แฮะ *-*แต่ยังไงก็ดีใจที่มีโอกาสพูดคุยนะคะ ชามัลนิสัยแย่ขนาดนี้คนเขียนยังอยากบีบคอเลย

@ คุณ Neferretti
สมัยอยู่อินตะระเดียชามัลฮีทำสวนสตรอว์เบอรี่(ล้อเล่น แต่ชอบกินจริงๆนะ คือคิดว่าถ้าเข้าร้านไอติมนิสัยอย่างฮีคงสั่งรสนี้ ไม่เอาชอกโกแลตหรอกแมนไป)
สักวันคงโดนสมิงกัดแน่ๆ
แหม... ป้ายเชียร์ที่ว่า...ทำไว้ไม่เสียหลายค่ะ คงได้ใช้บ้างละนะ^.^

@ คุณAuuuu
หมั่นไส้ชามัลไปเยอะๆเลยค่ะ ไม่ต้องยั้ง เดี๋ยวคนเขียนจะจัดการให้เอง

@ คุณ silverraindrop
ต้องดูกันต่อไปว่าฮีจะหลงรักนางเอกหรือเปล่า ฮี่ๆๆ ต้องตีหัวให้ประสาทกลับซะแล้ว

@ คุณ ameerahTaec
เค้าบอกแล้วนี่นา ว่าชามัลเป็นนางเอกกกกกก ^^ไม่ใช่ละ...

@ คุณหมูอ้วน
ชามัลกัดผ้าเช็ดหน้า ส่งสายตาปริบๆ อย่าเกลียดเค้าเลยน้าาาา

@ คุณ SunSeed
ไม่ใช่ปากแข็งหรอกค่ะ ปากเบา+ปากหวานนะ(แค่ไม่พูดความจริงเอ้งงง)
แต่จิตใจ...เหี้ยมโหดแข็งกระด้าง

(คุณเบญจามินทร์ หายไปกับตรุษจีนจริงๆแล้วรึนี่ แงงงงงงง)



บทที่ ๕ ห้องที่ปิดไม่สนิท

มัชฌิตายังไม่ได้กลิ่นของอันตราย แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเสือสมิงน่ากลัวตนนั้นจะ
วกกลับมาเยี่ยมเยือนเธออีกหรือไม่ จะป้องกันตนเองจากมันได้อย่างไร หญิงสาว
พยายามเรียกหาย่า อยากขอให้ย่าช่วยอย่างน้อยก็ในตอนนี้ และขณะเดียวกันก็
ยังต้องใช้เวลาครุ่นคิดถึงเรื่องของแผนที่ให้มาก ตั้งใจว่ารอข่าวจากไตรอีกแค่
สองสามวัน แต่เท่าที่ลองคิดๆ ดูแล้วยังไงเธอก็จำเป็นต้องพบชนะทัศน์อีกครั้ง
คนที่แปลภาษาได้คนอื่นอาจพอหาได้ แต่จะมีสักกี่คนที่มีไอคิวถึงร้อยเก้าสิบ
ไม่ว่าการเข้าหาเขาจะปลอดภัยหรือไม่ ยังไงความตายมันก็มารออยู่ใกล้ๆ นี่แล้ว
ไม่ใช่ว่ามัชฌิตากลัวตาย แต่หากตาย สิ่งที่พยายามมาทุกอย่างก็ถือว่าจบ

หญิงสาวต้องการพบน้องชายพรตแม้จะไม่ไว้ใจคนเป็นพี่ชายของเขาอีกต่อไปแล้ว
ก็ตาม ที่ผ่านมา หลายครั้งเมื่อพรตโทรมาหญิงสาวเลี่ยงไม่รับสายเสียบ้าง ให้เขา
เข้าใจว่าเธออยากถอยห่าง แต่ถึงยังไงก็คงต้องคุยกันเรื่องรถไม่ช้าก็เร็ว


เมื่อรอแล้วพบว่าด้านเพื่อนเธอยังไม่มีความคืบหน้าอันน่าพอใจ ที่สุดหญิงสาวจึง
ตัดสินใจลองเป็นฝ่ายโทรศัพท์หาพรตด้วยจุดมุ่งหมายบางอย่างซึ่งแอบซ่อนไว้ในใจ

“สวัสดีค่ะคุณพรต นี่อยู่ไหนคะเนี่ย”
“อ้อ วันนี้ผมมีธุระ มาคุยเรื่องไวน์กับเจ้าเดิมน่ะฮะ อยากหาเพื่อนทานข้าวหรือไงครับ”

“ว้า กำลังหิวเลยค่ะ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันลองโทรชวนคนอื่นแถวๆ นี้แล้วกัน”
มัชฌิตาตอบอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงติดจะเสียดายนิดๆ ทั้งที่แท้จริงแล้วกำลังสมใจ
พรตไม่ได้อยู่เฝ้าน้องชาย

“คุณมัชฌิตามีเพื่อนคนอื่นแถวนี้ด้วยเหรอครับ หรือว่าหมายถึงคุณชามัล”

“แหม ก็...” หญิงสาวแกล้งทำเสียงเขินๆ เว้นจังหวะ รอให้อีกฝ่ายคิดไปเอง
โดยที่เธอไม่ต้องพูด

เมื่อวางสายจากพรต มัชฌิตาโทรศัพท์หาคนรถซึ่งฝากเจ้าของที่พักว่าจ้างไว้
ล่วงหน้าให้เข้ามารับตนไปส่งถึงโรงพยาบาลวังน้ำเขียว หญิงสาวสอดส่องดู
ลาดเลาที่หน้าห้องพักผู้ป่วย แปลกใจที่คนมีเงินอย่างพรตไม่คิดจะย้ายน้องไป
พักรักษาตัวในกรุงเทพฯ อาจหมายความว่าอาการของน้องชายดีขึ้นมากแล้วจริงๆ
หรือไม่ก็อยากให้น้องอยู่ใกล้ตัว แต่ทำไมถึงได้ยังไม่ไปจากโรงพยาบาลถ้าหาก
เป็นเช่นนั้น คำตอบของเรื่องนี้ถ้าได้พบหน้าชนะทัศน์ก็คงรู้ได้เอง

เป็นธรรมดาที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดไม่มีการเฝ้าดูแลกันแน่นหนาอะไรนัก
แค่คอยเฝ้าดูจังหวะตอนพยาบาลเข้ามาและออกจากห้องไป จากนั้นมัชฌิตา
จึงค่อยเลียบเคียงเข้าไปหน้าประตู ก่อนถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยพยายามให้
เกิดเสียงน้อยที่สุด

ภายในห้องนั้นสว่างไสวแต่เงามืดบางเบาก็อาบทาบลงบนเตียงที่ชนะทัศน์นั่งอยู่
สายตาของเด็กหนุ่มมองมายังผู้มาเยือนอย่างสงบเงียบเชียบ รอคอย...

“ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องมาจนได้”

มัชฌิตายิ้มแห้งๆ คล้ายคนถูกจับได้ว่าทำผิด ไม่รู้ทำไมเธอจึงยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้
เป็นผู้ใหญ่มากกว่าพี่ชายของเขามากขึ้นทุกที แม้ชนะทัศน์เองยังอยู่ภายใต้เงา
ของพี่ พรตเองนั้นก็อึดอัดไม่ได้ต่างกัน แลดูคล้ายพยายามให้น้องชายเป็นดั่งใจ
แต่ก็ไม่สามารถทำได้เต็มที่เพราะความแข็งแกร่งบางอย่างอันมาจากตัวเด็กหนุ่ม
ผู้อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้นี่เอง เมื่อคิดไม่ตรงกัน แต่รักกัน ย่อมมีความเจ็บปวด
บางอย่างเคลือบแฝงในความสัมพันธ์อยู่ไม่สร่างซา

“พี่เอาแผนที่มาด้วย” มัชฌิตามุ่งเข้าประเด็นที่ต้องการอย่างไม่อ้อมค้อมขณะเดินไป
ยังเตียงของชนะทัศน์ ในเมื่อเขารู้อยู่แล้ว คงย่อมเดาใจเธอได้เป็นอย่างดี

“ผมจำได้หมดแล้ว และก็คิดทบทวนถึงมันอยู่ตลอดเวลา...” เด็กหนุ่มพูดเรียบๆ

“ทัศน์จำได้ แต่พี่จำไม่ได้นี่นา เพราะงั้นยังไงก็ต้องเอามันออกมากางไว้ก่อน
แล้วก็สมุดนี่ของทัศน์” มัชฌิตาพูดยิ้มๆ ก็ไม่น่าแปลกใจเมื่อนึกถึงความเป็นอัจฉริยะ
ของเขา อยากรู้นักว่าในสมองที่ทำงานเหมือนคอมพิวเตอร์เช่นนั้นจะมีที่ว่างสำหรับ
ให้ความรู้สึกได้ดำเนินไปพร้อมๆ กับกระบวนการคิดวิเคราะห์มากน้อยแค่ไหน
แต่อย่างชนะทัศน์ดูไปก็ใช่ว่าจะไร้อารมณ์ อาจมีอารมณ์ส่วนเกินมากกว่าที่เจ้าตัว
น่าจะต้องการเสียด้วยซ้ำ

“เห็นเขียนว่าไพรมายากับผาเก็บตะวันอยู่ด้วย... แปลก มันบอกอดีตที่พี่ผ่านมาแล้ว
ทั้งหมด ถ้าเดินไปตามจุดนี้ เป็นไปได้ไหมว่าแผนที่กำลังบอกอนาคตที่เราควรจะเล่น
ไปตามเกม พี่ไม่รู้ว่าพี่ชายเธอมีเรื่องอะไรหรือสั่งให้ทัศน์ทำอะไร แต่ขอร้องเถอะนะ
ให้น้องทัศน์ช่วยเห็นแก่มนุษยธรรมสักนิด บอกความจริงกับพี่”

ชนะทัศน์เองมีสีหน้าว่าไม่อยากโกหกมัชฌิตาอีกแล้วก่อนที่เขาจะอ้าปากพูดขึ้นในครั้งนี้
“แน่นอนครับ เมื่อมีแผนที่นี้และสามารถตีความได้เราก็สามารถข้ามจุดที่ไม่จำเป็น
ไปสู่จุดท้ายๆ ได้เลย ซึ่งถ้าพี่ไม่ได้แผนที่มา ผมก็เชื่อว่าพี่น่าจะไปถึงเป้าหมายที่หวังได้
เพียงแค่ต้องผ่านทีละจุดที่เขียนไปก่อนตามลำดับ อาจจะกินเวลามาก และในสถานการณ์
ตอนนี้ ผมคิดว่าพี่ไม่มีเวลาขนาดนั้น”

“ความสามารถพี่ยังอ่อนด้อยเหลือเกิน เทียบกับเธอแล้วยังเกินเอื้อม แบบนี้จะเป็น
ที่สุดแห่งดวงตาได้หรือ”

“ที่สุด...อาจจะไม่ได้หมายถึงการมองเห็นทะลุไปเสียทุกอย่าง แต่หมายถึงความเข้าใจ
ในอะไรก็ตามที่เราสามารถจะเห็นไปถึง จนนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ต้องไปให้ถึง
จุดนั้นจริงๆ พี่จึงจะรู้”

“ถ้างั้นน้องทัศน์ช่วยบอกจุดที่ยังไม่ได้ระบุลงไปให้หน่อยได้ไหม จุดท้ายๆ เลยก็ได้
พี่อยากจะข้ามไปให้ถึงมัน”

“ผมบอกไม่ได้ครับ”

มัชฌิตาหน้าเสีย คิดว่าเขาไม่บอกเพราะไม่อยากให้ความร่วมมือ แต่ก่อนที่เธอ
จะเกลี้ยกล่อมชนะทัศน์ก็เอ่ยต่อเนื่องมา

“ผมเขียนและโยงเส้นเฉพาะจุดสำคัญๆ และแปลงมันออกมาเป็นคำให้พี่ได้ไม่กี่จุด
ซึ่งพี่ก็ผ่านมันมาแล้ว จุดย่อยๆ ผมข้ามไปหมด ซึ่งถ้าแปลดีๆ เขาเขียนไว้กระทั่งพิกัด
ของร้านที่พี่แวะกินข้าว แต่จุดสำคัญที่เหลือ ผมตีความไม่ออก มันยากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งคำและรูปแบบที่ผมไม่รู้จัก คาดเดาไม่ได้เพราะไม่มีอะไรให้เทียบ คิดมาตลอด
หลายวันก็ยังไม่สำเร็จ...”

มัชฌิตาเงียบ ถ้างั้นแผนที่นี้จะมีประโยชน์อะไร แต่ว่าอย่างน้อยมันก็ยังบอกจุดต่อไป
ที่เธอจะต้องมุ่งไปสู่ อำเภอประจันตคามงั้นหรือ

“แผนที่นี้อาจเพียงแค่นำพาเรามาพบกันก็เป็นได้” ชนะทัศน์พูดติดตลกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อะไรที่เกิดขึ้นย่อมมีความหมาย ผมเชื่ออย่างนั้น...วันหนึ่งเราจะต้องหวนมาพบกันอีก”


มัชฌิตาบอกลาชนะทัศน์แบบอิดออด แต่คงไม่ดีแน่หากรอให้พรตมาเจอเข้า
หญิงสาวเกิดความสงสัยอย่างแรงกล้า ว่าพรตเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้
มีความสัมพันธ์เช่นไรกับเมห์ฮราและชามัล บางทีที่เธอโดนเสือร้ายปริศนาตนนั้น
ซึ่งกลายร่างเป็นผู้ชายเข้าโจมตีอาจเป็นการวางแผนทั้งหมดก็เป็นได้ ทั้งรถชน
อะไรต่อมิอะไร โดยชนะทัศน์มีทีท่าไม่อยากให้ความร่วมมือกับพี่ชายของเขา
มาตั้งแต่ต้นอาจเพราะทราบว่าพรตไม่ได้หวังดีกับตัวเธอ

หญิงสาวนั่งรถกระบะของชาวบ้านที่เธอเหมาจ้างไว้ตลอดวันกลับมาถึงที่พัก
ซึ่งเป็นรีสอร์ทเล็กๆ แสนสงบของเธอ แต่บรรยากาศสงบก็ดูเหมือนจะถูกทำลายลง
กลายๆ เมื่อพบว่าพรตมายืนรออยู่หน้าห้องเรียบร้อยแล้ว

“อ้าว คุณพรต” มัชฌิตารู้สึกร้อนใจ จะมีใครบอกให้เขาทราบหรือเปล่าว่าเธอ
ไปหาชนะทัศน์ แต่ที่แน่ๆ เจ้าตัวคงไม่ได้เป็นคนบอกพี่เองอย่างแน่นอน

“สวัสดีตอนค่ำครับ คุณมัชฌิตา ตอนนี้ผมว่างแล้ว”

“เอ่อ ค่ะ...” มัชฌิตาเดาไม่ถูกว่าพรตมาหาเธอด้วยเรื่องอะไร “ไม่ไปอยู่เฝ้า
ชนะทัศน์เหรอคะ เขาคงจะเหงา”

“วันนี้ผมอยู่กับน้องตลอดเช้าเลย กะว่ามาพบคุณแล้วค่อยไปค้างกับเขา
นี่ก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่ดูเหมือนกลัวจะชักอีกเลยยังไม่ค่อยอยากกลับบ้าน”

มัชฌิตาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะชนะทัศน์รู้ว่าอยู่ที่บ้านแล้วคงไม่มีโอกาส
ได้พบเธอมากกว่า แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นหญิงสาวก็เลือกเงียบ รักษารอยยิ้ม
ตามมารยาทเอาไว้

“ตอนแรกก็จ้างพยาบาลพิเศษมาอยู่เฝ้า แต่เจ้าทัศน์มันรำคาญ แถมทำท่า
รำคาญผมเสียด้วย หมอนี่มันชอบอยู่คนเดียว”

สีหน้าซื่อๆ ของพรตยังคงเป็นมิตร มากจนกระทั่งเธอชักคิดว่าคนที่ดูธรรมดา
ถึงที่สุดอย่างนี้หากสมควรตกเป็นผู้ต้องสงสัยในสถานการณ์ใดๆ ก็คงเป็นคนท้ายๆ
มากกว่าคนแรก น้องชายของเขาน่าจะรู้ความจริงบางส่วน แต่มัชฌิตาไม่ได้ถาม
ชนะทัศน์ออกไปตรงๆ ดูก็รู้ว่าพี่น้องรักกันมาก แม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่แปลก
แต่มันก็คงเหนียวแน่นเกินกว่าเธอจะก้าวล่วงล้ำพื้นที่ซึ่งเด็กหนุ่มเปิดใจให้
นี่ก็นับว่ามากมายเหลือเกินแล้วสำหรับคนที่เพิ่งพบหน้ากันไม่เท่าไหร่

“ทานอะไรมาหรือยังครับ”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ แล้ววันนี้ก็เพลียเต็มที ถ้าคุณจะคุยเรื่องรถ เอาไว้พรุ่งนี้เรา...”

“ผม...เอ่อ มีความจริงบางอย่างจะบอกกับคุณ”

มัชฌิตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้ขัด ใจจดจ่อต่อคำที่พรตกำลังจะพูดจากนี้ไป

“มีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นกับผม กับน้องชาย แล้วผมก็ไม่รู้จะหนีจากมันได้ยังไง
ผมกลัว... ...” พรตพูดเสียงสั่นแผ่วหวิว ออกมาจากข้างในอกจนน่าเวทนา
“ผมเป็นห่วงชนะทัศน์ แต่ถ้าหากไม่ทำตามมันก็จะฆ่าผมกับน้อง ผมไม่ห่วงตัวเอง
แต่กับเจ้าทัศน์ ถ้าน้องเป็นอะไรไปผมจะมีหน้าไปพบพ่อแม่ที่ตายไปแล้วได้ยังไง”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณพรต”

“เรา เข้าไปคุยกันเงียบๆ ได้ไหมครับ ผมเห็นทีจะต้องเล่าให้คุณฟังแต่แรก
เรื่องมันยาวมากๆ เลย”

มัชฌิตาเปิดประตูห้องให้เขาอย่างระแวงอยู่บ้าง เธอรอให้เขาเข้าไปก่อน
ถึงยืนกันอยู่ตรงนี้พรตซึ่งมีสีหน้าอัดอั้นตันใจอย่างเหลือเกินคงไม่ยอมพูด
สิ่งที่เขาอยากจะพูดออกมาแน่

หญิงสาวเดินตามพรตเข้าไปในห้อง หลังพิงประตูไว้รอจนเขาเดินไปนั่งบนโซฟา
พยายามไม่เข้าใกล้ เผื่อว่าเกิดอะไรจวนตัวก็ยังวิ่งหนีออกไปข้างนอกได้

“คุณพรตอยากบอกอะไรคะ ฉันขอยืนฟังตรงนี้แล้วกัน”

พรตค่อยๆ เงยขึ้นสบตามัชฌิตาหลังจากนั่งลงแล้ว สีหน้าเขาคล้ำเครียดน่ากลัว
คล้ายคนที่มีลางมรณะอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมอยากได้พลอยตาเสือที่คุณซ่อนไว้ใต้เสื้อเม็ดนั้น”

มัชฌิตาถอนใจหนักๆ มือกำอยู่กับลูกบิดประตูซึ่งอยู่ข้างหลัง ระวังตัวพร้อม
หากอีกฝ่ายตั้งท่าจะโจนเข้ามา “เท่านี้หรือคะที่คุณอยากพูด ฉันคงให้คุณไม่ได้
มีอะไรอยากบอกฉันอีกไหม”

“มี... มัชฌิตา”
พรตยิ้มแห้งแล้งราวต้นไม้ที่กำลังจะขาดใจตายด้วยความร้อนของทะเลทราย
“คุณน่ะ ไม่มีทางรอดออกไปจากห้องนี้ได้หรอก”

มัชฌิตาขมวดคิ้ว แต่แล้วลูกบิดที่เธอกุมอยู่กลับร้อนวาบ หญิงสาวสะบัดมือ
ถอยพ้นมาจากประตู กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เธอไม่คิดว่านั่นเป็นอำนาจ
ของผู้ชายธรรมดาๆ อย่างพรต และตอนนี้เธอก็กำลังได้ยินเสียงของมันอีกแล้ว

ตึกตึก ตึกตึก

เสียงของใจที่ลุกโพลงสว่างวามดวงหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา ไม่มีสัญญาณเตือนก่อนหน้า
หญิงสาวคาดว่าประตูกำลังจะเปิดออก แต่แล้วก็ต้องขนลุกชันเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจ
ร้อนราวเพลิงที่รินรดต้นคอ เธอหันขวับ ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อพบนัยน์ตาดำลุกติดไฟ
ราวอสูรร้ายจากนรก ยามเจ้าตัวได้เข้ามาเหยียดยืนเต็มความสูงอยู่ประชิดติดกันเช่นนี้
มัชฌิตาก็ต้องกลืนน้ำลาย ร่างกำยำสง่าน่าสะพรึงนั้นตีแล้วคงสูงเฉียดสองเมตรเห็นจะได้
เขายืนนิ่งราวกับรูปสลัก มิได้พยายามไขว่คว้ามาขณะเธอถอยหนีกรูดไปยังเตียง
แต่ความรู้สึกคุกคามที่แผ่ออกมานั้นก็มิได้ลดลงเลย ใบหน้าเหลือบเงาทองแดงวาววาม
หันขวับไปทางพรตเป็นอันดับแรก

“ทำงานไม่สำเร็จ รู้ใช่ไหมว่าจะต้องเจอกับอะไร” เสียงคำรามลึกจากคอถามกระโชก
พุ่งปราดเดียวเข้าถึงตัวพรตที่ถอยร่นด้วยความกลัวไม่ต่างจากมัชฌิตาไปจนติดหน้าต่าง
ฝ่ามือทรงพลังกระแทกเสยคออีกฝ่าย ยกจนตัวลอยจากพื้น

มัชฌิตาไม่มีเวลาหยุดดู หญิงสาวปราดไปยังประตูแม้รู้ว่าลูกบิดนั้นคงจะร้อน
แต่คราวนี้เธอคว้าผ้าผืนหนึ่งติดมือมาด้วย หวังจะใช้ผ้าจับแล้วหมุดเปิดออกไป
แต่ผ้ายังไม่ทันแตะถูกลูกบิดดีผ้าก็ลูกติดเป็นไฟพรึ่บขึ้นมาทั้งผืน
หญิงสาวร้องกรี๊ดด้วยความร้อน ปล่อยผ้าหลุดมือ หันไปมองพรตซึ่งส่งเสียง
โหยหวนอย่างน่าเวทนา ทันได้เห็นภาพร่างของเขาลอยวืดเหมือนถูกแรงเหวี่ยง
มหาศาลออกไปทางหน้าต่าง ห้องพักนี้สูงจากพื้นเกือบเทียบเท่าชั้นสอง
คิดว่าเขาคงลงถึงพื้นในสภาพไม่สู้ดีแน่ พอดีพอร้ายอาจคอหักตาย
แต่เมื่อดวงตาที่ทอประกายมาดร้ายของพยัคฆ์ตนนั้นหันกลับมามัชฌิตาก็ต้องทำใจ
เธอเองก็อาจไม่ได้ตายดีไปกว่าพรตสักเท่าไหร่

หญิงสาววิ่งถอยกรูดไปจากหน้าประตูอีกครั้ง มือเลื่อนขึ้นมากุมสร้อยซึ่งอยู่ใต้อกเสื้อ
อย่างไม่รู้ตัว เมื่อร่างนั้นย่างสามขุมเข้ามามัชฌิตาก็ถอยจนสะดุดล้มลงบนเตียง
เหมือนภาพช้าจากภาพยนตร์ชั้นเลิศ เมื่อร่างบุรุษนั้นค่อยๆ ยอบย่อลงกลายเป็น
พญาเสือโคร่งไฟต่อหน้าต่อตา หญิงสาวอ้าปากค้าง ตั้งใจเปล่งเสียงร้อง
ขอความช่วยเหลือแม้ไม่มีใครมาช่วยเธอได้ในยามนี้ก็ตามที

“อย่า อย่าเข้ามา...!!! ”

มัชฌิตาไม่อาจหลับตาเมื่อวินาทีนั้นมาถึง เจ้าเสือร้ายย่อขาคำรามลั่น
พุ่งร่างกระโจนเข้าหาเธอ ในอึดใจมรณะนั้นเองประตูก็เปิดผาง เธอไม่เห็นว่าใครกัน
ที่โผล่เข้ามา แต่แส้ไฟเรืองโรจน์ตวัดพันเข้าที่รอบคอของเสือก่อนกระชากมันกลับ
ด้วยแรงอันมหาศาลจนเสือไฟหมุนติ้วเป็นเกลียวไปกลางอากาศ ก่อนสะบัดตัว
คำรามหล่นลงบนพื้นอย่างรุนแรง สะเก็ดเพลิงสาดกระจายไปทั่วห้อง

“ชามัล ! ”
มัชฌิตาที่แทบจะหูอื้อตาลายไปแล้วก็ยังรับรู้ได้ว่าผู้มาปรากฏตัวในห้อง
ซึ่งเกือบจะกลายเป็นที่ตายของเธอยามนี้คือชามัลเ มห์ฮรา ไฟโหมไหม้
ลุกติดอยู่บนตัวของเขาเป็นภาพเหลือเชื่อ แต่เมื่อเทียบกับชีวิตปริศนา
ที่ชายหนุ่มกำลังเผชิญหน้าก็นับว่าเหมาะสมจะฟาดฟันกันเป็นที่สุด




อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ม.ค. 2555, 15:27:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ม.ค. 2555, 15:27:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 2303





<< บทที่ 4 รอยเล็บแห่งรัตติกาล (จบบท)   บทที่ 5 ห้องที่ปิดไม่สนิท (ต่อ...) >>
อสิตา 27 ม.ค. 2555, 15:30:39 น.
เหอๆๆ เพิ่งเห็นคอมเม้นต์ของน้องมูนตอนใหม่
...น้องก็แย่ พี่ก็แย่ คับขันพร้อมกันเลยนะ น่าเป็นห่วงจริงๆ


ameerahTaec 27 ม.ค. 2555, 17:21:12 น.
อัยย๊ะ พระเอก(แอบมีแผน)มาช่วยแล้ว คริคริ ขอคนโทษคนเขียนนะคะที่ชอบกัดชามัล แอบหมั่นไส้นิดๆๆ 555+


อสิตา 27 ม.ค. 2555, 17:42:14 น.
ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ เชิญด่าทอ ตบตี กอดจูบ ฯลฯ ชามัลได้ตามสบายเลย... เพราะตาคนนี้ชอบความรุนแรงทุกรูปแบบ♥♥♥♥♥


Zephyr 27 ม.ค. 2555, 18:09:51 น.
^
^
ตาชามัลเป็นซาดิสม์เหรอคะ ชอบความรุนแรง เอ หรือมาโซน้าาา
อุเหม่ มาแบบได้เวลาเหมาะเจาะ ไม่ผิดคิวกันเลยทีเดียว นัดกันมาดีเหลือเกินนะหนุ่มๆทั้งหลาย กะลังนึกภาพว่าโผล่มาอย่างเท่ห์ แต่ๆๆๆ เพราะมันเป็นแผน ความเท่ห์เลยตกฮวบ ทำสมิงน้อยๆของเค้าเจ็บตัวอีกแล้วนะ ตาชามัล เดี๋ยวเจ๊เชียร์ให้ปลอกแขนทองแตกเลยนี่ จะได้ถูกแหกอกซะเอง อิอิ
พี่มิ้งค์ ขวัญบินอีกแล้ว นางเอกเรื่องนี้ เล่นจบ คงหัวใจแข็งแรงมากเลยนะคะ แย่ใจว่านี่ไม่ใช่หนังthrillerหรือhorror นะคะ


Auuuu 27 ม.ค. 2555, 18:33:05 น.
เหอๆๆๆ วางแผนซะด้วยนะชามัลล ไม่ดีๆๆๆๆ ชิชิ


XaWarZd 28 ม.ค. 2555, 10:02:47 น.
เพิ่งตามมาอ่านแต่ต้นจนถึงตอนนี้ หมั่นไส้อีตาชามัล สาธุขอให้มิ้งค์เอาคืนให้สาสม


หมูอ้วน 28 ม.ค. 2555, 14:42:05 น.
แผนนายชามัล ตีบทแตกกระจุยเลยอ่ะค่ะ


SunSeed 30 ม.ค. 2555, 11:10:01 น.
โผล่มาแล้ว ชามารรร อิอิอิ


ling 24 มี.ค. 2555, 17:14:55 น.
โห พระเอกปลอมมาแย้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account