มายาไฟในดวงตา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ
เมื่อพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาตั้งใจจะเก็บมรดกทั้งของตนเองและน้องสาวเอาไว้
อันตรายบางอย่างกลับคืบคลานเข้ามา หญิงสาวจึงทำได้เพียงหนี !
ก่อนที่ “เขา” เจ้าของพลอยที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงจะมาทวงมันคืนไปจากเธอ
Tags: อสิตา มนตรามุกจันทรา ม่านธาราเร้นดาว พลอยตาเสือ มัชฌิตา ชามัล อัคนิวรา

ตอน: บทที่ 6 ต้นตระกูลเพลิง

@ คุณ Canopus
ถ้าสงสารอัคนิวรา ก็เอาใจช่วยเยอะๆเลยนะคะ(อ้อนแม่ยก) หุหุ ยังต้องเหนื่อยอีกมากละตาคนนี้

@ คุณAuuuu
ตอนนี้ไม่มีใครอยากยกตำแหน่งพระเอกให้ชามัลแล้วน่ะค่ะ นิสัยไม่ดีจัด
ยิ่งกดอัคนิยิ่งอยากหนี ยิ่งกดยิ่งเกลียด และยิ่งแค้น *0*

@ คุณ นางสาวกระป๋อง
ยินดีที่มาทักทายกันค่ะ หวังว่าจะรู้สึกดีกับอัคนินะ ...แต่ถามแบบนี้คนเขียนยังต้องอ้อมแอ้มต่อไป พูดไม่ได้ อ่านๆไปก็จะรู้เองค่ะว่าใครพระเอก หุหุ

@ คุณ ปรางขวัญ
สองคนนี้ ถ้าเทียบบทตลอดเรื่องแล้วน่าจะปริมาณสูสีค่ะ ตอนจบ...คงจบที่สองหนุ่มมารักกันเอง แล้วก็ฆ่านางเอกทิ้ง - -ไม่ใช่ละ...

@ คุณ Chii
อย่าลืมออกมาเชียร์ “อัคนิของเค้า” บ่อยๆนะคะ ^^ แต่อย่าเกลียดชามัลเลยนะ ชามัลขู่ว่าไม่งั้นจะตามไปหาถึงบ้าน

@ คุณ goldensun
อัคนิวราเกี่ยวกับพลอยตาเสือยังไง จะค่อยๆแย้มให้รู้ทีละน้อยค่ะ ส่วนหนูมิ้งค์ตอนนี้ก็อกเดาะจากชามัล เอาแค่เดาะพอเนอะไม่ถึงกับหัก...

@ คุณ Pat
อุ รูปแมวขาวน่ารัก ชอบแมวแบบนี้ต้องชอบเสือแน่ๆเลย แต่เสือน้อยสองร้อยกิโลตัวนี้คงอุ้มไม่ไหวนะคะ

@ คุณ Neferretti
เป็นคอมเม้นต์ที่ทำให้ประทับใจมากค่ะะะะะะ อ๊าาาา
อัคน้อย “ของเค้า” อีกแล้ว อย่าแย่งกันนะคะ ได้ทุกคน... อยากเป็นนางเอก ไม่ยากค่ะ เข้าไปอาบน้ำ นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมา นอนเซ็กซี่บนเตียง เพียงแค่หลับตาแล้วจิ้นว่าเป็นพี่มิ้งค์ หลังจากนั้นก็ *///* แต่ระวังอย่าหลับไปทั้งอย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวคนที่บ้านมาเห็นเข้าจะไม่งามค่ะ...
น่าสงสารชามารจัง กลายเป็นไอ้บ้านั่นซะแล้ว ความรักแต่หนหลังไม่มีหลงเหลืออยู่แล้วรึนี่
/ชามัลทำตาละห้อย แต่มือหยิบแส้ออกมาแล้ว ระวังให้ดี...
สิ่งที่รีเควสมาคงเพิ่มเติมอะไรไม่ได้แล้วละค่ะ(ถ้ามันไม่ใช่แบบนั้นอยู่แล้วน่ะนะ) เพราะเรื่องในชุดนี้ส่งสนพ.ไปทั้งสามเรื่องแล้ว ผ่านขั้นตอนแก้ไขไปแล้วด้วย อุอุอุ หวังว่าอัคนิจะไม่เปล่าเปลี่ยวนะ

@ คุณหมูอ้วน
ลงคะแนนเสียงให้อัคนิวราอีกแบบนี้ชามัลก็ได้แต่ทำตาปริบๆสิคะ ใกล้เปลี่ยนจากแส้เป็นปืนอาก้าถล่มยิงคนอ่านแล้วนะนั่น

@ คุณ wane
แนบเนื้อจริงๆ ตอนเขียนคนเขียนก็เขินไปด้วยค่ะ นั่งกัดผ้าเช็ดหน้าจนขาด+ชุ่มน้ำลายไปหลายผืน...

@ คุณ XaWard
พระเอกตัวจริงคือใครกันหนอ แต่ที่ตั้งใจไว้...กะว่าจะเอาตัวที่เหลือไปเป็นพระเอกภาคต่อไปน่ะค่ะ ถ้ายอดขายเล่มนี้ดีพวกเราคงจะได้เขียนชุดอัญมณีนี้ต่ออีกนะ
/คนเขียนส่งสายตาพรายระยับหวานซึ้งให้ประชาชี

@ คุณ sunrise
ได้พวกแล้วสิ ^^ตั้งแต่อ่านนิยายมา อสิตามักจะชอบแต่ตัวร้าย หรือไม่ก็พระรองค่ะ อย่างในสุดขอบจักรวาลก็หลงรักโอดิน ดังนั้นหนุ่มๆในเรื่องนี้จึงไม่มีดีสักคน เอ๊ย ไม่ใช่...
ความดีที่ซ่อนอยู่อาจจะมาเผยเอาทีหลังก็ได้นะ...

@ คุณ silverraindrop
คนเขียนชอบทำให้คนอ่านสับสนที่สุดค่ะ เพราะชอบเรื่องหักมุม พวกเรื่องสั้นสยองอะไรอย่างนี้ ชอบมากจริงๆ มีความสุขที่ได้ทำให้คนตกใจตลอดเวลา

@ คุณ ameerahTaec
นึกว่าตอนนี้จะหายหน้าไปซะแล้วค่ะ รออยู่เลย มาปิดท้ายพอดี คุณอะมีราห์... ง่า พยางค์สุดท้ายควรจะอ่านว่าอะไรคะ*-*’
อัคนิวรารู้จักกับย่าอมินตาของหลานทั้งสาม ตั้งแต่ชียังสวยไม่แพ้พี่มิ้งค์ เมื่อครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...


แง...สาวๆที่หายไปอย่าลืมตามมาอ่านให้ทันนะ ว่าแต่เว็บนี้ไม่มีนักอ่านหนุ่มๆเลยหรือว่าแอบซ่อนอยู่กันคะ ไม่เคยเห็น ในเม้นต์นิยายเรื่องอื่นไม่รู้มีบ้างไหม ถ้ามีก็อย่าเขินเลยนะ ออกมาเป็นเดือนในหมู่ดาวให้สาวๆจับจ้อง เอ๊ย ห้อมล้อม
ไม่ต้องอายนะคะ นิยายเรื่องนี้โหด เหี้ยม หวาน มัน ครบ... อ่านแล้วไม่เสียเชิงชายแน่ๆ

ป.ล. ช่วงนี้ระหว่างที่คนอ่านยังลุ้นตัวพระเอกกันอย่างหนุกหนาน ขอพักมาเกริ่นถึงตระกูลเมห์ฮราที่เป็นเจ้าของพลอยตาเสือราชันและราชินีทั้งสองเม็ดก่อนนะ จะได้รู้จักกันมากขึ้นอีกนิดถึงที่มาที่ไป ลงตอนเดียวจบบทเลย...ตอนหน้าอัคนิกับชามัลจะได้ออกมาฟาดฟันกันต่อ
เรื่องราวลึกลับกำลังจะเริ่มเปิดเผยตัวเองทีละน้อยแล้ว




บทที่ ๖ ต้นตระกูลเพลิง


เมห์ฮรา...เป็นตระกูลใหญ่ มีสมาชิกจำนวนนับหมื่นนับพัน บ้างเกี่ยวข้อง บ้างไม่รู้จักกันเลย

ทว่าในที่กล่าวถึงนี้คือเหล่าผู้คนซึ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้ความมืดมิด อยู่อย่างเป็นความลับ
ดุจดวงตะวันอันทอแสงเร้นกายใต้ผืนพิภพ

คำว่า เมห์ฮรา หมายถึงพระอาทิตย์ ลูกเพลิงสุกสว่างเจิดจรัสอยู่ท่ามกลางอนธการ
แห่งมหาจักรวาล เป็นดวงไฟที่เปลี่ยนวันไร้ชีวิตของโลกให้เป็นชีวัน

พวกเขาคือตระกูลแห่งการมองเห็น สามารถล่วงรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ ชักนำผู้คนไปสู่
หนทางแห่งชัยชนะในทุกสิ่ง สุลต่าน องค์ราชา มหากษัตริย์ ...ไม่ว่าจะเป็นกิจบ้าน
หรืองานเมือง เป็นที่รู้กันอย่างลับๆ ว่าคนเหล่านั้นมักเรียกหาเมห์ฮรา ดวงตาที่คอย
ชักนำสู่ทางอนาคต

บางยุคสมัยผู้นำตระกูลมิต้องการยุ่งเกี่ยวกับโลก พวกเขาก็จะหายไปประหนึ่งมิเคยมีตัวตน
แต่บางรุ่นเมห์ฮราก็กลับมาเจิดจรัสด้วยดวงตาแห่งแสงเปิดออก เพื่อความยิ่งใหญ่ซึ่ง
โลกต้องจดจำ แม้มีผู้รู้ความจริงว่าที่อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์สำคัญนั้นคือใคร
อยู่ไม่มากนักก็ตาม

นั่นเป็นเรื่องราวอันบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์เล่มหนาของเหล่าผู้แฝงกายอยู่ใต้ดิน
แต่ก่อนจะมาเป็นเมห์ฮรานั้นเล่ามีเพียงเรื่องราวเล่าขานสืบทอดส่งต่อกันมาปากต่อปาก
ทว่าผู้สามารถมองย้อนไปในอดีตต่างพากันรับรู้ มันคือความจริงซึ่งเคยเกิดขึ้น
เมื่อครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...

ดินแดนก่อนจะเคลื่อนเข้าสู่ยุคแห่งมหาภารตะยังคงเป็นแว่นแคว้นต่างๆ มิได้รวมเป็นแผ่นดินใด
ผู้เฒ่าเชื้อสายทมิฬนามวิศวาดิถี ชื่อเสียงขจรขจายว่าคือผู้ครองความหยั่งรู้อันวิเศษสุด
ด้วยพลังแห่งเนตรที่สามเป็นประหนึ่งคบเพลิงส่องนำทางไปสู่ความรู้ในที่ซึ่งผู้อื่นไม่อาจไปได้ถึง
ทั้งอดีต รู้กาลปัจจุบัน รู้อนาคต แม้จะมิใช่ทุกสิ่ง แต่ก็เกินกว่าความสามารถของมนุษย์เดินดิน
ธรรมดาทั่วไปมากนัก ตลอดเวลาจึงแต่มีผู้เดินทางจากดินแดนทั้งใกล้และไกลหมายฝากตัว
เป็นศิษย์ ทว่าผู้ที่จะถูกเลือกไว้มีเพียงผู้สามารถจริงๆ เท่านั้น

อาจารย์อยู่ไหนเหล่าศิษย์ที่ติดหน้าตามหลังก็คอยปรนนิบัติรับใช้มิได้ขาด ผู้เฒ่าเดินทาง
แสวงบุญช่วยเหลือผู้คนทั้งจากอุดรจรดทักษิณาจนฝากรอยเท้าไว้ถ้วนทั่วสารทิศ
ใช้ชีวิตบนหลังอัสดรจนชาชิน ตราบความชราแห่งสังขารค่อยๆ กร่อนกลืนกำลังวังชา
เมื่อนั้นวิศวาดิถีจึงหยุดปักหลักยังเชิงผาแห่งแดนหรดี

วรมัน ชายชาติองอาจ... ทยุตตี คือหนึ่งอิสตรีผู้ไม่เคยน้อยหน้าชายใด... ทั้งด้านพลังหยั่งรู้
จนเชิงศาสตร์แลศิลป์ที่เอกปุรุษพึงมี ทั้งสองเป็นสหายร่วมอาจารย์ บอกลาจากบิดามารดร
อุทิศตนติดตามวิศวาดิถี แข่งขันกันมาตลอดจากเมื่อยังเยาว์อายุจนล่วงเข้าหนุ่มสาว
แม้จะอยู่ในขั้นศิษย์รุ่นหลานแต่ความสามารถกลับโดดเด่นเกินกว่าศิษย์รุ่นไหนๆ
ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็เรียกว่ากินกันไม่ลง

ณ กระโจมที่พักท่ามกลางขุนเขา รายล้อมไปด้วยศิษย์แลมิตรสหายร่วมชะตาตั้งกระโจม
รายล้อมลดหลั่นกันไป คืนหนึ่งผู้เฒ่าวิศวาดิถีได้ดำริกับตนเองเงียบๆ

“เราก็เฒ่าชราถึงเพียงนี้แล้ว ถึงเวลาจะต้องหาผู้สืบทอดเป็นตัวแทนถือดวงตาแห่งการหยั่งรู้
นำการช่วยเหลือผู้คนต่อไป ศิษย์หลายคนล้วนโดดเด่นในศาสตร์อันแตกต่าง แต่คงจะมี
ผู้เดียวที่จะได้ครอบครองเนตรพยัคฆ์ซึ่งเป็นสมบัติแห่งดวงตาเราเป็นแน่แท้”

ในมือของผู้เฒ่ามีพลอยตาเสือรูปไข่ ขนาดใหญ่เกือบเท่ากำปั้นของบุรุษฉกรรจ์
เนื้อพลอยเป็นสีดำเข้มลึก พาดขวางด้วยขีดเปลวแสงแห่งไฟวาววาม ทอประกายเร้นลับ
ด้วยพลังซึ่งช่วยส่งเสริมความสามารถแห่งดวงตาที่สาม จากเคยเก็บงำสิ่งนี้ไว้ลำพังกับตัว
เสมอมา แต่ในวันอันใกล้นี้จักต้องเลือกมอบมันต่อให้ศิษย์คนใดคนหนึ่ง ...หนึ่งเดียวผู้คู่ควร

“ข้าคิดว่าจะหาผู้สืบทอดของข้าเสียที ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งที่ข้าจะมอบพลอยตาเสือ
เนตรพยัคฆ์ อันเป็นสมบัติแห่งการหยั่งรู้ให้” วิศวาดิถีเอ่ยอย่างเคร่งขรึมในวันสำคัญ
ซึ่งเรียกสานุศิษย์สำคัญหลายสิบมาอยู่รวมกันพร้อมหน้า

“ศิษย์ผู้โชคดีนั้นอาจเป็นวรมัน...” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

“หรือทยุตตี...” อีกเสียงเสนอ

ผู้ที่ถูกพาดพิงลอบสบตาด้วยรอยยิ้ม หาใช่ยิ้มอย่างไมตรีหรือว่าศัตรู แต่เป็นยิ้มของคนที่
ทัดเทียมทุกอย่างก้าว แต่ในวันนี้จะเหลือเพียงผู้เดียวได้ก้าวนำไป

ทยุตตีพรายยิ้มยั่วเย้า วรมันยิ้มตอบเหี้ยมเกรียม แม้คู่ต่อสู้เป็นสตรีก็ไม่ขอออมกำลังให้
เพราะอีกฝ่ายคือสตรีผู้เข้มแข็งเกินกว่ารูปโฉมที่เห็นมากมายนัก

“เราจะให้พวกเจ้าซึ่งเป็นศิษย์ทุกคนมีโอกาสเท่ากัน ใครหมายจะร่วมชิงชัย
หนึ่งปีนี้ขอให้พวกเจ้าออกเดินทางสู่ทิศต่างๆ ไปมองค้นหาสิ่งที่พวกเจ้าอยากจะเห็นมากที่สุด
จงกลับมาตัดสินกันในอีกหนึ่งปีให้หลัง ณ วันมหาครีษมะซึ่งกลางวันยาวนานที่สุด
ภายใต้เงาแห่งเชิงผาหรดี”

เมื่ออาจารย์กลับเข้าไปพักผ่อน หลายเสียงยังคงเสนอความเห็นกันอย่างออกรส
“ทยุตตีเป็นหญิง ไหนเลยจะเทียมวรมันได้”

“อย่าลืม ที่ว่าหญิงนั้นก็มิใช่หญิงธรรมดา บิดาของนางไม่มีบุตรชาย หมายเลี้ยงมา
ให้ทยุตตีเข้มแข็ง นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์สกุล”

“พวกเจ้าทั้งสองจะไม่พูดจากระไรบ้างรึ ปล่อยให้คนอื่นวิจารณ์ตนเองกันสนุกปาก”

ทยุตตีไหวไหล่ ก่อนกล่าวตอบเรียบๆ ทว่าเชือดเฉือนคนฟัง “ถ้าอยากขอให้ข้าหลีกทาง
ก็รีบพูดมาในตอนนี้นะ วรมัน”

“เจ้ามากกว่า ถ้าจะให้ข้าต่อให้ก็อ้อนวอนมาอย่าได้ร่ำไร ลองทำตัวเหมือนสตรีปกติดูทีหรือ
ซบลงมาที่อกข้านี่ แล้วบอกว่าท่านวรมัน อย่าใจร้ายกับทยุตตีนักเลย ข้าอาจยอมให้เจ้า
พาบิดามารดามาสู่ขอข้า... แต่เรื่องเนตรพยัคฆ์ ข้าคงต้องขอรับไว้เอง”

“อย่ามาร้องไห้เป็นเด็กๆ ทีหลังก็แล้วกัน” ทยุตตีตอบเสียงเขียวทว่ามีแววหยอกกลับ
ท่ามกลางเสียงฮาครืนของพลศิษย์ซึ่งถือข้างวรมัน ซึ่งจะว่าไปแทบทุกคนก็ถือข้างชายหนุ่ม
เกือบจะทั้งสิ้น ไม่มีใครคิดว่าทยุตตีจะชนะ เพราะการทดสอบของอาจารย์อาจมิใช่เพียง
ในเชิงหยั่งรู้ แต่กินความหมายรวมทั้งเรื่องของกำลังการปกป้องดูแลพวกพ้อง

ทว่าตัววรมันเองกลับไม่คิดเช่นนั้น เขารู้ว่าทยุตตีทำทุกอย่างได้ดีไม่แพ้ตน ถึงอีกฝ่ายจะเป็นสตรี
แต่เขาก็เชื่อว่าอิสตรีดุจงูร้าย หากไม่ระวังให้จงหนักอีกฝ่ายก็อาจแว้งมาทำร้ายตนก่อน หาก
จะรอเพียงสู้กันซึ่งหน้า เขาเป็นบุรุษ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็รู้สึกเสียเชิงที่ต้องมาชิงเปรียบกับสตรี
...อย่ากระนั้นเลย สู้หาทางให้ดูเหมือนว่าทยุตตีถอนตัวไปเองจะดีกว่า



จุดมุ่งหมายในการออกเดินทางของศิษย์แต่ละคนแผกกันไป บางรายมุ่งสู่ชุมชน
หวังเรียนรู้จากการช่วยเหลือชนหมู่มาก บางคนกลับปลีกตัวออกโดดเดี่ยวรอนแรมในป่าเขา
บ้างขึ้นเหนือ บ้างลงใต้

แต่ที่ซึ่งไม่มีใครอยากไปก็เป็นสถานที่อันท้าทายที่สุด ผู้มุ่งหวังในความเป็นเลิศอย่างทยุตตี
จึงตัดสินใจมุ่งสู่แดนราบสูงร้างแล้งทางทิศพายัพ ทะเลทรายอันว่างเปล่าไร้ผู้คน เชื่อกันว่า
ที่แห่งนี้เคยเป็นทะเลเกลือมาก่อนที่องค์รามจะผ่านมาทำให้มันเหือดแห้งลง

ทยุตตีใช้ความร้อนและความว่างเปล่าหล่อหลอมตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง
เปิดตาแห่งสมาธิ พลังรับรู้ของตาที่สามกราดมองไปรอบทิศ แต่มีเพียงทิศหนึ่ง
ซึ่งเสมือนมีภาพลวงตาแห่งทะเลทรายขึ้นมาบดบังบางเบา ทยุตตีจับตาแน่วนิ่ง
รับรู้ถึงตัวตนของใครบางคน

จริงอยู่ แม้ตลอดช่วงเวลานับเป็นแรมเดือนที่ผ่านมาจะยังไม่มีแม้เงาของผู้ใดมากล้ำกราย
ประสาทสัมผัสรับรู้แห่งตาใน แต่หากว่าคนผู้นั้นมีความสามารถทัดเทียมกันย่อมสามารถ
ปิดบังอำพรางตนได้ ทยุตตียิ้มกับตัวเอง...เป็นใครไปไม่ได้นอกจากบุรุษกวนประสาท
ที่ริอ่านคิดลองดี
ย่ำรุ่งเพลาแสงอุษามาเยือนทยุตตีได้ทิ้งกองไฟและที่พักแรมเก่า ก่อนออกเดินทางเร่ร่อน
ไปด้วยม้าคู่ใจ วกสู่แหล่งต้นน้ำทางทิศเหนือขึ้นไปซึ่งเคยเลียบผ่านมาแล้วในช่วงเดือนก่อน
คิดอยากหาเสบียงมาเพิ่มเติม

วรมันเลียบเคียงตามรอยซึ่งเขาติดตามมาด้วยความอยากรู้จนพบที่พักค้างในคืนก่อน
ของทยุตตี ขี้เถ้าเขม่าควันนั้นถูกเจ้าตัวนำมาขีดเขียนเป็นตัวอักษรขมุกขมัวตัดกับสีส้มอมเทา
ของทรายทิ้งไว้รอท่าเขา

“เลิกตามหลังข้าต้อยๆ เสียที...”

หึ แม่หญิงอวดดี คงรู้ตัวจนได้แล้วว่าเขาติดตามมา ก็นั่นปะไร หากไม่ทำให้รู้ก็คงไม่เรียกว่าสนุก
วรมันเองอำพรางตัวอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง อยากยั่วให้อีกฝ่ายหันมาเห็นเข้าเหลือเกิน
เป็นเช่นนี้เกมก็คงจะได้เริ่มจริงๆ จังๆ กันละ

หลายวันต่อมา ทยุตตีได้พบซากกองไฟกองหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ดักหน้าทิศซึ่งตนเองกำลังหมายจะ
บ่ายหน้าไป เถ้าของไฟนั้นถูกเขี่ยออกมาขีดเขียนไว้เป็นตัวอักษรที่ค่อนข้างหวัดตามนิสัย
เจ้าของลายมือ

“ข้าไม่ได้ตามหลังเป็นแต่เพียงอย่างเดียว แต่มาดักหน้าเจ้าก็ได้เหมือนกัน”

หญิงสาวถึงกับเงยหน้าหัวเราะกับข้อความนั้น ชักรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว อยากรู้นัก
ว่าวรมันจะยียวนไปได้ถึงไหน และเพื่ออะไร บางทีอาจแค่ตามมากวนใจเล่นเพราะ
ว่างมากกระมัง ไม่คิดแสวงหาความสงบเพื่อพัฒนาตนเองเสียบ้าง แต่ถึงจะเห็นเป็นเช่นนี้
คนอย่างวรมันคงประมาทมิได้เลย ชายผู้นั้นอาจพัฒนาไปพร้อมๆ กับที่ใช้เวลาส่วนใหญ่
ก่อกวนทยุตตีอยู่เช่นนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

คืนผัน วันผ่าน... ข้ามสู่ไตรมาสที่สามของขวบปี คู่ต่อสู้ผู้เงียบงันทั้งสองฝ่ายยังคง
เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกันอยู่ดังเดิม ไม่พบเจอ เลี่ยงการประจันหน้า ทิ้งเพียงข้อความลูบเหลี่ยมคม
แฝงนัยยั่วเย้าฝากไว้ในรอยทราย บางครั้งบางคราทยุตตีก็มักเห็นเหยี่ยวสีน้ำตาลตัวปราดเปรียว
โฉบผ่านมาในระยะไกลร้องเสียงแหลมก้องราวกับเจ้าของส่งมันมาท้าทาย

ณ บริเวณชายขอบรอบนอกผืนทะเลทรายยังมีต้นกำเนิดแห่งสายน้ำไหลผ่าน
...เย็นย่ำลงแล้ว วิหคผินโฉบผ่านแฉลบน้ำเฉียดถลาร่อนต่อลงเหนือผืนทรายบนทะเล
แห่งความแห้งแล้งอันกว้างใหญ่ ในลำน้ำแคบๆ ใสสะอาดที่แยกสายออกมาจากต้นน้ำใหญ่
วรมันค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ชั้นนอกออก เหวี่ยงฟาดซักมันกับโขดหิน อาศัยแรงปะทะนั้น
ล้างผืนผ้าให้สะอาดก่อนเคลื่อนกายาลงสระสรงชำระจิต ปล่อยกายใจและกระแสธารา
แห่งความคิดเป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำ หมายบรรลุฌานสมาธิขั้นสูงยิ่งขึ้นไป

สงบได้เพียงไม่นานก็รู้สึกผิดปกติ ความใสเย็นของน้ำดูเหมือนจะเริ่มแปรเป็นความแสบร้อน
ผิวหนังชักรู้สึกยุบยิบจนเริ่มกลายเป็นคันคะเยอ

วรมันถลาขึ้นบนริมฝั่ง สบถให้ลั่นยินไปทั่วคุ้งน้ำจนตัวการก่อความไม่สงบที่อยู่ไม่ห่างออกไป
ทางต้นน้ำแอบสรวลอย่างแสนขบขันในใจ ด้วยยาซึ่งผสมจากใบสมุนไพรร้ายหลายชนิด
ทยุตตีโรยมันไปตามสายน้ำ ปล่อยให้ธารระรินเรื่อยไปจนถึงวรมัน ครานี้เป็นฝ่ายนั้น
ที่พลาดท่าเสียทีให้นาง

ชายผู้ต้องพิษคิดเคืองขุ่นในอารมณ์เพียงไม่นานก็หาทางแก้ไขพิษของทยุตตีลงได้
อันที่จริงอาจารย์วิศวาดิถีของพวกตนนั้นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยาผงเหล่านี้อยู่ ไม่คิดว่าทยุตตี
จะเอาบทเรียนจากตำราช่วยคนซึ่งร่ำเรียนมาผสมเป็นพิษร้ายใช้ราวีเราได้เช่นนี้ เห็นที
ในกาลข้างหน้าวรมันเองจะต้องศึกษาศาสตร์ด้านนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปเพื่อมิให้น้อยหน้า
บุรุษผู้เป็นหนึ่งในศิษย์เอกรู้สึกว่าในความขึ้งโกรธของตนนั้นยังระคนพึงพอใจอยู่ด้วย
ก็แค่รอให้ราตรีนี้มาเยือน

ใกล้กองไฟที่แตกปะทุเข้าไปอีกก้าว และอีกก้าว จนเริ่มสัมผัสได้ถึงความอุ่นโชยมาสัมผัสกาย
วรมันหวังจะได้เห็นทยุตตีนอนสลบไสล ก็ได้แค่หวังเท่านั้น

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา วรมัน...” เสียงหวานไพเราะทว่าเฉียบขาดดังมาจากคนที่
นั่งหันหน้าให้กองไฟ ดวงตาคมซึ้งวาววามชายขึ้นสบเนตรบุรุษผู้มาเยือนยามวิกาล

วรมันไม่เคยรู้สึกว่าทยุตตีดูงามจับตาเท่าวันนี้มาก่อน ตลอดเวลาที่เติบโตเคียงกันมาในฐานะคู่แข่ง
ไม่เคยเลยสักครั้งที่ทั้งสองจะยอมตัวมาสนิทสนมหรือเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทว่าในช่วงเกือบปีที่ผ่านมา
แม้มิได้พบหน้าแต่กลับใกล้ชิด แม้มิได้พูดคุยยิ่งกลับสนิทสนมเพราะเล่ห์กระเท่ซึ่งถูกขุดเอามาใช้
ให้อีกฝ่ายได้ประจักษ์เป็นการทักทายเล็กๆ น้อยๆ เสียดสีด้วยถ้อยคำที่ทิ้งไว้เย้ยให้เจ็บๆ คันๆ
แต่เป็นคราแรกที่ทยุตตีเล่นแรงถึงกับทำเอาวรมันสะท้านไปทั้งกายอย่างเมื่อเย็นย่ำที่ผ่านพ้น

“ก็เป็นครั้งแรกที่เจ้าเล่นงานข้าหนักเช่นนี้ มันก็สมควรแล้วที่ข้าจะดอดมาเอาคืนหรือมิใช่”

“ถ้าคิดว่าข้าจะนอนหมอบรอเป็นกระต่ายให้เจ้ามาฉวยหูไปก็นับว่ายังรู้จักข้าน้อย”
ทยุตตีว่าพลางยกสมุนไพรชงในมือขึ้นดื่ม

“เจ้าคงกำลังจิบยาแก้ง่วง”

“ส่วนในกองไฟนี้ข้าก็ใส่ยานอนหลับไว้รอให้เหยื่อหลงเข้ามา”

“จะทำอะไรข้า จับข้าถอดเสื้อผ้าแล้วปล้นหรือไง ยาแก้ที่เจ้าดื่มข้าก็เตรียมพร้อมมาแล้วเช่นกัน”

“อ้อ...ก็ยังนับว่าฉลาดอยู่บ้าง”

“ข้ามาพบกับเจ้าเพื่อขอสงบศึก” วรมันว่า

“เราก็ไม่ได้เป็นศัตรูกันแต่แรก” ทยุตตีตอบทั้งหลับตาจิบเครื่องดื่มในมือ

“แต่ก็ไม่ได้เป็นมิตร” วรมันเปรย

“ก็คงไม่ยาก หากเจ้าจะบอกข้าว่า...ทยุตตี ข้าขอให้เจ้ายอมเป็นเพื่อน”
หญิงสาวแนะแนวทางให้ชายหนุ่มตรงหน้า คิดว่าคนอย่างเขาคงไม่มีวันยอมตาม

“ทยุตตี เจ้าจะยอมเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่” วรมันนั่งลงเคียงใกล้ ไม่รอคำตอบก็ฉวยแก้วในมือ
ของศิษย์ร่วมอาจารย์ไปดื่มต่อจนหมด “ถือว่าเราเป็นสหายร่วมดื่ม แม้นี่จะไม่ใช่สุราก็ตาม”

“เกิดนึกอะไรขึ้นมา หรือคิดว่าถ้าสู้กันต่อไปจะต้องพ่ายแพ้แก่ข้าตรงปลายทางจนได้ หืม...วรมัน”

“ข้าคิดว่าเราควรสามัคคีเป็นเกลอกันมากกว่า ภาษิตว่าไว้ หนึ่งรวมกับหนึ่งย่อมกลายเป็นสิบเอ็ด...”
“พูดอะไรก็ได้ให้ได้สมประสงค์สินะเจ้าน่ะ เอาเถอะข้าจะยอมปรองดองเป็นสหาย เพราะถือว่า
ยกสุดท้ายเมื่อเย็นนี้ข้าชนะเจ้า แถมเจ้ายังยอมลดตัวมาขอข้าเป็นเพื่อนก่อน แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว”

“เถอะ...ข้ายอมเจ้า ตอนนี้” วรมันพูดอย่างปลงๆ

“ก็แค่ตอนนี้” ทยุตตีทวนคำ

ทั้งคู่นอนมองฟ้า มีเรื่องคุยกันมากมาย ทั้งเรื่องที่ไม่เคยคิดว่าจะหาคนคุยด้วยได้
ทำให้เกิดความคิดตรงกันขึ้นมาในเรื่องว่าควรได้เปิดใจพูดคุยกันนานแล้ว

ทยุตตีมองเสี้ยวหน้าคมคร้ามของวรมันผู้ซึ่งกำลังชันกายขึ้น มองเหม่อไปยังกองไฟ
“เกือบปีนี้เจ้าพัฒนาไปมากน้อยเพียงใด”

“ก็คงไม่มากไปกว่าเจ้า” หญิงสาวตอบ

วรมันมองไฟเรื่อยเปื่อยแล้วก็รำพึง “ดูเป็นการเดินทางที่เชื่องช้าเสียจริง
ข้าคิดสงสัยตลอดมา ว่าเหล่าผู้ใช้พลังหยั่งรู้แห่งเนตรที่สามนี้ทำไมจึงไม่มีผู้ใด
รู้แจ้งแทงตลอดได้อย่างในคัมภีร์โบราณจารึกไว้”

“เพราะที่เราต้องการคือวิชาแห่งกิเลสตัณหา ยังอยากได้ อยากเป็น อยากมี อยากรู้...
เพราะงั้นเราจึงไม่รู้ แต่เหล่าผู้ที่รู้ก็มักปลีกกายวิเวกไปจากหมู่ชน เพราะฉะนั้นผู้รู้ทะลุไปทุกสิ่ง
จึงไม่ปรากฏกายให้ใครได้เห็นง่ายดาย จนเสมือนหนึ่งว่าไม่มีตัวตน”

“เราเป็นผู้ถือศาสตราวุธแห่งไฟ อาวุธของพระอัคนีเทพ คือการมองเห็นด้วยแสงสว่าง
ในความมืดมิด พลังที่พระเป็นเจ้าได้มอบให้แก่มนุษย์”

“ข้ารู้หรอกน่า” ทยุตตีซึ่งกำลังเคลิ้มหลับงึมงำตอบ

วรมันหันมองเสี้ยวหน้างามที่เห็นเป็นดั่งรูปสลักอ่อนช้อยในแสงและเงาจากไฟกองน้อย
ที่หรี่ลงแล้ว รู้ดีว่าความลับอย่างใหม่กำลังจุดประกายขึ้นในใจ
แต่ความรู้สึกที่มีต่อสตรีสักคนนี้จะเปลี่ยนแปลงตัวตนเขาได้กระนั้นหรือ...


ตั้งแต่นั้นทั้งสองเดินทางเคียงข้างกันในทะเลทราย ที่ใดมีทยุตตีย่อมมีวรมันอยู่ด้วย
แววตายามสบกันแปลกไปไม่เหมือนเดิม ทว่าไม่มีผู้ใดยอมพูดหรือปริปากถึงความในใจ
ออกมาก่อน...
วันเดือนผ่านไปอีกครั้ง จวนใกล้วันมหาครีษมะในกลางปีซึ่งจะมีกลางวันยาวนานที่สุด
ทั้งคู่จึงเริ่มออกเดินทางกลับไปตามที่อาจารย์ตนได้นัดแนะไว้

“เรามาเขียนจดหมายกันคนละฉบับ หากใครกลายเป็นผู้ชนะได้ครองเนตรพยัคฆ์
เมื่อนั้นเราจึงค่อยเปิดจดหมายที่เก็บไว้กับตัวออกอ่าน” วรมันเสนอ

“ก็เป็นความคิดที่ดี”

มิตรสนิททั้งสองแลกสารกันเรียบร้อยในค่ำที่ฟ้ากระจ่างไร้ดาว คืนนั้นทยุตตีหลับลง
ทั้งรอยยิ้มข้างกองไฟ ขณะที่วรมันเฝ้าดูนางค่อยๆ หลับไป เขาจิบยาอึกหนึ่ง และอีกอึกหนึ่ง
ยาแก้ง่วงที่ช่วยให้หลีกพ้นจากนิทราด้วยผงซึ่งตัวเขาเองได้แอบร่ายโรยลงสู่กองไฟ

“ข้าอยากเปิดอ่านความในใจของเจ้านัก ทยุตตี... อยากรู้ว่าเจ้าอยากบอกอะไรกับข้า
ในจดหมายที่เราแลกกัน” ชายหนุ่มรำพึงกับสายลม ทอดตาอ่อนโยนมองสตรีที่นิทราสนิท
อยู่ไม่ห่าง ค่อยๆ หยิบจดหมายซึ่งสอดไว้ใต้อกเสื้อตนออกมากรีดไล้บางเบาด้วยปลายนิ้ว
“ข้าไม่อาจอ่านอนาคตของเจ้า เพราะในหมู่เรานั้นยากจะรู้ชะตาของตนเองหรือผู้ที่มีพลังสูงส่ง
ทัดเทียม แต่ข้าเชื่อว่าในอนาคตของเราจะยังมีกันและกันแน่นอน” วรมันถอนใจ เก็บจดหมาย
ตัดใจที่จะรออ่านมันเมื่อถึงเวลา ก้มลงลูบผมทยุตตีแผ่วเบา

“เราจะพบกันอีกครั้ง เมื่อข้าได้สืบทอดดวงเนตรพยัคฆา”
ชายหนุ่มกระซิบกับนางผู้กำลังหลับใหล นางผู้กุมหัวใจของเขา ริมฝีปากอุ่นๆ ค่อยๆ
ประทับลงบนเรียวปากที่แย้มยิ้มน้อยๆ นั้นแทนคำบอกลา





นานข้ามวันและคืนจากนั้น ในทะเลทรายอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ทยุตตีได้ตื่นขึ้น
คนหนึ่งหายไป ม้าทั้งสองตัวหายไป ต้องเป็นความร้ายกาจของวรมันแน่แล้ว
หญิงสาวเพียงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอาการสงบ หยิบจดหมายออกมาเปิดอ่าน
เพราะเพลานี้ก็รู้กันแล้วว่าใครคือผู้ชนะ...

ทยุตตีที่รัก เจ้าคงได้เปิดอ่านจดหมายนี้ก่อนที่การแข่งขันจะมีขึ้นด้วยซ้ำ
เพราะข้าได้เลือกวิธีอันไม่น่าชื่นชม...คือการทิ้งเจ้าไว้เบื้องหลัง
หวังว่าเจ้าคงไม่โกรธเกลียดข้าเกินไปนัก เพราะหากเป็นเช่นนั้น
ทุกสิ่งซึ่งข้าจะได้มาก็คงไร้ความหมาย
ข้ายอมรับว่าแรกทีเดียวข้ามีแต่ความอยากเอาชนะ แต่สุดท้ายก็แพ้ให้กับ
ความอ่อนโยนในดวงตาของเจ้า อบอุ่นยามเมื่อเราสองได้อยู่เคียง

ตัวข้านั้นไม่เคยเอ่ยคำรักต่อหญิงคนใด แต่นั่นคงจะเป็นความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าเป็นแน่แท้
ข้าเพียงอยากขอ ขอให้โปรดให้อภัยแก่ข้า ที่ทำไปหาใช่เพื่ออยู่เหนือเจ้า แต่ข้าตระหนักว่า
การเป็นผู้นำย่อมต้องเผชิญทุกสิ่งก่อนหน้าคนผู้ตามมาทีหลัง ยามภัยมาก็ต้องรับปะทะมัน
ก่อนผู้ใด ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นสตรีที่ห้าวหาญและสามารถจนยากหาใครเสมอเหมือน
ทว่าเพราะเวลานี้ข้ายิ่งอยากปกป้องเจ้ามากกว่าที่ผ่านมา ข้ายอมให้เป็นเจ้าไม่ได้ที่จะ
ก้าวนำข้าไปเพื่อพบกับอำนาจอันกอปรไปด้วยภยันตรายซึ่งอาจดาหน้าเข้ามา
โปรดเข้าใจข้าด้วย ข้าหวังจะได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าเมื่อเราได้พบกันอีกครั้ง
แม้มันจะเป็นไปได้ยากก็ตามที

รัก... เพื่อนของเจ้า วรมัน



ในวันครีษมายันอันร้อนราวเพลิงของสุริยเทพจะลามลงมาแผดเผาแดนมนุษย์
ต่อหน้าศิษย์และอาจารย์หาได้มีใครกล้าก้าวออกมาเผชิญหน้ากับวรมัน แม้ไม่รู้ว่า
การทดสอบที่รอคอยอยู่คืออะไร แต่ทุกคนก็พร้อมจะเงียบ รอคอยเพียงสตรีผู้หนึ่ง ทยุตตี...

วันนั้นยาวนานสำหรับวรมันยิ่งกว่าผู้ใด นอกจากคอยให้ทุกสิ่งเป็นไปดังประสงค์แล้ว
ชายหนุ่มยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ห่วงกังวลถึงนางที่รู้ว่าอย่างไรก็จะไม่เห็นหน้า
ในวันนี้แน่ ให้นึกเสียใจ หากทยุตตีอยู่ด้วย ช่วงเวลานี้คงจะมีความหมายและชีวิตชีวา
ยิ่งกว่าเป็นเพียงซากวันอันแห้งแล้ง แต่เป็นวรมันเองที่กำจัดฝ่ายนั้นออกไปเสียจากงานชิงชัย
จะมาย้อนสำนึกเสียใจเช่นไรได้

อาทิตย์อันแผดแสงยาวนานลับเหลี่ยมเชิงผาหรดีลงไปแล้ว ยังมิปรากฏเงาของทยุตตีแต่อย่างใด
ทุกคนจึงคาดเดากันไปว่านางคงคิดสละตำแหน่งผู้สืบทอดของอาจารย์ให้วรมันรับไว้เป็นแน่แท้
เมื่อนั้นวิศวาดิถีจึงเข้ามาตบไหล่ศิษย์รักยิ่งของตน

“ไม่มีใครคิดลงแข่ง เพราะต่างรู้ว่าไม่อาจเอาชนะเจ้าวรมัน และรวมถึงทยุตตีด้วย ดังนั้น
เมื่อผู้ที่มามีเพียงเจ้าก็แน่นอนว่าผู้สืบทอดของอาจารย์คือใคร”

“ท่านอาจารย์ ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ...”

“คงไม่เรียกว่าง่าย เพราะเจ้าเองก็ได้พยายามมาตลอดชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด
นั่นทำให้เจ้าสามารถมาอยู่ในจุดนี้ หรือมิใช่”

วรมันจ้องมองเนตรพยัคฆ์ที่จ้องตอบกลับมาด้วยแววฉายฉาน สมาธิอันแรงกล้า
บังเกิดจากความว่างเปล่าในชั่วพริบตาที่รับมันมาสู่มือด้วยความอึ้งตะลึงงัน
เมื่อพลอยตาเสือสัมผัสฝ่ามือ ภาพทยุตตีล้มลุกคลุกคลานในแดนทราย หาได้มี
ม้าไปรับอย่างที่เขาส่งเหยี่ยวคู่ใจไปบอกสหายให้ช่วยจัดหาแต่อย่างใด
เกิดอะไรขึ้นกับเหยี่ยววรมันมิได้สนใจ

ชายหนุ่มเร่งตาลีตาเหลือกตะกายไปขึ้นม้า ท่ามกลางเสียงร้องถามเซ็งแซ่และ
อาจารย์ผู้มองตามโดยมิเข้าใจ ศิษย์วรมันเพียงสัมผัสเนตรพยัคฆ์ก็ล่วงรู้ไปถึงสิ่งใด
ที่อาจารย์วิศวาดิถีเองยังมิอาจรู้ได้กระนั้นหรือ


วรมันขี่ม้าตะลุยข้ามป่าหินมุ่งสู่แดนพายัพอีกครั้ง ฝีเท้าอาชากระทืบกระแทกพสุธารุนแรง
ราวกับเจ็บปวดแทนผู้ที่ทรงกายอยู่บนหลังมัน ทุกฝีเกือกบดลงกระเทือนพื้นพลอยขยี้จิตใจ
ให้แหลกสลายลงตาม หมายใจจะไปให้ทัน ทันลมหายใจของคนซึ่งตนห่วงหามากที่สุด

ข้า...ลืมหัวใจไว้กลางทาง การเดินทางเพื่อเปิดตามองสิ่งต่างๆ กลับทำให้ข้าบอดใบ้
หนทางยาวไกล ลำบาก ยากเข็ญ และข้าได้ทำหัวใจของข้านั้นหล่นหายไป
ตัวข้าที่อยู่ตรงนี้คือชายผู้ปราศจากความรัก ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

ใต้แสงสุริยาทิตย์ จันทรา แลดาราที่วนเวียนเปลี่ยนผัน วรมันหาได้หลับนอน
ยังคงมุ่งไปบนหลังม้าจนไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์คนหนึ่งจะอดทนเฉกนั้นได้ ตราบเข้า
เขตทะเลทรายด้วยพลังจากดวงเนตรที่เบิกค้างพุ่งไปยังจุดเดียวคือนางผู้เป็นที่รัก

“ไม่...ทยุตตี ไม่..................”

เสียงตะโกนก้องนั้นขาดหายในห้วงท้าย ชายหนุ่มหมดแรงปล่อยตัวตกจากหลังม้า
ลงคลุกทราย พร้อมๆ กับภาพลมหายใจสุดท้ายของนางผู้ห่างไกลจากตนซึ่งเขามองเห็น
ผ่านดวงตาแห่งการรับรู้

“ข้าไปไม่ทัน ! ข้าฆ่าเจ้า !! ฆ่าเจ้า ด้วยมือของข้าเอง!!!” วรมันร้องไห้โหยหวนดังยาวไกล
ไปในแดนทรายอันว่างร้างนั้น ทว่าไม่มีใครได้ยิน ชายหนุ่มล้มฟุบสลบไปข้ามวันข้ามคืน
น้ำตาเหือดแห้ง แต่ดวงตาที่แสบร้อนแทบมองอะไรไม่เห็น และในท่าที่นอนอยู่เช่นนั้น
มืออันสั่นเทาก็ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบจดหมายของผู้ที่หวังว่าจะได้พบกันอีกคราออกมาอ่าน

วรมันเอย เราสองเห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ข้าเคยคิดว่าข้าไม่มีอะไรด้อยไปกว่าเจ้า
แต่เมื่อได้มาใช้ชีวิตอยู่ชิดใกล้จนเล็งเห็นน้ำใจของกันและกันเช่นนี้แล้ว ข้าไม่อายเลย
ที่จะยอมรับกับตนเองว่าข้าคงแพ้เจ้า ข้าคิดว่าเมื่อเราเดินทางไปถึงจุดหมาย
ข้าจะหาเหตุผลมาอ้างเพื่อทิ้งสิทธิ์ในการเข้าแข่งและยอมให้เจ้าได้ครอบครอง
ที่สุดแห่งดวงตา ไม่ใช่ว่าข้าเสียสละอะไร เพียงแต่ว่าเจ้าคู่ควรจะได้นำกลุ่มคน
ซึ่งเดินทางแสวงบุญช่วยเหลือผู้คนเช่นนั้นมากกว่าข้า...

ข้าอยากบอกเจ้าสักนิด คงน่าละอายที่ผู้หญิงสักคนจะเอ่ยเช่นที่ข้าตั้งใจต่อไปนี้
ข้าขออะไรบางอย่างเพื่อแลกกับดวงเนตรพยัคฆ์
ก็คือ ‘ดวงตาของเจ้า ที่จะมองหญิงเพียงหนึ่งเดียวคือข้า’
เพราะจากนี้ข้าคงทนไม่ได้หากเห็นเจ้ามองผู้ใดเช่นที่เคยมองข้ายามเราอยู่เคียงกันนั้น
ทยุตตีขอจากวรมันเพียงนี้…หวังว่าคงไม่มากเกินไป


วรมันยิ่งคำรามก้องราวกับถูกใครมาควักดวงตาไปเสียจากเบ้า เล็บจิกลงบนใบหน้า
ทึ้งผม ทุรนทุราย พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นดวงเนตรพยัคฆ์อันกลิ้งหล่นลงมา
จากถุงสัมภาระซึ่งหล่นถึงทรายพร้อมตัวเขา

“ของพรรค์นี้...ถึงจะได้มามันคุ้มตรงไหนกับสิ่งที่ข้าต้องเสียไป !!! ”
วรมันกระชากด้ามขวานเล่มหนาที่เหน็บไว้ข้างอาชาตนเงื้อง่า ก่อนทุบลงไปสุดแรง
ด้วยกำลังจักระทั้งหมดที่มีในตน

พลอยที่เคยเป็นหนึ่งแตกออกเป็นสองเสี่ยง...
ใจดวงหนึ่งแตกสลายเป็นผงไม่เหลือชิ้นดี...

วรมันนอนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ตั้งใจจะทิ้งชีวิต เขาค่อยๆ หลับลงและฝัน ทยุตตียังยิ้มมา
แม้มันจะไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่เห็นนั้นคือความจริง

“ภาษิตว่าไว้ มีดวงอาทิตย์อีกนับพันดวงรออยู่หลังเมฆหมอก ผ่านมันไปให้ได้
ข้าไม่เกลียดเจ้า เพราะรู้สิ้นแล้วว่าเจ้ามิได้ตั้งใจให้มันเป็นไปเช่นนี้ และด้วยรัก
ไม่อาจถูกทำลายด้วยแค้นฉันใด หากรักของข้าคือทะเลเกลือก็คงไม่แห้งไป
ด้วยแรงแผดเผาแห่งศาสตราของอัคนีเทพฉันนั้น เพราะรักข้าใหญ่กว่าผืนทะเล
ดังนั้นชายผู้เป็นที่รักแห่งข้าจงมีชีวิตต่อไปแทนส่วนของข้าด้วยเถิด และวันที่เรา
ได้พบกันใหม่ข้าจะยิ้มให้เจ้าอีก คราวนั้นคงจะเป็นรอยยิ้มที่จับต้องได้จริงๆ ”

วรมันลืมตาช้าๆ เก็บเศษพลอยทั้งสองขึ้นใส่ย่าม กินอาหารและน้ำ นอนหลับพักผ่อน
ไปด้วยความล้าเหนื่อย รอให้แรงกายฟื้นคืนจึงค่อยเดินทางไปเพื่อจัดการกับร่างของหญิง
ผู้กุมหัวใจตนไว้ด้วยความอาดูรหม่นเศร้า จากนั้นจึงกลับไปหาอาจารย์และเพื่อนพ้องที่รออยู่
บอกเล่าข่าวร้ายของทยุตตี แต่มีเพียงผู้เดียวคือผู้เฒ่าวิศวาดิถีที่ค่อยๆ รู้ได้ด้วยตาใน
ว่าสิ่งใดกันบังเกิดต่อศิษย์รัก

“เมื่อถือพลอยเนตรพยัคฆ์เช่นนี้แล้ว ดวงตาของเจ้าก็มีอำนาจมากกว่าอาจารย์
แม้มันจะแตกออกเป็นสอง แต่พลังภายในนั้นยังยอมรับเจ้า เพื่อการนั้นเราจะบูรณา
พลอยนี้โดยแยกออกเป็นสองดวง คือหนึ่งเนตรราชันและหนึ่งเนตรราชินีไว้เคียงข้างกัน
บนเหรียญตราพระอาทิตย์ เมห์ฮรา...สัญลักษณ์ของแสงสว่าง ผู้นำทางในความมืดมิด
แห่งห้วงจักรวาล”

เวลาผ่านไปและผ่านไป ผู้เฒ่าวิศวาดิถีได้หลับเนตรลงอย่างสงบ วรมันรับรู้ว่าทยุตตี
ได้มารับผู้เป็นอาจารย์แห่งตนไปด้วยกัน ยังไม่ถึงคราวของเขา เขายังมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือ
ผู้คนอีกมาก ตราบล่วงเข้าวัยกลางคนพลพรรคและสานุศิษย์ก็เพิ่มขึ้นมากมาย
วรมันเชี่ยวชาญทั้งเรื่องช่วยเหลือคนด้วยเนตร สามารถเสกศาสตราแห่งไฟซึ่งเป็นพร
ของอัคนีเทวะ ตลอดจนศาสตร์ลี้ลับแห่งยาสั่ง ทุกวันนี้คนเรียกเขาเป็นอาจารย์ เคารพ
เชื่อฟังทั้งยกย่องบูชาไว้เหนือสิ่งใด แต่ยังมีสหายสนิทหลายคนที่เห็นวรมันเป็นเพื่อน
เคยนับถือสนิทชิดเชื้อร่วมทุกข์สุขกันมาแต่ก่อนแต่ไร

“อำนาจตาที่สาม สืบทอดทางสายเลือด อาจเป็นเพราะบุญกรรมของคนที่จะมาเกิด
ในสกุลเดียวกันด้วยอย่างหนึ่ง เรียกง่ายๆ ว่าจะต้องมีบารมีต้องกัน ดังนั้นพวกข้าคิดว่า
เจ้าควรมีทายาท แม้ยังรักมั่นต่อทยุตตี แต่ก็ควรมีหญิงสักคนไว้เป็นแม่ของลูก”

“ผู้นำย่อมไม่อาจทำตามใจตนแต่เพียงอย่างเดียว...”
วรมันกล่าวเรียบๆ ก่อนขอตัวสู่กระโจมของตน และก่อนหลับตาลงคืนนั้นผู้เป็นอาจารย์
แห่งการหยั่งรู้ได้หยิบมีดสั้นขึ้นมากระชับมั่นในมือ ตวัดมันทีเดียวผ่านดวงตาทั้งสอง
ขณะที่ปล่อยให้หยาดโลหิตรินไหลลง

“ข้าเป็นแต่เพียงมนุษย์เดินดิน ยังมิได้บรรลุถึงแก่นธรรมอันใด หากเห็นรูปรส
ซึ่งเสพด้วยตาอาจเกิดจิตเสน่หาแต่หญิงอื่น ซึ่งข้าเคยได้ระวังตนหลีกเลี่ยงตลอดมา
ทว่าข้าจะไม่ผิดสัญญาต่อเจ้า ทยุตตี...อย่าได้ห่วงไป ข้ามีดวงตาที่สามแจ่มชัด
ถึงเพียงนี้แล้ว ขนาดว่าแม้หลับตาเดินก็ยังเสมือนมองเห็น คงไม่ลำบากอะไร
เพียงแก้วตาของข้าเท่านั้นที่จะไม่สะท้อนภาพหญิงใดอีกเลย”

ตราบนั้นตระกูลของผู้มองเห็นจึงได้เริ่มต้นสืบสายต่อลงมา จวบจนชีวิตวรมันสูญสิ้น
อาตมันสองดวง...ของวรมันแห่งเมห์ฮราและทยุตตีได้โคจรมาพบกัน
ณ แดนอันสว่างไสวนั้น โดยที่สุดแห่งคำสัญญา

{อาตมัน ...ฮินดูหมายถึงดวงวิญญาณ }


ตระกูลเมห์ฮราได้เติบโตแผ่กิ่งสาขาผ่านกาลเวลา ทายาทของสกุลล้วนสมรสกับ
มิตรผู้มีพลังตาในกล้าแข็งซึ่งเป็นผู้ร่วมสุขทุกข์อยู่เคียงไหล่กันมา พวกเขาผ่าน
อะไรต่อมิอะไรต่างๆ มากมาย บางคราถูกใช้ประโยชน์ ถูกควบคุม
บางครากลับพลิกขึ้นเป็นผู้กุมชะตาของอาณาจักรอันเรืองอำนาจ ยินดีในอำนาจ
จนเหน็ดเหนื่อย หน่ายแหนงเมื่อรู้ซึ้งถึงวังวนอันไม่จีรัง

ที่สุด เมห์ฮราจึงเร้นสู่ใต้ดิน เมื่อไม่ได้อยู่ในที่แจ้ง พวกเขาก็สามารถเป็นผู้ควบคุม
แนวทางแห่งตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ครั้นจะหาคนขุดคุ้ยติดตามผู้มีดวงตาหยั่งรู้
ที่ตั้งใจจะหลบเร้นหนีหน้าด้วยสามารถก็ยากยิ่ง ส่วนเมห์ฮราผู้ใช้ชีวิตเปิดเผยอยู่ใน
สังคมนุษย์นั้นกลับไม่รู้ความสิ่งใดเลย เป็นอีกสายที่ปราศจากดวงตาแห่งการรับรู้โดยสิ้นเชิง

ศาสตร์แห่งพลังซึ่งส่งทอดสืบต่อมาแบ่งได้เป็นสองประเภท
นอกจากการหยั่งรู้ก็คือความสามารถในการใช้ไฟอันเป็นศาสตราแห่งพระอัคนี
ปกป้องทั้งตนเองและพรรคพวกในการทำกิจการงานใดให้สำเร็จลุล่วง
เพราะพลังการตาที่สามเพียงอย่างเดียวย่อมยากจะต่อกรกับภยันตราย

เมื่อมีการมองเห็นก็ย่อมมีการป้องกันการมองเห็น คือการปิดตา หาใช่ปิดตาในของตนเอง
หากแต่เป็นบดบังพลังรับรู้ของผู้อื่นที่จะเพ่งมายังตัวเรา มิให้อีกฝ่ายรู้ได้ถึงเจตนาร้าย
หรือใช้ในเวลาที่คิดลอบติดตามผู้ใด ดังเช่นวรมันเคยแอบเดินทางตามรอยทยุตตี
ในช่วงแรกๆ แต่การบังตานี้สำหรับคนที่มีพลังสูสีพอจะต้านทานกันได้อาจใช้ไม่ได้ผล
มีเหมือนกันที่นานๆ ครั้งจะเกิดผู้ที่พลังตาในอ่อน แต่กลับมีพลังในการอำพราง
ปิดตาผู้อื่นโดดเด่นถือกำเนิดขึ้นมา

เมห์ฮราเติบโต เปรียบประดุจไม้ใหญ่หยั่งรากลึก รากนั้นแตกแขนงเป็นสำคัญยิ่งกว่า
ข้างลำต้นบนผิวดิน สืบสานผ่านเวลามายาวไกล ค่อยๆ อพยพย้ายขึ้นมาทางเหนือ
สู่ซีกฝั่งตะวันออกของดินแดน โดยมีอาณาจักรใหญ่เร้นอยู่ใต้ผาหินในป่าเขาลึกลับ
ของรัฐอัสสัมยากยิ่งแก่การค้นพบ โดยส่งผู้คนแลพลังอำนาจที่ถูกฝึกปรือมาเป็นอย่างดี
ออกสู่สังคมโลกภายใต้ความดูแลขึ้นตรงต่อผู้นำรุ่นแห่งตระกูลเมห์ฮราเพียงผู้เดียว


จวบจนเพลาสำคัญที่ ศานติมัน เมห์ฮรา ได้ถือกำเนิด...

เด็กชายเกิดมาท่ามกลางความพรักพร้อมแวดล้อมเอาใจของผู้นำตระกูลซึ่งเป็นบิดา
และข้าทาสบริวารทั้งหลาย กับเหล่าผู้ดูแลที่กุมอำนาจจัดการระบบต่างๆ ภายใน
ตระกูลใหญ่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

“ศานติมัน เจ้าเกิดมาเป็นขวัญและกำลังใจของพ่อแม่ เด็กที่สามารถทั้งศาสตร์วิชาความรู้
จนถึงพลังทางใจเช่นเจ้านั้นหาได้ไม่ง่าย”

ศานติมันมองมารดาของตนเอ่ยด้วยความปลาบปลื้มภาคภูมิใจ เด็กชายยิ้มกริ่มด้วยปรีดา

“ใครๆ ชมว่าเจ้ามีความสง่างามแห่งโฉมซึ่งได้จากแม่ มีดวงตาคมงามแกร่งกร้าว
ทะลุทะลวงทุกสิ่งดุจนัยน์ตาพยัคฆ์สมกับเป็นสายเลือดของบิดา ปัญญาเฉียบแหลม
เป็นที่ยอมรับของคนในตระกูล เหมาะสมยิ่งด้วยประการทั้งปวงในการจะขึ้นเป็นผู้นำ
เมห์ฮราต่อไปเมื่อสิ้นบิดา เจ้าจะต้องได้ทุกอย่าง เพราะเจ้าคู่ควร...”

เด็กชายเชื่อเช่นนั้นมาตลอด ศานติมันรู้ตัวดีว่าตนโดดเด่นสามารถยิ่งกว่าบิดา โดยเฉพาะ
ในด้านการปิดตาซึ่งเหมือนพรสวรรค์อันเทพประทานมาให้ ชีวิตอันสวยงามเต็มไปด้วยสันติสุข
ทั้งกายใจดำเนินมาจวบจนศานติมันอายุครบแปดปี และมารดาของเขาได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง

“เจ้าจะต้องปกป้องน้อง สอนให้น้องเก่งเหมือนเจ้า พ่อรู้ชะตาตนว่าคงอายุไม่ยืนด้วยความที่
เจ็บป่วยด้วยโรคประจำตัวซึ่งเป็นมาแต่เกิด รอเจ้าและน้องสืบสานเมห์ฮราของเราต่อไป”

ศานติมันตื่นเต้นยินดีที่จะมีน้องร่วมสายเลือด และยังคงมีความสุขไปจนถึงวันน้องชายตน
คลอดออกมาโดยไม่ได้รู้ความจริงอย่างที่หลายๆ คนในตระกูล ทั้งบิดาและเหล่าผู้ดูแล
ซึ่งมีพลังกล้าแข็งกำลังค่อยๆ ร่วมสัมผัสรู้เฉกกัน

“เด็กผู้เกิดมาใหม่นี้มีพลังไฟกล้าแข็งที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา”

ทว่าด้วยพลังการอำพรางปิดบังตาที่สามของบุคคลอื่นจนสิ้น วันหนึ่งศานติมันจึงมีโอกาส
ได้แอบรับรู้ รับฟังผู้ดูแลความเป็นไปในตระกูลเอ่ยปากกับบิดาตน ความรู้สึกแรกของเด็กชาย
คืออ้ำอึ้ง ตะลึงตะไล แปรเปลี่ยนบิดผันกลายเป็นริษยาระคนเกลียดแค้นอย่างน่าใจหาย

ภาพความทรงจำยามมีคนเทิดทูนพะเน้าพะนอเอาใจในกาลผ่านมาล้วนค่อยๆ ปลาสนาการ
หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ด้วยคำพูดบิดาเพียงประโยคเดียว

“ลูกชายคนเล็กของข้า เขาเป็นประดุจพรของเทพแห่งไฟ คือความหวังที่จะทำให้
ตระกูลของเรากลับมาเจิดจรัสเป็นที่สุด เพราะฉะนั้นข้าจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่า
... อัคนิ เมห์ฮรา”


-----โปรดติดตาม บทที่ 7 สัญญาแลกชีวิต-----



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.พ. 2555, 09:34:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.พ. 2555, 09:44:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 2617





<< บทที่ 5 ห้องที่ปิดไม่สนิท (ต่อ-จบบท)    บทที่ 7 สัญญาแลกชีวิต (ตอนแรก) >>
อสิตา 4 ก.พ. 2555, 09:45:31 น.
แต่ก่อนชื่อ... อัคนิ เฉยๆนะ หุหุ


SunSeed 4 ก.พ. 2555, 10:27:02 น.
ชื่อแต่ละคน เพราะๆทั้งนั้นเลย ^^ อยากเห็นรูปของแต่ละคนแบบที่บรรยายจังค่ะว่าจะเป็นไงกันมั่ง *v*


นางสาวกระป๋อง 4 ก.พ. 2555, 11:46:09 น.
นี่อีตาชามารสะกดน้องไว้ในพลอยหรือค่ะ

ไอ้คนขี้อิจฉา คืนตำแหน่งผู้นำให้อัคนินะ


อสิตา 4 ก.พ. 2555, 12:58:03 น.
ศานติมันเป็นปู่ของชามัลนะ ^^ บางคนอาจจะยังรักชามัลมากกกว่า เพราะอัคนิยังเพิ่งมีบทไม่เยอะเอง


หมูอ้วน 4 ก.พ. 2555, 13:40:28 น.
ชอบมาก ๆ เลยค่ะ ประวัติของตระกูลนี้ ไม่ธรรมดาเลย


sunrise 4 ก.พ. 2555, 14:19:54 น.
งั้นอัคนิก็ต้องมีศักดิ์เป็นปู่ของชามัลด้วยใช่มะ
แล้วตอนนี้อัคนิเป็น "มนุษย์" รึป่าวค้า


Auuuu 4 ก.พ. 2555, 14:39:00 น.
ไอ้ย่ะะะะ อะไรกันนี่ เรื่องราวซับซ้อนมากมายยยยสุดๆๆๆๆๆ
ลุ้นระทึกมากชื่อเรื่องตอนหน้า


Canopus 4 ก.พ. 2555, 15:48:48 น.
ประวัติซับซ้อนดีจัง แต่ก็ชอบ


Zephyr 4 ก.พ. 2555, 21:10:04 น.
มาแนวนี้นี่เอง กรี๊ดดดดดดดด เริ่มมองเห็นแววแต่รำไร ประวัติตระกูลแบบว่า อย่างยาวและอย่างอึ้งงงงง
อัคน้อยของเค้าช่างน่าสงสาร โดนพี่ชายกักขังไว้ในพลอย นายศานติมันใจร้ายที่สุด
ทายาทนายก็ใจร้าย ใช้งานอัคน้อยอย่างหนัก เฮอะ ขี้อิจฉาสุดๆ
สรุปแล้วคนทำให้พลอยแยกเป็นสองชิ้นก็เป็นทวดชวดวรมัน คนขังอัคน้อยคือปู่ศานติมัน เดี๋ยวคนทำแตกเอาอัคน้อยออกมาต้องเป็นพี่มิ้งค์แน่ๆ แต่เอ พี่มิ้งค์ไปถูกใจพลอยเนตรราชินีได้ไงน้า หรือเป็นทยุตตีกลับชาติมาเกิด อืมมมม เริ่มออกทะเลอีกแล้ว ฟุ้งซ่านแล้วค่ะ ฝากคุณอสิตาส่งอัคน้อยไปรับเรากลับฝั่งหน่อยนะคะ
ชามัลเอ้ย เก็บแส้เถอะนะ ถ้านายทำเค้าเป็นรอยเค้าจะฟ้องอัคน้อย ความรักแต่หนหลังเค้าให้อัคน้อยไป80%แล้วเหลือให้นาย20%นะ หุ หุ ถ้านายทำตัวดีๆ เค้าจะเพิ่มจิตพิสัยให้นะ


Zephyr 4 ก.พ. 2555, 21:15:28 น.
เออ ลืม ว่าแต่เดิมชื่อแค่อัคนิ เมห์ฮรา ทำไมเพี้ยนเป็นอัคนิวราได้นะ
มีบอกมั้ยคะ ท่ีมาของชื่อหรือว่าให้เดาเอาเองคะ เดี๋ยวเดาเข้าป่าอีกหรอก
ไม่เป็นไร เค้าเดาเองก็ได้ ถ้าหลงทาง ขออัคน้อยไปรับออกมาพอ ฮ่าๆ อิ อิ อุ อุ


หยกสีน้ำผึ้ง 5 ก.พ. 2555, 07:16:28 น.


goldensun 6 ก.พ. 2555, 00:33:48 น.
ใกล้ได้รู้แล้ว ว่าทำไมอัคนิวราถึงได้ถูกผูกไว้กับเนตรราชัน จะเกี่ยวกับศานติมันรึเปล่า


XaWarZd 6 ก.พ. 2555, 03:27:29 น.
เรื่องมันเศร้าอ่ะ


ameerahTaec 6 ก.พ. 2555, 10:29:46 น.
โอ๊ะ ต้นกำเนิดอัคนี่ อยากรู้ต่อแล้วว่าจะเป็นยังไง


silverraindrop 7 ก.พ. 2555, 11:11:48 น.
อยากรู้ต่อแล้วอะค่ะ ว่าทำไมถึงไปอยู่ในพลอย และทำไมต้องทำสัญญาอย่างนั้น ...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account