เพียงกลีบดอกไม้ล่องลอยไปในสายลม
..........
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 8 : เมื่อความบ้าคลั่งที่ถูกขนานนามว่าความรักถือกำเนิดขึ้น


ปรัชญาของศาสนาพุทธสอนฉันว่าร่างกายเป็นเพียงเสื้อผ้าที่ต้องถอดทิ้งสักวัน ในขณะที่ดวงวิญญาณจะเป็นอมตะตราบที่ยังไม่เข้าสู่นิพพาน แม้คนไทยส่วนใหญ่จะรู้ว่าการนิพพานคือเป้าหมายสูงสุดของผู้ที่มีศรัทธาต่อพุทธศาสนาแต่ยากนักที่พวกเขาจะยอมรับและเข้าใจว่าการนิพพานไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งอย่างที่คิด มันคือการทำลายตนเองจนสิ้นสูญอย่างแท้จริง มันจึงเป็นการสิ้นทุกข์อย่างสมบูรณ์เพราะไม่เหลือดวงจิตให้ทุกข์ทรมานอีกแล้ว

ที่มาและที่ไปของมนุษย์แต่ละคนจะวนเวียนเป็นวัฏจักรตราบที่ยังไม่ปรารถนาจะทำลายวัฏจักรนั้น

บนท้องฟ้าสีดำนั้น เหนือขึ้นไปคือจักรวาลที่นักดาราศาสตร์รู้จัก แต่เหนือขึ้นไปนั้นคือดินแดนอันเป็นที่สถิตของอำนาจลึกลับอันเป็นผู้ให้กำเนิดทุกสิ่งทุกอย่าง

สิ่งนั้น ชาวคริสต์เรียกว่าพระเจ้า ในขณะที่ชาวฮินดูเรียกว่าปรมาตมันหรือดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ดวงวิญญาณของมนุษย์ทุกคนเคยหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันที่นั่นอย่างปราศจากรูปร่าง จนกระทั่ง ‘ดวงจิต’ เล็กๆ ถือกำเนิดขึ้นทันทีที่มีความรู้สึกรับรู้ว่าเป็น ‘ฉัน’ ‘นี่คือฉัน’ ดวงวิญญาณน้อยๆค่อยๆแยกตัวออกมาจากดวงวิญญาณขนาดใหญ่

นั่นคือคำอธิบายทางศาสนาอันกล่าวถึงการกำเนิดขึ้นของอัตตาหรือตัวตน

หลังจากดวงวิญญาณดวงแรกถือกำเนิด เมื่อดวงวิญญาณดวงที่สองถือกำเนิดออกมาให้ดวงวิญญาณดวงแรกได้เรียนรู้

“นี่คือฉัน”

“นั่นคือเธอ”

“ถ้านั่นคือเธอ แล้วฉันคือใคร เธอคือใคร ฉันมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันเหมือนหรือแตกต่างกับเธอ หากเธอเป็นฟองอากาศกลมๆ ฉันเป็นฟองอากาศกลมๆเหมือนเธอหรือเปล่า”

นักปราชญ์ในสมัยโบราณเคยพูดว่าความรู้พื้นฐานของมนุษย์ทุกคนได้มาจากการเรียนรู้จากความเหมือนและความแตกต่าง หากเหมือนมนุษย์ แต่ไม่ใช่ผู้ชาย ก็คงเป็นผู้หญิง หากไม่เหมือนใบไม้ก็คงเป็นดอกไม้ งูไม่เหมือนหมาเพราะฉะนั้นมันต้องไม่ใช่หมา และหมาไม่เหมือนคน มันก็ไม่ใช่คน

และการเรียนรู้อย่างนั้น ทำให้มนุษย์หมกมุ่นและผูกพันกับตัวตนของตนเองมากขึ้น

อภิปรัชญาทางศาสนากล่าวว่าอันที่จริง มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ดวงวิญญาณได้ถือกำเนิดพร้อมกับดวงจิตที่รับรู้ว่าเป็น ‘ฉัน’เพราะเมื่อมีดวงวิญญาณแบบนั้นเพิ่มมากขึ้น ก็มีทั้ง ‘ฉัน’ ‘เธอ’ และ ‘เขา’ และลุกลามไปถึง ‘พวกฉัน’ ‘พวกเธอ’ และ ‘พวกเขา’

ดวงวิญญาณที่เกิดใกล้ๆกัน เกาะกลุ่มกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน “เมื่อเธอมีรูปร่างอย่างนั้น ฉันก็คงเหมือนกับเธอ แต่ฉันก็เป็นฉัน ฉันก็ยังแตกต่างจากเธอ เพราะฉันไม่ใช่เธอ”

นั่นเป็นที่มาของ ‘ชาติพันธุ์’ มนุษย์ที่มีเชื้อสายเดียวกันจะมีลักษณะคล้ายกัน ถึงกระนั้นก็ยังไม่เหมือนกันทั้งหมด

“คำถามของดวงวิญญาณที่ว่า ‘ฉันคือใคร’ ‘ฉันมีรูปร่างอย่างไร’ ‘ฉันเหมือนหรือต่างจากเธอ’ ทำให้ดวงจิตของพวกเขาเริ่มหมกมุ่นกับอัตตาและ ‘การมีอยู่’ ของตัวเอง มีผลทำให้ดวงจิตของพวกเราสร้างหน้าตาและรูปร่างของพวกเขาขึ้นมาซึ่งการสร้างของพวกเขาก็ประมวลความรู้มาจากการมองเห็นดวงวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆเขา และนั่นเป็นเหตุผลทำไมคนที่เกิดในพื้นที่ใกล้ๆกันมักจะมีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกัน”

“ตกลงแล้วมนุษย์เกิดมาขึ้นได้อย่างไร”

“เกิดขึ้นมาเพราะดวงวิญญาณของพวกเขาต้องการอย่างนั้น มนุษย์หมกมุ่นใน ‘ความมีอยู่’ หรือการมีตัวตนของตนเอง ความที่อยากรู้ว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นอย่างไร ฉันเหมือนหรือแตกต่างจากคนอื่นหรือไม่ จนทุกวันนี้ มนุษย์ก็ยังอยู่วังวนของคำถามเหล่านี้โดยหารู้ไม่ว่า ตั้งแต่ต้นที่พวกเขาเริ่มมีคำถาม ดวงจิตก็ค่อยๆสร้างรูปร่างของวิญญาณของพวกเขาขึ้นตามคำตอบที่พวกเขาค้นพบโดยที่พวกเขาไม่ได้รู้ตัว”

“รูปวิญญาณที่เป็นคนอย่างนั้นหรือคะ”

“ใช่ รู้ไหมว่าเทพกับมนุษย์ต่างกันก็ตรงที่เทพคือร่างวิญญาณที่ไม่มีกายเนื้อในขณะที่มนุษย์คือร่างวิญญาณที่มีกายเนื้อ มนุษย์คือดวงวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในกายเนื้อ”

“ถ้าแตกต่างกันอย่างนั้น ก็สามารถสรุปได้ว่าการเกิดขึ้นของกายเนื้อคือกำเนิดของมนุษย์ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”

“เมื่อความบ้าคลั่งที่ถูกขนานนามว่าความรักถือกำเนิดขึ้น”

“ดวงวิญญาณของพวกเขาแม้มีรูปร่างแต่ก็เป็นเพียงกายโปร่งบาง และกายอันโปร่งบางนั้น แม้มีรูปให้มองเห็นเพียงเลือนราง แต่แค่มองเห็นรูปร่างของกันและกัน หากจิตผูกพันกับอารมณ์ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ดวงจิตแห่งวิญญาณสองดวงหลงใหลซึ่งกันและกันได้ เรื่องความหลงใหลในรูปกายภายนอก อันนี้มันเป็นสันดานเดิมของมนุษย์ตั้งแต่ยังไม่ได้กายเนื้อเสียด้วยซ้ำ ความปรารถนาที่จะได้ยินทั้งเสียงของตัวเองและเสียงของอีกคนที่เราหลงรัก ความปรารถนาที่จะสัมผัสจับต้องซึ่งกันเพื่อรับรู้ถึงการมีอยู่ของการและกันทำให้ดวงจิตถูกกระตุ้นด้วยพลังอันรุนแรง จนสร้างสิ่งที่เรียกว่าร่างกายขึ้นมาครอบคลุมร่างวิญญาณเพื่อให้พวกเขาได้พบกับความสุขจากการได้มองเห็นกันอย่างชัดเจน ได้สัมผัสซึ่งกันและกัน และมีความสุขอย่างเหลือล้นในสัมผัสนั้น”

ตำนานที่เล่าถึงการกำเนิดมนุษย์ มีหลายตำนานที่กล่าวว่ามนุษย์คู่แรกที่เกิดขึ้นเป็นเพศชายกับเพศหญิง
ทำไมไม่มีใครเคยคิดถึงเรื่องนี้

“พวกเราอยากได้ความสุขชั่วคราวจนกระแทกแลกมากับความทรมานจากการร่วงโรยของสังขาร ความเจ็บป่วยและอาการกบฏของร่างกายเป็นพักๆเช่นปวดประจำเดือนอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ ถึงแม้ว่าปัจจุบัน โลกของทุนนิยมจะย้ำให้เราคิดเรื่องผลกำไรขาดทุน แต่เอาเข้าจริงๆ ภายในจิตเบื้องลึกของมนุษย์ไม่เคยรู้เรื่องกำไรหรือขาดทุนเลย เพราะยากนักสำหรับการประเมินค่าที่แท้จริงของทุกสิ่งทุกอย่าง ในเมื่อประเมินไม่ได้ กำไรขาดทุนมันล้วนขึ้นอยู่กับความพอใจทั้งนั้น ถ้าพอใจในผลตอบแทนที่ได้ มนุษย์ก็พร้อมจะแลกเปลี่ยน”

“บ้าที่สุด”

เรื่องราวเหล่านั้นมันอาจจะไร้สาระพอๆกับนิทานที่หลอกเด็กว่ามีกระต่ายตำข้าวอยู่บนพระจันทร์แต่ก็เป็นเรื่องราวที่เป็นคำตอบให้คำถามหลายคำถาม

ทำไมเราถึงได้คุ้นเคยกับคนบางคนทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าและทำไมเราถึงได้เกลียดคนบางคนทั้งที่ไม่เคยรู้จักเขา

“ร่างกายเป็นเพียงเสื้อผ้าที่เราต้องถอดทิ้งสักวัน จากนั้นดวงวิญญาณก็จะเสาะหาร่างกายใหม่ ความทรงจำของวิญญาณจะยังคงอยู่และถูกทับถมลงไปเรื่อยๆทุกครั้งที่เปลี่ยนร่างกายใหม่ นั่นคือการเวียนว่ายตายเกิด การระลึกชาติเป็นเพียงการเจาะทะลวงเข้าไปในความทรงจำชั้นลึก เหมือนมีชาวตะวันตกค้นพบเรื่องนี้ เอ๊ะ..ใครนะ”

“ซิกมุนด์ ฟรอยด์ เขากล่าวไว้ว่าจิตใจของมนุษย์เรียงเป็นลำดับชั้น ชั้นบนสุดคือจิตสำนึก จิตที่รู้สำนึกและบันทึกเรื่องราวความทรงจำที่เราจำได้ จิตชั้นต่อมาคือจิตก่อนสำนึก บันทึกความทรงจำที่เราจำไม่ได้หรืออาจจะแจ๊คพอตจำได้ขึ้นมาถ้ามีสมาธิมากพอที่จะนึกจริงๆ ถ้าทำไม่ได้เราอาจจะมีอาการที่ฝรั่งเรียกว่าเดจาวูบางช่วงบางตอนในชีวิต และจิตชั้นสุดท้ายคือจิตไร้สำนึก”

ฉันหยิบแก้วน้ำเย็นมาวางเบื้องหน้า

“เห็นน้ำแข็งที่ลอยอยู่หรือไม่ ฟรอยด์กล่าวว่าจิตสำนึกคือน้ำแข็งที่ลอยพ้นผิวน้ำ คือความทรงจำที่เราจำได้ จิตก่อนสำนึกคือน้ำแข็งที่อยู่ตำแหน่งเดียวกับผิวน้ำ ในขณะที่จิตไร้สำนึกคือน้ำแข็งที่จมลงไปในน้ำซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด”

“จิตไร้สำนึกคือส่วนที่เก็บความทรงจำทุกอย่างที่ดวงจิตได้สัมผัสซึ่งรวมถึงการผ่านพ้น การสัมผัส ความคิดและความรู้สึก ความทรงจำในส่วนลึกเร้นที่สุดเหล่านั้นคือสิ่งที่กำหนดชีวิตของดวงวิญญาณนั้นๆไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนร่างกายไปอีกกี่ครั้งก็ตาม อย่าง ดวงวิญญาณที่เคยมีจิตผูกพันหลงรักกัน เคยอยู่กินสมัครสังวาสกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างได้ร่างใหม่ ดวงจิตของพวกเขาที่เคยบันทึกความทรงจำนั้นไว้และกำหนดให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง วิญญาณของพวกเขาจะเรียกหากันจนกระทั่งสามารถนำทางพวกเขามาพบกันอีกครั้งและตกหลุมรักกันอีก และนั่นคือความหมายของบุพเพสันนิวาส”

“มันจะเป็นเช่นนั้นเสมอหรือ”

“ไม่มีอะไรที่เป็นเช่นนั้นเสมอ ไม่มีอะไรแน่นอนในจักรวาลนี้ การเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นและเกิดขึ้นมากด้วยซ้ำ มันจะเกิดขึ้นเกิดขึ้นในภพนี้ เกิดขึ้นในปัจจุบัน ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ การเรียนรู้สามารถสร้างสิ่งใหม่และทำลายสิ่งเก่าไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายหรือสิ่งที่ดีงาม มันทำลายได้ทุกสิ่ง”

“หมายความว่าอย่างไร”

“หากเมื่อชาติที่แล้ว ผู้ชายคนหนึ่งหลงใหลในตัวของผู้หญิง ชอบหยอกล้อหรือลวนลามผู้หญิง จิตของเขาก็จะหมกมุ่นอยู่กับร่างกายของผู้หญิง และเมื่อจิตของเขาหลุดจากร่างเดิม อารมณ์หมกมุ่นก็จะบังคับให้จิตเปลี่ยนร่างวิญญาณของเขากลายเป็นร่างของผู้หญิงและสร้างกายเนื้อขึ้นมาเป็นผู้หญิง และเมื่อจิตดวงนั้นยังคงสามารถจดจำภาพของการลวนลามที่เขาเคยกระทำเอาไว้ จิตดวงนั้นจะพาผู้ชายคนนั้นไปพบเจอเหตุการณ์เช่นนั้นในร่างของผู้หญิง เมื่อภาพความทรงจำนั้นฉายซ้ำอีกครั้งในขณะที่เขาต้องรับบทเป็นผู้หญิงที่ถูกกระทำโดยผู้ชาย เขาก็จะถูกลวนลามเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำกับผู้หญิงไว้เมื่ออดีตชาติ และนี่คือวังวนแห่งกรรม คือความยุติธรรมที่พลังแห่งธรรมชาติทิ้งไว้ให้”

“ในชาติปัจจุบัน ถ้าผู้ชายคนนั้นที่เกิดมาเป็นผู้หญิงในชาตินี้ หลงใหลในความงามของร่างกายของตนเอง เป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงามจนแทบไม่สามารถสละความยึดติดต่อสังขารที่เสื่อมโทรมของตนเอง ชาติหน้าเขาก็เกิดเป็นผู้หญิงอีกครั้งเพื่อทนทรมานกับการสูญเสียความงามของสังขารเช่นกัน ชาติภพแล้วชาติภพเล่า แต่ถ้าเขาสามารถหักใจสละความหลงในเรือนร่างของสตรีได้ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ชาติหน้าเขาจะเกิดเป็นผู้ชายที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่หลงใหลเรือนกายของผู้หญิงจนหน้ามืดตามัวจนก่อความชั่วอีกต่อไป”

“เรื่องของบุพเพสันนิวาสก็เช่นกัน ความรักและความผูกพันที่มีในชาติปางก่อนแม้มีผลดลบันดาลให้ชายหญิงคู่หนึ่งมาพบรักกันก็จริง แต่หากในชาติปัจจุบัน คนทั้งสองไม่ปรารถนาที่จะรักกัน สูญเสียศรัทธาเชื่อมั่นต่อความรักหรือมีหัวใจเปี่ยมธรรมจนข้ามพ้นความลุ่มหลงทั้งปวงแล้ว ถึงแม้ดวงจิตจะชักนำคนทั้งสองมาพบกันอีกครั้ง แต่ความรักระหว่างหัวใจสองดวงนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น ภาพความทรงจำนี้ดวงจิตจะบันทึกไว้และมีผลถึงภพหน้า ความรักของคนสองคนก็จะจบลงตลอดกาล”

ฉันสะดุ้งตื่นเมื่อมีความอ่อนนุ่มมากระทบริมฝีปาก

ภาพข้างหน้าเลือนรางเหมือนความฝันแต่ก็ไม่ใช่ความฝัน

“คุณเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ทำไม เชียงใหม่ตอนกลางคืนอากาศเย็น เดี๋ยวคุณเป็นไข้”

“คุณกลับมาได้อย่างไร”

เขาหัวเราะเบาๆ แล้วดวงดาวทั้งฟ้าที่หายไปก็หล่นมาอยู่ในดวงตาของผู้ชายคนนี้

“ผมบอกแล้วว่าจะกลับมาจูบคุณ”

เสียงทุ้มต่ำของเขากระซิบแผ่วเบา ลมหายใจของเขาที่ตกต้องเหนือรอยหยักโค้งของริมฝีปากทำให้ฉันหวั่นไหว ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ หากไม่รักกันในชาตินี้ก็จะไม่มีอนาคตของ ‘เรา’ ในชาติหน้า ฟ้าไม่เคยยอมรับรู้เลยหรือไรว่าชะตาชีวิตของคนในแต่ละภพชาตินั้นเป็นอย่างไร ..ทำไมถ้าไม่รักกันในชาตินี้ จะไม่มีชาติหน้า..จะไม่มีชาติหน้า บุพเพสันนิวาสไม่ได้แข็งแกร่งมั่นคงเหนือกาลเวลาอย่างที่นวนิยายแสนหวานหลอกลวงผู้หญิง กลับกัน..มันเปราะบางและบอบบางมาก

เพียงไม่ได้รักกันในชาตินี้ก็จะไม่มีชาติหน้า

“คุณเมธวัชร์ คุณเชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาสหรือเปล่า”

คำถามโง่ๆของฉันทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะก่อนจะตอบ

“ผมเชื่อเรื่องนั้นตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าคุณ”

อกฉันโหวงวูบด้วยคำพูดแบบนั้น ฉันคว้าใบหน้าของเมธวัชร์ พุ่งเข้าไปประกบริมฝีปากของฉันเข้ากับเขาอย่างแนบแน่น มันเป็นการกระแทกปากใส่กันมากกว่าจูบ เขาดึงฉันออก ทึ้งชุดนอนของฉันออกจากตัว แล้วจูบฉัน จูบร้อนแรงเนิ่นนานอันมีความหมายเดียวกับเขากำลังจะฆ่าฉันด้วยความบ้าคลั่ง ด้วยความปรารถนา เขาแทบปล้นเอาลมหายใจของฉันไปจนหมดสิ้นเมื่อกดร่างของฉันลงบนโซฟายาวที่ฉันเผลอหลับไปเมื่อครู่ รสชาติของริมฝีปากคือรสชาติเดียวของตัณหา และร่างกายเปล่าเปลือยแนบสัมผัสกันอย่างร้อนแรงคือเหตุผลของการกำเนิดมนุษย์ ฉันมีความสุข ฉันพอใจ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ดวงวิญญาณของฉันยอมสวมใส่กายเนื้อและทนทรมานในยามที่ร่างกายของตนเองบาดเจ็บล้มป่วยเพียงเพื่อช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่จะได้กอดจูบกับคนรักอย่างสะใจ

จะมีอะไรในจักรวาลที่สามารถทำให้มนุษย์สุขสมได้ขนาดนี้อีก

ตอนเช้า หลังจากออกมาอาบน้ำ แต่งหน้าและแต่งตัวในห้องตู้เสื้อผ้าเสร็จ ฉันไม่ได้กลับไปห้องที่ตัวเองนอน ที่ซึ่งผู้ชายคนนั้นกำลังหลับอยู่ตอนนี้แต่เลยไปยังโต๊ะทานอาหาร ที่ซึ่งมีอาหารเช้าจัดอยู่ชุดเดียว

กลิ่นกุหลาบยังคงหอมกรุ่น สายลมมีไอชื้นแต่อากาศเย็นสบายไม่หนาวจัด ฉันทอดกายลงบนเก้าอี้ตัวยาวสำหรับอาบแดดหลังรับประทานอาหารเช้า แดดอุ่นๆตกต้องใบหน้าและริมฝีปากทำให้ฉันเชิดหน้าขึ้นคล้ายอพอลโล เทพบุตรแห่งดวงอาทิตย์กำลังเชยปลายคางและมอบจุมพิตอันนุ่มนวลและแสนวาบหวามให้ รสชาติอันอ่อนหวานซาบซ่านเช่นนั้นทำให้ฉันซาบซึ้งถึงความงดงามของร่างกายผู้หญิง ทั้งรูป รส กลิ่น และเสียง ตั้งแต่เส้นผมสีดำที่ยาวสยายอ่อนนุ่ม ดวงตาที่ทั้งหวานฉ่ำและโศกเศร้าลึกเร้น โหยหาทั้งการทะนุถนอมและความบอบช้ำจากเพลิงปรารถนาอันบ้าคลั่งและปราศจากจุดอิ่มตัวของบุรุษเพศ ทรวงอกอุ่นที่อัดแน่นไปด้วยเลือดเนื้อของผู้หญิงวัยสาวสะพรั่ง นุ่มนิ่ม อวบอิ่มและมีชีวิตชีวาเหนือกว่าสรรพสิ่งในโลกที่พวกเขาเคยได้สัมผัส ดวงหน้าที่ซ่อนรอยยิ้มแต่เปิดเผยว่ามีความลึกลับซ่อนอยู่ในริมฝีปากที่สวยงามดุจกลีบกุหลาบ ซึ่งหากพวกเขาอยากทราบความในใจใคร่อยากรู้จัก พวกเขาต้องจูบและจูบจนกว่าเนื้อตัวของเธอจะอ่อนเปลี้ยเท่านั้นจึงจะได้รับคำตอบ

ฉันขยับขาเสียดสีไปมาอย่างเชื่องช้าแผ่วเบา กลิ่นกุหลาบ กลิ่นน้ำหอมของคริสเตียน ดิออร์และกลิ่นฟีโรโมนของวัยสาวฟุ้งตลบอบอวลแทบไม่ต่างกับตอนที่ฉันกำลังเร่าร้อนอยู่ใต้ร่างของเมธวัชร์ในขณะที่เขากำลังร่วมรักกับฉันบนโซฟายาว ในสายลมหนาวที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างขนาดใหญ่ที่เปิดอ้า ครั้งแล้วครั้งเล่าจนแสงเงินแสงทองเริ่มเหยียบขอบฟ้า

บุรุษชุดดำที่ขึ้นมายืนเฝ้าฉันตามหน้าที่ขยับตัวอย่างอึดอัดผิดไปจากทุกวัน เมื่อฉันหันไปมอง เขาก็ถึงกับเซถอยหลังไปถึงหนึ่งก้าว เหงื่อแตกเต็มหน้าผากทั้งที่อากาศไม่ร้อนและฉันก็จำได้ว่าวันแรกที่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ลูกน้องของเมธวัชร์ทุกคนต่างนิ่งเฉย เย็นชา ไร้ความรู้สึกเหมือนรูปปั้น

“คุณเมธวัชร์กลับมาเมื่อไร” ฉันถาม

“อะ..ออกจากฮ่องกงตอนสี่ทุ่มครับ ถึงเมืองไทยตอนตีสามครึ่ง”

จำได้ว่าเขาโทร.หาฉันตอนสามทุ่มครึ่ง คุยกันไม่ถึงสิบนาที คำนวณเวลาแล้ว เขาน่าจะบึ่งออกจากโรงแรมเพนนินซูล่าหลังจากที่วางสายจากฉัน มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องของผู้ชายอีกคน อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ทำให้แม่ต้องรีบมาปลุกฉันเพราะว่าเขายืนมองหน้าต่างห้องนอนของฉันตั้งแต่เมื่อคืนหลังจากที่ฉันโบกมือลาแล้วเข้าบ้าน

เขาไม่ปฏิเสธกาแฟร้อนของพ่อและไม่ปฏิเสธมื้อเช้าของแม่ที่เชื้อเชิญเขาตามมารยาทแต่กลับอายเกินกว่าจะบอกเหตุผลที่เขาทนหนาวยืนตากน้ำค้างอยู่ตรงนั้นทั้งคืน ซึ่งนั่นก็พาลทำให้ฉันหน้าร้อนผะผ่าวกลางโต๊ะกินข้าวไปด้วย เป็นอารมณ์แรกที่กลับมาหลังจากที่ทุกอารมณ์ของฉันสูญสิ้นไปกับผู้ชายคนแรก เขาช่างไร้เดียงสา ซื่อสัตย์และอ่อนหวานจนทำให้ฉันนึกถึงเด็กผู้ชายแถวบ้านคนหนึ่งที่คอยจะหลบหน้าหลบตาฉันตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กคนนั้นรวบรวมความกล้ามายืนอยู่ตรงหน้าอ้าแขนกอดฉันก่อนจะรีบปล่อยแล้วรีบวิ่งหนีจากไป

ผู้ชายทำอะไรก็ได้..ได้จริงๆ

“ห้องสี่เจ็ดศูนย์เจ็ดนะ ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

เสียงของวิรงรองมาตามสายในขณะที่ฉันกำลังสวมรองเท้าส้นสูงให้เท้าที่สวมถุงน่องสีดำ

“อยู่หน้าตึกขาวแล้ว”

“โอเค เดี๋ยวฉันลงไปช่วย”

“เฮ้ย! ไม่!..”

ไม่ทันปฏิเสธ รถที่นั่งมาก็จอด วิรงรองวางสาย ฉันเปิดประตูรถออกไป ประตูลิฟท์ใต้ตึกขาวก็เปิดออกพอดีแล้วร่างที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงหนังสีดำรัดเปรี๊ยะก็ก้าวออกมาร้อง “ว้าว! แกขนข้าทาสบริวารมาจากไหนเนี่ย!”

ฉันเหลือกตามองฟ้า

บุรุษชุดดำสองคนที่ลงจากมาจากรถอีกคันช่วยกันหอบเอกสารหนึ่งร้อยชุดขึ้นลิฟท์ไปยังห้องสี่เจ็ดศูนย์เจ็ด วิรงรองเหลือบมองพวกเขาที่อยู่ด้านหลังและมองฉันที่อยู่ข้างๆด้วยแววตาที่ทำให้สมองของฉันดึงสคริปต์พูดในวันนี้ทิ้งไปก่อนและหันไปเตรียมคำตอบให้วิรงรอง

ห้องสี่เจ็ดศูนย์เจ็ดเต็มไปด้วยนักศึกษาวรรณกรรมตะวันตกถึงหนึ่งร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจากภาควิชาภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสที่เรียนเป็นวิชาบังคับ ประมาณหนึ่งหรือสองคนในทุกปีจะพบเจอนักศึกษาที่มาจากภาควิชาภาษาไทย เนื่องจากนักศึกษาภาควิชาภาษาไทยที่รักและมุ่งมั่นศึกษาทางวรรณกรรมจะทราบว่ารูปแบบวรรณกรรมสมัยใหม่ได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรมตะวันตก นักศึกษาที่รู้อย่างนั้นมักลงทะเบียนวิชานี้เป็นวิชาเลือกเพื่อเสริมภูมิความรู้

หลายปีมาแล้ว ห้องสี่เจ็ดศูนย์เจ็ดยังเป็นห้องที่ใช้สอนวรรณกรรมตะวันตกเหมือนเดิม แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร

นี่คือสถานที่ที่ฉันได้พบกับวิรงรองครั้งแรก

วิรงรองเป็นนักศึกษาจากภาควิชาภาษาอังกฤษที่มักจะอยู่ในวงสนทนาของนักศึกษาสาวที่หิ้วกระเป๋าแบรนด์เนมมาเรียน ส่วนฉันเป็นนักศึกษาจากภาควิชาภาษาไทยที่มาคนเดียวและมักจะนั่งอยู่ท้ายห้องกับหนังสือหรือสมุดเลคเชอร์สักเล่ม

วิชาวรรณกรรมตะวันตก ถึงแม้อาจารย์ผู้สอนจะเป็นคนไทยแต่ท่านไม่เคยพูดภาษาไทยในห้องเรียน หนังสือที่ค้นหว้าและเอกสารประกอบการเรียนล้วนเป็นภาษาอังกฤษ งานที่ส่งทั้งหมดจะต้องส่งเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้นักศึกษาภาควิชาภาษาไทยหลายคน แม้จะรักเรียนวรรณกรรมไทยแต่หลายคนก็กลัวภาษาอังกฤษเกินกว่าจะมาลงทะเบียนเรียนวิชาวรรณกรรมตะวันตกเป็นเพื่อนฉัน

สองเดือนผ่านไป ฉันกับวิรงรองยังคงอยู่กันคนละโลก ฉันอ่านหนังสือในขณะที่พวกนั้นพูดถึงการไปช้อปปิ้งที่ฮ่องกงกับญี่ปุ่น ความน่าตื่นตาตื่นใจกับแคตวอร์คของชาแนลที่ปารีส งานประมูลเครื่องเพชรที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป เสื้อผ้าของอเล็กซานเดอร์ แมคควีน ฯลฯ จนกระทั่งวันที่อาจารย์คืนรายงานฉบับแรกให้ตอนท้ายคาบและเรียกชื่อนามสกุลของฉันเป็นชื่อสุดท้าย

หลังจากอาจารย์เดินออกจากห้องไป วิรงรองเดินมาหาฉัน

“เพชรลดา รัตนา”

อาจารย์เอ่ยทั้งชื่อกับนามสกุลของฉัน ฉันไม่แปลกใจที่ผู้หญิงตรงหน้าจะรู้

“เธอเป็นคนเขียนบทละครเรื่องเปลวไฟที่ลามไหม้ปีกผีเสื้อ”

“ใช่” ฉันเก็บข้าวของลงในกระเป๋าถือที่ฉันเย็บขึ้นมาจากเศษผ้าหลากชิ้นหลากสีซึ่งฉันเก็บไว้หนึ่งจากล็อตล่าสุดที่ทำไปขายให้พวกนักศึกษาในงานถนนคนเดิน มันเป็นกระเป๋าเคสแข็งทรงกลมคล้ายกระเป๋าเดินทางแบบวินเทจแต่ทั้งสองด้านฉันตัดเศษผ้าเย็บซ้อนกันคล้ายกลีบกุหลาบประดับให้ดูน่าสนใจขึ้น ซึ่ง..ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่เดินอยู่ในงานอย่างเกินความคาดหมายไปไกล ยิ่งสามีภรรยาชาวต่างชาติคู่หนึ่งที่ชื่นชอบงานทำมือที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก พวกเขาให้ราคาฉันถึงหนึ่งพันห้าร้อยบาททั้งที่ฉันตั้งใจไว้ว่าฉันจะขายสักลูกละสามร้อย

วิรงรองนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้า

“เธอเอาแรงบันดาลใจมาจากไหน”

“ฉันลืมไปแล้ว”

“พิลึก แรงบันดาลใจยิ่งใหญ่สำหรับนักเขียนไม่ใช่หรือ ไม่มีนักเขียนคนไหนหลงลืมแรงบันดาลใจ”

ฉันหัวเราะแล้วส่ายหน้า

“บางที แรงบันดาลใจของนักเขียนบางคนมันอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่ใครๆคิด ถึงแม้ว่านักวิจารณ์จะตีความว่านกพิราบสีขาวในกลอนการเมืองเป็นสัญลักษณ์ที่กวีใช้เรียกร้องสันติภาพ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าบางทีกวีก็แค่เห็นนกพิราบบินผ่านมาและคำว่า ‘พิราบขาว’ มันบังเอิญลงกับฉันทลักษณ์ในกลอนบทนั้นได้พอดี”

“แล้วเปลวไฟที่ลามไหม้ปีกผีเสื้อ”

“ก็แค่ผีเสื้อตัวหนึ่ง ปีกของมันไหม้ไฟ มันพยายามบินหนีไฟนั้นแต่มันยิ่งพยายามบิน ลมก็ยิ่งเป่าให้ไฟไหม้ลามเร็วแล้วท้ายที่สุดมันก็ร่วงลงมาพร้อมกับปีกที่เหลือแต่เถ้า”

“เปรียบเสมือนผู้หญิงที่พยายามต่อต้านกฎเกณฑ์ในโลกของผู้ชาย ยิ่งทำก็ยิ่งเหมือนฆ่าตัวตาย”

“ฉันแค่เล่าเรื่องของผีเสื้อ”

ฉันเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วขอตัวเพราะมีเรียนในคาบต่อไป วิรงรองกอดเอกสารสะพายกระเป๋าของเฟนดิเดินแซงหน้าแล้วหยุดหันหน้ามาบอก

“ฉันจะเล่นละครเรื่องนั้นในวันศุกร์หน้า มาดูด้วย แล้วละครที่ดาวมหาวิทยาลัยอย่างฉันเล่น ตั๋วขายหมดภายในสองชั่วโมงทุกเรื่อง ถ้าเธอพลาด เธอจะเสียใจจนตาย”

เธอยื่นตั๋วเข้าชมละครแถวหน้าให้ฉันก่อนจะวิ่งไปรวมกลุ่มกับนักศึกษาเอกเดียวกัน

การแสดงจัดขึ้นในบริเวณหอศิลปะ ฉันไปดูละครเรื่องนั้น และหลังจากละครจบลง หนุ่มหล่อหน้าใสสองคนนำช่อดอกไม้ไปมอบให้วิรงรอง ส่วนอีกคนนั้นพาหญิงสาวเดินมาหาฉัน

“น้องเพชรลดาใช่ไหมครับ พี่เป็นประธานคณะละครเวทีของมหาวิทยาลัย พี่ชื่อสกลแล้วนี่ พี่ลูกตาล พี่ลูกตาลเป็นพีอาร์”

เมื่อรุ่นพี่ลงทุนแนะนำตัวกับรุ่นน้องอย่างฉัน ฉันจึงวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้และยกมือไหว้

วิรงรองหอบช่อดอกไม้มากระซิบ “พี่สกลอยากได้บทละครจากเธออีก”

“เอ่อ..พี่ได้บทละครของน้องมาจากอาจารย์ศุกรางค์ ท่านเป็นที่ปรึกษาของคณะละครของเรา”

“น้องทราบค่ะ อาจารย์บอกแล้ว”

อาจารย์ศุกรางค์เป็นผู้สอนการเขียนร้อยแก้วของภาควิชาภาษาไทย เป็นนักเขียนนวนิยายชื่อดัง มีผลงานเป็นประจำอยู่ในนิตยสารเล่มหนึ่งและเป็นอาจารย์ที่ได้อ่านงานเขียนของฉันมากที่สุด

“เห็นอาจารย์บอกว่าน้องชอบเขียนงานบันเทิงคดี โดยเฉพาะเรื่องสั้น นวนิยายและบทละคร น้องมีบทละครอะไรอีกไหม พี่อยากดู”

ฉันเปิดกระเป๋าและหยิบสมุดให้เขาอย่างว่าง่าย มันเป็นงานที่ยังไม่เสร็จ เป็นบทละครของวิลเลียม เชคสเปียร์เรื่องแมคเบธ แต่ฉันนำมาแต่งเติมเพิ่มรายละเอียดจากบทละครดั้งเดิมซึ่งพูดถึงผลกรรมแห่งความทะเยอทะยานของมนุษย์ ผู้ซึ่งหาญทรยศกษัตริย์ของตน ฉันเปลี่ยนมุมมองและความหมายของเรื่องจนกลายเป็นบทละครที่เล่าขานถึงความแค้น ความรักและความผูกพันของชายหญิงคู่หนึ่งที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันไม่ว่าชะตากรรมจะทำให้พวกเขาเจ็บปวดมากมายเพียงใด

ฉันเขินนิดหน่อยเมื่อพี่สกลอ่านหน้าแรกที่ฉันเขียนถึงความคิดและแรงบันดาลใจที่สร้างบทละครบทนี้ขึ้นมา

“มีคู่รักมากมายที่สมัครใจจะขึ้นสวรรค์ด้วยกัน แต่มีคู่รักกี่คู่ที่สามารถลงนรกด้วยกันได้ ในความปรารถนา ในความทะเยอทะยาน ชะตากรรมของทรราชผู้หนึ่งพิสูจน์แล้วว่า..คำว่ารักระหว่างแมคเบธและภรรยาของเขายิ่งใหญ่กว่าความหมายของความรักที่กล่าวเอาไว้ว่า..เรามีกันและกัน ยิ่งใหญ่กว่าความฝัน ยิ่งใหญ่กว่าการมีชีวิตอยู่ ยิ่งใหญ่กว่าความตายและเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่ารักที่เป็นดั่งยาพิษอันไร้เดียงสาระหว่างโรเมโอกับจูเลียต....’

พี่สกลนั่งบนขอบเวทีด้านหน้า อ่านบทละครอย่างตั้งใจในขณะที่วิรงรองถือสำลีเช็ดหน้าพลางชะเง้ออยู่เหนือหัว พี่ลูกตาลพูดคุยเรื่องทั่วไปกับฉัน เช่น ฉันเรียนสาขาอะไร นอกจากบทละคร ฉันเขียนอะไรอีกบ้าง ฉันเคยคิดอยากเล่นเป็นนางเอกละครเรื่องเจ้าหญิงนิทราหรือซินเดอเรลล่าหรือไม่ อยากให้ใครเป็นพระเอกในละครสองเรื่องนี้ สำหรับสองคำถามท้าย ฉันได้แต่หัวเราะ

“เฉียบมาก” พี่สกลกลับมา “พี่ว่าจะเราควรจะเอาบทละครเรื่องนี้ออกแสดงในงานนิทรรศการศิลปะอีกสองเดือนข้างหน้า เราควรเสนองานนี้ให้หอศิลป์แล้วขอจองโรงละคร”

“โรงละครของหอศิลป์จุคนได้เกือบพันคน เราแสดงที่ห้องประชุมเหมือนเคยก็ได้”

“ลูกตาล ถ้าแกได้อ่านบท แกจะคิดเหมือนพี่แหละ เอาโรงละครมาให้ได้”

“วิรงรองจองบทเลดี้แมคเบธ!”

“ไม่ได้..ต้องไปแคส ไปเลยๆ อ้อ..น้องเพชรลดา”

“เรียกลดาก็ได้ค่ะ”

“โอเค ลดา น้องทำบทให้เสร็จได้เมื่อไร”

“ขอเวลาสามวันค่ะ”

“ได้ แต่ลดามาดูการซ้อมด้วยได้ไหม เพราะลดาเขียนบทไว้ละเอียดมากแต่พี่คิดว่าจะจำกัดเวลาการแสดงไม่ให้เกินสองชั่วโมง พี่อาจต้องตัดบางองก์ออกและต้องแก้บางองก์ให้สั้นลง พี่อยากได้ความเห็นของลดาหลายเรื่อง ถ้าลดาพอมีเวลาก็แวะมาดูนะ พวกเราจะซ้อมห้าโมงเย็นของทุกวันและเก้าโมงเช้าวันเสาร์อาทิตย์”

“ค่ะ”

หลังจากนั้นฉันก็ใช้เวลาว่างจากการเรียนอยู่กับคณะละครของมหาวิทยาลัยมาตลอด รู้ว่าวิรงรองเป็นคนที่พยายามทำอะไรแล้วจะพยายามอย่างไม่ท้อถอยจนกระทั่งทำสำเร็จได้ทุกเรื่อง และถ้าเธอสั่งใครไปซื้อกาแฟมาให้กิน แน่นอนว่าต้องเป็นลาเต้จากร้านสตาร์บัค มิเช่นนั้นคุณหนูนางเอกละครสุดสวยคนนั้นเหวี่ยงลงถังขยะหน้าตาเฉย

วันเวลาผ่านไป มีเรื่องราวมากมายทั้งที่มีประโยชน์และไร้ประโยชน์ให้ผ่านพ้น เข้าใจและแก้ปัญหาด้วยกัน มารู้ตัวอีกทีฉันก็สนิทกับผู้หญิงคนนี้ไปเสียแล้ว

และวันนี้ เธอก้าวไปหน้าห้องด้วยมาดของอาจารย์มหาวิทยาลัยในแบบฉบับของเธอเอง

“ขอเสียงปรบมือต้อนรับ เพชรลดา..นักเขียนของเรา”

เสียงปรบมือกึกก้องห้องเรียน ฉันกวาดสายตามองนักศีกษาที่น่าจะมีเพียงชั้นปีสามและปีสี่ นักศึกษาที่ทั้งชายและหญิงล้วนมีทั้งวิชาการและประสบการณ์ในระดับหนึ่งซึ่งบางคนนั้นอาจจะสูงพอตัว ฉันสังเกตได้จากแววตาที่รอคอยอย่างไม่ได้สนอกสนใจอยากรู้อยากเห็นเหมือนแววตาของพวกเด็กปีหนึ่ง แต่รอคอยแบบหยั่งเชิงซึ่งนั่นทำให้ฉันขว้างสคริปต์ในหัวทิ้งไปแล้วลากเก้าอี้ของอาจารย์ลงไปนั่งในระดับเดียวกับพวกเขาพร้อมกับคำถามที่ฉันเคยถามตัวเอง

“พวกคุณเรียนหนังสือเพื่ออะไร”










ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

บทกวีที่มีชื่อเสียงของวิทยากร เชียงกูลถูกเขียนไว้บนบอร์ดหน้าทางเข้าโรงอาหารของคณะมนุษยศาสตร์ ฉันยืนอ่านมันเฉกเช่นวันวานที่ฉันต้องหยุดยืนและอ่านมันให้จบทุกครั้งไม่ว่าจะเร่งรีบมากมายเพียงใด มันเป็นบทกวีที่ฉันท่องจำได้ขึ้นใจและเคยเจ็บปวดรวดร้าวไปกับมันในวันที่มืดมิดของชีวิต วันที่ฉันไม่ได้ยินเสียงของหัวใจเต้น วันที่ฉันตอบไม่ได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่และชีวิตของฉันกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน

โชคร้ายที่ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นมาอย่างเด่นชัดและรุนแรงที่สุดในปีสุดท้ายของการศึกษา อีกสองเดือนก่อนที่ฉันจะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ในวันที่ความรู้มากมายเพียบพร้อมอัดแน่นอยู่ในสมอง ความพยายามตลอดสามปีกว่ากำลังจะสัมฤทธิ์ผล ถ้าไม่มีอะไรพลิกความคาดหมายอะไรจริงๆ ‘กระดาษแผ่นเดียว’ ที่ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนานั้น ฉันกำลังจะได้มันมา และนั่นใครๆก็คิดว่ามันน่าจะเป็น ‘รางวัลชีวิต’ ที่จะทำให้ฉันยิ้มแย้มอย่างฮึดสู้ในสนามสอบปลายภาคครั้งสุดท้าย

แต่มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น

ในวันที่ฉันเดินไปตามทางเท้าอย่างโดดเดี่ยวเหม่อลอยจนเผลอคลายแขนทำหนังสือเรียนตกจากอ้อมกอด ฉันนั่งลงเก็บ แต่การนั่งลงไปครั้งนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับการล้ม อยู่ๆดีฉันก็จุกจนลุกไม่ขึ้น ความรู้สึกราบเรียบที่เคยใช้ซุกซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองมาตลอดชีวิต อยู่ดีๆก็พังทลายเหมือนกำแพงที่แตกกระเจิงด้วยแรงระเบิด น้ำตาของฉันหลั่งทะลักเชี่ยวกราก ความโศกเศร้ากราดเกรี้ยวอย่างบ้าคลั่ง มันตะโกนลั่นว่าฉันหนีมันไม่พ้นแล้ว! มันจะฆ่าฉันให้ตาย! มันบอกว่าฉันช่างไร้ค่าและโง่เง่ายิ่งกว่าหมาขี้เรื้อนที่คุ้ยขยะ ฉันทำบ้าอะไรอยู่ ฉันต้องการสิ่งที่ฉันกำลังไล่ล่าไขว่คว้าจริงๆหรือเปล่า ฉัน..ทำ..อะ..ไร..อยู่!

ฉันเคยเชื่อมั่นว่าการได้รับการยอมรับเป็นทางออกเพียงทางเดียวของฉัน มันเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้ฉันรักตัวเองได้อย่างแท้จริง ฉันพากเพียรเรียนหนังสือเพื่อเหตุผลนั้น ไม่ว่าจะลำบากยากแค้นเพียงใด ฉันก็ยังสามารถเรียนหนังสือได้อย่างไม่มีที่ติ ถึงแม้ว่าฉันจะเจ็บปวดต่อสายตาของผู้คนแต่ฉันก็สะใจที่ลูกชายลูกสาวของคนเหล่านั้นเรียนหนังสือสู้ฉันไม่ได้ ฉันสอบได้ที่หนึ่งตลอด ในระบบวัดผลการเรียนในสถานศึกษาไม่มีคะแนนสอบของใครสามารถทัดเทียมคะแนนสอบของฉัน ฉันดีใจที่แม้มีไม่เท่าแต่กลับสามารถเอาชนะลูกๆของพวกเขาได้ ฉันพอใจที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันมองอย่างอิจฉาริษยาเมื่อฉันหอบเกียรติบัตรและรางวัลเกียรติยศมากมายกลับบ้าน ทั้งรางวัลระดับโรงเรียน ระดับเขตการศึกษา ระดับภาคจนกระทั่งระดับประเทศ

แต่แม่..แม่ไม่เคยดีใจเลย แม่ไม่เคยพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่เคยแม้แต่จะชื่นชมสักคำ

จนกระทั่งวันปีใหม่ที่ฉันช่วยแม่ทำความสะอาดบ้าน แม่ใช้ไม้กวาดกวาดเอาขยะที่อยู่ใต้ตู้เก็บของออกมา ในกองขยะที่เต็มไปด้วยหยากไย่สกปรกมีสมุดปกหนาสีน้ำตาลติดมาด้วย แม่หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นอย่างทะนุถนอม แล้วเปิดดูอยู่นานจนฉันแน่ใจว่ามันต้องมีข้อความให้อ่านและแม่กำลังอ่านข้อความนั้น

แล้วแม่ก็ปิด วางไว้บนตู้เก็บของ กวาดบ้านต่อไป ฉัน..ใช้ช่วงที่แม่ถือที่ตักผงไปเทหลังบ้าน..หยิบมันลงมาจากตู้

มันคือ..ปริญญาบัตรศิลปศาสตร์ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยที่แม่เคยเรียน

ชื่อที่เขียนไว้ไม่ใช่ชื่อแม่ เป็นชื่อผู้ชายซึ่งฉันรู้ว่าเป็นชื่อของพ่อเลี้ยงและรู้อีกด้วยว่าถ้าฉันไม่เกิดมา ในโลกนี้จะต้องมีกระดาษแบบนี้อีกใบหนึ่งที่เขียนชื่อของแม่ ถ้าโลกนี้ไม่มีฉัน โลกใบนี้จะมีปริญญาอีกใบที่เป็นของแม่

ฉันเข้าใจเหตุผลที่แม่เย็นชากับฉัน เพราะฉะนั้นถึงแม้เด็กมัธยมคนอื่นจะดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลังที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่สำหรับฉัน มันแค่การเริ่มต้น จุดหมายปลายทางของฉันอยู่อีกสี่ปีข้างหน้า ชัยชนะอยู่ที่วันที่ฉันได้รับพระราชทานปริญญาบัตร แต่วันนั้นฉันอยู่ห่างวันในฝันอีกแค่สองเดือน ฉันกลับนึกขึ้นมาได้

มันจะสำคัญอะไรหากฉันได้ปริญญามา แต่ปริญญานั้นก็ไม่ใช่ของที่แม่ต้องการเพราะมันไม่ใช่ของแม่ ชื่อที่จะปรากฏบนกระดาษแผ่นนั้นจะไม่ใช่ชื่อแม่ แม่ไม่ได้อยากได้มัน แม่ไม่เคยดีใจที่ฉันเก่งกาจหรือว่าชนะใครมา ทุกอย่างในอดีตมันฟ้องอยู่โทนโท่ว่าสิ่งที่แม่ต้องการ แม่ไม่มีวันได้อีกแล้ว ความผิดที่ฉันเกิดมาไม่มีอะไรมาแก้ไขได้ ไม่ว่าฉันจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่ดีเลิศขนาดไหน มันก็ไม่มีประโยชน์

ฉันโง่ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันไม่รู้ตัวว่าฉันไม่เคยชนะ ฉันถูกพวกคนเหล่านั้นปั่นหัว! พวกคนที่ดูถูกว่าเด็กอย่างฉันไม่มีวันได้ดี แต่แล้วเป็นอย่างไร ฉันเรียนเก่งและเล่นกีฬาเก่งกว่าเด็กที่เกิดมาท่ามกลางความรักเสียอีก แล้วก็เป็นอย่างไรอีกล่ะ ฉันไม่เคยมีความสุขเลยตั้งแต่ฉันเริ่มเรียนหนังสือ ฉันไม่เคยมีเพื่อนที่โรงเรียน เพื่อนของฉันมีแค่กองตำรามหึมาที่ฉันบ้าอ่านจนดึกดื่นทุกคืน

ตลอดเวลา ฉันไม่กล้าตอบตัวเองว่าพยายามทำอะไรอยู่ ทั้งๆที่รู้ว่าท้ายที่สุดทุกสิ่งมันจะสูญเปล่า ฉันก็ยังหลอกตัวเองอยู่ความฝันที่ว่าสักวันหนึ่งผู้คนจะยอมรับและชื่นชมฉัน ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่ว่าฉันจะเก่งขนาดไหน มีชื่อเสียงโด่งดังขนาดไหน ได้อะไรมา แต่อย่างมากก็ทำได้แค่ทำให้คนอื่นอิจฉาริษยาเท่านั้น ไม่มีใครยอมรับหรือรักฉันหากจิตใจของเขาไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ต่อให้มีความพากเพียรพยายามและมีความอดทนอย่างไร้ขีดจำกัด ถึงแม้ว่าฉันจะทำได้ทุกอย่าง แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ฉันทำไม่ได้คือฉันบังคับให้ใครรักฉันไม่ได้

ชะตากรรมช่างโหดร้ายเหลือเกิน เรื่องที่ง่ายดายเท่านี้ ทำไมฉันเพิ่งเข้าใจ

ฉันทำบ้าอะไรอยู่








นักศึกษาจำนวนหลายร้อยกำลังก้าวเข้าไปรับประทานอาหารกลางวันในโรงอาหาร ในกลุ่มของพวกเขาไม่มีใครสักคนที่หยุดยืนอ่านบทกวีบทนั้นเช่นเดียวกับฉัน

เฉกเช่นกับตัวหนังสือทั่วๆไป มันไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับคนที่ไม่สนใจมัน วิรงรองยืนเคี้ยวแซนวิชอยู่ข้างๆ

“ไม่มีใครสนใจ ‘เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน’ ตราบใดที่พวกเขาเรียนหนังสือเพียงเพื่อยกระดับตัวเองทั้งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ”

ฉันถอนหายใจ

“อันที่จริง ชื่อเสียง วัตถุและเงินทอง สิ่งภายนอกเหล่านั้นไม่ได้มีด้อยค่าไปมากกว่านามธรรมอย่างความรักหรือความดี มนุษย์ทุกคนมีความหมายในการดำรงอยู่แตกต่างกัน หากเงินทองเป็นความสุขของเขาจริงๆแล้วเขาความสุขที่จะได้แสวงหาและครอบครองมัน ก็นับว่าเขาได้บรรลุถึงความหมายในการมีชีวิตอยู่แล้วเช่นกัน”

“อือฮึ ความคิดของปัญญาชนที่เกิดในยุคหลังสมัยใหม่ที่ตีคุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่างในระดับที่เสมอภาคกัน แม้กระทั่งความชั่วและความดีก็ยังมีคุณค่าเสมอกันโดยหารู้ไม่ว่านี่อาจเป็นความหมายของกลียุคโดยแท้”

“ความน่ากลัวของกลียุคที่แท้จริงคือผู้คนจะหลงเชื่อว่าความชั่วคือความดีและความดีคือความชั่ว แล้วเมื่อนั้นคนดีก็จะถูกฆ่า ส่วนคนชั่วก็จะได้รับการสรรเสริญ”

วิรงรองถอนหายใจเฮือก

“เพชรลดา”

“หือ”

“แกกลัวโลกใบนี้ไหม”

“กลัวสิ”

เสียงด้านหลังยังคงดังอย่างจับใจความไม่ได้ว่าใครพูดอะไร ฉันเดินมายังร้านข้าวแกงที่มีป้าคนหนึ่งกำลังยืนหัวหมุนกับเสียงร้องสั่งให้ตักกับราดข้าวราวกับเสียงนกกระจอกแตกรังก่อนจะแอบตัวไปหลังร้านและเข้าไปเรียกแกจากด้านหลัง

“สวัสดีค่ะ ป้าอ่อน”

แกตกใจแค่ห้าวินาทีก็เบิกตากว้าง

“หนูลดา!”

เสียงเซ็งแซ่ของนักศึกษายังไม่เงียบ ไม่ว่าคนภายนอกจะมองอย่างไรก็ตาม แต่โรงอาหารของคณะมนุษยศาสตร์ไม่มีการเข้าแถวซื้ออาหาร อาจารย์ในคณะส่วนใหญ่จะสั่งอาหารไปขึ้นทานที่ห้องพักครูเพราะกลัวว่าจะมาเป็นลมท่ามกลางนักศึกษาที่กำลังโหยหิวและมีเวลากินข้าวแค่สี่สิบห้านาที

ยืนฟังเสียงนักศึกษาหน้าร้านห้าวินาทีแล้วสรุปได้ ดังนี้

“ผัดไข่สามจาน จานหนึ่งเพิ่มไส้กรอกทอด อีกจานไข่ดาว อีกจานกุนเชียงเพิ่มแกงโฮะใส่ถ้วยเล็ก ราดแกงฮังเลสองจาน เพิ่มไข่ต้มกับผักทอด ข้าวไก่อบหนึ่ง ไม่เอาหนัง ข้าวราดไข่พะโล้หนึ่ง เอาหมู ไม่เอาเต้าหู้”

“โอย..ตายๆ”

ฉันวางกระเป๋าถือแล้วหยิบจานไปช่วยตักข้าวราดกับตามที่ตัวเองสรุปเมื่อครู่นี้ทยอยส่งให้นักศึกษาและรับเงินมาใส่กระป๋องอย่างรวดเร็วในขณะที่ป้าอ่อนมีท่าทางเหมือนจะเป็นลมเป็นแล้งซึ่งก็ไม่แปลก แกอายุมากแล้วนี่นา

วิรงรองถือแซนวิช(อีกชิ้น)ติดมือมายืนบ่น

“ปกติแค่นักศึกษาคณะนี้คณะเดียวก็วุ่นจะตายแล้ว ทำไมนักศึกษาคณะอื่นถึงมากินข้าวที่นี่ด้วยเนี่ย”

“นอกจากนักศึกษาวิศวะฯที่มีจุดประสงค์เพิ่มคือมาเหล่สาว นอกนั้นมาด้วยจุดประสงค์เดียว กับข้าวที่นี่อร่อยที่สุดในมหาวิทยาลัย”

มือของฉันตักกับใส่ข้าวเป็นระวิง ป้าอ่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้มาช่วยตักข้าวใส่จานส่งให้ วิรงรองยืนกินยืนมองอย่างสบายใจ

“กลับมาทำงานเก่าได้ดีกว่าเดิมนะ เพชรลดา”

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง โรงอาหารว่างเปล่า มีนักศึกษาไม่กี่คนที่เพิ่งมากินข้าวเพราะมีคาบว่าง ป้าอ่อนตักข้าวให้ลูกค้าคนสุดท้ายก็เช็ดมือแล้วมานั่งคุยกับฉัน

“ไม่ได้เจอกันนานเลย หนูลดา สวยขึ้นจนผิดหูผิดตา แล้วนี่มาเยี่ยมป้าหรือ”

“ลดามาขอข้าวป้ากินค่ะ”

ป้าอ่อนหัวเราะลงลูกคอก่อนจะลุกขึ้นไปตักข้าวใส่จาน

“ทำงานทำการอะไรหรือเรา”

“เขียนหนังสือค่ะ”

“หือ..เขียนหนังสือขายหรือลูก”

“ค่ะ”

“เหลือไข่พะโล้หนึ่งลูกกับไส้กรอกสองชิ้น เดี๋ยวป้าทำ...”

“ไม่ต้องค่ะ ป้า เอาเท่านั้นแหละค่ะ หนูกินได้”

สมัยเรียน ฉันเคยฝากท้องไว้กับของเหลือของร้านข้าวแกงแห่งนี้ ซึ่งบางครั้งก็เหลือเพียงข้าวครึ่งจานกับน้ำผัดผักอะไรสักอย่างที่ฉันลืมไปแล้วและมันก็ไม่เหลือเนื้อผักหรือเนื้อสัตว์ไว้บอกสักชิ้น แต่ฉันก็กินมันได้หากทำให้ฉันสามารถประหยัดเงินไว้สำหรับเป็นทุนจ่ายค่าบำรุงการศึกษา ค่าลงทะเบียนเรียน ค่าหนังสือ ค่าหอพักและช่วยค่ากินค่าใช้ที่แม่มักโอนมาให้เสมอ

บางครั้ง ถ้ายังมีของเหลือจริงๆ ป้าอ่อนจะทอดไข่หรือทำอะไรง่ายๆให้ฉันกินเพิ่ม เพราะป้าบอกว่าทำใจยากเหลือเกินที่ต้องเห็นเด็กสาวที่สวมชุดนักศึกษามานั่งกินน้ำต้ม น้ำแกงหรือน้ำผัดผักกับข้าวเปล่าๆ

ฉันเลยแหย่แกกลับไปว่าคราวหน้าจะแก้ผ้ามากินกับข้าวป้าอ่อน แกหัวเราะลั่นและดุอย่างอ่อนใจว่าฉันทะเล้นทะลึ่งตึงตัง

“ลูกสาวป้าก็เรียนที่นี่แหละ แต่ป้าไม่เคยเห็นเขามากินที่นี่หรอก”

ฉันพยักหน้ารับ รู้ดีว่าไม่ใช่นักศึกษาทั้งหมดจะมาทานข้าวที่โรงอาหาร ใจกลางมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีภัตตาคารอีกแห่งหนึ่งซึ่งนักศึกษามักจะนั่งทานอาหารที่นั่น ฉันเคยเข้าไปดู เปิดเมนูแล้วเสียดายเงินที่จะจ่ายค่าอาหารจานละสามสี่ร้อย จากคิดจะทานอาหาร ฉันเลยติดต่อขอพบผู้จัดการเพื่อถามว่า “ที่นี่รับนักศึกษาทำงานพาร์ทไทม์ช่วงเย็นไหมคะ”

วิรงรองมาทานข้าวที่นั่นแทบทุกวัน ทั้งเช้า กลางวัน เย็น ถ้ามื้อไหนไม่มาก็แสดงว่ามันขับรถพาเพื่อนไปทานข้างนอกหรือไม่ก็ไปเดท

อาจารย์มหาวิทยาลัยถือกะละมังพลาสติกมา “เหลือแตงกวาอีกสามชิ้น”

“เอามานี่เลย”

“เอาแซนวิชไปด้วยสิ อร่อยนะ ในตะกร้ายังมีหอมทอดกับสปาเก็ตตี้อีกด้วย”

“นั่นแกกินไปเถอะ”

วิรงรองยักไหล่

“แล้ว..สบายดีนะลูก” ป้าอ่อนถาม

“สบายดีค่ะ ป้าอ่อนล่ะคะ”

“ตามประสาคนแก่”

“ทำไมป้าไม่หาเด็กสักคนมาช่วยล่ะคะ”

“เด็กสมัยนี้ไม่ทำงานอย่างนี้หรอกจ้ะ แล้วรายได้อย่างป้าก็ให้เงินจ้างได้ไม่มากด้วย”

ฉันพยักหน้ารับพลางเคี้ยวข้าว ฝีมือของป้าอ่อนยังอร่อยเหมือนเดิมไม่มีตก

“ป้าว่าจะขายอีกปีเดียวก็จะกลับกาญจนบุรี ปีหน้าคงต้องให้คนอื่นเข้ามาประมูลใหม่แล้ว”

ฉันคุยกับป้าอ่อนจนกระทั่งข้าวหมดจานก็เอาขนมที่ขนมามอบให้ ก่อนจะลาจากมาพร้อมวิรงรองที่เริ่มอึดอัดเพราะพุงกางท้องป่องกระโปรงแน่น

“นี่ถ้าพวกนั้นคิดวางยาพิษแก ฉันตายแทนนะเนี่ย”

“ก็ฉันว่าจะไม่กิน ทำไมแกรับมาล่ะ”

“โอย เสียดายตาย ของดีๆทั้งนั้น อร่อยด้วย”

ระหว่างทางเดินที่เงียบสงัดเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่กำลังอยู่ในห้องเรียน ดอกปีบหรือคนที่นี่เรียกว่ากาสะลองร่วงหล่นพลิ้วลงมา ฉันนั่งลงเก็บดอกที่สวยๆขึ้นมาไว้ในอุ้งมือ ฉันชอบที่จะทำอย่างนี้ตั้งแต่สมัยเรียนที่นี่แล้ว เก็บดอกปีบที่ร่วงลงมาไปใส่ขวดเล็กๆแล้ววางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือที่หอพัก

วิรงรองวางตะกร้าลงและนั่งยองๆช่วยฉันเก็บ ฉันกลัวกระโปรงของหล่อนจะปริจัง

“เบนซ์สีดำเมทัลลิกกับพวกข้าทาสบริวารพวกนั้น แกไปเอามาจากไหน”

“เขาสั่งให้มาติดตามฉัน”

“ใคร”

“เมธวัชร์ กฤติกาลักษณ์”

“ผู้ชายคนใหม่ของแกหรือไง”

ฉันนึกถึงใบหน้ายามหลับใหลของเจ้าของชื่อที่ฉันเพิ่งเอ่ยออกไป มันไม่ใช่ความรู้สึกเลวร้ายอะไรที่ฉันจะตอบรับ “อือ”

หลังจากเก็บดอกปีบได้เต็มอุ้งมือ ฉันก็กลับมายังสถานที่ซึ่ง ‘ข้าทาสบริวาร’ ของฉันยืนคอยอยู่
วิรงรองส่งตะกร้าคืนให้คนขับรถ ในขณะที่ฉันได้รับรายงาน

“คุณเมธวัชร์ไปเล่นไพ่กับเสี่ยวิบูลย์ครับ ท่านสั่งว่าหากคุณเพชรลดาเสร็จงานแล้วให้ไปหาท่านที่นั่น”

ว้าว..ท่านสั่งว่า..สั่งว่า..สั่ง..สั่ง

“ฉันสามารถเถลไถลที่ไหนได้ไหม”

คนขับรถลอบยิ้ม

“เอาเป็นว่าผมจะไม่รายงานก็แล้วกันครับ คุณเพชรลดาอยากไปไหนหรือครับ แต่ถ้าอยากรับประทานอาหารก็อย่าทานหนักเกินไปนะครับ เพราะผมทราบมาว่าคุณเมธวัชร์วางแผนจะพาคุณไปทานดินเนอร์เย็นนี้ครับ”

ฉันยื่นกระเป๋าเข้าไปวางไว้เมื่อคนขับรถเปิดประตูให้ วิรงรองเตรียมโบกมือบ้ายบาย แต่เพราะอะไรบางอย่างยังคงอยู่ในใจ ฉันจึงยืนเกาะประตูเอาไว้

“แกจำบทละครเรื่องเปลวไฟที่ลามไหม้ปีกผีเสื้อได้ไหม”

“จำได้สิ ทำไม”

“ความหมายของมัน ฉันไม่ได้หมายถึงผู้หญิงในโลกของผู้ชายแต่ฉันหมายถึงมนุษย์ทุกคนที่ตกเป็นทาสของคำว่า ‘ความหมายของการมีชีวิต’ ผีเสื้อตัวนั้นหลงใหลในความสว่างไสว มันเลยบินไปอยู่ใกล้ๆเปลวไฟและยังดีใจอย่างโง่เง่าเมื่อไฟไหม้ติดปีกมัน การมีชีวิตเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็เหมือนไฟที่ลามไหม้ปีก ยิ่งมันขยับปีกร่ายรำอย่างสวยงามมากเพียงใด ไฟก็ยิ่งไหม้ปีกมันเป็นเถ้าถ่านมากเท่านั้น ความรู้สึกก่อนสิ้นลมหายใจของผีเสื้อตัวนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าสุดท้ายมันตายด้วยความรู้สึกอย่างไร มันพอใจที่มันได้สวยงามในความคิดของมันเพียงชั่วขณะหรือว่ามันเสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำมาทั้งหมด”

วิรงรองนิ่งแล้วก็ยิ้ม

“แสดงว่าฉันตีความผิดมาตลอดสินะ”

ฉันส่ายหน้า “ไม่ผิดหรอก การตีความงานวรรณกรรมไม่เคยผิดถ้ามีเหตุผลที่ยอมรับได้”

“ฉันเก็บบทละครของแกไว้ทุกเรื่อง เรื่องนั้นฉันจะกลับไปอ่านอีกครั้ง”

“ขอบใจนะ”

“หือ”

“ฉันขอบใจ วิรงรองเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”

รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของผู้หญิงเบื้องหน้าก่อนที่ฉันจะจากมา ก่อนที่ประตูรถจะถูกปิดด้วยมือของคนขับรถ ความคิดของฉันกลับไปสู่ความทรงจำนั้นอีกครั้ง

สองเดือนสุดท้ายของภาคการศึกษาสุดท้าย ฉันหายไปจากห้องเรียนและในที่สุดก็ทิ้งการสอบปลายภาค ฉันไม่กล้าบอกแม่ถึงเรื่องที่ฉันเตรียมตัวจะลาออกจากมหาวิทยาลัย ไม่อยากคิดอะไรเพราะทนความเจ็บปวดไม่ได้ ได้แต่นอนนิ่งเงียบไร้ความรู้สึกไปสองสามวันก่อนจะออกไปรับจ้างทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านนมแห่งหนึ่ง ทำงานให้เหนื่อยจนไม่มีแรงคิดและนอนหลับสนิททุกวัน

วิรงรองตามไปพบฉันที่ร้าน มันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันไม่ยอมไปสอบปลายภาค แต่มันไม่ถามเหตุผล วิรงรองต่างจากคนทั่วไปที่ไม่มีวันสูญเสียเรี่ยวแรงจากการห่วงใยใครจนกราดเกรี้ยว หากไม่ใช่ ไม่เข้าใจ มันจะไม่ตัดสินอะไร แต่ถ้าหากเข้าใจ แต่มันรับไม่ได้ มันจะตัดใจทิ้งคนไม่เอาถ่านคนนั้นซึ่งต่อให้เจ็บปวดเหมือนควักหัวใจทิ้ง มันก็จะเชิดหน้าสู้กับความเจ็บปวดนั้นจนกว่ามันจะชนะ แล้วมันก็จะหันหลังให้กับคนที่มันทิ้งตลอดกาล

“ผลสอบของแกออกแล้ว ฉันไปขอฝ่ายทะเบียนมาก่อน เผื่อแกไม่อยากให้ส่งไปบ้าน”

การไม่เข้าสอบปลายภาคทำให้วิชาที่ฉันลงทะเบียนเรียนไว้ถูกปรับตกทั้งหมด สำหรับนักศึกษาคนอื่นอาจยอมตายเพื่อไม่ให้ตัว F สักตัวปรากฏบนในเอกสารแสดงผลการเรียน แต่ฉันมองตัว F เรียงเป็นแถวเป็นแนวด้วยความรู้สึกราบเรียบที่สุดก่อนจะขยุ้มกระดาษแผ่นนั้นทิ้งถังขยะ

วิรงรองลุกจากเก้าอี้ วางเงินลงบนโต๊ะและหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย อาการไม่แยแสสนใจทำให้ฉันหลุดปากถาม

“แกรู้ไหมว่าแกเกิดมาเพื่ออะไร”

มันโคลงศีรษะ “เกิดมาเพื่อหาคำตอบของคำถามนั้นไง”

“แม่รักแกไหม”

“รักสิเพราะกว่าที่แม่จะได้ฉันมา แม่ต้องวางยาปลุกเซ็กส์พ่อตั้งสองรอบ”

แล้ววิรงรองก็ไป

ฉันนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าสมองอ้างว้างความคิดหรือเต็มไปด้วยความคิดจนไม่อาจจับใจความ แต่เมื่อความว่างเปล่าหรือว่าความวุ่นวายนั้นจบสิ้นลง ฉันเช็ดน้ำตาที่เหลืออยู่จนแห้งสนิท ล้างหน้าใหม่และใช้กระดาษทิชชูในห้องน้ำซับให้แห้ง ฉันไม่อยากเรียกความคิดนั้นว่าการตัดสินใจเพราะมันเบาบางเกินไป ฉันไปลาออกจากร้านนมและถือกระเป๋าเดินออกมา เดินผ่านคู่รักนักศึกษาที่กำลังเดินโอบไหล่และริมฝีปากของฝ่ายชายแตะลงบนเรือนผมของฝ่ายหญิงและกระซิบว่า “รักนะ”

เดินผ่านหญิงสาวที่กำลังร้องไห้กับโทรศัพท์มือถือ เธอจะตะโกนใส่ปลายสายด้วยน้ำเสียงเครือสะอื้น

“ไม่ต้องมาเลย! ไม่ต้องมา! ฉันมันก็แค่หมาหัวเน่า ฉันไม่มีค่าสำหรับพี่แล้ว! บอกว่า..ไม่ต้องมา! ไม่ต้องมาตามฉัน!”

เดินผ่านผู้หญิงหุ่นผอมเพรียวที่แต่งหน้าเข้มใส่ชุดราตรีปักเลื่อมตัวสั้น เธอยืนด้วยท่วงท่าเซ็กซี่สวยสง่ามองฟ้าก่อนจะเบนสายตาลงมามองผู้ชายที่ก้าวเข้ามา ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีนู้ดวาวเอ่ยขึ้นว่า “คืนละสองพันห้า ตกลงไหมคะ”

เดินผ่านผู้หญิงอ้วนฉุที่กำลังนึ่งขนมปังขาย

เดินผ่านเด็กสาวในเครื่องแบบของพนักงานมินิมาร์ทที่กำลังสะพายกระเป๋ายืนมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

ลมหนาวของเชียงใหม่พัดต้องใบหน้าของฉันจนเย็นชืดเหมือนผิวศพ

ฉันนั่งลงบนขอบกระถางต้นไม้หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง มองดูผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงแท้และผู้หญิงเทียมที่กำลังร้องวี้ดว้าย ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ทั้งชาวตะวันออกและชาวตะวันตก ทั้งสาวผิวขาวที่มากับหนุ่มผมดำ ทั้งสาวผิวคล้ำที่มากับหนุ่มผมทอง ทั้งคนที่มาโดยรถส่วนตัวและคนที่มาโดยรถแท็กซี่

โลกใบนี้ยังคงเคลื่อนไหวไปอย่างดีและเลวตามแบบฉบับของมัน ฉันนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว

หญิงสาวที่ร้องไห้กับโทรศัพท์มือคือเดินลากกระเป๋าเสื้อผ้าผ่านหน้าฉันไป มีผู้ชายคนหนึ่งโอบประคองเธอไว้ เธอซุกหน้ากับอกของเขาแล้วสะอื้นไห้ในขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยังโอบกอดร่างเขาแน่นและเท้าทั้งสองข้างเดินไปกับเขา

ฉันยังคง..นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว

โลกยังคงเคลื่อนไหวแต่การนั่งอยู่อย่างไร้จุดมุ่งหมายและไม่เสียดายเวลาในชีวิตของฉัน ทำให้โลกหมุนช้าลง..ช้าลง แล้วท้ายที่สุด มันก็มันหยุดนิ่ง

ฉันเป็นคนไร้ค่า

ฉันไม่มีคุณค่าต่อใคร

แต่อดีตก็คืออดีต อดีตแก้ไขไม่ได้








ฉันกลับไปยังหอพัก รวบรวมความกล้ากดโทรศัพท์ของหอโทร.หาแม่ บอกว่าฉันอาจจะต้องอยู่เชียงใหม่อีกปีหนึ่งเพราะฉันสอบตกทุกวิชา ฉันจะต้องลงทะเบียนเรียนใหม่

แม่พูดคำเดียวว่า “อือ”

ในความเงียบที่กั้นกลางระหว่างฉันกับแม่ ในที่สุดฉันก็พูด

“แม่”

“หือ”

“ลดาเป็นลูกที่แม่ไม่ต้องการใช่ไหม”

ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องการคำปลอบใจและยิ่งไม่มีวันหลอกตัวเอง

ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันภาคภูมิใจคือฉันไม่มีวันหลอกลวงตัวเอง

แม่เงียบไปนานกว่าจะตอบ

“ใช่ หนูเป็นลูกที่แม่ไม่ต้องการ”

“แล้วแม่ปล่อยให้ลดาเกิดมาทำไม ทำไมแม่ไม่ฆ่าลดาก่อนหน้านั้นหรือไม่..แม่ก็อาจจะเอาลดาไปทิ้งน้ำ..ที่ไหนก็ได้ แม่รู้ไม่ใช่หรือ ลดาไม่ควรเกิดมาและแม่สามารถฆ่าลดาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย”

“ลดา”

“หนูไม่ต้องการคำโกหก แม่รู้ว่าคำโกหกจะฆ่าหนู หนูยอมรับตัวเองได้แล้ว เพราะฉะนั้นหนูฟังได้ไม่ว่าแม่จะพูดว่าแม่เกลียดหนู”

“หนูอยู่ในท้องของแม่ในวันที่แม่ไม่เหลือใคร พอแม่คลอดหนูออกมา หนูก็เอาแต่ร้องไห้หาแม่ หนูพยายามคืบ คลานหรือลุกเดินมาหาแม่ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้งกี่หน เจ็บกี่ครั้งก็ไม่จำ เวลาที่แม่ไม่อยู่ข้างๆหนู หนูก็จะตามหาแม่ เวลาแม่กลับมา หนูจะยิ้มให้แม่ ลดา ไม่เคยมีใครรักแม่มากเท่าหนู แล้วแม่จะเกลียดหนูได้อย่างไร”

ฉันเช็ดน้ำตาที่ไหลรินลงมา

“แม่ไม่ได้เกลียดหนูหรือ แม่ไม่เคยชมหนูเลย”

แม่ถอนหายใจอย่างอ่อนล้า

“ลดาอาจจะคิดว่าสิ่งที่แม่ทำกับลดาคือสิ่งที่แม่ใจร้ายเขาทำกัน แต่เหตุผลที่แม่ไม่เคยชื่นชมลดาเพราะสิ่งที่ลดาทำ ตลอดเวลาท่านมา หนูทิ้งตัวเอง หนูพยายามเอาชนะคนอื่นเพื่อพิสูจน์ว่าหนูเหนือกว่าเขาและเมื่อหนูชนะ หนูก็หลงใหลในความสามารถของตัวเอง หลงใหลในชื่อเสียง แม่รู้ว่าหนูทำอย่างนั้นเพราะคิดว่าตัวเองต้อยต่ำ หนูจึงโหยหาการได้รับการยอมรับจากคนอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านั้น สักวันมันจะฆ่าหนูอย่างเลือดเย็น หากหนูหลงใหลในชื่อเสียงและการยอมรับจากผู้อื่น หนูจะตายในวันที่ทุกคนหันหลังให้หนู ทำไมหนู..ถึงต้องผูกชีวิตไว้กับคนที่เขาไม่ได้แคร์หนูจริงๆล่ะลูก”

แม่เงียบแล้วพูดต่อ

“แม่รู้ว่าหนูจะเกิดมามีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน แต่ลืมไปเถิดว่าหนูเกิดมาเพราะอะไร อดีตมันผ่านไปแล้ว มันแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่แม่อยากให้หนูรู้ไว้ว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุผลที่เกิดมาเสมอ ลดาก็มีเหตุผลที่เกิดมาเช่นกัน ความทุกข์ในชีวิตของคนคนหนึ่งมันคือบทเรียนที่ชะตากรรมฝึกฝนให้เพื่อเตรียมตัวให้คนคนนั้นรับหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในวันข้างหน้า หน้าที่ซึ่งคนทั่วไปอาจไม่มีใครทำได้นอกจากคนคนนั้นเพียงคนเดียว”

“แม่”

ฉันได้ยินเสียงสะอื้น

“แม่..แม่ร้องไห้หรือคะ”

“ฟังนะ เพชรลดา ความเจ็บปวดเป็นของคู่กันกับคนที่เป็นตัวของตัวเอง แต่คนจะเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เลยถ้าไม่มีความกล้า แต่ถ้าหากไม่กล้าพอที่จะเป็นตัวของตัวเอง ก็จะไม่มีวันรู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร”

แม่พูดแค่นั้นแล้วสายก็ตัด ฉันโทร.หาแม่อีก แต่พ่อเลี้ยงรับ ฉันละอายใจ

“ขอโทษค่ะที่รบกวนจนพ่อต้องออกมารับเอง”


พ่อเลี้ยงของฉันอยู่บนรถเข็น ท่านไปไหนมาไหนไม่สะดวกนัก

“เปล่า พ่ออยู่กับแม่ของลดาตั้งนานแล้ว”

“แม่ล่ะคะ”

“เข้าไปอยู่คนเดียวในห้องนอนแล้ว คงไม่ออกมาอีกนาน”

“แม่โกรธลดาใช่ไหมคะ”

“แม่ไม่มีวันโกรธหนูไม่ว่าหนูจะทำอะไรก็ตาม เพราะเขาไม่ใช่เจ้าของชีวิตของหนู ถ้าจะโกรธ เขาคงโกรธตัวเองมากกว่า”

“หนูทำตัวมีปัญหา”

“เด็กมีปัญหาเป็นปัญหาของผู้ใหญ่”

“หนูจะทำอย่างไรต่อไป”

“ทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง หนูเอาแต่ฟังคนอื่นมานาน ลองไปคุยกับตัวเองดูบ้างว่าหนูต้องการอะไรกันแน่”

แม้แต่ผู้ชายที่ไม่มีอะไรเกี่ยวพันกันทางสายเลือดยังรู้เลย

“หนู..หนู..จะกลับไปเรียน”

“ถ้าลดาต้องการอย่างนั้นก็ทำ ถ้าไม่ต้องการก็ไม่ต้องทำ ทางที่ดีหนูควรจะต้องรู้ว่าหนูเรียนหนังสือเพื่ออะไร ถ้าหนูหาคำตอบได้ คำตอบนั้นจะช่วยไม่ให้หนูอ่อนแอในวันที่หนูหลงทางอีกครั้ง”

พ่อเลี้ยงของฉันถอนหายใจ

“พ่อผ่านมันมาแล้ว พ่อเข้าใจว่ามันเจ็บปวดขนาดไหนกับการเป็นตัวของตัวเอง แต่เชื่อเถิดเมื่อถึงวันหนึ่งที่ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่ หนูจะมั่นคงและมีความสุขจนลืมความเจ็บปวดนี้ไป”

“ขอบคุณค่ะ พ่อ”

สำหรับฉัน ณ ปัจจุบัน มันยังไม่ไกลมากพอที่ฉันจะลืมความเจ็บปวดนั้น แต่ ‘ความมั่นคง’ ที่พ่อเลี้ยงเคยพูดเอาไว้ ฉันรู้สึกถึงสิ่งนั้นบ้างแล้ว ส่วนคำเตือนของแม่ที่ไม่ให้ฉันยึดติดกับการได้รับการยอมรับจากคนอื่นยังคงฝังสลักลึกในใจ ทุกสิ่งมีวันได้ก็มีวันหายไปจากมือของเรา มีวันขึ้นสูงก็ต้องมีวันตกลงมา

สำคัญที่ต้องรู้ ‘ความหมาย’ ในสิ่งที่ทำเสมอ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะหล่อเลี้ยงหัวใจในวันที่ไม่รู้ทางไป

และฉันไม่มีวันล้มเหมือนวันนั้นอีกแล้ว








ฉันกลับไปลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนถัดไป ใช้เวลาเรียนอีกหนึ่งปี อันที่จริงฉันสามารถจบได้ภายในครึ่งปี แต่ครึ่งปีที่เหลือฉันขออนุญาตลงทะเบียนเกินหน่วยกิตเพื่อเรียนวิชาที่ฉันสนใจ รวมทั้งใช้เวลาที่เหลือในการออกไปมองดูและพบปะพูดคุยผู้คนหลากหลายประเภทไม่ว่าผู้หญิงที่ถูกทารุณกรรมทางเพศ นักโทษในเรือนจำ โสเภณีทุกระดับ เด็กวัยรุ่นที่แต่งตัวแบบพังค์ ชาวเขาที่ลงจากเขามาหางานที่พื้นราบทำ ฯลฯ รวมทั้งเก็บเงินซื้อโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเองเพื่อฝากเบอร์เป็นอาสาสมัครให้คนที่มีปัญหาทางใจโทร.มาปรึกษาหรือโทร.มาหาเพื่อนคุยคลายทุกข์

จนกระทั่งได้พบกับผู้ชายอีกคนที่ทำตัวเหมือนฉัน คือชอบใช้เวลาออกไปคุยกับชาวบ้าน เขาเป็นนักวิชาการอิสระที่ได้รับการยอมรับนับถือจากคณาจารย์คณะสังคมศาสตร์และคณะมนุษยศาสตร์ ฉันต้องพึ่งเขาในวันที่จะต้องขึ้นไปศึกษาความเป็นอยู่ของพวกชนกลุ่มน้อยเพราะเขาชำนาญ คุ้นเคยกับงานรวมทั้งได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากหัวหน้าหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม

ทั้งการเรียนในมหาวิทยาลัย การอ่านหนังสือและการได้รับทราบเรื่องราวของใครหลายคนซึ่งทำให้ฉันเรียนรู้และมองโลกมองคนได้อย่างเข้าใจมากขึ้น ทั้งความละเอียดอ่อนของตามอารมณ์ของผู้หญิงและจิตวิญญาณที่เป็นอิสระจากการอบรมเลี้ยงดูของแม่กับพ่อเลี้ยงและอะไรอีกหลายสิ่งได้เข้ามาดลใจให้ฉันเริ่มเขียนนวนิยายเรื่องแรกซึ่งต่อมาถูกปฎิเสธจากสำนักพิมพ์สี่แห่ง เนื่องจากงานของฉันไม่ใช่ทั้งงานที่สร้างขึ้นมาจากสติปัญญาอันเฉียบแหลมลุ่มลึกรวมทั้งไม่ใช่งานโรมานซ์บันเทิงเริงรมย์ มันเป็นแค่งานที่กลั่นออกมาจากความสัตย์จริงจากใจของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ฉลาดและคมคายเหมือนสติปัญญาของนักเขียนที่เป็นผู้ชายที่ได้รับการเทิดทูนบูชา และไม่ได้เต็มไปด้วยอารมณ์โรแมนติกพาฝันเหมือนพวกนักเขียนยอดนิยมที่เป็นผู้หญิง

สำนักพิมพ์แห่งที่ห้าตกลงตีพิมพ์ให้ฉัน แค่หนึ่งพันเล่มที่หลังจากวันวางแผนไม่ถึงสัปดาห์..หมดเกลี้ยง

คำพูดปากต่อปาก บทวิจารณ์ในนิตยสารและอินเตอร์เนตที่มีทั้งทางบวกและทางลบทำให้หนังสือของฉันเป็นที่ต้องการของตลาดจนสำนักพิมพ์ต้องพิมพ์เพิ่มอีกหลายครั้ง ความโด่งดังทำให้พวกเขาคิดว่าควรจะมีงานเปิดตัวหนังสือของฉันในห้างสรรพสินค้าหรือว่าร้านหนังสือขนาดใหญ่สักแห่ง แต่ฉันปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าฉันกำลังรวบรวมสมาธิเพื่อเขียนนวนิยายเรื่องต่อไป พวกเขาจึงค่อยยอมปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวเงียบๆโดยมีสัญญาใจว่าฉันจะต้องส่งต้นฉบับนวนิยายให้สำนักพิมพ์นี้เท่านั้น อย่าส่งให้ที่อื่น

หลังจากนวนิยายเรื่องที่สองที่ถูกตีพิมพ์ห่างจากเรื่องแรกเพียงสี่เดือน เสียงเรียกร้องยิ่งหนักขึ้น พวกเขาต้องการเห็นหน้าฉันและเริ่มต่อว่าเพราะไม่เข้าใจที่ฉันทำตัวลึกลับและแปลกแยกจากนักเขียนทั่วไป คนร่วมอาชีพถึงขั้นประณามว่าฉันคงอยากโดดเด่นถึงแกล้งทำตัวติสท์แตกไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเอง การไม่ยอมเซ็นชื่อลงบนหนังสือของตนเองมากกว่าสิบเล่มที่สำนักพิมพ์จะมอบให้เป็นของกำนัลแก่ร้านหนังสือที่แอบคุ้นเคยกันทำให้เกิดการประมูลราคากันอย่างบ้าเลือด รวมไปถึงการปลอมแปลงลายเซ็นของฉันเพื่อโก่งราคาขายจนทนายของสำนักพิมพ์ออกโรงฟ้องร้อง ยิ่งเรื่องราวกระจายมากไปเท่าไรก็ยิ่งมีคนคิดว่าถ้าฉันทำตัวเหมือนนักเขียนธรรมดาตั้งแต่ต้น เรื่องก็คงไม่บานปลายมาถึงขนาดนี้

ในบ้าน แม้พ่อกับแม่อ่านและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระในนวนิยายของฉันทุกเรื่อง แต่กลับไม่มีใครพูดถึง ‘เรื่องข้างนอก’ แม้แต่คำเดียว ในวันเวลาเหล่านั้นเองที่ฉันเริ่มเข้าใจคำพูดของแม่ เข้าใจเหตุผลที่แม่ไม่เคยชื่นชมฉันไม่ว่าฉันจะคว้ารางวัลอะไรกลับบ้านมา ฉันเริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ความเป็นอิสระมีความสำคัญกับการสร้างงานศิลปะ การยึดติดกับการที่มีหรือไม่มีชื่อเสียง มีหรือไม่มีคนยอมรับจะทำให้ฉันขังตัวเองไว้ในที่ฉันคิดว่าเป็นที่ทุกคนต้องการ ฉันจะไม่เติบโตอีกต่อไปและนั่นคือสิ่งที่พ่อเลี้ยงของฉันเรียกว่าความตายของศิลปิน ตายสนิท..ตายจริงๆยิ่งกว่าศิลปินเอาปืนจ่อหัวแล้วเหนี่ยวไกเสียอีก

ในบ้านของฉัน ไม่มีใครให้ความสำคัญกับอะไรมากเกินไป ไม่มีความมั่นคงปลอดภัยเพราะเราเชื่อว่ามันจะเป็นการกักขัง ฉันเติบโตมาอย่างนั้น และคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ฉันนอนกับเมธวัชร์ กฤติกาลักษณ์ หรืออาจจะไม่ใช่ และถ้ามันไม่ใช่ มันจะเป็นเหตุผลที่ตรงกันข้ามกับเหตุผลแรกอย่างสิ้นเชิง

ฉันอยากมีความรักและต้องการให้ใครสักคนรักฉันแต่ฉันก็ไม่ต้องการมันเช่นกัน


************************

อะแฮ่ม มีคนบ่นมาว่าไม่ชอบนิยายเรื่องนี้ของสร้อยเลยเพราะอ่านไม่รู้เรื่อง
แต่คนเขียนชอบมันมากเลยค่ะ ฮ่าๆ

มันเป็นการเล่าย้อนหลังปะปนกับปัจจุบัน เหมือนกับความคิดของคนน่ะค่ะ เวลาเจออะไรที่สำคัญในอดีตก็มักจะคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว

กลับไปอ่านแล้ว อืม..อ่านยากกว่าทุกเรื่องของสร้อยที่ผ่านมาค่ะ

อันที่จริง งานนี้เป็นงานทดลอง อยากเขียนโรมานซ์ติกาหรืออีโรติกร่วมสมัย ถ้าจะล่มมันก็ไม่แปลกอะไร..นะคะ - - สร้อยทดสอบความสามารถตัวเอง ถ้าจบได้ รอดตาย ถ้าจบไม่ได้ มันก็คือจุดจบของมนุษย์จอมอหังการอย่างโง่ๆคนหนึ่ง TT^TT

จริงๆเรื่องนี้เขียนตอนจบแล้ว แต่ก่อนจะไปถึงตอนจบนี่ว่างโหวงมากๆ
ตอนนี้ก็คงยังว่างโหวงต่อไป

ขอบคุณสำหรับการติดตาม คอมเมนต์และกำลังใจจากทุกๆท่านค่ะ m(_ _)m




สร้อยดอกหมาก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 เม.ย. 2554, 21:26:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 เม.ย. 2554, 21:26:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 4596





<< ตอนที่ 7 : แม่จำไม่ได้ว่าผู้ชายคนแรกของตัวเองเป็นใครและจำไม่ได้ว่านอนกับผู้ชายมากี่คนแล้ว   ตอนที่ 9 : เมื่อใดที่ผู้หญิงคนหนึ่งปักใจจะไขว่คว้าผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อนั้นจะไม่มีใครในโลกนี้สามารถประเมินศักยภาพของเธอ >>
MYsister 20 เม.ย. 2554, 21:44:19 น.
นิยายเรื่องนี้ทำให้เราจิตหลุด สุดยอดจริงๆค่ะคุณสร้อย


Bigbee 20 เม.ย. 2554, 21:46:18 น.
อ่านแล้วสนุกดีค่ะ ต้องคิดตามตัวเอกตลอด
แล้วก็นึกในใจ อืม..คิดลึกซึ้งสลับซับซ้อนกันจริงๆ


รัมย์ 20 เม.ย. 2554, 21:54:07 น.
ชอบค่ะ ^^


อนัญชนินทร์ 20 เม.ย. 2554, 22:05:19 น.
ใครไม่ชอบแต่คนอ่านอินดี้อย่างดิฉันชอบค่ะคุณสร้อยฯ


ก้อนอิฐ 20 เม.ย. 2554, 22:07:45 น.
อ่านยากก็ตามมาอ่านจ่ะ.....เพราะรุ้สึกว่ามีการรวบรวมความคิดความอ่าน ที่เคยได้ยินๆ มานานนนนแล้วรวมเข้าด้วยกัน ^ ^


Auuuu 20 เม.ย. 2554, 22:14:30 น.
ชอบมากค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^


saralun 20 เม.ย. 2554, 22:25:06 น.
ใครเป็นไงไม่รู้ แต่เราชอบอะ อ่านแล้วคิดอะไรได้เยอะเลย...ขอบคุณนะคะ เป็นกำลังใจให้คะ..><


หมี่เย็น 20 เม.ย. 2554, 22:26:43 น.
อ่านยาก แต่ก็ได้อะไรมากกว่า คนเขียนสู้ๆ


แว่นใส 20 เม.ย. 2554, 22:36:20 น.
เป็นการอธิบายเหตุผลในการกระทำบางอย่างนะ


ratchaneedee 20 เม.ย. 2554, 22:38:31 น.
ชอบค่ะ ถึงจะอ่านยาก และดูหนักๆไปเสียนิดหนึง ติิดตามต่อแน่นอนค่ะ


chat 20 เม.ย. 2554, 23:00:35 น.
ชอบค่ะ..


Pat 20 เม.ย. 2554, 23:29:49 น.
1 Like


subson 21 เม.ย. 2554, 00:07:25 น.
keep go on na ka


Setia 21 เม.ย. 2554, 00:39:47 น.
ส่วนปรัชญา อ่านไปเรื่อยก็เพลินดีนะคะ แต่ถูกตรงที่มันอ่านยาก
แต่ก็ชอบมากเลยค่ะ บางส่วนอ่านไม่เข้าใจก็จริง บางส่วนอ่านแล้วข้ามไปก็มี
แต่บางตอนความหมายมันดีจริงๆเลยค่ะ อ่านแล้วก็รู้สึกดีจริงๆ


bow 21 เม.ย. 2554, 01:09:38 น.
ว่าอ่านยากแล้ว.. ทำให้พาลคิดไปถึงตอนเขียน.. ว่าจะยากขนาดไหน

ยังคงติดตามผลงานคุณสร้อยฯ นะคะ
ขอบคุณสำหรับงานเขียนค่ะ


sai 21 เม.ย. 2554, 01:13:42 น.
อ่านยากแต่ก็อยากอ่านนะค่ะ ^^


หมูบิน 21 เม.ย. 2554, 06:39:41 น.
ทำเอามึนเหมือนกันค่ะ แต่ค่อยๆ อ่าน อ่านอย่างมีสติค่ะ ไม่งั้นมีกระเจิง ฮ่าๆ ชื่นชมคุณสร้อยนะค่ะ


หมอนทอง 21 เม.ย. 2554, 07:51:11 น.
คิดว่านักอ่านที่ว่าอ่านยากเป็นเพราะเค้าชอบอ่านนิยายกุ๊กกิ๊กแบบไม่ต้องคิดลิกซึ้ง มากกว่า แต่นิยายเรื่องนี้เขียนได้ดีจริงๆ นะค่ะ อย่างที่มีนักอ่านบางท่านบอกว่า เวลาอ่านว่าอ่านยากแล้ว แล้วตอนเขียนหล่ะจะยากขนาดไหน เป็นกำลังใจให้ค่ะ


พิพินทุ์ 21 เม.ย. 2554, 11:51:09 น.
จะว่ายาก.. คงต้องบอกว่าก็ค่อนข้าง เพราะเรื่องมันดูมีมิติ ดูหนัก และสอดแทรกแนวคิดเชิงปรัชญาไว้เยอะทีเดียว แต่หนูชอบนะ เวลาอ่านต้องคิดตามเยอะเลย เหมือนเป็นการสำรวจแนวคิดของตัวเองไปด้วย ชอบวิธีใช้ภาษา วิธีเดินเรื่องมากๆ มีความรู้สึกว่าตอนเขียนเรื่องนี้จะต้องยากมากแน่ๆ เอาเป็นว่าชอบมาก เป็นตัวของตัวเอง แนวดีค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ


ชูมาน 21 เม.ย. 2554, 14:53:48 น.
ภาวนาขอให้เขียนจบนะคะ คุณสร้อย
นานแล้วที่ไม่ได้เห็นนิยายที่มีคำพูดความคิดคมๆเชิงปรัชญาแบบนี้
ขอชื่นชมคุณจากใจจริงเลยค่ะ
ปล.งานของซิกมุนด์ ฟรอยด์เท่าที่เราได้อ่าน เรามักจะคิดว่าเค้าเหยียดเพศหน่อยๆทู้กที ไม่รู้เราอคติรึป่าวนะคะ ๕๕๕


anOO 21 เม.ย. 2554, 15:47:52 น.
นิยายเรื่องนี้ อ่านไม่ยากหรอกค่ะ (คนเขียนเก่งมาก)
ทุกความคิดที่เพชรลดา ถามตัวเอง มันเป็นเพียงคำถามทั่วๆ ไป
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมานั่งถามคำถามพวกนี้กับตัวเอง
ส่วนใหญ่คนเราจะชีวิตแบบ ผ่านเลยไป
ถ้าได้เสียใจสักครั้ง ถึงจะย้อนกลับมาทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมากันทั้งนั้น


pinkpenguin 21 เม.ย. 2554, 19:55:00 น.
อ่านแล้วเหมือนกำลังอ่านหนังสือปรัชญาเลยเจ้าสร้อย
งง แต่ก็อ่านต่อไป ชอบบบบบ ^^ 555


พนาศิลป์ 21 เม.ย. 2554, 21:00:55 น.
ยอมรับว่าอ่านยากกกก แต่ก็ชอบมากกกกกกก^^
ความคิดบางบทบางตอน อ่านแล้วอืม เราก็คิดแบบนี้
ชอบจัง ตอนที่พ่อเลี้ยงพูดว่า"พ่อผ่านมาแล้ว พ่อเข้าใจว่ามันเจ็บปวดมากขนาดไหนกับการเป็นตัวของตัวเอง..."
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ หวังสุดใจว่าคุณสร้อยจะเขียนจนจบ^^


ออร์ 22 เม.ย. 2554, 00:19:10 น.
ชอบมาก อ่านเรื่องนี้ละได้แนวคิดหลายๆๆอย่าง


dedy 22 เม.ย. 2554, 15:57:07 น.
ชอบเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ คุณสร้อยสู้ๆ


honor 22 เม.ย. 2554, 20:26:59 น.
สนุกค่ะ เป็นแนวเรื่องที่แปลก ทำให้เราได้คิดถึงสิ่งที่ได้ทำไป ออกแนวปรัชญา แต่ไม่น่าเบื่อค่ะ นำเสนอได้ลึก


roseolar 23 เม.ย. 2554, 09:23:38 น.
คุณสร้อยแค่ถ่ายทอดสิ่งทั่วไปให้เราได้รับรู้
ในขณะที่นักเขียนทั่วไปไม่ทำกัน
มันเลยดูแปลก กลายเป็นนิยายที่อิงปรัชญามากกว่าชวนฝัน
แต่ถึงอย่างนั้น..ความสนุกมันก็ไม่ได้หายไปไหน
กลับกัน..มันเหมือนเป็นรสชาติใหม่ๆที่ทำให้คนอ่านอย่างเราติดใจที่จะลิ้มลอง สู้ๆนะคะ จะรออ่านตอนต่อไปะ


pandepam 23 เม.ย. 2554, 18:26:25 น.
ชอบเรื่องนี้มากถึงมากที่สุดเรยคะ รอตอนต่อไปนะคะ ^^


ณิณ 23 เม.ย. 2554, 19:30:02 น.
อีกหนึ่งเสียงว่า ชอบค่ะ


จุฬามณีเฟื่องนคร 25 เม.ย. 2554, 10:30:26 น.
ชอบเช่นกันครับ..ก่อนเขียนคงจะเก็บข้อมูลเยอะ..แต่มันจะยากตอนที่จะประมวลผลออกมาพร้อมกับจัดจังหวะให้ลงตัว..เอาใจช่วยครับ..


susi 25 เม.ย. 2554, 19:43:52 น.
เข้าใจว่าคุณสร้อยน่าจะเป็นศิษย์เก่า มช. ใช่มั้ยคะ? เพราะบรรยายสถานที่ซะเห็นภาพเลย ป.ล. เราก็ศิษย์เก่าเหมือนกันค่ะ ^__^


ศศิริษา 20 พ.ค. 2554, 17:46:46 น.
มายืนยันอีกคนมาชอบค่ะ และคิดว่าคงอีกนานมากที่ตัวเองจะเขียนอะไรได้ลึกขนาดนี้ ชื่นชมจากใจค่ะ


Canopus 28 ส.ค. 2554, 13:16:59 น.
like..


องุ่น 11 พ.ค. 2555, 05:35:55 น.
ชอบคะ


แมวสามตัว 25 ธ.ค. 2557, 23:16:38 น.
ไม่ทราบว่าคุณสร้อยจะกลับมาอ่านความคิดเห็นนี้รึเปล่านะคะ แต่อยากบอกว่า หนูชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ อ่านซ้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่จำไม่ได้ อ่านจนแทบจะจำเนื้อเรื่องได้แล้ว แต่ก็ยัสนุกทุกครั้งที่ได้กลับมาอ่าน อ่านตั้งแต่เรียนยังไม่จบ จนจบแล้ว ทำงานแล้ว เวลาที่มีคำถามกับตัวเองก็จะกลับมาอ่านซ้ำ ได้คำตอบบ้างไม่ได้บ้าง บางครั้งอ่านไม่จบร้องให้ซะก่อนก็มี ส่วนตัวชอบแนวนี้ อ่านยากมั้ย ยาก แต่ในความยากมันเป็นความยากที่น่าสนใจ งงมั้ยค่ะ เขียนไปงงไป 555 แต่ชอบ ชอบความคิดของตัวละครทุกตัวเพราะนั้นคือคนในสังคมทุกวันนี้จริงๆ Merry Christmas ค่ะ


Amarilys 2 เม.ย. 2558, 21:31:29 น.
เพิ่งได้มาอ่าน และไม่รู้ว่าคุณสร้อยจะกลับมาอ่านความเห็นนี้หรือเปล่า เหมือนข้างบนนะคะที่อยากบอกว่าอ่านเเรื่องนี้ด้วยความชอบแบบสุดๆ อ่านตอนนี้เล่นเอาน้ำตาร่วง ใครบอกว่าอ่านไม่เข้าใจไม่เป็นไรนะคะ ขอบอกว่าเยี่ยมมากๆ อ่านแล้วนึกถึงห้องเรียนวรรณกรรมที่เคยล้อมวงตีความงานเขียนกันเอาเป็นเอาตาย ชอบบทสนทนาของนางเอกกับวิรงรองทั้งในอดีต และปัจจุบัน โดยเฉพาะที่ว่าการตีความไม่เคยผิดหากมีเหตุผลรองรับได้ ชอบบทสนทนาของลูกสาว และแม่ รวมทั้งลูกสาวกับพ่อ .. เริ่มเวิ่นเว้อละ อีกครั้งนะคะ ปลื้มมากๆ กับการอ่านเรื่องนี้ จะติดตามต่อนะคะ สู้ๆ ค่ะ


fakarmbluesky 3 เม.ย. 2558, 04:45:09 น.
สนุกนะค่ะ มีมุมมองอะไรแปลกๆดี ชอบค่ะ มันทำให้เหมือนเปิดประเด็นอะไรกว้างๆ แปลกนะค่ะ บอกไม่ถูก เอาเป็นว่า สนุกค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account