กฤตยามหาภูต โดย ตารกา (รอวางแผง)
"มหาสงครามแห่งเทพและอสูรกำลังจะอุบัติขึ้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือใช้ศิวะตรีศูล อาวุธเทพในตำนาน ผู้เดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดคือเธอ เทวีแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งกลับมาจุติใหม่โดยไร้ความทรงจำในอดีตชาติ"



เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ

ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)

แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)

บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่

ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป

หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^

Tags: แฟนตาซี ผจญภัย เทพ เทวี ปีศาจ วรรณกรรมเยาวชน ความรัก ปริศนา อดีตชาติ

ตอน: ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 3 เพื่อนใหม่

บทที่ 3 เพื่อนใหม่

การมาเยือนคฤหาสน์สีขาวครั้งที่สองของวิชชุตาง่ายดายผิดกับครั้งแรกตรงที่เธอไม่ต้องขับรถวนไปวนมาหาทางเข้าอีก ส่วนสิ่งที่ยังเหมือนเดิมก็คือบรรยากาศเย็นเยือกของบ้านและท่าทีเย็นชาของนักเรียนตัวน้อย

“นี่…..ข้อนี้ทำยังไง” วินเอ่ยขึ้นลอยๆ ไม่แม้แต่จะหันมามองสบตาครูสอนพิเศษด้วยซ้ำ

วิชชุตาอยากตำหนิว่ามันเป็นการเสียมารยาท แต่ถ้าพูดออกไปก็คงไม่ได้สอน เธอจึงทำใจเย็นเป็นฝ่ายยอมลงให้ก่อน

“ไหนคะ เอ่อก็ยกกำลังตรงนี้ แล้วก็คูณ อ๊ะ! ไม่ใช่ต้องแยกวงเล็บก่อนแล้วก็เอ่อ…”

คุณครูมือใหม่มองแล้วก็เริ่มงงเอง เนื่องจากสมการข้อนี้มีตัวเลขยาวเหยียด แถมวงเล็บก็เต็มไปหมดจนไม่น่าจะเป็นโจทย์เลขของเด็กมัธยมต้นได้ นึกดีๆ ก็เลยจำได้ว่าเป็นข้อสอบเข้ามหาลัยที่เคยทำ สงสัยโบว์คงเผลอหยิบผิดแทรกไว้ในบทเรียนด้วย

“ได้รึยัง” วินหันมาเร่ง

“รอเดี๋ยวนะคะ ขอพี่ฟ้าคิดก่อน”

“เป็นครูอะไรไม่ได้เรื่อง แค่นี้ก็คิดไม่ได้ ชักช้าอืดอาด”

เด็กชายหันมามองวิชชุตาด้วยสายตาดูถูก หญิงสาวก็เลยเผลอตัวไปต่อปากต่อคำด้วย

“พี่ทำได้ก็แล้วกันถึงจะช้าไปหน่อยก็เถอะ มาว่าพี่แล้วตัวเองล่ะคิดได้ไหม”

“ได้สิ ของกระจอก” เด็กจอมอวดดีว่าแล้วคว้ากระดาษโจทย์มานั่งทำ

เสียงกดดินสอลงบนกระดาษดังขึ้นสม่ำเสมอด้วยความตั้งใจ ห้านาทีก็แล้ว สิบนาทีก็แล้ว จนครึ่งชั่วโมงผ่านไปเด็กชายก็ยังทำโจทย์ข้อนั้นอยู่

“ว่าไงทำได้รึเปล่า ให้สอนไหม” วิชชุตาเอ่ยอย่างเป็นต่อ

ช่วงที่วินคิดคำตอบหญิงสาวก็คิดไปด้วย ถ้ารู้วิธีทำก็ไม่ยากแต่ถ้าไม่รู้จะต้องถอดวงเล็บหาคำตอบทีละวงเล็บจนกว่าจะหมด นอกจากจะเสียเวลาแล้วยังต้องนั่งตาลายกับตัวเลขมากๆ ด้วย

“ไม่ต้อง มีปัญญาคิดเองได้” เด็กชายพูดเสียงสะบัด

ท่าทีหยิ่งจัดแบบนี้ไม่น่ารักเลยสักนิด วิชชุตาก็เลยปล่อยให้ทำตามชอบใจจนหมดเวลาสอน

ต้องนับถือความพยายามกับความดื้อด้านของพ่อหนูวินจริงๆ ที่คิดคำตอบออกมาจนได้ แสดงว่าหัวสมองเด็กคนนี้ต้องไม่ธรรมดา วิชชุตาก็เลยแอบเขียนเฉลยและวิธีทำอย่างละเอียดทิ้งไว้ให้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับวินไม่มากก็น้อย

ทันทีที่ได้เวลาเลิกน้อยก็มาเคาะประตูห้องแล้วเชิญวิชชุตาไปทานอาหารเที่ยงที่ห้องอาหาร ครั้งนี้หญิงสาวไม่ปฏิเสธ เธออยากอยู่คุยกับวินอีกหน่อย เผื่อเวลาทานอาหารเด็กชายจะยอมพูดอะไรบ้าง แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อเธอได้นั่งทานอีกที่ ส่วนเด็กชายกินอาหารในห้อง

จากห้องของวินลงบันไดมาชั้นล่างตรงไปจนสุดทางเดินแล้วเลี้ยวขวาก็จะพบกันห้องอาหารขนาดใหญ่ วิชชุตาถูกเชิญให้นั่งที่โต๊ะตัวโตด้านซ้ายของเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม เมื่อมองออกไปด้านนอกจากจุดที่เธอยืนอยู่จะมองเห็นสระว่ายน้ำสีฟ้ากับทิวทัศน์ของกว๊านพะเยาชัดเจน

คนออกแบบบ้านหลังนี้เข้าใจกำหนดทิศทางในการสร้างบ้านได้ดีจริงๆ เพราะไม่ว่าจะมองจากจุดไหนก็จะได้ชื่นชมกับธรรมชาติทั้งนั้น

นั่งรอสักพักน้อยก็ยกอาหารมาให้แล้วก็เดินเข้าไปตักอาหารอีกชุดในห้องครัว

วิชชุตาตักมะกะโรนีผัดซอสเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ พลางไล่สายตาไปที่ตู้โชว์ที่มีตุ๊กตากระเบื้องรูปสัตว์ต่างๆ วางอยู่ ตรงกลางชั้นมีเครื่องเบญจรงค์ชุดใหญ่ ขนาบข้างด้วยแจกันหยกใบโต แล้วเธอก็ไปสะดุดเข้ากับรูปสาวสวยสองคนบนผนัง คนหนึ่งคือเจ้าของบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนอีกคนน่าจะเป็นแม่ของวิน เพราะมีข้อความเขียนบอกไว้ว่า ‘เภตรา วัฒนาสุข,ภาพิมล วัฒนาสุข’

สองสาวพี่น้องดูไม่เหมือนกันสักนิด เภตราโครงหน้ายาว คิ้วโก่งได้รูป ตาเรียวราวกันนางพญาหงส์ ดูสวยสง่ารับกับเครื่องหน้า ส่วนภาพิมลน้องสาวมีโครงหน้ารูปหัวใจ ดวงตากลมโตสดใส ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงเรื่อ ดูก็รู้ว่าธรรมชาติไม่ใช่การเติมแต่ง เปรียบเทียบกันแล้วต้องบอกว่า คนพี่สวย คนน้องน่ารัก

ในขณะที่ครูสอนพิเศษกำลังรับประทานอาหาร น้อยก็ถือถาดอาหารเดินออกจากห้องครัวไปที่ห้องของคุณหนูวิน เสียงพูดคุยกันทำให้เธอแปลกใจและหยุดเงี่ยหูฟัง

“เล่นเกมแข่งกันไหม ป้าเพิ่งซื้อให้ใหม่”

“เล่นยังไง” เสียงแหลมเล็กเอ่ยถามเบาๆ จนคนแอบฟังไม่ได้ยิน

“เดี๋ยวนะเอามา…”

ฟังได้เพียงเท่านี้น้อยก็ร้องบอกให้เด็กชายเปิดประตู เพราะถ้วยชามกระเบื้องที่ยกมาหนักเกินว่าจะถือมือเดียวได้

“เมื่อกี้คุยกับใครคะ น้อยได้ยินแว่วๆ” หญิงสาวเอ่ยถามขณะยกอาหารไปวางบนโต๊ะให้

“ไม่ต้องมาแส่ ออกไปได้แล้ว” เด็กชายมองตาขวางแล้วชี้นิ้วไล่
“พูดไม่เพราะเลยค่ะคุณวิน ถ้าคุณป้ารู้จะถูกดุนะคะ” หญิงสาวติงแต่ก็ไม่ได้ถือโกรธ

เธอเห็นคุณหนูวินมาตั้งแต่เกิด ได้ดูแลใกล้ชิดก็ตอนพ่อแม่เด็กชายเสียชีวิต ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานานพอจะทำให้เธอรู้ว่าเนื้อแท้เด็กคนนี้เป็นอย่างไร

“อยากจะฟ้องก็เชิญ ไม่กลัวอยู่แล้ว”

ถึงป้าจะดุแต่ไม่ใช่คนใจร้าย เขามันได้ชื่อว่าเป็นเด็กกำพร้านี่ ใครๆ ก็ต้องสงสารเป็นธรรมดา

“น้อยรู้ค่ะว่าคุณวินไม่กลัวโดนดุ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรพูดจาไม่สุภาพนะคะ มันไม่ดี ฟังคำเตือนน้อยไว้บ้างเถอะค่ะ”

พูดยังไม่ทันไรเด็กชายก็สวมหูฟังแล้วเปิดเพลงเสียงดัง น้อยจึงเดินออกมาจากห้องด้วยความอ่อนใจ

คุณหนูวินก็เป็นเสียอย่างนี้ นับวันจะแข็งกระด้างและแข็งกร้าวขึ้นทุกวัน เธอได้แต่มองเด็กชายด้วยความสงสาร เพราะไม่มีอำนาจจะไปอบรมสั่งสอนเด็กชายได้ ญาติผู้ใหญ่ที่ควรจะทำหน้าที่นี้ คนหนึ่งก็ไม่มีเวลาซ้ำยังไม่เข้าใจหลานชายเลย อีกคนเข้าใจเด็กชายทุกอย่างแต่ไม่สามารถจะเข้ามาดูแลได้ ถ้าคุณเภตราเธอยอมอ่อนลงอีกนิด คุณอติรัฐเอาจริงขึ้นอีกหน่อยก็คงดีหรอก

พอน้อยไปแล้ววินก็ทานอาหารกลางวันอย่างเร่งรีบเพื่อที่จะได้กลับมาเล่นกับเพื่อนต่อ เด็กชายเอาถาดอาหารไปวางหน้าห้องแล้วลงกลอนปิดประตูบานใหญ่อย่างแน่นหนา เขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวนเวลาเขาเล่นกับเพื่อน ตั้งแต่ได้รู้จักกันเขาก็ไม่เหงาอีก คนอื่นไม่ยอมเป็นเพื่อนกับเขาก็ช่างมันแค่มีเพื่อนคนนี้ก็พอแล้ว

หลังจากพ่อกับแม่เสียไปได้สองปี ป้าก็พาเขาย้ายโรงเรียนและมาอยู่ที่นี่เพราะคิดว่าอากาศบริสุทธิ์และการเปลี่ยนบรรยากาศจะช่วยให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเขาดีขึ้น

ครั้งแรกที่ได้มาเหยียบที่นี่บอกตามตรงว่าเขากลัวจับใจ กลางคืนเขาแทบข่มตานอนไม่หลับเพราะความวังเวงของตัวบ้าน แต่พอหลับลงได้ก็ถูกฝันร้ายทำให้ผวาตื่น บางคืนมันก็สุดจะกลั้นน้ำตาต้องแอบร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ

เขาฝันเห็นแววตาเศร้าๆ ของอาติกับภาพของงานศพที่มีผู้คนมากมาย ได้ยินเสียงร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจของป้า คำพูดแสดงความเสียใจของใครต่อใครอีกหลายคนวนเวียนเข้ามาในความฝัน เขาเห็นพ่อกับแม่มายืนตรงหน้า ท่านยิ้มให้แล้วพากันเดินจากไป เรียกเท่าไรท่านก็ไม่ยอมหันหลังกลับมา จะวิ่งตามไปแขนขาเขาก็เหมือนมีอะไรหนักๆ มาถ่วงไว้ เขาตะโกนเรียกพวกท่านเสียงดังจนเจ็บคอ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยย้อนกลับมา เขามักจะทรุดลงร้องไห้จนสะดุ้งตื่นในที่สุด

ตั้งแต่ย้ายมาบ้านหลังนี้เขาฝันร้ายแทบทุกคืน เขาไม่ได้เล่าให้ใครฟังเพราะกลัวป้าจะรู้ ป้าจะต้องพาไปหาจิตแพทย์อีกแน่ เขาไม่ได้บ้าสักหน่อยทำไมต้องไปหาหมอโรคจิตด้วย คนที่ต้องไปหาหมอน่าจะเป็นป้ามากกว่า

ป้าเอาแต่ให้ร้ายพ่อ ไม่ว่าพ่อจะทำอะไรป้าก็หาเรื่องติได้ตลอด ถึงพ่อตายไปนานแล้วแต่ป้าก็ยังโทษว่าความผิดพลาดทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของพ่อ โชคดีที่ป้าไม่ค่อยมาอยู่ที่นี่ ป้าชอบอยู่กับเพื่อนฝูงไฮโซมากกว่าอยู่กับเขา เขาก็เลยไม่ต้องฟังเสียงบ่นของป้ามากนัก

ส่วนใหญ่เขาจะอยู่กับน้อยสองคน เขาไม่ได้เกลียดน้อยแต่ไม่อยากให้มายุ่งวุ่นวายด้วยมาก ส่วนคนที่เขาชอบและรักที่สุดคืออาติแต่อาติมีงานมากมาหาบ่อยๆ ไม่ได้ เขาก็เลยอยากไปอยู่กับอาติ

อาติใจดี ไม่เคยยัดเยียดอะไรที่เขาไม่ชอบให้ทำเหมือนกับป้า แรกๆ เขาพยายามหาเหตุผลเพื่อจะได้อยู่กับอาติแต่ป้าบอกว่าถ้าอาติแต่งงานแล้วเขาจะกลายเป็นหมาหัวเน่า ที่สำคัญบ้านอาติติดกับถนนใหญ่ฝุ่นเยอะ มันจะทำให้โรคหอบกำเริบได้ง่าย สุดท้ายแล้วเขาก็เลยต้องทนอยู่ที่นี่ต่อไป

เขาเกลียดการอยู่คนเดียว เกลียดโรงเรียน เกลียดเพื่อน เกลียดการถูกเรียกว่า ‘เด็กผี’ วันแรกที่ไปเรียนพอทุกคนรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนก็พากันมองด้วยสายตาแปลกๆ

‘แกอยู่บ้านผีสิงหลังนั้นเหรอ แกอยู่ได้แสดงว่าแกก็เป็นผีน่ะสิ ไอ้เด็กผี ฮ่ะๆ เด็กผี’

เด็กผู้ชายตัวโตคนหนึ่งพูดกับเขา แล้วมีอีกหลายคนพูดคำว่า ‘เด็กผี’ ซ้ำๆ เป็นลูกคู่ให้ เพื่อนที่เหลือก็ต่างหัวเราะเยาะกันคิกคักไม่มีใครเป็นพวกเขาสักคน

‘ฉันไม่ใช่เด็กผี’ เขาเถียงเสียงไม่พอใจ

‘ใช่สิวะใครว่าไม่ใช่ ไอ้เด็กผี พ่อแกก็เป็นผี แม่แกก็เป็นผี แล้วลูกจะไม่ใช่ผีได้ยังไง’

สิ้นเสียงล้อเลียนเขาก็กระโจนใส่อีกฝ่ายด้วยความโกรธ เนื่องจากไม่ทันตั้งตัวร่างสูงใหญ่จึงล้มโครมลงไปกับพื้น แต่ไม่นานวินก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะเขาตัวเล็กนิดเดียว ถึงจะเสียเปรียบแต่วินก็ยังไม่ยอมหยุดสู้ เขาเหวี่ยงหมัดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่คิดชีวิต

ในขณะที่ชกกันอุตลุดอยู่นั้นวินได้ยินทั้งเสียงหวีดร้อง เสียงเชียร์ เสียงตะโกนให้ห้าม ดังสลับกันไปมา สักพักเหตุการณ์วุ่นวายก็จบลงเมื่ออาจารย์ประจำวิชาเข้ามา

คนที่ล้อเลียนเขาไม่ได้บาดเจ็บอะไร คนลงมือก่อนอย่างเขาเสียอีกที่ช้ำไปทั้งตัว ขอบตาเขียวช้ำเป็นวง ปากแตก แถมหัวโนเท่าลูกมะนาว หนำซ้ำการออกแรงมากๆ ยังทำให้โรคหอบกำเริบอีก พอป้ารู้เรื่องเข้าป้าก็โกรธมากถึงขั้นจะไล่เด็กที่มีเรื่องกับเขาออกให้ได้ ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีใครยอมพูดอะไรกับเขาอีกเลย มีเพียงกลุ่มเด็กเกเรกลุ่มนั้นเท่านั้นที่ยังคงแอบล้อเลียนว่าเขาเป็นเด็กผีอยู่เสมอ

เขาทนอยู่อย่างไม่มีความสุขมาได้ครึ่งปีจึงได้เจอกับเพื่อนใหม่ วันนั้นเขาไม่อยากไปโรงเรียนเลยโกหกน้อยว่าวันนี้เป็นวันหยุด ดูโทรทัศน์ได้สักพักก็เบื่อ เขาเลยลงไปเดินเล่นที่ท่าน้ำหลังบ้าน

บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักตากอากาศที่ตาตั้งใจจะสร้างไว้อาศัยในช่วงบั้นปลายชีวิต ป้าบอกว่าท่านเสียหลังจากบ้านสร้างเสร็จไม่นาน ท่านมาอยู่ที่นี่กับยายเล็ก ยายเล็กเป็นภรรยาคนใหม่ของตา หลังจากท่านหัวใจวายตายเสร็จงานศพยายเล็กก็ฆ่าตัวตายตาม มีคนพบศพยายเล็กที่ริมน้ำแถวท่าน้ำหลังบ้านนี่เอง ป้าก็เลยห้ามไม่ให้เขาไปเล่นที่ริมน้ำเด็ดขาด

ความคิดเรื่องมีคนตายในบ้านทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมา เขาเลยเปลี่ยนใจเดินสำรวจรอบๆ บ้านแทน

บ้านหลังนี้มีเนื้อที่หลายไร่ก็เลยมีสิ่งปลูกสร้างเต็มไปหมด เขาตรงดิ่งไปที่เรือนเพาะชำกล้วยไม้เป็นที่แรก ตาเป็นนักเล่นกล้วยไม้ตัวยง ในนั้นจึงมีกล้วยไม้พันธุ์หายากมากมาย ถึงจะไม่ได้รับการดูแลมากนัก มันก็ยังชูช่อออกดอกสีสดสวยให้ได้ชมจนถึงทุกวันนี้

ดูกล้วยไม้จนเบื่อก็เดินอ้อมไปเล่นที่ดงกล้วย ความเงียบสงัดผสมกับเสียงหวีดหวิวของลมทำให้เขาต้องออกวิ่งอีกครั้ง เขาไม่อยากหันไปมองแถวนั้นเพราะกลัวว่าจะมีวิญญาณผีตานีปรากฏตัวออกมาให้เห็นอย่างในหนังสือ เขาวิ่งมาจนถึงปีกซ้ายของบ้านจึงค่อยพักหอบหายใจแถวขั้นบันได ตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าที่นี่มีห้องใต้ดินอยู่ด้วย

ลงบันไดหินสีเทาไปประมาณสิบขั้นก็จะพบกับประตูไม้บานหนึ่งมีกุญแจคล้องโซ่ไว้แน่นหนา บานประตูมีฝุ่นกับหยากไย่เกาะอยู่เต็ม ท่าทางจะไม่มีใครเข้าไปนานหลายปีแล้ว

เขาลองใช้มือดึงแม่กุญแจดู ออกแรงนิดเดียวมันก็คลายออกอย่างง่ายดาย คงเป็นเพราะว่ามันเก่ามากแล้ว ล็อกก็เลยเสีย

พอผลักประตูเข้าไปแล้วเขาก็ได้กลิ่นเหม็นอับชื้นอบอวลอยู่ทั่วห้อง ลองเปิดสวิตช์ไฟทางด้านซ้ายของประตูดูก็ปรากฏว่ามันติดๆ ดับๆ

แสงไฟวูบวาบทำให้ตาลายแต่ก็พอมองเห็นสภาพห้องได้ ในนี้มีตู้หลังใหญ่และเครื่องเรือนอีกหลายชิ้นเก็บเอาไว้ ที่มุมด้านซ้ายของห้องมีลังกระดาษสีน้ำตาลถูกวางซ้อนกันไว้เกือบสิบใบ

เห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่าบางทีที่นี่อาจจะมีสมบัติของคุณตาซ่อนอยู่ เขาจึงลองเอื้อมมือไปเปิดประตูตู้โบราณที่มุมห้องออกดู

‘กริ๊งๆๆ’ เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งดังขึ้นทันทีที่ประตูตู้เปิดออก

เขาผงะถอยออกมาแล้วรีบมองไปทางต้นเสียง พอเห็นว่าที่มาเกิดจากลูกบอลลูกเล็กที่กลิ้งออกมา เขาก็ถอนใจยาวด้วยความโล่งอกที่มันไม่ใช่ภูตผี

ความคิดเกี่ยวกับผีทำให้เขาเริ่มไม่อยากจะอยู่ที่นี่ อยู่ๆ เขาก็รู้สึกหนาวขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีลมเย็นพัดมาจากทางไหน มันเย็นจัดจนทำให้ขนแขนตั้งชัน เขาจึงหันหลังเดินออกจากห้องไปโดยไม่คิดจะสำรวจต่อ

‘กริ๊งๆๆ’ ลูกบอลสีส้มสดขนาดเท่าผลส้มยังคงกลิ้งตามเขามา

เขาจึงหยุดเดินแล้วหันหลังไปมอง ลูกบอลลูกนั้นก็หยุดอยู่กับที่ พอหันหลังให้เดินออกมามันก็กลิ้งตามมาอีก

เขามองบอลด้วยความหวาดกลัวแล้วเตะมันให้ออกห่างจากตัวที่สุด มันกลิ้งส่งเสียงกริ๊งๆ ไปชนกับโซฟา ทันใดนั้นเองที่ตรงนั้นก็มีกลุ่มหมอกก่อตัวขึ้น มันรวมตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นรูปร่างคนขนาดพอๆ กับเขา มือสีขาวของมันหยิบลูกบอลขึ้นมาถือไว้แล้วจึงหันมามองเขา

‘มาเล่นกันนะ’ มันเอ่ยพร้อมกับโยนลูกบอลมาให้

เขายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ปล่อยให้บอลลอยโด่งมาชนเท้าเพราะรู้สึกกลัวเกินกว่าจะขยับตัวได้

‘ฮี่ๆ เอาใหม่นะเอาใหม่ รับให้ได้สิ’

ร่างสีขาวนั้นแสยะยิ้มให้เขาแล้วก็พลันหยุดยิ้มเมื่อเขาตะโกนใส่มัน

‘อย่าเข้ามานะ ออกไป ใครก็ได้ช่วยด้วย’

สิ้นเสียงเขาดวงตาสีเทาของมันก็สลดลง มันชันเข่าลงนั่งแล้วเริ่มร้องไห้เสียงดัง

‘ไม่มีใครเป็นเพื่อนฉันเลย ไม่มีใคร’

มันคร่ำครวญอยู่อย่างนั้นนานสองนาน อากัปกิริยาเหมือนเด็กเล็กที่กำลังเสียใจทำให้เขาคลายความหวาดกลัวลงและทำให้รู้สึกสงสารมันจับใจ เขาเองก็ถูกทิ้งและไม่มีใครเหมือนกัน

‘ฉันขอโทษ อย่าร้องไห้นะ’ เขาปลอบ

พอเห็นเขาพูดดีด้วยร่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาสดใสขึ้น

‘ฉันเหงา ทุกคนก็ทิ้งฉันไปหมดเลย’

‘ฉันก็เหงา’ เขาพึมพำพูดแล้วเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ร่างนั้นยิ่งขึ้น

สิ่งที่สัมผัสได้คือความเย็นจากร่างตรงหน้า แต่มันไม่ได้เย็นแบบชวนขนลุกอีกแล้ว มันเป็นความเย็นสบายเหมือนหมอกยามเช้าเสียมากกว่า

‘ทำไมนายถึงเหงาล่ะ’ กลุ่มหมอกเอ่ยถาม

‘พ่อแม่ฉันไปบนสวรรค์กันหมดแล้ว เพื่อนก็อยู่ที่โรงเรียนเก่าหมดเลย ที่นี่ไม่มีใครยอมเป็นเพื่อนฉันสักคน’

‘เหมือนกันเลย พ่อกับแม่ทิ้งฉันไปตั้งแต่เกิด มีแต่แม่ใหญ่กับเพื่อนๆ แต่พอไฟไหม้ทุกคนก็หายไปหมด’ ร่างนั้นพูดเสียงเศร้าแล้วก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง

‘อย่าร้องสิ ร้องไห้มากๆ ไม่ดีนะ เอาอย่างนี้เรามาเป็นเพื่อนกันดีไหม’ เขายื่นมือไปตรงหน้า

มันเอียงคอมองด้วยแววตาแจ่มใสแล้วยื่นมือเย็นเฉียบมาสัมผัสด้วย เขารู้สึกหนาวไปถึงกระดูกแต่หัวใจกลับอบอุ่นอย่างประหลาด ตอนนี้เขามีเพื่อนแล้ว เพื่อนที่ถูกทอดทิ้งและไม่มีใครเช่นกัน





นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.พ. 2555, 13:33:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 13:33:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1695





<< ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 2 คำเตือน   ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 4 วิญญาณที่ท่าน้ำ >>
Auuuu 12 ก.พ. 2555, 13:36:50 น.
ตอนนี้อ่านทีไรก็ขนลุก บรื้ออออ


นิชาภา 12 ก.พ. 2555, 13:47:28 น.
คุณ Auuuu มาไวเคลมไวเหมือนเคย สวัสดีตอนบ่ายค่ะ


Auuuu 12 ก.พ. 2555, 13:49:34 น.
ฮ่าๆๆ สวัสดีค่า พอดีเปิดหน้าเว็บอยู่พอดี ^^ ทานอะไรหรือยังคะ?


นิชาภา 12 ก.พ. 2555, 13:51:58 น.
คุณ Auuuu หม่ำแล้วค่ะ ต้มจืดขาหมูใส่วุ้นเส้น น้ำพริกกะปิ ยำหอย ผัดผัก มีของหวานเป็นฝอยทองค่า ^O^ อาหย่อย


Auuuu 12 ก.พ. 2555, 13:56:28 น.
น่ากินมากกกกๆๆเลยค่า ^^


นิชาภา 12 ก.พ. 2555, 14:11:11 น.
คุณ Auuuu ไม่ต้องห่วงค่า หม่ำเผื่อแล้ว ^O^


Zephyr 12 ก.พ. 2555, 14:51:55 น.
เป็นเพื่อนใหม่ที่เราไม่อยากมี อิอิ กลัวอ่า
อาหารน่ากินจัง ว่าแล้วก็ไปกินข้าวบ้างดีกว่าเลยเวลามานานแล้ว


นิชาภา 12 ก.พ. 2555, 14:56:39 น.
คุณ Neferritti เพื่อนแบบนี้ออกจะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่นะคะ น่าลอง 5555 (ทำปากดีแต่จริงๆ ก็กลัว) ทานข้าวไม่ตรงเวลาระวังเป็นโรคกระเพาะน้า เคยเป็น ทรมานมากมาย T^T


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account