กฤตยามหาภูต โดย ตารกา (รอวางแผง)
"มหาสงครามแห่งเทพและอสูรกำลังจะอุบัติขึ้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือใช้ศิวะตรีศูล อาวุธเทพในตำนาน ผู้เดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดคือเธอ เทวีแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งกลับมาจุติใหม่โดยไร้ความทรงจำในอดีตชาติ"
เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ
ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)
แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)
บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่
ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป
หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^
เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ
ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)
แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)
บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่
ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป
หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^
Tags: แฟนตาซี ผจญภัย เทพ เทวี ปีศาจ วรรณกรรมเยาวชน ความรัก ปริศนา อดีตชาติ
ตอน: ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 4 วิญญาณที่ท่าน้ำ
บทที่ 4 วิญญาณที่ท่าน้ำ
วิชชุตาทำหน้าที่เป็นครูสอนพิเศษมาได้ร่วมสองสัปดาห์แล้วแต่หญิงสาวก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมเด็กชายถึงกลายเป็นเด็กเก็บตัว ถามน้อยน้อยก็ให้คำตอบอะไรมากไม่ได้ ท่าทางเธอคงจะช่วยอะไรคุณอติรัฐไม่ได้มากอย่างที่คิดจริงๆ กระมัง
การเรียนการสอนยังคงมีแต่ความเงียบเหมือนเคยเพราะเด็กชายไม่ต้องการการอธิบาย ดึงดันจะทำโจทย์เองให้ได้ หน้าที่ของวิชชุตาจึงมีแค่ตรวจคำตอบเท่านั้น
“ถามหน่อยเถอะไม่เบื่อรึไง ข้อนี้น่ะทำมาชั่วโมงกว่าแล้วนะ” วิชชุตาเอ่ยอย่างเหนื่อยใจในความดื้อดึงของวิน
“เรื่องของฉัน”
“รู้ย่ะว่าเรื่องของนาย แต่มันก็เรื่องของพี่เหมือนกัน ไม่รู้ล่ะถ้าวันนี้สอนไม่ได้อย่างที่เตรียมมาละก็จะต่อเวลาพิเศษเพิ่มให้จนกว่าจะเรียบร้อย”
วิชชุตาเปลี่ยนแผนการสอนใหม่หมดเพราะโจทย์ที่โบว์เตรียมเอาไว้ให้ไม่เหมาะกับวิน หญิงสาวเลือกโจทย์ที่ยากขึ้นมาให้ลองทำ เนื้อหาส่วนใหญ่วินยังไม่เคยเรียน เธอจะได้มีโอกาสทำหน้าที่ครูจริงๆ เสียที
“ไม่ได้นะ” เด็กชายหันมามองวิชชุตาด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมจะไม่ได้ พี่เป็นครูนะ” หญิงสาวเชิดหน้าใส่
พอเจอกันหลายครั้งเข้าคำว่าคะขาจากปากวิชชุตาก็เลยหายไปเพื่อความเสมอภาค เธอสังเกตเห็นว่าวินรอคอยเวลาเลิกเรียนอย่างใจจดใจจ่อเป็นพิเศษ บางทีอาจจะติดรายการโทรทัศน์อยู่ก็ได้ หญิงสาวจึงลองใช้สถานการณ์นี้ให้เกิดประโยชน์
“เรามาตกลงกันดีกว่า ถ้ายอมให้สอนดีๆ พี่จะเลิกตรงเวลา ถ้าทำโจทย์เสร็จหมดจะให้เลิกก่อนเวลาด้วย”
วินนิ่งไปชั่วครู่เหมือนกำลังตัดสินใจก่อนจะตอบกลับมาว่า
“ก็ได้”
น้ำเสียงของเด็กชายยังคงฟังดูไม่รื่นหู แต่แววตาดูสดใสและเป็นมิตรกว่าที่เคย วินอยากเลิกเรียนเร็วๆ เพื่อที่จะได้ไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่เล่นค้างไว้กับเพื่อนเมื่อคืน
ในที่สุดวิชชุตาก็ได้สอนอย่างที่ตั้งใจไว้ วินให้ความร่วมมือด้วยดีผิดความคาดหมาย เด็กชายพูดดีๆ กับเธอหลายครั้ง เมื่อทำแบบฝึกหัดเสร็จเรียบร้อยแล้ววิชชุตาจึงให้เลิกก่อนเวลาตามที่สัญญาเอาไว้
หญิงสาวบอกลาวินแล้วเก็บของเดินลงบันไดมาตั้งใจว่าจะตรงกลับบ้านเลย แต่ถูกน้อยรั้งไว้ให้อยู่ทานอาหารกลางวันก่อน ยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธเธอก็ถูกดึงแขนพามาที่ห้องทานอาหารเสียแล้ว
ระหว่างที่รอวิชชุตาเลยขอไปเดินเล่นดูรอบๆ สระว่ายน้ำ เลยได้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับวินมาว่าเด็กชายว่ายน้ำเป็นแต่ไม่เคยลงมาว่ายน้ำที่นี่แม้แต่ครั้งเดียว แล้วน้อยยังบอกอีกว่าวินไม่ได้แพ้แดด เพิ่งมาไม่ชอบแดดก็ตอนหลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สักระยะ
เดินออกมาจากสระว่ายน้ำอีกหน่อยวิชชุตาก็เห็นว่ามีบันไดลงไปที่ท่าน้ำ ตรงนั้นมีจักรยานน้ำรูปหงส์สีขาวผูกติดอยู่กับเสาด้วย วิชชุตาเลยเดินลงไปดูใกล้ๆ แล้วย่อตัวลงนั่งเอามือราน้ำเล่น
เธอนั่งเหม่อมองทิวทัศน์ฆ่าเวลาไปได้พักใหญ่ก็เห็นชายกระโปรงของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่หางตา ไม่กี่อึดใจร่างของหญิงสาวคนนั้นก็พุ่งลงไปในน้ำราวกับว่ามีใครผลักให้ตกลงไป
วิชชุตาเหลียวซ้ายแลขวาหาคนช่วย แต่แถวนี้จะมีใครได้เล่านอกจากเธอ หญิงจึงคว้าท่อนไม้ที่อยู่ใกล้ตัวแล้วยื่นไปให้ผู้หญิงคนนั้นจับ พลางร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ เธอว่ายน้ำเป็นก็จริงแต่ไม่แข็ง ถ้าลงไปช่วยไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือลงไปตายเป็นเพื่อน
“มีอะไรคะคุณ” น้อยรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความตกใจ
“คนตกน้ำค่ะพี่”
วิชชุตาหันไปบอกแต่พอหันกลับมาเธอคนนั้นก็หายไปแล้ว
“ไม่จริง! คือเอ่อ…เมื่อกี้ฟ้าเห็นจริงๆ นะคะ”
ให้ตายสิ! เธอเจอกับอะไรแบบนี้อีกแล้วรึนี่ ครั้งนี้มันสมจริงสมจังเสียจนเธอแทบจะโดดลงไปช่วย
“อีกแล้วเหรอ” น้อยพึมพำด้วยท่าทีที่ไม่แปลกใจอะไรนัก แล้วฉุดแขนหญิงสาวต่างวัยให้ออกมาจากบริเวณนั้น
“มีคนเห็นบ่อยๆ เหรอคะ”
พอรู้ว่าไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคนประหลาดหรือคนโกหกวิชชุตาก็รู้สึกโล่งอก ใจจริงแล้วเธอกลัวคนหาว่าพูดปดเสียยิ่งกว่ากลัวผีอีก
“เจอกันประจำเลยค่ะ แต่ว่าไม่กลัวเหรอคะ”
น่าแปลกที่ผู้หญิงคนนี้ดูไม่ตกใจขวัญหนีดีฝ่อเหมือนคนอื่น ถ้าเป็นเธอละก็ลองได้เจอจังๆ เข้าสักที เธอคงลาออกไปแล้ว บ้านหลังนี้มีเสียงล่ำลือเรื่องวิญญาณมากมาย แต่เธอก็อยู่มาได้เพราะไม่เคยเห็นหรือเจออะไรอย่างที่คนอื่นเจอ
“ก็นิดหน่อยค่ะ แล้วไอ้เห็นบ่อยๆ นี่บ่อยแค่ไหนคะ”
จะบอกว่าไม่กลัวก็คงไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าตกใจจนลืมกลัวเสียมากกว่า
“นานๆ ครั้งน่ะคะ เวลามีแขกมาค้างที่บ้านตอนกลางคืน ถ้าไปแถวนั้นก็มักจะเจอ มีแปลกที่สุดก็คุณนี่แหละค่ะที่เจอกลางวันแสกๆ ไม่เหมือนคนอื่นเขา”
หญิงสาวยิ้มรับแบบไม่เต็มสีหน้านัก เธอมันพวกมีสัมผัสพิเศษผิดกับชาวบ้านชาวเมืองเขานี่นา จริงอย่างที่ยัยนิบอกจริงๆ ว่าบ้านหลังนี้ไม่ควรจะเข้าใกล้
“ที่คุณเห็นน่าจะเป็นคุณยายเล็กคุณวินค่ะ คุณคนนี้เป็นเมียใหม่ของคุณท่านที่เสียไป เธอตกน้ำตายตรงนี้ เขาว่ากันว่าเป็นการฆ่าตัวตายแต่บางคนก็ว่าเป็นฆาต…”
“น้อยอย่าพูดอะไรไร้สาระ” เสียงตวาดของเจ้าของบ้านดังแว่วมาจากทางประตู ทำเอาสองสาวสะดุ้งสุดตัวกับการมาอย่างเงียบเชียบของเภตรา
“อาหารเที่ยงเตรียมเสร็จรึยัง”
“ยะ…ยังค่ะ” น้อยก้มหน้างุด เธอไม่น่าลืมเลยว่าคุณนายจะกลับมาวันนี้
“ส่วนเธอรู้ใช่ไหมว่าไม่ควรซอกแซกเรื่องคนอื่น”
“ค่ะ ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวเผลอตัวขอโทษไปทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ผิดเลยสักนิด เธอไม่ได้ถามซอกแซกเสียหน่อย น้อยต่างหากที่เล่าให้ฟังเอง แต่พอเหลือบไปมองหน้าคุณผู้หญิงของบ้าน หญิงสาวก็ต้องข่มใจไม่ให้เถียงออกไป คนอย่างคุณเภตราคงไม่ยอมรับฟังเหตุผลของเธอหรอก
ใบหน้าหงิกงอของเภตราบ่งว่าอารมณ์ไม่ดีเอามาก หญิงสาวจ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันเลยทีเดียว
“ยังไม่ได้เตรียมแล้วมัวยืนทำอะไรอยู่ รีบไปเตรียมสิ” เภตราเอ็ดเสียงเข้ม
น้อยจึงรีบหันหลังไปทำตามคำสั่งทันที ทิ้งให้วิชชุตานั่งตัวลีบกับคุณนายเจ้าของบ้าน เธอนั่งเงียบๆ อย่างนั้นจนกระทั่งอาหารถูกนำมาเสิร์ฟ พอได้อาหารมาหญิงสาวตักมันเข้าปากอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อที่จะได้รีบกลับออกไปให้เร็วที่สุด
ทานเสร็จวิชชุตาก็ไหว้ลาเภตราแล้วตรงดิ่งไปที่รถ ทว่าควานหากุญแจในประเป๋าอย่างไรก็ไม่พบ สงสัยว่าเธอจะลืมเอาไว้ที่ห้องของวิน หญิงสาวจึงเดินย้อนกลับไปข้างในอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วๆ ดังออกมาจากประตู
คุณอติรัฐมางั้นเหรอ แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะไม่เห็นรถเขาจอดอยู่เลย
หญิงสาวจึงเคาะประตูห้องถี่ๆ เพื่อที่จะได้เอากุญแจรถและจะได้หายข้องใจด้วย
“ใครน่ะ” เสียงถามแบบมะนาวไม่มีน้ำดังขึ้น
“พี่ฟ้าเองค่ะ พี่ลืมกุญแจไว้ ขอเข้าไปเอาหน่อยนะ”
แล้วประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกในรูปแบบเดิมอีกครั้ง กล่าวคือเปิดเองได้โดยไม่มีคนผลัก ครั้งนี่วิชชุตาไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใดเพราะเข้าใจว่านี่เป็นลูกเล่นของวิน ทว่าก็ต้องผงะจนได้เมื่อเห็นกลุ่มควันสีขาวรูปร่างเหมือนมนุษย์นั่งอยู่ข้างๆ เด็กชาย
‘ไม่เห็น ฉันมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’ หญิงสาวพร่ำพูดกับตัวเองในใจแล้วพยายามเบนสายตาไปที่จุดอื่น
“ยัยแก่ขี้ลืม” วินพูดยั่ว
แต่วิชชุตาก็ไม่ต่อปากต่อคำด้วย หญิงสาวคว้าพวงกุญแจแล้วรีบเดินออกจากห้อง แม้จะไม่ได้หันไปมองแต่เธอก็ยังรู้สึกได้ว่าเจ้ากลุ่มหมอกนั่นมันจ้องมองเธอด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แถมยังตามมาส่งจนถึงประตูหน้าบ้านอีกต่างหาก
เจ้ากลุ่มหมอกนั่นคงสิงสู่อยู่ในบ้านหลังนั้นเหมือนกับวิญญาณย่าเล็กที่เธอมองเห็น บางทีมันอาจจะอยู่ในห้องของวินอยู่แล้วและเป็นสาเหตุทำให้ครูสอนพิเศษทั้งหลายเผ่นหนีไป
มันเป็นวิญญาณหรือตัวอะไรเธอก็ไม่แน่ใจนัก แต่อย่างน้อยๆ มันก็ยังรู้กาลเทศะ รู้จักออกมาแสดงตัวหลังจากหมดเวลาเรียนพิเศษแล้ว หากเป็นผีก็คงเป็นผีที่ดีอยู่เหมือนกัน
ไม่แน่ว่าบางทีวินอาจจะเห็นมันด้วยก็ได้ ถ้าเห็นทำไมเด็กชายถึงไม่กลัวมันเลยเล่า หรือว่าจะชินเพราะเจอกันบ่อยแล้ว บางทีที่วินไม่ยอมเปิดม่านเพราะอาจจะกลัวว่าแสงแดดจะรบกวนหมอกสีขาวที่อยู่ในห้องก็เป็นได้ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเด็กชายเป็นเพื่อนกับเจ้าตัวสีขาวนี้อย่างนั้นสิ
ความคิดที่ว่าวินเป็นเพื่อนกับผีทำให้วิชชุตาขนลุกซู่ ถึงจะรับรู้การมีตัวตนของวิญญาณทั้งหลาย เธอก็เป็นคนหนึ่งล่ะที่ปฏิเสธจะติดต่อพูดคุยกับพวกนี้ ถึงอย่างไรก็อยู่คนละภพกันแล้วขออย่าได้มาข้องเกี่ยวกันเลยจะดีกว่า
กลับมาถึงบ้านวิชชุตาก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟัง เรื่องแปลกๆ แบบนี้มีแต่ยัยนิกับนายไตรเท่านั้นที่พอจะเล่าให้ฟังได้ พอเล่าให้ไตรภพฟังชายหนุ่มก็ค้นลิ้นชักควานหาพระเครื่องมาให้องค์หนึ่ง
“คล้องคอไว้ป้องกันตัว อายุสองร้อยกว่าปีเชียวนะ”
เขาได้มาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งตอนขึ้นไปสัมมนาที่เชียงใหม่ แต่เขาไม่นิยมพกพวกเครื่องรางจึงเก็บมันไว้ในลิ้นชักตลอด
“ขอบใจนะนายไตร”
วิชชุตารับมาคล้องคออย่างซึ้งน้ำใจ เธอเคยมีพระเครื่ององค์เล็กกับเขาอยู่องค์หนึ่ง เคยใส่ตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหน
ส่วนนิศารัตน์พอรู้เรื่องเข้าแม่คนนี้เขากรี๊ดกร๊าดชอบใจใหญ่ บอกว่าอยากจะมีเพื่อนเป็นผีบ้าง
“ฉันจะประสาทเสียแล้วเนี่ย กลางวันแสกๆ เจอผีตั้งสองตัว โอ้ย! อยากจะบ้าตาย” วิชชุตาโอดครวญอย่างเหนื่อยใจ
“เท่าที่ฟังเธอเล่าฉันว่าผีบ้านนั้นเฮี้ยนสุดๆ เลย ฉันว่าเธอเลิกดีกว่า เจ้าตัวสีขาวนั่นตอนนี้มันยังไม่ทำอะไรเธอก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไว้ใจได้ใช่ไหมล่ะ แล้วยังผียายเล็กอะไรนี่อีกล่ะ ถ้าเธอคิดว่าภาพที่เห็นเป็นของจริงแล้วกระโดดลงไปช่วยจะเกิดอะไรขึ้นฮึยัยฟ้า”
นิศารัตน์เอ่ยเตือนอย่างเป็นห่วง ยัยฟ้าคงคิดเองได้โดยไม่ต้องให้บอกหรอกนะว่าถ้าขืนโดดลงไปคงได้ตายกลายเป็นตัวตายตัวแทนเฝ้าที่นั่นต่อแน่ๆ
“ก็อยากเลิกหรอกแต่ทำไม่ได้จริงๆ ต้องรอให้ฉันรู้สาเหตุว่าทำไมวินถึงเก็บตัวก่อนถึงจะเลิกได้ นิไม่ต้องห่วงหรอกนะ ตอนนี้ฉันได้พระมาองค์หนึ่งพอดี ท่านคงช่วยคุ้มครองหรอก”
“พระเหรอ…มิน่าล่ะถึงรู้สึกว่าแถวๆ ที่เธออยู่มีพลังแผ่ออกมาด้วย”
“เห็นอะไรอีกล่ะ”
“รัศมีสีฟ้า”
นิศารัตน์หลับตาแล้วพยายามเพ่งมองคลื่นพลังที่สัมผัสได้ เธอไม่เคยเจอคลื่นพลังแบบนี้มาก่อน แน่หรือว่ามันจะมาจากพระเครื่องจริงๆ
วิชชุตาก้มลงมองพระที่คอเธอแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีรัศมีอะไรอย่างที่เพื่อนว่าเลย แต่ท่านคงมีอิทธิฤทธิ์อะไรอยู่บ้างล่ะยัยนิถึงสัมผัสได้ รู้อย่างนี้ค่อยโล่งใจหน่อยที่มีของดีคุ้มกาย
แท้ที่จริงแล้วรัศมีสีฟ้าที่นิศารัตน์เห็นไม่ได้มาจากพระเครื่อง ต้นกำเนิดแสงสีฟ้าคือกำไลเงินที่ข้อมือของวิชชุตาต่างหาก
ในภพนี้วารัคคนียังคงซื่อสัตย์กับเจ้าของและรอเวลาจะได้เป็นอาวุธคู่ใจของนายหญิงอีกครั้ง อีกไม่นานหรอกนายหญิงจะได้ใช้มัน ถึงตอนนั้นมันจะได้ยืดเส้นยืดสายเสียทีหลังจากหลับใหลมานานหลายพันปี
วิชชุตาเก็บรวบรวมข้อมูลของเด็กชายไปเรื่อยๆ จากการสังเกตบ้างหลอกถามบ้าง แต่ก็ไม่รู้อะไรเพิ่มเติมมากนัก จนเธอเกือบจะเลิกล้มความพยายามไป แล้วอยู่ๆ ความโชคดีก็วิ่งมาหาหญิงสาวถึงบ้านเสียอย่างนั้น
“พี่ฟ้า…เปิดประตูหน่อยมีอะไรจะอวด” เด็กหญิงคนหนึ่งส่งเสียงตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน เธอเอาสองมือไพล่ไว้ด้านหลังเหมือนกับว่ากำลังซ่อนอะไรเอาไว้
พอเห็นว่าเป็นเด็กแถวบ้านวิชชุตาก็ออกไปเปิดประตูให้ เธอคุ้นเคยกับเด็กหญิงดีเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เล็ก แถวนี้ไม่มีใครซ่าเกินเจ้าแม่ก้อยไปได้ เพราะโตที่สุดในบรรดาเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมยังมีพ่อเป็นนายอำเภออีกก้อยก็เลยใหญ่คับซอย
“มีอะไรรึเปล่า แล้วเกรดเทอมนี้ได้เท่าไร”
“โธ่! เจอหน้าก็ถามถึงเกรดเลยนะพี่ ได้สามจุดห้าฮะ เกรดขึ้นมาเยอะพ่อเลยอนุญาตให้เลี้ยงเจ้านี่” ว่าแล้วก็อุ้มลูกสุนัขสีขาวตัวอ้วนกลมที่ซ่อนไว้ด้านหลังขึ้นมาโชว์
“น่ารักจังเลย ขอพี่อุ้มหน่อยสิ ชื่ออะไรล่ะ”
วิชชุตาอุ้มเจ้าตัวขนปุยขึ้นมาไว้บนตัก เธอเคยอยากเลี้ยงสุนัขมานานแล้วแต่ติดที่ที่บ้านมีแมวและพวกมันก็เกลียดหมาเป็นที่สุด เธอเลยต้องเกรงใจแมวไม่เอาคู่อริเข้ามาเลี้ยงในบ้าน
“ยังไม่ได้ตั้งเลยพี่ คิดกันอยู่ พ่อจะเอาอีกชื่อ แม่อีกชื่อ ไอ้เก่งจะเอาอีกชื่อ เลยตกลงกันไม่ได้สักที ก้อยรำคาญเลยพาหนีมาเนี่ย”
“ชื่อโอโม่ดีไหม มันขาวดี” วิชชุตาเสนอแต่ว่าก้อยไม่เห็นดีเห็นงามด้วย
“เรื่องชื่อหมาช่างมันเถอะพี่ เรียกมันไอ้อ้วนไปก่อน เอ่อใช่! พี่ฟ้าสอนพิเศษเหรอ ก้อยเลยงานเข้าเลย พ่อก้อยเลยบอกให้เรียนเก่งๆ จะได้สอนพิเศษหาเงินใช้เองอย่างพี่ฟ้า ก้อยสอนคนเป็นที่ไหน โง่จะตาย เกรดเทอมนี้ได้มาเพราะมั่วทั้งนั้น” เด็กหญิงเล่าไปบ่นไป
“พี่ก็ไม่ได้เรียนเก่งอะไรหรอก พอดีรับงานแทนเพื่อนน่ะ แถมยังเป็นเด็กมีปัญหาอีก เราก็น่าจะรู้จักนะเหมือนจะอยู่ห้องเดียวกับก้อยด้วย ชื่อวิน”
หญิงสาวจำได้เพราะเคยเห็นสมุดพกของวินเขียนว่าห้องหนึ่งทับสิบ ซึ่งเป็นห้องเดียวกับที่ก้อยเรียน
“อ๋อ! รู้จักสิพี่ อยู่กลุ่มวิทย์ด้วยกัน ตานี่ไม่เคยโผล่หัวมาช่วยกันทำงานสักที ดีหน่อยตรงที่ยอมจ่ายเงิน นิสัยแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ ก้อยเลยไม่อยากไปยุ่งด้วย”
แล้วเด็กหญิงก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนให้ฟัง ตั้งแต่มีเรื่องชกต่อยกันในวันแรกที่ย้ายเข้ามา วินก็ไม่ยอมคบหาใครเลย ทั้งๆ ที่มีหลายคนอยากจะเป็นเพื่อนด้วย ก้อยเองก็เคยพยายามชวนคุยด้วยหลายครั้งแต่เขาก็ไม่ยอมพูดด้วย
“วันแรกก็ถูกรังแกเลยเหรอ มิน่าล่ะถึงไม่อยากจะคบใคร”
“ก็น่าสงสารหรอกฮะแต่คนเรามันต้องรู้จักปรับตัวสิ ถ้าเป็นก้อยนะไม่เป็นแบบนี้หรอก”
“เชื่อจ้ะว่าเราน่ะมันเก่งสารพัด แต่ว่าเขากับเราน่ะมันคนละคนกันนะ ก้อยยังมีพ่อกับแม่ แต่วินเขาไม่มีใครเลย ไม่แปลกหรอกที่เขาจะปิดตัวเอง"
ก้อยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก็คิดอยู่ว่าทำไมเขาถึงได้โกรธนักหนาตอนถูกว่าว่าพ่อแม่เป็นผี ก้อยรักพ่อกับแม่มากถึงแม่จะดุไปหน่อยตีเจ็บไปนิด เธอก็ไม่อยากจะเสียท่านไป
“งั้นก้อยจะลองพยายามเป็นเพื่อนกับเขาใหม่”
“ดีมากจ้ะ ขอให้สำเร็จนะ พยายามเข้าล่ะ” หญิงสาวเอ่ยอวยพรเด็กหญิงพร้อมกับให้กำลังใจตัวเองไปด้วย
เมื่อสบโอกาสได้พบกับอติรัฐอีกครั้ง วิชชุตาจึงเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ยินมาทั้งจากน้อย จากก้อย แล้วก็จากที่ตัวเองสังเกตให้เขาฟัง
ชายหนุ่มถอนใจหนักๆ กับสิ่งที่ได้รับรู้ เรื่องหลานโดนรังแก เข้ากับเพื่อนไม่ได้ ตลอดจนทำตัวไม่สุภาพ หรือแกล้งกาข้อสอบมั่ว เขารับรู้มาแต่เพียงผิวเผินและส่วนใหญ่ก็ถูกบิดเบือนจนกลายเป็นเรื่องเล็ก ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่อย่างนี้
“วินไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลยครับ ผมรู้แต่แกไม่ค่อยมีเพื่อนเท่านั้น” ชายหนุ่มเอามือประสานกันแน่นอย่างรู้สึกผิด
ที่ผ่านมาเขามัวแต่คิดเอาเองว่าถึงวินจะมีปัญหาแต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร อย่างน้อยพี่เภตราที่เป็นป้าก็ยังดูแลเอาใจใส่ แต่เขากลับคิดผิด วินถูกละเลยในหลายๆ เรื่องที่ผู้ปกครองไม่ควรจะมองผ่าน
“คุณต้องลองคุยกับคุณเภตราแล้วล่ะค่ะ ปล่อยไว้นานเท่าไรยิ่งจะมีผลเสียกับวินมากเท่านั้น”
เด็กชายต้องการคนเข้าใจและคอยจูงมือไปยังทิศทางที่ถูก และบางทีอาจจะต้องพึ่งจิตแพทย์หรือมีผู้รู้มาคอยช่วยแนะนำอีกทางหนึ่งด้วย
“เห็นทีผมจะต้องรับวินไปดูแลเสียเองแล้วล่ะครับ”
จริงอย่างที่วิชชุตาบอก เขาจะทำเฉยกับเรื่องนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่การจะได้ตัวหลานชายมาดูแล เรื่องอาจจะขั้นต้องขึ้นศาล หากเป็นอย่างนั้นจริงก็คงต้องลองสู้ความกันดูสักตั้ง
หลังจากวิชชุตาสอนเสร็จชายหนุ่มจึงเข้าไปคุยกับหลานชาย ถามว่าอยากจะไปอยู่กับเขารึเปล่า
“อาไม่บังคับหรอกนะวิน แล้วแต่วินจะสมัครใจ ถึงไม่ไปอาก็จะยังมาเยี่ยมวินที่นี่อีกเหมือนเดิม”
“ไปครับไป วินอยากอยู่กับอาติ”
เด็กชายตอบรับเสียงรัวเร็วแล้วกระโดดตัวลอยไปมา แต่ดีใจได้ครู่เดียวใบหน้าสดใสก็พลันหม่นลง
“แต่ว่าป้าจะยอมเหรอครับ”
สีหน้าอมทุกข์ของวินทำให้อติรัฐวางมือเอาไว้บนไหล่ของหลานชาย แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า
“อาสัญญาว่าจะพยายามทุกวิถีทางให้วินได้ไปอยู่กับอา บางทีเราอาจจะต้องขึ้นศาล แต่ถ้าวินยืนยันว่าจะยอมไปอยู่กับอา ทุกอย่างจะเรียบร้อย วินทำได้รึเปล่าครับ”
“ได้ครับ วินจะทำทุกอย่างเลยขอแค่อาติรับวินไปอยู่ด้วยก็พอ”
เด็กชายยืนยันอย่างหนักแน่นแล้วยิ้มร่าด้วยความดีใจ ผิดกับเพื่อนสีขาวที่ยืนมองการสนทนาด้วยแววตาขุ่นเคือง มันหันไปมองอติรัฐด้วยความอาฆาตมาดร้ายอย่างที่สุด
‘มันจะต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว เพื่อไม่ให้เพื่อนคนเดียวของมันถูกพรากไป’
วิชชุตาทำหน้าที่เป็นครูสอนพิเศษมาได้ร่วมสองสัปดาห์แล้วแต่หญิงสาวก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมเด็กชายถึงกลายเป็นเด็กเก็บตัว ถามน้อยน้อยก็ให้คำตอบอะไรมากไม่ได้ ท่าทางเธอคงจะช่วยอะไรคุณอติรัฐไม่ได้มากอย่างที่คิดจริงๆ กระมัง
การเรียนการสอนยังคงมีแต่ความเงียบเหมือนเคยเพราะเด็กชายไม่ต้องการการอธิบาย ดึงดันจะทำโจทย์เองให้ได้ หน้าที่ของวิชชุตาจึงมีแค่ตรวจคำตอบเท่านั้น
“ถามหน่อยเถอะไม่เบื่อรึไง ข้อนี้น่ะทำมาชั่วโมงกว่าแล้วนะ” วิชชุตาเอ่ยอย่างเหนื่อยใจในความดื้อดึงของวิน
“เรื่องของฉัน”
“รู้ย่ะว่าเรื่องของนาย แต่มันก็เรื่องของพี่เหมือนกัน ไม่รู้ล่ะถ้าวันนี้สอนไม่ได้อย่างที่เตรียมมาละก็จะต่อเวลาพิเศษเพิ่มให้จนกว่าจะเรียบร้อย”
วิชชุตาเปลี่ยนแผนการสอนใหม่หมดเพราะโจทย์ที่โบว์เตรียมเอาไว้ให้ไม่เหมาะกับวิน หญิงสาวเลือกโจทย์ที่ยากขึ้นมาให้ลองทำ เนื้อหาส่วนใหญ่วินยังไม่เคยเรียน เธอจะได้มีโอกาสทำหน้าที่ครูจริงๆ เสียที
“ไม่ได้นะ” เด็กชายหันมามองวิชชุตาด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมจะไม่ได้ พี่เป็นครูนะ” หญิงสาวเชิดหน้าใส่
พอเจอกันหลายครั้งเข้าคำว่าคะขาจากปากวิชชุตาก็เลยหายไปเพื่อความเสมอภาค เธอสังเกตเห็นว่าวินรอคอยเวลาเลิกเรียนอย่างใจจดใจจ่อเป็นพิเศษ บางทีอาจจะติดรายการโทรทัศน์อยู่ก็ได้ หญิงสาวจึงลองใช้สถานการณ์นี้ให้เกิดประโยชน์
“เรามาตกลงกันดีกว่า ถ้ายอมให้สอนดีๆ พี่จะเลิกตรงเวลา ถ้าทำโจทย์เสร็จหมดจะให้เลิกก่อนเวลาด้วย”
วินนิ่งไปชั่วครู่เหมือนกำลังตัดสินใจก่อนจะตอบกลับมาว่า
“ก็ได้”
น้ำเสียงของเด็กชายยังคงฟังดูไม่รื่นหู แต่แววตาดูสดใสและเป็นมิตรกว่าที่เคย วินอยากเลิกเรียนเร็วๆ เพื่อที่จะได้ไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่เล่นค้างไว้กับเพื่อนเมื่อคืน
ในที่สุดวิชชุตาก็ได้สอนอย่างที่ตั้งใจไว้ วินให้ความร่วมมือด้วยดีผิดความคาดหมาย เด็กชายพูดดีๆ กับเธอหลายครั้ง เมื่อทำแบบฝึกหัดเสร็จเรียบร้อยแล้ววิชชุตาจึงให้เลิกก่อนเวลาตามที่สัญญาเอาไว้
หญิงสาวบอกลาวินแล้วเก็บของเดินลงบันไดมาตั้งใจว่าจะตรงกลับบ้านเลย แต่ถูกน้อยรั้งไว้ให้อยู่ทานอาหารกลางวันก่อน ยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธเธอก็ถูกดึงแขนพามาที่ห้องทานอาหารเสียแล้ว
ระหว่างที่รอวิชชุตาเลยขอไปเดินเล่นดูรอบๆ สระว่ายน้ำ เลยได้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับวินมาว่าเด็กชายว่ายน้ำเป็นแต่ไม่เคยลงมาว่ายน้ำที่นี่แม้แต่ครั้งเดียว แล้วน้อยยังบอกอีกว่าวินไม่ได้แพ้แดด เพิ่งมาไม่ชอบแดดก็ตอนหลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สักระยะ
เดินออกมาจากสระว่ายน้ำอีกหน่อยวิชชุตาก็เห็นว่ามีบันไดลงไปที่ท่าน้ำ ตรงนั้นมีจักรยานน้ำรูปหงส์สีขาวผูกติดอยู่กับเสาด้วย วิชชุตาเลยเดินลงไปดูใกล้ๆ แล้วย่อตัวลงนั่งเอามือราน้ำเล่น
เธอนั่งเหม่อมองทิวทัศน์ฆ่าเวลาไปได้พักใหญ่ก็เห็นชายกระโปรงของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่หางตา ไม่กี่อึดใจร่างของหญิงสาวคนนั้นก็พุ่งลงไปในน้ำราวกับว่ามีใครผลักให้ตกลงไป
วิชชุตาเหลียวซ้ายแลขวาหาคนช่วย แต่แถวนี้จะมีใครได้เล่านอกจากเธอ หญิงจึงคว้าท่อนไม้ที่อยู่ใกล้ตัวแล้วยื่นไปให้ผู้หญิงคนนั้นจับ พลางร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ เธอว่ายน้ำเป็นก็จริงแต่ไม่แข็ง ถ้าลงไปช่วยไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือลงไปตายเป็นเพื่อน
“มีอะไรคะคุณ” น้อยรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความตกใจ
“คนตกน้ำค่ะพี่”
วิชชุตาหันไปบอกแต่พอหันกลับมาเธอคนนั้นก็หายไปแล้ว
“ไม่จริง! คือเอ่อ…เมื่อกี้ฟ้าเห็นจริงๆ นะคะ”
ให้ตายสิ! เธอเจอกับอะไรแบบนี้อีกแล้วรึนี่ ครั้งนี้มันสมจริงสมจังเสียจนเธอแทบจะโดดลงไปช่วย
“อีกแล้วเหรอ” น้อยพึมพำด้วยท่าทีที่ไม่แปลกใจอะไรนัก แล้วฉุดแขนหญิงสาวต่างวัยให้ออกมาจากบริเวณนั้น
“มีคนเห็นบ่อยๆ เหรอคะ”
พอรู้ว่าไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคนประหลาดหรือคนโกหกวิชชุตาก็รู้สึกโล่งอก ใจจริงแล้วเธอกลัวคนหาว่าพูดปดเสียยิ่งกว่ากลัวผีอีก
“เจอกันประจำเลยค่ะ แต่ว่าไม่กลัวเหรอคะ”
น่าแปลกที่ผู้หญิงคนนี้ดูไม่ตกใจขวัญหนีดีฝ่อเหมือนคนอื่น ถ้าเป็นเธอละก็ลองได้เจอจังๆ เข้าสักที เธอคงลาออกไปแล้ว บ้านหลังนี้มีเสียงล่ำลือเรื่องวิญญาณมากมาย แต่เธอก็อยู่มาได้เพราะไม่เคยเห็นหรือเจออะไรอย่างที่คนอื่นเจอ
“ก็นิดหน่อยค่ะ แล้วไอ้เห็นบ่อยๆ นี่บ่อยแค่ไหนคะ”
จะบอกว่าไม่กลัวก็คงไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าตกใจจนลืมกลัวเสียมากกว่า
“นานๆ ครั้งน่ะคะ เวลามีแขกมาค้างที่บ้านตอนกลางคืน ถ้าไปแถวนั้นก็มักจะเจอ มีแปลกที่สุดก็คุณนี่แหละค่ะที่เจอกลางวันแสกๆ ไม่เหมือนคนอื่นเขา”
หญิงสาวยิ้มรับแบบไม่เต็มสีหน้านัก เธอมันพวกมีสัมผัสพิเศษผิดกับชาวบ้านชาวเมืองเขานี่นา จริงอย่างที่ยัยนิบอกจริงๆ ว่าบ้านหลังนี้ไม่ควรจะเข้าใกล้
“ที่คุณเห็นน่าจะเป็นคุณยายเล็กคุณวินค่ะ คุณคนนี้เป็นเมียใหม่ของคุณท่านที่เสียไป เธอตกน้ำตายตรงนี้ เขาว่ากันว่าเป็นการฆ่าตัวตายแต่บางคนก็ว่าเป็นฆาต…”
“น้อยอย่าพูดอะไรไร้สาระ” เสียงตวาดของเจ้าของบ้านดังแว่วมาจากทางประตู ทำเอาสองสาวสะดุ้งสุดตัวกับการมาอย่างเงียบเชียบของเภตรา
“อาหารเที่ยงเตรียมเสร็จรึยัง”
“ยะ…ยังค่ะ” น้อยก้มหน้างุด เธอไม่น่าลืมเลยว่าคุณนายจะกลับมาวันนี้
“ส่วนเธอรู้ใช่ไหมว่าไม่ควรซอกแซกเรื่องคนอื่น”
“ค่ะ ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวเผลอตัวขอโทษไปทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ผิดเลยสักนิด เธอไม่ได้ถามซอกแซกเสียหน่อย น้อยต่างหากที่เล่าให้ฟังเอง แต่พอเหลือบไปมองหน้าคุณผู้หญิงของบ้าน หญิงสาวก็ต้องข่มใจไม่ให้เถียงออกไป คนอย่างคุณเภตราคงไม่ยอมรับฟังเหตุผลของเธอหรอก
ใบหน้าหงิกงอของเภตราบ่งว่าอารมณ์ไม่ดีเอามาก หญิงสาวจ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันเลยทีเดียว
“ยังไม่ได้เตรียมแล้วมัวยืนทำอะไรอยู่ รีบไปเตรียมสิ” เภตราเอ็ดเสียงเข้ม
น้อยจึงรีบหันหลังไปทำตามคำสั่งทันที ทิ้งให้วิชชุตานั่งตัวลีบกับคุณนายเจ้าของบ้าน เธอนั่งเงียบๆ อย่างนั้นจนกระทั่งอาหารถูกนำมาเสิร์ฟ พอได้อาหารมาหญิงสาวตักมันเข้าปากอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อที่จะได้รีบกลับออกไปให้เร็วที่สุด
ทานเสร็จวิชชุตาก็ไหว้ลาเภตราแล้วตรงดิ่งไปที่รถ ทว่าควานหากุญแจในประเป๋าอย่างไรก็ไม่พบ สงสัยว่าเธอจะลืมเอาไว้ที่ห้องของวิน หญิงสาวจึงเดินย้อนกลับไปข้างในอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วๆ ดังออกมาจากประตู
คุณอติรัฐมางั้นเหรอ แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะไม่เห็นรถเขาจอดอยู่เลย
หญิงสาวจึงเคาะประตูห้องถี่ๆ เพื่อที่จะได้เอากุญแจรถและจะได้หายข้องใจด้วย
“ใครน่ะ” เสียงถามแบบมะนาวไม่มีน้ำดังขึ้น
“พี่ฟ้าเองค่ะ พี่ลืมกุญแจไว้ ขอเข้าไปเอาหน่อยนะ”
แล้วประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกในรูปแบบเดิมอีกครั้ง กล่าวคือเปิดเองได้โดยไม่มีคนผลัก ครั้งนี่วิชชุตาไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใดเพราะเข้าใจว่านี่เป็นลูกเล่นของวิน ทว่าก็ต้องผงะจนได้เมื่อเห็นกลุ่มควันสีขาวรูปร่างเหมือนมนุษย์นั่งอยู่ข้างๆ เด็กชาย
‘ไม่เห็น ฉันมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’ หญิงสาวพร่ำพูดกับตัวเองในใจแล้วพยายามเบนสายตาไปที่จุดอื่น
“ยัยแก่ขี้ลืม” วินพูดยั่ว
แต่วิชชุตาก็ไม่ต่อปากต่อคำด้วย หญิงสาวคว้าพวงกุญแจแล้วรีบเดินออกจากห้อง แม้จะไม่ได้หันไปมองแต่เธอก็ยังรู้สึกได้ว่าเจ้ากลุ่มหมอกนั่นมันจ้องมองเธอด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แถมยังตามมาส่งจนถึงประตูหน้าบ้านอีกต่างหาก
เจ้ากลุ่มหมอกนั่นคงสิงสู่อยู่ในบ้านหลังนั้นเหมือนกับวิญญาณย่าเล็กที่เธอมองเห็น บางทีมันอาจจะอยู่ในห้องของวินอยู่แล้วและเป็นสาเหตุทำให้ครูสอนพิเศษทั้งหลายเผ่นหนีไป
มันเป็นวิญญาณหรือตัวอะไรเธอก็ไม่แน่ใจนัก แต่อย่างน้อยๆ มันก็ยังรู้กาลเทศะ รู้จักออกมาแสดงตัวหลังจากหมดเวลาเรียนพิเศษแล้ว หากเป็นผีก็คงเป็นผีที่ดีอยู่เหมือนกัน
ไม่แน่ว่าบางทีวินอาจจะเห็นมันด้วยก็ได้ ถ้าเห็นทำไมเด็กชายถึงไม่กลัวมันเลยเล่า หรือว่าจะชินเพราะเจอกันบ่อยแล้ว บางทีที่วินไม่ยอมเปิดม่านเพราะอาจจะกลัวว่าแสงแดดจะรบกวนหมอกสีขาวที่อยู่ในห้องก็เป็นได้ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเด็กชายเป็นเพื่อนกับเจ้าตัวสีขาวนี้อย่างนั้นสิ
ความคิดที่ว่าวินเป็นเพื่อนกับผีทำให้วิชชุตาขนลุกซู่ ถึงจะรับรู้การมีตัวตนของวิญญาณทั้งหลาย เธอก็เป็นคนหนึ่งล่ะที่ปฏิเสธจะติดต่อพูดคุยกับพวกนี้ ถึงอย่างไรก็อยู่คนละภพกันแล้วขออย่าได้มาข้องเกี่ยวกันเลยจะดีกว่า
กลับมาถึงบ้านวิชชุตาก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟัง เรื่องแปลกๆ แบบนี้มีแต่ยัยนิกับนายไตรเท่านั้นที่พอจะเล่าให้ฟังได้ พอเล่าให้ไตรภพฟังชายหนุ่มก็ค้นลิ้นชักควานหาพระเครื่องมาให้องค์หนึ่ง
“คล้องคอไว้ป้องกันตัว อายุสองร้อยกว่าปีเชียวนะ”
เขาได้มาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งตอนขึ้นไปสัมมนาที่เชียงใหม่ แต่เขาไม่นิยมพกพวกเครื่องรางจึงเก็บมันไว้ในลิ้นชักตลอด
“ขอบใจนะนายไตร”
วิชชุตารับมาคล้องคออย่างซึ้งน้ำใจ เธอเคยมีพระเครื่ององค์เล็กกับเขาอยู่องค์หนึ่ง เคยใส่ตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหน
ส่วนนิศารัตน์พอรู้เรื่องเข้าแม่คนนี้เขากรี๊ดกร๊าดชอบใจใหญ่ บอกว่าอยากจะมีเพื่อนเป็นผีบ้าง
“ฉันจะประสาทเสียแล้วเนี่ย กลางวันแสกๆ เจอผีตั้งสองตัว โอ้ย! อยากจะบ้าตาย” วิชชุตาโอดครวญอย่างเหนื่อยใจ
“เท่าที่ฟังเธอเล่าฉันว่าผีบ้านนั้นเฮี้ยนสุดๆ เลย ฉันว่าเธอเลิกดีกว่า เจ้าตัวสีขาวนั่นตอนนี้มันยังไม่ทำอะไรเธอก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไว้ใจได้ใช่ไหมล่ะ แล้วยังผียายเล็กอะไรนี่อีกล่ะ ถ้าเธอคิดว่าภาพที่เห็นเป็นของจริงแล้วกระโดดลงไปช่วยจะเกิดอะไรขึ้นฮึยัยฟ้า”
นิศารัตน์เอ่ยเตือนอย่างเป็นห่วง ยัยฟ้าคงคิดเองได้โดยไม่ต้องให้บอกหรอกนะว่าถ้าขืนโดดลงไปคงได้ตายกลายเป็นตัวตายตัวแทนเฝ้าที่นั่นต่อแน่ๆ
“ก็อยากเลิกหรอกแต่ทำไม่ได้จริงๆ ต้องรอให้ฉันรู้สาเหตุว่าทำไมวินถึงเก็บตัวก่อนถึงจะเลิกได้ นิไม่ต้องห่วงหรอกนะ ตอนนี้ฉันได้พระมาองค์หนึ่งพอดี ท่านคงช่วยคุ้มครองหรอก”
“พระเหรอ…มิน่าล่ะถึงรู้สึกว่าแถวๆ ที่เธออยู่มีพลังแผ่ออกมาด้วย”
“เห็นอะไรอีกล่ะ”
“รัศมีสีฟ้า”
นิศารัตน์หลับตาแล้วพยายามเพ่งมองคลื่นพลังที่สัมผัสได้ เธอไม่เคยเจอคลื่นพลังแบบนี้มาก่อน แน่หรือว่ามันจะมาจากพระเครื่องจริงๆ
วิชชุตาก้มลงมองพระที่คอเธอแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีรัศมีอะไรอย่างที่เพื่อนว่าเลย แต่ท่านคงมีอิทธิฤทธิ์อะไรอยู่บ้างล่ะยัยนิถึงสัมผัสได้ รู้อย่างนี้ค่อยโล่งใจหน่อยที่มีของดีคุ้มกาย
แท้ที่จริงแล้วรัศมีสีฟ้าที่นิศารัตน์เห็นไม่ได้มาจากพระเครื่อง ต้นกำเนิดแสงสีฟ้าคือกำไลเงินที่ข้อมือของวิชชุตาต่างหาก
ในภพนี้วารัคคนียังคงซื่อสัตย์กับเจ้าของและรอเวลาจะได้เป็นอาวุธคู่ใจของนายหญิงอีกครั้ง อีกไม่นานหรอกนายหญิงจะได้ใช้มัน ถึงตอนนั้นมันจะได้ยืดเส้นยืดสายเสียทีหลังจากหลับใหลมานานหลายพันปี
วิชชุตาเก็บรวบรวมข้อมูลของเด็กชายไปเรื่อยๆ จากการสังเกตบ้างหลอกถามบ้าง แต่ก็ไม่รู้อะไรเพิ่มเติมมากนัก จนเธอเกือบจะเลิกล้มความพยายามไป แล้วอยู่ๆ ความโชคดีก็วิ่งมาหาหญิงสาวถึงบ้านเสียอย่างนั้น
“พี่ฟ้า…เปิดประตูหน่อยมีอะไรจะอวด” เด็กหญิงคนหนึ่งส่งเสียงตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน เธอเอาสองมือไพล่ไว้ด้านหลังเหมือนกับว่ากำลังซ่อนอะไรเอาไว้
พอเห็นว่าเป็นเด็กแถวบ้านวิชชุตาก็ออกไปเปิดประตูให้ เธอคุ้นเคยกับเด็กหญิงดีเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เล็ก แถวนี้ไม่มีใครซ่าเกินเจ้าแม่ก้อยไปได้ เพราะโตที่สุดในบรรดาเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมยังมีพ่อเป็นนายอำเภออีกก้อยก็เลยใหญ่คับซอย
“มีอะไรรึเปล่า แล้วเกรดเทอมนี้ได้เท่าไร”
“โธ่! เจอหน้าก็ถามถึงเกรดเลยนะพี่ ได้สามจุดห้าฮะ เกรดขึ้นมาเยอะพ่อเลยอนุญาตให้เลี้ยงเจ้านี่” ว่าแล้วก็อุ้มลูกสุนัขสีขาวตัวอ้วนกลมที่ซ่อนไว้ด้านหลังขึ้นมาโชว์
“น่ารักจังเลย ขอพี่อุ้มหน่อยสิ ชื่ออะไรล่ะ”
วิชชุตาอุ้มเจ้าตัวขนปุยขึ้นมาไว้บนตัก เธอเคยอยากเลี้ยงสุนัขมานานแล้วแต่ติดที่ที่บ้านมีแมวและพวกมันก็เกลียดหมาเป็นที่สุด เธอเลยต้องเกรงใจแมวไม่เอาคู่อริเข้ามาเลี้ยงในบ้าน
“ยังไม่ได้ตั้งเลยพี่ คิดกันอยู่ พ่อจะเอาอีกชื่อ แม่อีกชื่อ ไอ้เก่งจะเอาอีกชื่อ เลยตกลงกันไม่ได้สักที ก้อยรำคาญเลยพาหนีมาเนี่ย”
“ชื่อโอโม่ดีไหม มันขาวดี” วิชชุตาเสนอแต่ว่าก้อยไม่เห็นดีเห็นงามด้วย
“เรื่องชื่อหมาช่างมันเถอะพี่ เรียกมันไอ้อ้วนไปก่อน เอ่อใช่! พี่ฟ้าสอนพิเศษเหรอ ก้อยเลยงานเข้าเลย พ่อก้อยเลยบอกให้เรียนเก่งๆ จะได้สอนพิเศษหาเงินใช้เองอย่างพี่ฟ้า ก้อยสอนคนเป็นที่ไหน โง่จะตาย เกรดเทอมนี้ได้มาเพราะมั่วทั้งนั้น” เด็กหญิงเล่าไปบ่นไป
“พี่ก็ไม่ได้เรียนเก่งอะไรหรอก พอดีรับงานแทนเพื่อนน่ะ แถมยังเป็นเด็กมีปัญหาอีก เราก็น่าจะรู้จักนะเหมือนจะอยู่ห้องเดียวกับก้อยด้วย ชื่อวิน”
หญิงสาวจำได้เพราะเคยเห็นสมุดพกของวินเขียนว่าห้องหนึ่งทับสิบ ซึ่งเป็นห้องเดียวกับที่ก้อยเรียน
“อ๋อ! รู้จักสิพี่ อยู่กลุ่มวิทย์ด้วยกัน ตานี่ไม่เคยโผล่หัวมาช่วยกันทำงานสักที ดีหน่อยตรงที่ยอมจ่ายเงิน นิสัยแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ ก้อยเลยไม่อยากไปยุ่งด้วย”
แล้วเด็กหญิงก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนให้ฟัง ตั้งแต่มีเรื่องชกต่อยกันในวันแรกที่ย้ายเข้ามา วินก็ไม่ยอมคบหาใครเลย ทั้งๆ ที่มีหลายคนอยากจะเป็นเพื่อนด้วย ก้อยเองก็เคยพยายามชวนคุยด้วยหลายครั้งแต่เขาก็ไม่ยอมพูดด้วย
“วันแรกก็ถูกรังแกเลยเหรอ มิน่าล่ะถึงไม่อยากจะคบใคร”
“ก็น่าสงสารหรอกฮะแต่คนเรามันต้องรู้จักปรับตัวสิ ถ้าเป็นก้อยนะไม่เป็นแบบนี้หรอก”
“เชื่อจ้ะว่าเราน่ะมันเก่งสารพัด แต่ว่าเขากับเราน่ะมันคนละคนกันนะ ก้อยยังมีพ่อกับแม่ แต่วินเขาไม่มีใครเลย ไม่แปลกหรอกที่เขาจะปิดตัวเอง"
ก้อยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก็คิดอยู่ว่าทำไมเขาถึงได้โกรธนักหนาตอนถูกว่าว่าพ่อแม่เป็นผี ก้อยรักพ่อกับแม่มากถึงแม่จะดุไปหน่อยตีเจ็บไปนิด เธอก็ไม่อยากจะเสียท่านไป
“งั้นก้อยจะลองพยายามเป็นเพื่อนกับเขาใหม่”
“ดีมากจ้ะ ขอให้สำเร็จนะ พยายามเข้าล่ะ” หญิงสาวเอ่ยอวยพรเด็กหญิงพร้อมกับให้กำลังใจตัวเองไปด้วย
เมื่อสบโอกาสได้พบกับอติรัฐอีกครั้ง วิชชุตาจึงเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ยินมาทั้งจากน้อย จากก้อย แล้วก็จากที่ตัวเองสังเกตให้เขาฟัง
ชายหนุ่มถอนใจหนักๆ กับสิ่งที่ได้รับรู้ เรื่องหลานโดนรังแก เข้ากับเพื่อนไม่ได้ ตลอดจนทำตัวไม่สุภาพ หรือแกล้งกาข้อสอบมั่ว เขารับรู้มาแต่เพียงผิวเผินและส่วนใหญ่ก็ถูกบิดเบือนจนกลายเป็นเรื่องเล็ก ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่อย่างนี้
“วินไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลยครับ ผมรู้แต่แกไม่ค่อยมีเพื่อนเท่านั้น” ชายหนุ่มเอามือประสานกันแน่นอย่างรู้สึกผิด
ที่ผ่านมาเขามัวแต่คิดเอาเองว่าถึงวินจะมีปัญหาแต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร อย่างน้อยพี่เภตราที่เป็นป้าก็ยังดูแลเอาใจใส่ แต่เขากลับคิดผิด วินถูกละเลยในหลายๆ เรื่องที่ผู้ปกครองไม่ควรจะมองผ่าน
“คุณต้องลองคุยกับคุณเภตราแล้วล่ะค่ะ ปล่อยไว้นานเท่าไรยิ่งจะมีผลเสียกับวินมากเท่านั้น”
เด็กชายต้องการคนเข้าใจและคอยจูงมือไปยังทิศทางที่ถูก และบางทีอาจจะต้องพึ่งจิตแพทย์หรือมีผู้รู้มาคอยช่วยแนะนำอีกทางหนึ่งด้วย
“เห็นทีผมจะต้องรับวินไปดูแลเสียเองแล้วล่ะครับ”
จริงอย่างที่วิชชุตาบอก เขาจะทำเฉยกับเรื่องนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่การจะได้ตัวหลานชายมาดูแล เรื่องอาจจะขั้นต้องขึ้นศาล หากเป็นอย่างนั้นจริงก็คงต้องลองสู้ความกันดูสักตั้ง
หลังจากวิชชุตาสอนเสร็จชายหนุ่มจึงเข้าไปคุยกับหลานชาย ถามว่าอยากจะไปอยู่กับเขารึเปล่า
“อาไม่บังคับหรอกนะวิน แล้วแต่วินจะสมัครใจ ถึงไม่ไปอาก็จะยังมาเยี่ยมวินที่นี่อีกเหมือนเดิม”
“ไปครับไป วินอยากอยู่กับอาติ”
เด็กชายตอบรับเสียงรัวเร็วแล้วกระโดดตัวลอยไปมา แต่ดีใจได้ครู่เดียวใบหน้าสดใสก็พลันหม่นลง
“แต่ว่าป้าจะยอมเหรอครับ”
สีหน้าอมทุกข์ของวินทำให้อติรัฐวางมือเอาไว้บนไหล่ของหลานชาย แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า
“อาสัญญาว่าจะพยายามทุกวิถีทางให้วินได้ไปอยู่กับอา บางทีเราอาจจะต้องขึ้นศาล แต่ถ้าวินยืนยันว่าจะยอมไปอยู่กับอา ทุกอย่างจะเรียบร้อย วินทำได้รึเปล่าครับ”
“ได้ครับ วินจะทำทุกอย่างเลยขอแค่อาติรับวินไปอยู่ด้วยก็พอ”
เด็กชายยืนยันอย่างหนักแน่นแล้วยิ้มร่าด้วยความดีใจ ผิดกับเพื่อนสีขาวที่ยืนมองการสนทนาด้วยแววตาขุ่นเคือง มันหันไปมองอติรัฐด้วยความอาฆาตมาดร้ายอย่างที่สุด
‘มันจะต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว เพื่อไม่ให้เพื่อนคนเดียวของมันถูกพรากไป’
![](/images/icons/1568.jpg)
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2555, 00:36:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2555, 00:36:04 น.
จำนวนการเข้าชม : 1759
<< ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 3 เพื่อนใหม่ | ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 5 พลังที่ซ่อนเร้น >> |
![](/images/icons/448.jpg)
Auuuu 13 ก.พ. 2555, 00:45:10 น.
อ่านตอนกลางคืนซะด้วย บรื้ออออ
อ่านตอนกลางคืนซะด้วย บรื้ออออ
![](/images/icons/1623.jpg)
เพลา 13 ก.พ. 2555, 10:50:36 น.
อาติจะโดนทำร้ายไหมเนี่ย
อาติจะโดนทำร้ายไหมเนี่ย
![](/images/icons/1568.jpg)
นิชาภา 13 ก.พ. 2555, 13:50:38 น.
คุณ Auuuu สวัสดีตอนบ่ายค่ะ คราวหลังเปลี่ยนเวลาไหมคะ อ่านตอนกลางวัน อากาศร้อนๆ จะได้เย็นลง หุๆๆ
คุณเพลา อยากสปอย แต่อุบไว้ก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวตอนต่อไปก็เฉลยแล้วว่าจะเป็นเช่นไร
คุณ Auuuu สวัสดีตอนบ่ายค่ะ คราวหลังเปลี่ยนเวลาไหมคะ อ่านตอนกลางวัน อากาศร้อนๆ จะได้เย็นลง หุๆๆ
คุณเพลา อยากสปอย แต่อุบไว้ก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวตอนต่อไปก็เฉลยแล้วว่าจะเป็นเช่นไร
![](/images/icons/593.jpg)
![](/images/icons/1568.jpg)
นิชาภา 13 ก.พ. 2555, 21:00:32 น.
คุณ Neferretti ป้าเภนี่เอานิสัยมาจากคนรู้จักอ่ะค่ะ แต่ว่าใส่ให้มันดูจิตกว่าปกติหน่อย ^O^
คุณ Neferretti ป้าเภนี่เอานิสัยมาจากคนรู้จักอ่ะค่ะ แต่ว่าใส่ให้มันดูจิตกว่าปกติหน่อย ^O^
![](/images/icons/650.jpg)
wane 14 ก.พ. 2555, 01:32:27 น.
เพื่อนสีขาว จะโกรธอาติทำไมหล่ะ .. ตัวเองก้อตามวินเค้าไปด้วยซิ
เพื่อนสีขาว จะโกรธอาติทำไมหล่ะ .. ตัวเองก้อตามวินเค้าไปด้วยซิ
![](/images/icons/1568.jpg)
นิชาภา 14 ก.พ. 2555, 13:36:31 น.
คุณ Wane เพื่อนสีขาวตามไปไม่ได้ค่ะ มีเฉลยในบทถัดไป ^O^
คุณ Wane เพื่อนสีขาวตามไปไม่ได้ค่ะ มีเฉลยในบทถัดไป ^O^