กฤตยามหาภูต โดย ตารกา (รอวางแผง)
"มหาสงครามแห่งเทพและอสูรกำลังจะอุบัติขึ้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือใช้ศิวะตรีศูล อาวุธเทพในตำนาน ผู้เดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดคือเธอ เทวีแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งกลับมาจุติใหม่โดยไร้ความทรงจำในอดีตชาติ"



เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ

ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)

แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)

บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่

ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป

หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^

Tags: แฟนตาซี ผจญภัย เทพ เทวี ปีศาจ วรรณกรรมเยาวชน ความรัก ปริศนา อดีตชาติ

ตอน: ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 5 พลังที่ซ่อนเร้น

บทที่ 5 พลังที่ซ่อนเร้น

วันนี้แสงแดดร้อนแรงของเดือนเมษายนถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆสีเทาครึ้ม กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าวันนี้จะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบปี เห็นทีจะพยากรณ์พลาดไปเสียแล้ว ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้เชื่อสิว่าไม่เกินสองชั่วโมงเมืองทั้งเมืองจะถูกชะล้างด้วยสายฝนเย็นฉ่ำ

“ดูท่าทางฝนจะตกหนัก ฟ้ารีบไปเถอะลูกเดี๋ยวจะเปียกเอา” ทิพย์อาภาเตือนเมื่อเห็นบุตรสาวยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต่าง

ทุกครั้งที่จะเกิดพายุวิชชุตามักมีอาการแบบนี้นี้เสมอ เอาแต่เหม่อมองท้องฟ้าเหมือนกับกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง

“ค่ะแม่ ถ้าฝนตกก็ดีสิคะ ร้อนจะแย่” หญิงสาวเปรยก่อนจะหอบอุปกรณ์การสอนเดินไปที่รถ

วิชชุตาชอบวันฝนตกเสียเหลือเกิน เธอบอกใครๆ ว่าชอบเวลาที่หยดน้ำโปรยปรายลงมาจากฟ้าแต่ก็ไม่เคยบอกเหตุผลที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในใจว่าเธอนั้นหลงรักสายฟ้าเสียยิ่งกว่าสายฝน

เธอไม่เคยร้องไห้กระจองอแงหรือร้องวี้ดว้ายเวลาได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเลยสักครั้ง ในทางตรงกันข้ามวิชชุตากลับชื่นชอบเจ้าสายไฟสีขาวที่แล่นแปลบปลาบเหล่านั้นเป็นพิเศษ ยิ่งเป็นฟ้าผ่าเธอยิ่งถูกใจใหญ่ ได้พบเห็นคราใดเลือดในกายมักจะสูบฉีดแรง รู้สึกฮึกเหิมราวกับว่าสายฟ้าเหล่านั้นคืออิทธิฤทธิ์ที่เธอแสดงออกมาให้ผู้คนประจักษ์ถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่

หญิงสาวมองท้องฟ้าอีกครั้งก่อนเอารถจักรยานยนต์บึ่งออกไปจากบ้าน ใจภาวนาให้ไปถึงบ้านที่สอนพิเศษก่อนที่สายฟ้าเส้นสวยๆ จะฟาดลงมา เธอจะได้ยืนมองมันในร่มอย่างสบายใจโดยไม่ต้องพะวงว่าตัวจะเปียก

สายลมเย็นที่มาปะทะร่างขณะที่รถจักรยานยนต์เคลื่อนไปบนผิวถนนทวีความแรงขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับเมฆดำที่ขยายอิทธิพลแผ่ออกเต็มท้องฟ้า ถึงที่หมายไม่ทันไรฝนก็ตกหนักชนิดไม่ลืมหูลืมตา ถ้าแม่ไม่เตือนให้มาก่อนเวลาป่านนี้เธอคงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำไปแล้ว

เข้าไปในบ้านลูกศิษย์ตัวน้อยก็มาขอเลื่อนไปเรียนตอนบ่ายเพราะจะต้องออกไปข้างนอกกับป้า หญิงสาวเลยนั่งมองฟ้าผ่าอย่างสบายใจไปตลอดช่วงเช้า

ฝนหยุดตกในช่วงที่วิชชุตาเริ่มสอนพอดี แล้วก็มาตกอีกรอบตอนสอนเสร็จ ราวกับว่าเธอถูกฟ้าฝนกลั่นแกล้งไม่ให้กลับบ้านอย่างไรอย่างนั้น

น้อยให้วิชชุตามานั่งรอให้ฝนซาเม็ดที่ห้องรับแขกด้านล่าง แล้วเตรียมคุกกี้กับเค้กมาให้จานใหญ่ ฝนตกหนักแบบนี้เธอคงฝืนขับรถกลับไม่ไหว เสียดายว่าด้านนอกมีแต่เม็ดฝนไม่มีสายฟ้าให้ดูเล่นเลย การรอคอยให้ฝนหยุดตกจึงค่อนข้างน่าเบื่อ

หญิงสาวกวาดตามองไปรอบตัว เวลากลางวันบรรยากาศที่นี่ก็วังเวงน่ากลัวอยู่แล้ว พอครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็ยิ่งน่ากลัวไปกันใหญ่ เหมาะจะใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์สยองขวัญเป็นที่สุด

วิชชุตาโทรไปบอกมารดาว่าจะกลับมืดหน่อย ถ้าค่ำแล้วฝนยังไม่ซาเธอจะโทรไปขอให้ไตรภพช่วยขับรถมารับกลับบ้าน จากนั้นก็นั่งเล็มคุกกี้ไปเล่นเกมในมือถือไป

นั่งอยู่เพลินๆ หญิงสาวก็ได้ยินฝีเท้าคนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ วิชชุตาหันขวับไปมองที่ประตูทันที ในใจภาวนาให้เป็นน้อยไม่ใช่เจ้าของบ้าน ให้เจอคุณเภตรากับฝ่าพายุออกไป เธอเลือกอย่างหลังดีกว่า

คนที่เดินมาไม่ใช่เภตราหรือน้อยแต่กลับเป็นอติรัฐ เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านประตูห้องไป ดูรีบร้อนผิดกับทุกครั้งที่เจอ เท่าที่สังเกตอติรัฐเป็นคนค่อนข้างใจเย็นทำอะไรละเอียดไม่รีบร้อน การเดินหรือวิ่งเร็วๆ จึงไม่น่าจะใช่วิสัยของเขา

ชายหนุ่มเดินผ่านไปได้ไม่กี่อึดใจ กลุ่มหมอกสีขาวรูปร่างเหมือนมนุษย์ก็ลอยตามไปติดๆ ดูเหมือนว่าเจ้ากลุ่มหมอกกำลังไล่ตามเขาอยู่

ตามงั้นเหรอ! มันจะตามเขาทำไมกัน

ลางสังหรณ์บอกให้วิชชุตารีบตามเจ้ากลุ่มหมอกนั่นไป หญิงสาววิ่งมาจนเกือบจะถึงบันไดก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าเจ้ากลุ่มหมอกกำลังตรงรี่เข้าไปประชิดตัวอติรัฐ มันใช้ส่วนที่คล้ายมือยึดขาของเขาไว้ข้างหนึ่งแล้วออกแรงกระชาก

“ระวังค่ะ!” วิชชุตาร้องลั่น

ทว่าสายไปเสียแล้ว อติรัฐเสียหลักลื่นตกบันไดลงมาหลายขั้น โชคดีที่เขาคว้าราวบันไดไว้ได้ทันจึงไม่กลิ้งตกลงมาด้านล่าง

เจ้ากลุ่มหมอกจึงเพิ่มแรงดึงที่ข้อเท้าด้วยหวังจะให้เขาตกลงมาจากบันไดสูงชัน

“หยุดนะ!”

หญิงสาววิ่งเข้าไปหากลุ่มหมอกแล้วพยายามแกะมือมันออก ร่างของมันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง กว่าจะทำให้มันยอมคลายมือได้ มือของเธอก็ทั้งแสบทั้งแดงเพราะฤทธิ์ความเย็น

เจ้ากลุ่มหมอกมองวิชชุตาด้วยสายตาโกรธจัด มันพุ่งตรงเข้าหาคนที่ขัดขวางมันแล้วผลักหญิงสาวให้ถอยออกห่าง วิชชุตาระวังตัวอยู่แล้วจึงแค่เซล้มไม่ได้ตกบันไดไป

“ตัวอะไรน่ะ”

อติรัฐอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าสิ่งที่กำลังเล่นงานเขาเป็นกลุ่มหมอกรูปคน ไอเย็นจากร่างมันทำเขารู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง

“อย่าพาวินไป” เสียงแหลมเล็กของมันประกาศก้อง แล้วมันก็ยื่นมือไปบีบคอคนที่จะพรากเพื่อนรักของมันไปเต็มแรง

ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนต่อสู้ ทว่ามือเย็นจัดคู่นั้นเสมือนกับคีมเหล็ก ไม่ว่าจะออกแรงสักปานใดก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้ เขาเริ่มอ่อนแรงลงทุกขณะ กลิ่นอับชื้นฉุนจมูกจากตัวมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ควบคุมร่างกายไม่ได้ดั่งใจ ยิ่งหายใจสูดกลิ่นนี่ก็เข้าไปก็ยิ่งรู้สึกวิงเวียนเหมือนสูดควันไฟเข้าไปเต็มปอด

ในขณะที่อติรัฐกำลังแย่ วิชชุตาก็พยุงตัวเองลุกขึ้นยืน เธอละล้าละลังอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาอย่างไรดี เธอนึกถึงแม่ นึกถึงบทสวดมนต์ที่เคยได้เรียนมา นึกถึงพระสงฆ์องค์เจ้าที่เคยกราบไหว้

ใช่แล้วพระ! เธอมีพระอยู่กับตัวนี่นา

หญิงสาวรีบถอดสร้อยพระที่สวมอยู่ออกแล้วยกมือไหว้ขอพร ก่อนจะนำไปคล้องคอกลุ่มหมอกเอาไว้

มันกรีดร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด แล้วร่างของมันก็อันตรธานหายไปพร้อมสายตาอาฆาตที่มองมายังวิชชุตา

อติรัฐทรุดลงนั่งเมื่อได้รับการช่วยเหลือ เขาไอออกมาเสียงดังอย่างทรมาน ชายหนุ่มหอบหายใจแรงๆ แล้วพิงตัวกับราวบันไดอย่างไร้เรี่ยวแรง

“คุณเป็นอะไรมากไหมคะ” วิชชุตาถามอย่างเป็นห่วง

เธอฟกช้ำแค่นิดหน่อยแต่เขาสิแย่ ท่าทางจะเจ็บมาก ที่ลำคอมีรอยแดงเป็นรูปมือชัดเจน จะว่าไปรอยมันก็ไม่ใหญ่มาก เล็กกว่ามือเธอด้วยซ้ำ เหมือนรอยมือของเด็กอายุประมาณวิน

“ผะ…ผม ไม่เป็นไร คุณเห็นอย่างที่ผมเห็นใช่ไหม”

หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ เธอเข้าใจดีว่าเขารู้สึกอย่างไร คงตกใจ หวาดกลัวและสับสน เธอเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกันในช่วงแรกๆ ที่เห็นวิญญาณ

“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”

ชายหนุ่มนิ่งไปนานกว่าจะพูดคำนี้ออกมาได้ เขามัวแต่ตระหนกกับสิ่งที่เพิ่งพบเจอมาจนสติสัมปชัญญะกระเจิดกระเจิงหนีหายไปหมด

“ฉันไม่ได้ช่วยอะไรคุณมากมายหรอกค่ะ พระท่านต่างหากที่ช่วยคุ้มครอง” หญิงสาวว่าแล้วก้มลงไปเก็บพระจากพื้นมาส่งให้ชายหนุ่ม “คุณเก็บติดตัวไว้เถอะค่ะ มันจ้องทำร้ายคุณไม่ใช่ฉัน”

ชายหนุ่มยกมือไหว้พระก่อนจะรับมาคล้องคอไว้ตามคำสั่งของหญิงสาว

“มันตัวอะไรกันแน่ครับ ผีหรืออะไร”

“ฉันก็ไม่แน่ใจค่ะแต่ท่าทางจะเป็นอย่างที่คุณเข้าใจ”

“คุณเอาพระมาให้ผมแล้วคุณล่ะ ไม่กลัวเหรอ” ชายหนุ่มเพิ่งมาฉุกคิดหลังจากรับไปคล้องคอตัวเองนี่เองว่าถ้าเธอให้เขาแล้วเธอจะเอาอะไรคุ้มครองตัว

“ฉันเคยเห็นมันในห้องวินมาหลายครั้งแล้วแต่มันไม่เคยทำร้ายฉันสักที คิดว่าคงไม่เป็นไรค่ะ” วิชชุตากัดฟันพูด

เธอมัวแต่ห่วงคนอื่นจนลืมนึกถึงตัวเอง จะรับคืนมันก็น่าเกลียดก็เลยทำเป็นว่าไม่กลัว

“วิน...ใช่แล้วครับ! มันห้ามผมยุ่งกับวิน คุณพอจะรู้ไหมว่าทำไม”

“ไม่รู้สิคะ ฉันว่า…เรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”

เจอแบบนี้เข้าวิชชุตาขอบอกลาที่นี่ชั่วชีวิตและจะไม่ขอมาเหยียบอีกเป็นอันขาด

“งั้นไปรับวินกันครับ ผมเองก็ไม่อยากปล่อยให้หลานอยู่ในที่แบบนี้นานๆ” ชายหนุ่มเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดๆ แล้วเดินนำลิ่วไปที่ห้องของหลานชาย

“คุณเภตราเธอไม่ว่าอะไรเหรอคะ”

หญิงสาวเอ่ยถามขณะสาวเท้าตามมา เธอสังหรณ์ใจว่าเภตราคงไม่ยอมให้วินไปกับอติรัฐแน่

“ไม่ว่าครับ พี่เภตราอนุญาตแล้ว” ชายหนุ่มพูดสั้นๆ โดยไม่บอกรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม ปล่อยให้คนฟังแปลกใจอยู่อย่างนั้น


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ณ ห้องนอนใหญ่ประจำคฤหาสน์ กระจกกรอบทองบ้านโตที่โต๊ะเครื่องแป้งกำลังสะท้อนเงาของหญิงสาววัยกลางคนหน้าตาสวยแต่บูดบึ้งเพราะแรงโทสะ สีหน้าอันขัดเคืองนี้เกิดขึ้นเมื่อเภตรานึกย้อนถึงวินาทีที่อติรัฐก้าวเข้ามาในห้อง เพื่อขอหลานชายคนเดียวของเธอไปอยู่ด้วย

‘พี่เภตราครับ ผมอยากจะให้วินไปอยู่กับผม ผมทนไม่ไหวแล้วนะครับพี่ พี่เห็นรึเปล่าว่าวินมีปัญหาหนัก เขาต้องการคนดูแล ไม่ใช่เลี้ยงแบบผิดๆ เอะอะอะไรก็ให้ข้าวของ แล้วก็เอาแต่ตำหนิคนอื่น’ ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง

‘ฉันมีวิธีการเลี้ยงหลานในแบบของฉัน คนอย่างเธอไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์’ เภตราพูดเสียงเข้ม

เธอรู้ดีว่าคนอย่างอติรัฐเถียงเธอได้ไม่เกินสามประโยคหรอก หากแต่ครั้งนี้ดูจะแตกต่างจากทุกครา อติรัฐเหมือนเป็นอีกคนเพราะกล้าตำหนิเธอออกมาตรงๆ

‘พี่เภตราเป็นแบบนี้น่ะสิครับ ชอบเอาแต่ความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่’

จากนั้นชายหนุ่มก็พร่ำพูดสิ่งที่ฟังไม่เข้าหูออกมามากมายจนคนฟังคนไม่ไหว

‘ออกไปเดี๋ยวนี้ แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก ออกไป!’ หญิงสาวชี้นิ้วไล่ด้วยความโกรธ ชั่วชีวิตนี้ไม่มีใครกล้ามาตำหนิเธอด้วยถ้อยคำร้ายแรงอย่างนี้มาก่อน

‘ผมไปแน่ครับ แต่จะไปพร้อมกับวิน ผมไม่ปล่อยให้วินอยู่กับฆาตกรฆ่าคนตายอย่างคุณหรอก’

‘ฆ่าคนตาย…หมายความว่ายังไง กะ…แก เอาอะไรมาพูด’

ใบหน้าถอดสีของเภตราทำให้อติรัฐได้รู้ว่าเรื่องนี้มีมูลความจริงอยู่ เพื่อนรุ่นพี่ของเขาเล่าว่าเภตราเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมแม่เลี้ยงตัวเอง เรื่องราวที่ได้ฟังมาคือใครๆ ต่างก็สงสัยว่าเภตราคือฆาตกรแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด เมื่อไม่มีพยานหลักฐานสุดท้ายมันก็เป็นแค่อุบัติเหตุ

‘ไม่มีใครคิดจะฟื้นคดีขึ้นมาทำใหม่เหรอครับพี่ ในเมื่อมันจบแบบคลุมเครือออกอย่างนั้น’ เขาพูดลอยๆ ออกมาทันทีที่ได้ฟังเรื่องนี้

ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าคำพูดของเขาจุดประกายให้เพื่อนคิดจะรื้อคดีนี้ขึ้นมาทำใหม่

หลายเดือนผ่านไปเขาก็พบเพื่อนคนนั้นอีกครั้ง อีกฝ่ายบอกว่าพบคนที่เห็นเหตุการณ์วันที่เกิดเรื่องแล้ว เขาไปตามหาคนที่น่าจะพอให้ข้อมูลได้ ไม่คิดเลยว่าพอไปถึงอีกฝ่ายจะตกใจจนเข่าอ่อน ยอมเล่าเรื่องราวที่ได้พบเห็นมาให้ฟังทั้งหมด ชายคนนั้นบอกว่าเภตราฆ่าคนตาย จริงเท็จแค่ไหนคงต้องหาหลักฐานอีกทีแต่โอกาสที่จะได้พบหลักฐานมีน้อยมากจนแทบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว

การโต้เถียงทำให้คุณอติรัฐหลุดปากพูดออกไปโดยไม่ตั้งใจ ปฏิกิริยาของเภตราทำให้ชายหนุ่มกล้าลองเสี่ยงใช้เรื่องนี้มาเป็นตัวบังคับให้ยอมให้วินไปอยู่กับเขา

เภตราต้องกัดฟันทำตามข้อเรียกร้องของอติรัฐ อารามตกใจทำให้เธอลืมคิดไปว่าสิ่งที่ทำลงไปคือการยอมรับว่าเป็นฆาตกร

หญิงสาวรู้สึกโกรธจนแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ มือเรียวกำแน่นจนเล็บสีสดจิกลงไปในเนื้อ อติรัฐกล้าดีอย่างไรถึงได้เอาเรื่องของนางนั่นมาข่มขู่ สิบแปดปีแล้วที่คดีปิดลง เหลือเพียงปีเศษเท่านั้นคดีจะหมดอายุความ ถ้าถึงเวลานั้นถึงความลับจะเปิดเผยก็ไม่มีใครสามารถเอาตัวเธอไปลงโทษได้ เธอสู้อุตส่าห์ปิดปากไอ้หมายด้วยเงินก้อนโต ให้มันหลบลี้ผู้คนไปอาศัยอยู่แถวชายแดน อติรัฐยังสู้อุตส่าห์ไปสืบไปค้นหาเอามันมาเป็นพยานจนได้

หญิงสาวทิ้งตัวลงกับเตียงแรงๆ อย่างขัดใจ ในสมองมีเรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนวนเวียนอยู่ ภาพในคืนนั้นฝังแน่นในความทรงจำอย่างไม่รู้ลืม วันที่เกิดเรื่องเป็นวันที่สามของงานศพพ่อ เมื่อไม่มีพ่อก็ไม่มีใครสามารถขวางเธอได้อีกต่อไป นางรำไพต้องถูกกำจัด

เธอแอบส่งจดหมายไปให้รำไพออกมาเจอกันที่ท่าน้ำ โดยใช้ชื่อชู้รักของมันเรียกมันมาแล้วผลักมันตกน้ำ รำไพร้องอ้อนวอนให้ช่วยด้วยสีหน้าน่าเวทนาอย่างที่สุด แทนที่จะช่วยเธอกลับใช้ไม้ยันไม่ให้มันตะกายขึ้นมาได้ เธอยืนดูจุดจบของแม่เลี้ยงด้วยความสะใจ ความตายเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วสำหรับความทะเยอทะยานของมัน ขี้ข้าอย่างมันไม่สมควรจะมาแทนที่แม่ ไม่สมควรจะถูกยกย่องให้เป็นเมียพ่อและได้สมบัติที่ควรจะเป็นของเธอกับน้องแม้แต่สตางค์แดงเดียว

เภตรายิ้มหยันให้กับความตายของเสี้ยนหนาม ก่อนกลับไปในงานแกล้งบีบน้ำตาเสียหน่อย ภาพิมลกับใครๆ คงเข้าใจว่าเธอแอบมาร้องไห้ แล้วทันใดนั้นเองหญิงสาวก็ได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวดังสวบสาบอยู่หลังพุ่มไม้ทำให้เธอหันหลังกลับ

‘ใครออกมาเดี๋ยวนี้’ หญิงสาวแผดเสียงสั่ง

ร่างสันทัดของนายหมายคนสวนค่อยๆ โผล่ออกมาจากดงไม้ด้วยอาการลนลาน หน้ามันซีดเผือด

‘ผมบ่ฮู้บ่เห็นอะหยังเลยคับคุณหนู บ่เห็นอะหยังซักอย่าง’ ตัวมันสั่นไปทั้งตัวตอนพูดกับเธอ

‘แกไม่เห็นน่ะดีแล้ว เพราะถ้าแกปากโป้งเล่าให้ใครๆ ฟังแม้แต่คนเดียว แกจะต้องติดคุกไปด้วย ฉันจะบอกตำรวจว่าแกฆ่านังรำไพ’

เธอขู่มันจนกลัวลาน ให้เงินปิดปากแล้วสั่งให้มันหายไปอย่างเงียบๆ ใครจะคิดว่าสิบกว่าปีผ่านไปมันจะย้อนรอยมาทำร้ายเธอได้

เธอไม่รู้ว่าทางนั้นมีหลักฐานอะไรแค่ไหน ตอนนี้ต้องแกล้งยอมอติรัฐไปก่อน ปล่อยให้ได้ใจไปอีกสักพักก็แล้วกัน หาทางจัดการปิดปากไอ้หมายได้เมื่อไร คราวนี้ก็เป็นทีของเธอบ้าง เธอเสียน้องไปคนหนึ่งแล้ว อย่าหวังเลยว่าใครจะมากพรากหลานชายไปจากเธอได้

หญิงสาวเหวี่ยงข้าวของทิ้งเพื่อระบายโทสะ ยังไม่หายโกรธดีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ของน้อย

“คุณผู้หญิงคะคุณวินหายไปค่ะ” เสียงน้อยร้องลั่นอยู่หน้าประตูห้อง

เภตราสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ทำสีหน้าให้เป็นปกติแล้วค่อยผลักประตูออกไป

“เอะอะอะไรกัน ฉันเองแหละที่อนุญาตให้วินไปค้างบ้านอาเขา”

“ไม่ใช่ค่ะ คุณหนูไม่ได้ไปกับคุณอา คุณหนูหายไปค่ะ ตอนนี้คุณติกับคุณฟ้าช่วยกันหาอยู่”

ตอนเย็นเธอตั้งใจจะไปเก็บถาดอาหารในห้องของคุณหนูวินแต่ได้ยินเสียงเอะอะเสียก่อนเลยไปดู ปรากฏว่าคุณอติรัฐตกบันได เธอเลยวิ่งไปบอกคุณวินทว่ากลับไม่พบคุณหนูอยู่ในห้อง คุณหนูแทบไม่เคยออกจากห้องไปไหน เธอสังหรณ์ไม่ดีก็เลยวิ่งตามหาจนทั่วแต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ

“ตาวินอาจจะอยู่ในห้องน้ำหรือชั้นล่างก็ได้ แกหาไม่ดีเองมากกว่า”

“ไม่ใช่นะคะน้อยหาดีแล้ว”

“แน่ใจเหรอว่าดีแล้ว”

พอถูกนายจ้างถามเสียงเข้ม น้อยเลยหน้าเจื่อนลงแล้วตอบกลับไปเสียงอ่อย

“เอ่อ…คือ ไม่แน่ใจค่ะ”

“ไม่แน่ใจก็รีบไปหาสิ” เภตราแผดเสียงลั่นห้อง

น้อยเลยต้องรีบออกจากห้องนั้นก่อนที่จะเจอพายุอารมณ์จากนายจ้างมากกว่านี้ คุณเภตราดูอารมณ์ไม่ค่อยดี อยู่ห่างไว้จะดีกว่า


ในขณะที่ทุกคนวุ่นวายตามหา วินกลับไม่ได้หายไปไหน เด็กชายยังคงนั่งอยู่ในห้องแต่โดนกลุ่มหมอกบังตาเอาไว้เท่านั้น อิทธิฤทธิ์ของพระเครื่องมีไว้เพื่อปกป้องผู้ที่เคารพบูชาจากสิ่งเลวร้ายไม่ใช่มีไว้เพื่อทำลาย ดังนั้นเจ้ากลุ่มหมอกจึงยังไม่สูญสลาย มันแค่ปวดแสบปวดร้อนเท่านั้น ไม่นานก็หายและกลับมาปรากฏตัวได้อีกครั้ง

เสียงโวยวายว่าอาติตกบันไดกับคำว่าตัวประหลาดสีขาวทำให้เด็กชายทราบในทันทีว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นฝีมือเพื่อนของตน

“นายทำร้ายอาติทำไม” วินพูดกับเพื่อนสีขาวด้วยความไปพอใจ

พอเห็นว่าเพื่อนไม่โต้เถียงเด็กชายจึงย้ำถึงสิ่งที่กลุ่มหมอกเคยให้สัญญา

“นายสัญญาแล้วนี่ว่าจะไม่ทำอะไรคนในบ้านกับอาติ”

“เขาจะพานายไป ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว” เจ้ากลุ่มหมอกสารภาพกับวินด้วยสีหน้าสลด

“นายก็ไปกับฉันสิ ไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกัน บ้านอาติไม่ใหญ่เท่านี้ก็จริงแต่รับรองว่าสนุก”

เด็กชายรู้ว่าเพื่อนไม่ชอบความร้อนกับแสงแดด เขาจะขอร้องอาติให้ติดม่านทึบๆ ไว้ในห้อง แล้วก็จะเปิดแอร์เย็นๆ ให้เพื่อนอยู่อย่างสบายทั้งวัน

“ฉันไปไหนไม่ได้ ฉันออกจากที่นี่ไม่ได้” เจ้ากลุ่มหมอกคร่ำครวญ

เดิมทีมันเป็นวิญญาณของเด็กกำพร้าที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้ บ่มเพาะความเหงาความเศร้าเอาไว้ในใจทุกวันจนเกิดเป็นพลังทำให้สามารถมีรูปร่างขึ้นมาได้ วิญญาณจึงผูกพันกับที่นี่ไม่สามารถไปเกิดใหม่หรือออกไปนอกอาณาเขตบ้าน

“งั้นฉันจะมาเยี่ยมนายบ่อยๆ ดีไหม” เด็กชายเสนอ

เขาอยากอยู่กับอาติก็จริงแต่ก็สงสารเพื่อนคนนี้อยู่ไม่น้อย เขาตั้งใจว่าถ้ามาเยี่ยมป้าเมื่อไรก็จะแวะมาเยี่ยมเพื่อนด้วย

“นายจะทิ้งฉันไปงั้นเหรอ จะทิ้งฉันไปเหมือนทุกคนใช่ไหม” เจ้ากลุ่มหมอกเริ่มส่งเสียงสะอื้น

“ไม่ได้ทิ้งซักหน่อยแค่ไปอยู่กับอาติเท่านั้นเอง ก็บอกแล้วไงว่าจะมาเยี่ยมบ่อยๆ ฉันไม่ทิ้งนายหรอก” วินปลอบ

เด็กชายเริ่มรู้สึกลำบากใจกับท่าทีของเพื่อน วินผูกพันกับเจ้ากลุ่มหมอกมาก เวลาไม่มีใครเขาก็มีแต่เพื่อนคนนี้ที่คอยอยู่เคียงข้าง

“นายจะไปจริงๆ เหรอ” มันกลั้นสะอื้นถาม

“อืม” ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากอยู่กับอาติมากกว่าป้าอยู่ดี

เจ้ากลุ่มหมอกก้มหน้างุดอยู่นาน มันไม่อยากจะให้วินทิ้งมันไปแม้แต่วินาทีเดียว มันควรจะทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้วินจากไป มันกลั้นสะอื้นแล้วใช้ความคิดอย่างหนัก ในที่สุดมันก็เงยหน้าขึ้นมามองเด็กชายด้วยดวงตาวาววับ มันนึกวิธีที่จะทำให้เพื่อนคนนี้อยู่กับมันตลอดกาลออกแล้ว ‘ความตายไงล่ะ’


เมื่อตามหาวินไม่พบวิชชุตาก็โพล่งออกมาทันทีว่าเด็กชายกำลังตกอยู่ในอันตราย ลางสังหรณ์บอกให้เธอเร่งตามหาเด็กชายให้เร็วที่สุด

“เป็นไปได้นะคะว่าตอนนี้วินจะอยู่กับกลุ่มหมอกที่ทำร้ายคุณ”

น้ำเสียงร้อนใจของวิชชุตาทำอติรัฐร้อนใจตามไปด้วย ชายหนุ่มสั่งน้อยให้ไปหาที่ชั้นบน เขาจะรับหน้าที่ตามหาที่ชั้นล่าง ส่วนวิชชุตาให้ไปดูที่ครัวและสระน้ำหลังบ้าน

ทันทีที่หญิงสาวแยกจากทุกคนทางเดินคุ้นตาก็เริ่มเปลี่ยนสภาพไปจากที่เคย วิชชุตาหลงวนกลับมาที่เก่าอีกหลายครั้ง ตอนที่มาบ้านหลังนี้ครั้งแรกเธอก็เคยหลงแบบนี้ครั้งหนึ่ง มันต้องเป็นฝีมือมือเจ้ากลุ่มหมอกนั่นแน่

หญิงสาวลองหลับทำสมาธิดูเผื่อว่าจะช่วยได้ ทุกครั้งที่เธอหลับตาแล้วสูดหายใจลึกๆ ทำใจให้สงบทีไร อะไรๆ มันก็ดีขึ้นเกือบทุกครั้ง

พอลืมตาจากทางเดินสีน้ำเงินเข้มวิชชุตากลับมาอยู่ในห้องครัว หญิงสาวถอนใจด้วยความโล่งอกเมื่อสิ่งที่อยู่รอบตัวเริ่มคุ้นตา ออกจากห้องครัวมาก็เป็นห้องรับประทานอาหารที่เธอใช้ประจำ หญิงสาวมองไปที่รูปของเภตรากับภาพิมลแล้วเริ่มอธิษฐานออกมาดังๆ

“คุณภาพิมลคะ ถ้าคุณยังอยู่ใกล้ๆ วินยังไม่ไปไหน ได้โปรดช่วยวินด้วยเถอะค่ะ วินกำลังตกอยู่ในอันตราย”

หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวขอร้องให้วิญญาณของภาพิมลช่วย ทีวิญญาณของยายเล็กยังมีได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับวิญญาณแม่ของวิน

พร้อมกันนั้นวิชชุตาได้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่เธอเคารพนับถือ อ้อนวอนขอให้เธอเจอวิน ก่อนที่เด็กชายจะเป็นอันตราย

ฉับพลันก็มีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง มันผ่าลงมาไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่วิชชุตายืนอยู่นัก ผลจากฟ้าผ่าทำให้ไฟในบ้านดับทั้งหลัง

วิชชุตาสะดุ้งเฮือกเมื่อไฟดับ เธอถอยหลังมาชิดกับผนังแล้วเหลียวมองรอบตัวด้วยความหวาดระแวง เมื่อปรับสายตาได้ภาพเบื้องหน้าที่เธอเห็นผ่านประตูกระจกคือวินกำลังเดินตรงไปที่ท่าน้ำโดยมีเจ้ากลุ่มหมอกสีขาวเดินนำ

“วิน อย่าไปนะ!” หญิงสาวตะโกนเตือนจากหน้าต่าง

เด็กชายไม่แม้แต่จะหันมามอง มีเพียงเจ้ากลุ่มหมอกเท่านั้นที่หยุดชะงัก

“วินจะไม่ไปไหน วินจะอยู่กับฉันที่นี่ตลอดไป” เสียงแหลมเล็กของมันดังก้องไปทั้งห้อง สิ้นเสียงประตูหน้าต่างที่เปิดไว้ก็ปิดตัวลง ไม่ว่าวิชชุตาจะพยายามเปิดมันออกอย่างไรก็ทำไม่ได้ หญิงสาวตัดสินใจทุบกระจกโดยการเหวี่ยงเก้าอี้ไปที่หน้าต่าง ทว่าไร้ผล แม้แต่รอยขีดข่วนสักนิดก็ยังไม่มี เก้าอี้เสียอีกที่เป็นรอยถลอก

“คุณภาพิมลค่ะ ช่วยฉันอีกครั้งได้ไหม ให้ฉันออกไปที ได้โปรดเถอะค่ะ เปิดประตูที คุณอย่าใจร้ายเลยนะคะ วินยังเด็ก แกยังไม่สมควรตายตอนนี้” หญิงสาวลองอ้อนวอน

คราวนี้ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้ง ประตูหน้าต่างยังไม่ยอมขยับทั้งที่พยายามใช้สิ่งของทุบมันเต็มแรง

“เปิดประตูสิ เปิดประตู!” วิชชุตาตะโกนสั่ง

ทันใดนั้นเองแสงสีฟ้าก็เปล่งออกมาจากข้อมือหญิงสาววูบหนึ่ง แล้วประตูห้องที่ปิดสนิทก็เปิดออก เธอมัวแต่ห่วงวินจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นแสงนี้ เช่นเดียวกับตอนที่สายฟ้าจะผ่าลงมาวารัคคนีก็เปล่งแสงอีกเช่นกัน

วิชชุตาวิ่งฝ่าสายฝนออกไปข้างนอก เธอปราดเข้าไปดึงตัวเด็กชายเอาไว้แน่น

“วินอย่าไป กลับเข้าบ้านเร็ว”

วินชะงักเท้าแต่ก็ไม่ขยับเคลื่อนไหว ดวงตาเด็กชายหรี่ปรือเหมือนคนกำลังถูกสะกดจิต เธอร้องตะโกนเท่าใดเด็กชายก็ไม่ยอมรับรู้

“ถอยไป” มือสีขาวพุ่งเข้ามาผลักวิชชุตาจนกระเด็น

ตัวหญิงสาวกระแทกกับพื้นปูนอย่างแรง แต่วิชชุตาก็ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ได้รับ หญิงสาวฝืนยันตัวลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าวินกำลังจะก้าวลงบันไดท่าน้ำ

เธอวิ่งตามไปอย่างกระชั้นแล้วเอาตัวเข้าไปขวางระหว่างวินกับกลุ่มหมอกได้ทัน ก่อนที่เด็กชายจะก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย

เจ้ากลุ่มหมอกมองวิชชุตาตาเขียวแล้วตรงดิ่งเข้ามาหา ยิ่งมันเข้ามาใกล้มากเท่าไรอุณหภูมิรอบตัวก็ยิ่งลดต่ำลงเท่านั้น จนวิชชุตารู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่ในตู้แช่แข็งขนาดใหญ่

เร็วเท่าความคิดหญิงสาวตัดสินใจอุ้มวินหนี ทว่าขึ้นบันไดมายังไม่พ้นเธอก็ลื่นล้มลงเพราะถูกมือสีขาวของเจ้ากลุ่มหมอกคว้าข้อเท้าเอาไว้ มันกระชากหญิงสาวเต็มแรง ส่งผลให้วิชชุตาล้มกลิ้งลงมาอยู่ตรงจุดที่หนีมา ส่วนวินที่ล้มไปพร้อมกันกำลังลุกขึ้นตามคำสั่งของเจ้ากลุ่มหมอก แล้วเดินกลับลงมาที่ท่าน้ำอีกหน

วิชชุตาพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องทรุดลงไปอีกครั้งเพราะอาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ท่าทางเท้าเธอจะแพลงเสียแล้ว

“วินตื่นเร็ว หนีไป” เธอร้องบอกแข่งกับเสียงสายฝนที่กระหน่ำลงมา

วินเปียกปอนไปทั้งตัวทว่าดวงตายังคงไร้ความรู้สึก เด็กชายเดินเลยวิชชุตาไป อีกเพียงสองก้าวเท่านั้นพื้นปูนแข็งๆ ก็จะกลายเป็นพื้นน้ำ

“มาเล่นกัน เดินมาตรงนี้” เจ้ากลุ่มหมอกร้องเรียกอย่างร่าเริง

“ไม่นะ ไม่!” หญิงสาวหลับตาแล้วแผดเสียงร้องดังลั่น ในจังหวะที่เท้าขวาของวินกำลังสัมผัสที่ผิวน้ำ





นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.พ. 2555, 13:41:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.พ. 2555, 13:41:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1649





<< ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 4 วิญญาณที่ท่าน้ำ   ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 6 สำแดงเดช >>
ameerahTaec 14 ก.พ. 2555, 14:41:58 น.
ตื่นเต้นดีคะ อิอิ อยากรู้ต่อแล้วว่าเป็นยังไง


ปรางขวัญ 14 ก.พ. 2555, 15:40:11 น.
ลุ้นมาก อยากรู้ว่าวิชชุตาจะช่วยวินได้มั้ย


นิชาภา 14 ก.พ. 2555, 16:01:56 น.
คุณ ameerah Taec ขอบคุณที่ติดตามค่า เรื่องนี้ลงทุกวันหรือวันเว้นวันค่ะ เป็นซีรีย์จบในตอน มี 7 ตอนค่ะ เขียนจบหมดแล้ว ถ้าอยากรู้มาตามอ่านได้วันพรุ่งนี้เที่ยงๆ บ่ายๆ ค่า

คุณปรางขวัญ อยากสปอยแต่เดี๋ยวไม่สนุก พรุ่งนี้มาตามอ่านได้นะคะ เอาลงสม่ำเสมอแน่นอน ขอบคุณที่ติดตามค่ะ


Zephyr 14 ก.พ. 2555, 17:38:24 น.
เพื่อนสีขาวนี่มุ่งร้ายซะแล้ว
ป้าเภนี่ยังจิตไม่เปลี่ยน หึหึ
ปล.เราเพิ่งไปอ่านเวบนู้นมา แบบ อ๊ากกกกกกกกกก อยากรู้ว่า นิ เป็นใคร อยากๆๆๆๆๆๆ มากๆๆๆๆๆๆ แอบคิดไว้แล้วว่า นิ จะเป็น.ภ...แต่กลัวไม่ใช่จัง ^^ กลินเลสเลยถ้าเป็นงั้นนะ - -"


นิชาภา 14 ก.พ. 2555, 17:45:23 น.
คุณ Neferretti กร๊ากกกกก อย่าจิ้นสิคะ เห็นแบบนี้เค้าเขียนนิยายวายน้า ยูริ หรือยาโยย ได้ทั้งสองอย่าง แต่รักยาโอยมากกว่า อ่านอีกเว็บตอนหน้าอ่ะค่ะ คันมือมากอยากแก้ แต่ไส้ในพิมพ์ไปเสียแล้วเลยอด ปรับอีกนิดนะ ออร่าม่วงนี่แผ่กันเลยทีเดียว อร๊างงงงงงง!!!


Zephyr 14 ก.พ. 2555, 18:42:26 น.
^^ หึหึ หุหุ เราจิ้นไปแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ มันแว้บมาๆๆๆมากๆๆๆ โดยเฉพาะถ้าเอาคำพูดของเทพเพี้ยนมาคิดนะคะ ฮ่าๆๆๆ แต่เอ วายนี่เข้าใจนะ ยูริกะยาโยยมันไม่เหมือนกันเหรอคะ
เรื่องนี้จะเป็นยูริเร้อ(นิกะฟ้า) วาย(สอง..ว ^^) ฮ่าๆๆ ไปดีก่า เดี๋ยวจะสปอยมากไป


นิชาภา 14 ก.พ. 2555, 18:48:06 น.
คุณ Neferretti เป็นอย่างที่เข้าใจเคอะ เป็นการจับคู่ที่ถูกต้อง กร๊ากกก เสียดายจริงๆ ให้ดิ้นตาย อยากเอามาตบๆ ใหม่เหลือเกิน ได้หลายคู่นะนี่ โฮกกกกกก เลือดม่วงพุ่ง


Auuuu 14 ก.พ. 2555, 20:12:05 น.
อ่านที่คุณนิชาภากับ Neferretti แล้วฮา เอิ๊กๆๆๆ แต่เราก็อยากอ่านนะ เอิ๊กๆๆ
แอบสงสัยจริงๆว่านิเป็นใคร (ในเว็บนู้น) ส่วนเว็บนี้ ตอนนี้ก็ยังหลอน แต่ลุ้นมากกว่า วิญญาณร้ายไม่รู้ซะแล้วว่าเล่นอยู๋กับใครรรรร

Happy Valentine's day ค่าาาาา ^____________^


นิชาภา 15 ก.พ. 2555, 15:37:21 น.
คุณ Auuuu สุขสันต์วันแห่งความรักเช่นกันค่ะ อีกไม่นานก็จะเฉลยแล้วค่ะว่านิเป็นใคร ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์รู้แน่ๆ ฮี่ๆ ^O^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account