กฤตยามหาภูต โดย ตารกา (รอวางแผง)
"มหาสงครามแห่งเทพและอสูรกำลังจะอุบัติขึ้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือใช้ศิวะตรีศูล อาวุธเทพในตำนาน ผู้เดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดคือเธอ เทวีแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งกลับมาจุติใหม่โดยไร้ความทรงจำในอดีตชาติ"
เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ
ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)
แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)
บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่
ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป
หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^
เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ
ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)
แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)
บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่
ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป
หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^
Tags: แฟนตาซี ผจญภัย เทพ เทวี ปีศาจ วรรณกรรมเยาวชน ความรัก ปริศนา อดีตชาติ
ตอน: ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 5 พลังที่ซ่อนเร้น
บทที่ 5 พลังที่ซ่อนเร้น
วันนี้แสงแดดร้อนแรงของเดือนเมษายนถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆสีเทาครึ้ม กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าวันนี้จะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบปี เห็นทีจะพยากรณ์พลาดไปเสียแล้ว ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้เชื่อสิว่าไม่เกินสองชั่วโมงเมืองทั้งเมืองจะถูกชะล้างด้วยสายฝนเย็นฉ่ำ
“ดูท่าทางฝนจะตกหนัก ฟ้ารีบไปเถอะลูกเดี๋ยวจะเปียกเอา” ทิพย์อาภาเตือนเมื่อเห็นบุตรสาวยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต่าง
ทุกครั้งที่จะเกิดพายุวิชชุตามักมีอาการแบบนี้นี้เสมอ เอาแต่เหม่อมองท้องฟ้าเหมือนกับกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง
“ค่ะแม่ ถ้าฝนตกก็ดีสิคะ ร้อนจะแย่” หญิงสาวเปรยก่อนจะหอบอุปกรณ์การสอนเดินไปที่รถ
วิชชุตาชอบวันฝนตกเสียเหลือเกิน เธอบอกใครๆ ว่าชอบเวลาที่หยดน้ำโปรยปรายลงมาจากฟ้าแต่ก็ไม่เคยบอกเหตุผลที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในใจว่าเธอนั้นหลงรักสายฟ้าเสียยิ่งกว่าสายฝน
เธอไม่เคยร้องไห้กระจองอแงหรือร้องวี้ดว้ายเวลาได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเลยสักครั้ง ในทางตรงกันข้ามวิชชุตากลับชื่นชอบเจ้าสายไฟสีขาวที่แล่นแปลบปลาบเหล่านั้นเป็นพิเศษ ยิ่งเป็นฟ้าผ่าเธอยิ่งถูกใจใหญ่ ได้พบเห็นคราใดเลือดในกายมักจะสูบฉีดแรง รู้สึกฮึกเหิมราวกับว่าสายฟ้าเหล่านั้นคืออิทธิฤทธิ์ที่เธอแสดงออกมาให้ผู้คนประจักษ์ถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่
หญิงสาวมองท้องฟ้าอีกครั้งก่อนเอารถจักรยานยนต์บึ่งออกไปจากบ้าน ใจภาวนาให้ไปถึงบ้านที่สอนพิเศษก่อนที่สายฟ้าเส้นสวยๆ จะฟาดลงมา เธอจะได้ยืนมองมันในร่มอย่างสบายใจโดยไม่ต้องพะวงว่าตัวจะเปียก
สายลมเย็นที่มาปะทะร่างขณะที่รถจักรยานยนต์เคลื่อนไปบนผิวถนนทวีความแรงขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับเมฆดำที่ขยายอิทธิพลแผ่ออกเต็มท้องฟ้า ถึงที่หมายไม่ทันไรฝนก็ตกหนักชนิดไม่ลืมหูลืมตา ถ้าแม่ไม่เตือนให้มาก่อนเวลาป่านนี้เธอคงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำไปแล้ว
เข้าไปในบ้านลูกศิษย์ตัวน้อยก็มาขอเลื่อนไปเรียนตอนบ่ายเพราะจะต้องออกไปข้างนอกกับป้า หญิงสาวเลยนั่งมองฟ้าผ่าอย่างสบายใจไปตลอดช่วงเช้า
ฝนหยุดตกในช่วงที่วิชชุตาเริ่มสอนพอดี แล้วก็มาตกอีกรอบตอนสอนเสร็จ ราวกับว่าเธอถูกฟ้าฝนกลั่นแกล้งไม่ให้กลับบ้านอย่างไรอย่างนั้น
น้อยให้วิชชุตามานั่งรอให้ฝนซาเม็ดที่ห้องรับแขกด้านล่าง แล้วเตรียมคุกกี้กับเค้กมาให้จานใหญ่ ฝนตกหนักแบบนี้เธอคงฝืนขับรถกลับไม่ไหว เสียดายว่าด้านนอกมีแต่เม็ดฝนไม่มีสายฟ้าให้ดูเล่นเลย การรอคอยให้ฝนหยุดตกจึงค่อนข้างน่าเบื่อ
หญิงสาวกวาดตามองไปรอบตัว เวลากลางวันบรรยากาศที่นี่ก็วังเวงน่ากลัวอยู่แล้ว พอครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็ยิ่งน่ากลัวไปกันใหญ่ เหมาะจะใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์สยองขวัญเป็นที่สุด
วิชชุตาโทรไปบอกมารดาว่าจะกลับมืดหน่อย ถ้าค่ำแล้วฝนยังไม่ซาเธอจะโทรไปขอให้ไตรภพช่วยขับรถมารับกลับบ้าน จากนั้นก็นั่งเล็มคุกกี้ไปเล่นเกมในมือถือไป
นั่งอยู่เพลินๆ หญิงสาวก็ได้ยินฝีเท้าคนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ วิชชุตาหันขวับไปมองที่ประตูทันที ในใจภาวนาให้เป็นน้อยไม่ใช่เจ้าของบ้าน ให้เจอคุณเภตรากับฝ่าพายุออกไป เธอเลือกอย่างหลังดีกว่า
คนที่เดินมาไม่ใช่เภตราหรือน้อยแต่กลับเป็นอติรัฐ เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านประตูห้องไป ดูรีบร้อนผิดกับทุกครั้งที่เจอ เท่าที่สังเกตอติรัฐเป็นคนค่อนข้างใจเย็นทำอะไรละเอียดไม่รีบร้อน การเดินหรือวิ่งเร็วๆ จึงไม่น่าจะใช่วิสัยของเขา
ชายหนุ่มเดินผ่านไปได้ไม่กี่อึดใจ กลุ่มหมอกสีขาวรูปร่างเหมือนมนุษย์ก็ลอยตามไปติดๆ ดูเหมือนว่าเจ้ากลุ่มหมอกกำลังไล่ตามเขาอยู่
ตามงั้นเหรอ! มันจะตามเขาทำไมกัน
ลางสังหรณ์บอกให้วิชชุตารีบตามเจ้ากลุ่มหมอกนั่นไป หญิงสาววิ่งมาจนเกือบจะถึงบันไดก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าเจ้ากลุ่มหมอกกำลังตรงรี่เข้าไปประชิดตัวอติรัฐ มันใช้ส่วนที่คล้ายมือยึดขาของเขาไว้ข้างหนึ่งแล้วออกแรงกระชาก
“ระวังค่ะ!” วิชชุตาร้องลั่น
ทว่าสายไปเสียแล้ว อติรัฐเสียหลักลื่นตกบันไดลงมาหลายขั้น โชคดีที่เขาคว้าราวบันไดไว้ได้ทันจึงไม่กลิ้งตกลงมาด้านล่าง
เจ้ากลุ่มหมอกจึงเพิ่มแรงดึงที่ข้อเท้าด้วยหวังจะให้เขาตกลงมาจากบันไดสูงชัน
“หยุดนะ!”
หญิงสาววิ่งเข้าไปหากลุ่มหมอกแล้วพยายามแกะมือมันออก ร่างของมันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง กว่าจะทำให้มันยอมคลายมือได้ มือของเธอก็ทั้งแสบทั้งแดงเพราะฤทธิ์ความเย็น
เจ้ากลุ่มหมอกมองวิชชุตาด้วยสายตาโกรธจัด มันพุ่งตรงเข้าหาคนที่ขัดขวางมันแล้วผลักหญิงสาวให้ถอยออกห่าง วิชชุตาระวังตัวอยู่แล้วจึงแค่เซล้มไม่ได้ตกบันไดไป
“ตัวอะไรน่ะ”
อติรัฐอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าสิ่งที่กำลังเล่นงานเขาเป็นกลุ่มหมอกรูปคน ไอเย็นจากร่างมันทำเขารู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง
“อย่าพาวินไป” เสียงแหลมเล็กของมันประกาศก้อง แล้วมันก็ยื่นมือไปบีบคอคนที่จะพรากเพื่อนรักของมันไปเต็มแรง
ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนต่อสู้ ทว่ามือเย็นจัดคู่นั้นเสมือนกับคีมเหล็ก ไม่ว่าจะออกแรงสักปานใดก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้ เขาเริ่มอ่อนแรงลงทุกขณะ กลิ่นอับชื้นฉุนจมูกจากตัวมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ควบคุมร่างกายไม่ได้ดั่งใจ ยิ่งหายใจสูดกลิ่นนี่ก็เข้าไปก็ยิ่งรู้สึกวิงเวียนเหมือนสูดควันไฟเข้าไปเต็มปอด
ในขณะที่อติรัฐกำลังแย่ วิชชุตาก็พยุงตัวเองลุกขึ้นยืน เธอละล้าละลังอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาอย่างไรดี เธอนึกถึงแม่ นึกถึงบทสวดมนต์ที่เคยได้เรียนมา นึกถึงพระสงฆ์องค์เจ้าที่เคยกราบไหว้
ใช่แล้วพระ! เธอมีพระอยู่กับตัวนี่นา
หญิงสาวรีบถอดสร้อยพระที่สวมอยู่ออกแล้วยกมือไหว้ขอพร ก่อนจะนำไปคล้องคอกลุ่มหมอกเอาไว้
มันกรีดร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด แล้วร่างของมันก็อันตรธานหายไปพร้อมสายตาอาฆาตที่มองมายังวิชชุตา
อติรัฐทรุดลงนั่งเมื่อได้รับการช่วยเหลือ เขาไอออกมาเสียงดังอย่างทรมาน ชายหนุ่มหอบหายใจแรงๆ แล้วพิงตัวกับราวบันไดอย่างไร้เรี่ยวแรง
“คุณเป็นอะไรมากไหมคะ” วิชชุตาถามอย่างเป็นห่วง
เธอฟกช้ำแค่นิดหน่อยแต่เขาสิแย่ ท่าทางจะเจ็บมาก ที่ลำคอมีรอยแดงเป็นรูปมือชัดเจน จะว่าไปรอยมันก็ไม่ใหญ่มาก เล็กกว่ามือเธอด้วยซ้ำ เหมือนรอยมือของเด็กอายุประมาณวิน
“ผะ…ผม ไม่เป็นไร คุณเห็นอย่างที่ผมเห็นใช่ไหม”
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ เธอเข้าใจดีว่าเขารู้สึกอย่างไร คงตกใจ หวาดกลัวและสับสน เธอเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกันในช่วงแรกๆ ที่เห็นวิญญาณ
“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”
ชายหนุ่มนิ่งไปนานกว่าจะพูดคำนี้ออกมาได้ เขามัวแต่ตระหนกกับสิ่งที่เพิ่งพบเจอมาจนสติสัมปชัญญะกระเจิดกระเจิงหนีหายไปหมด
“ฉันไม่ได้ช่วยอะไรคุณมากมายหรอกค่ะ พระท่านต่างหากที่ช่วยคุ้มครอง” หญิงสาวว่าแล้วก้มลงไปเก็บพระจากพื้นมาส่งให้ชายหนุ่ม “คุณเก็บติดตัวไว้เถอะค่ะ มันจ้องทำร้ายคุณไม่ใช่ฉัน”
ชายหนุ่มยกมือไหว้พระก่อนจะรับมาคล้องคอไว้ตามคำสั่งของหญิงสาว
“มันตัวอะไรกันแน่ครับ ผีหรืออะไร”
“ฉันก็ไม่แน่ใจค่ะแต่ท่าทางจะเป็นอย่างที่คุณเข้าใจ”
“คุณเอาพระมาให้ผมแล้วคุณล่ะ ไม่กลัวเหรอ” ชายหนุ่มเพิ่งมาฉุกคิดหลังจากรับไปคล้องคอตัวเองนี่เองว่าถ้าเธอให้เขาแล้วเธอจะเอาอะไรคุ้มครองตัว
“ฉันเคยเห็นมันในห้องวินมาหลายครั้งแล้วแต่มันไม่เคยทำร้ายฉันสักที คิดว่าคงไม่เป็นไรค่ะ” วิชชุตากัดฟันพูด
เธอมัวแต่ห่วงคนอื่นจนลืมนึกถึงตัวเอง จะรับคืนมันก็น่าเกลียดก็เลยทำเป็นว่าไม่กลัว
“วิน...ใช่แล้วครับ! มันห้ามผมยุ่งกับวิน คุณพอจะรู้ไหมว่าทำไม”
“ไม่รู้สิคะ ฉันว่า…เรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”
เจอแบบนี้เข้าวิชชุตาขอบอกลาที่นี่ชั่วชีวิตและจะไม่ขอมาเหยียบอีกเป็นอันขาด
“งั้นไปรับวินกันครับ ผมเองก็ไม่อยากปล่อยให้หลานอยู่ในที่แบบนี้นานๆ” ชายหนุ่มเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดๆ แล้วเดินนำลิ่วไปที่ห้องของหลานชาย
“คุณเภตราเธอไม่ว่าอะไรเหรอคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามขณะสาวเท้าตามมา เธอสังหรณ์ใจว่าเภตราคงไม่ยอมให้วินไปกับอติรัฐแน่
“ไม่ว่าครับ พี่เภตราอนุญาตแล้ว” ชายหนุ่มพูดสั้นๆ โดยไม่บอกรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม ปล่อยให้คนฟังแปลกใจอยู่อย่างนั้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ณ ห้องนอนใหญ่ประจำคฤหาสน์ กระจกกรอบทองบ้านโตที่โต๊ะเครื่องแป้งกำลังสะท้อนเงาของหญิงสาววัยกลางคนหน้าตาสวยแต่บูดบึ้งเพราะแรงโทสะ สีหน้าอันขัดเคืองนี้เกิดขึ้นเมื่อเภตรานึกย้อนถึงวินาทีที่อติรัฐก้าวเข้ามาในห้อง เพื่อขอหลานชายคนเดียวของเธอไปอยู่ด้วย
‘พี่เภตราครับ ผมอยากจะให้วินไปอยู่กับผม ผมทนไม่ไหวแล้วนะครับพี่ พี่เห็นรึเปล่าว่าวินมีปัญหาหนัก เขาต้องการคนดูแล ไม่ใช่เลี้ยงแบบผิดๆ เอะอะอะไรก็ให้ข้าวของ แล้วก็เอาแต่ตำหนิคนอื่น’ ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง
‘ฉันมีวิธีการเลี้ยงหลานในแบบของฉัน คนอย่างเธอไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์’ เภตราพูดเสียงเข้ม
เธอรู้ดีว่าคนอย่างอติรัฐเถียงเธอได้ไม่เกินสามประโยคหรอก หากแต่ครั้งนี้ดูจะแตกต่างจากทุกครา อติรัฐเหมือนเป็นอีกคนเพราะกล้าตำหนิเธอออกมาตรงๆ
‘พี่เภตราเป็นแบบนี้น่ะสิครับ ชอบเอาแต่ความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่’
จากนั้นชายหนุ่มก็พร่ำพูดสิ่งที่ฟังไม่เข้าหูออกมามากมายจนคนฟังคนไม่ไหว
‘ออกไปเดี๋ยวนี้ แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก ออกไป!’ หญิงสาวชี้นิ้วไล่ด้วยความโกรธ ชั่วชีวิตนี้ไม่มีใครกล้ามาตำหนิเธอด้วยถ้อยคำร้ายแรงอย่างนี้มาก่อน
‘ผมไปแน่ครับ แต่จะไปพร้อมกับวิน ผมไม่ปล่อยให้วินอยู่กับฆาตกรฆ่าคนตายอย่างคุณหรอก’
‘ฆ่าคนตาย…หมายความว่ายังไง กะ…แก เอาอะไรมาพูด’
ใบหน้าถอดสีของเภตราทำให้อติรัฐได้รู้ว่าเรื่องนี้มีมูลความจริงอยู่ เพื่อนรุ่นพี่ของเขาเล่าว่าเภตราเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมแม่เลี้ยงตัวเอง เรื่องราวที่ได้ฟังมาคือใครๆ ต่างก็สงสัยว่าเภตราคือฆาตกรแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด เมื่อไม่มีพยานหลักฐานสุดท้ายมันก็เป็นแค่อุบัติเหตุ
‘ไม่มีใครคิดจะฟื้นคดีขึ้นมาทำใหม่เหรอครับพี่ ในเมื่อมันจบแบบคลุมเครือออกอย่างนั้น’ เขาพูดลอยๆ ออกมาทันทีที่ได้ฟังเรื่องนี้
ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าคำพูดของเขาจุดประกายให้เพื่อนคิดจะรื้อคดีนี้ขึ้นมาทำใหม่
หลายเดือนผ่านไปเขาก็พบเพื่อนคนนั้นอีกครั้ง อีกฝ่ายบอกว่าพบคนที่เห็นเหตุการณ์วันที่เกิดเรื่องแล้ว เขาไปตามหาคนที่น่าจะพอให้ข้อมูลได้ ไม่คิดเลยว่าพอไปถึงอีกฝ่ายจะตกใจจนเข่าอ่อน ยอมเล่าเรื่องราวที่ได้พบเห็นมาให้ฟังทั้งหมด ชายคนนั้นบอกว่าเภตราฆ่าคนตาย จริงเท็จแค่ไหนคงต้องหาหลักฐานอีกทีแต่โอกาสที่จะได้พบหลักฐานมีน้อยมากจนแทบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว
การโต้เถียงทำให้คุณอติรัฐหลุดปากพูดออกไปโดยไม่ตั้งใจ ปฏิกิริยาของเภตราทำให้ชายหนุ่มกล้าลองเสี่ยงใช้เรื่องนี้มาเป็นตัวบังคับให้ยอมให้วินไปอยู่กับเขา
เภตราต้องกัดฟันทำตามข้อเรียกร้องของอติรัฐ อารามตกใจทำให้เธอลืมคิดไปว่าสิ่งที่ทำลงไปคือการยอมรับว่าเป็นฆาตกร
หญิงสาวรู้สึกโกรธจนแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ มือเรียวกำแน่นจนเล็บสีสดจิกลงไปในเนื้อ อติรัฐกล้าดีอย่างไรถึงได้เอาเรื่องของนางนั่นมาข่มขู่ สิบแปดปีแล้วที่คดีปิดลง เหลือเพียงปีเศษเท่านั้นคดีจะหมดอายุความ ถ้าถึงเวลานั้นถึงความลับจะเปิดเผยก็ไม่มีใครสามารถเอาตัวเธอไปลงโทษได้ เธอสู้อุตส่าห์ปิดปากไอ้หมายด้วยเงินก้อนโต ให้มันหลบลี้ผู้คนไปอาศัยอยู่แถวชายแดน อติรัฐยังสู้อุตส่าห์ไปสืบไปค้นหาเอามันมาเป็นพยานจนได้
หญิงสาวทิ้งตัวลงกับเตียงแรงๆ อย่างขัดใจ ในสมองมีเรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนวนเวียนอยู่ ภาพในคืนนั้นฝังแน่นในความทรงจำอย่างไม่รู้ลืม วันที่เกิดเรื่องเป็นวันที่สามของงานศพพ่อ เมื่อไม่มีพ่อก็ไม่มีใครสามารถขวางเธอได้อีกต่อไป นางรำไพต้องถูกกำจัด
เธอแอบส่งจดหมายไปให้รำไพออกมาเจอกันที่ท่าน้ำ โดยใช้ชื่อชู้รักของมันเรียกมันมาแล้วผลักมันตกน้ำ รำไพร้องอ้อนวอนให้ช่วยด้วยสีหน้าน่าเวทนาอย่างที่สุด แทนที่จะช่วยเธอกลับใช้ไม้ยันไม่ให้มันตะกายขึ้นมาได้ เธอยืนดูจุดจบของแม่เลี้ยงด้วยความสะใจ ความตายเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วสำหรับความทะเยอทะยานของมัน ขี้ข้าอย่างมันไม่สมควรจะมาแทนที่แม่ ไม่สมควรจะถูกยกย่องให้เป็นเมียพ่อและได้สมบัติที่ควรจะเป็นของเธอกับน้องแม้แต่สตางค์แดงเดียว
เภตรายิ้มหยันให้กับความตายของเสี้ยนหนาม ก่อนกลับไปในงานแกล้งบีบน้ำตาเสียหน่อย ภาพิมลกับใครๆ คงเข้าใจว่าเธอแอบมาร้องไห้ แล้วทันใดนั้นเองหญิงสาวก็ได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวดังสวบสาบอยู่หลังพุ่มไม้ทำให้เธอหันหลังกลับ
‘ใครออกมาเดี๋ยวนี้’ หญิงสาวแผดเสียงสั่ง
ร่างสันทัดของนายหมายคนสวนค่อยๆ โผล่ออกมาจากดงไม้ด้วยอาการลนลาน หน้ามันซีดเผือด
‘ผมบ่ฮู้บ่เห็นอะหยังเลยคับคุณหนู บ่เห็นอะหยังซักอย่าง’ ตัวมันสั่นไปทั้งตัวตอนพูดกับเธอ
‘แกไม่เห็นน่ะดีแล้ว เพราะถ้าแกปากโป้งเล่าให้ใครๆ ฟังแม้แต่คนเดียว แกจะต้องติดคุกไปด้วย ฉันจะบอกตำรวจว่าแกฆ่านังรำไพ’
เธอขู่มันจนกลัวลาน ให้เงินปิดปากแล้วสั่งให้มันหายไปอย่างเงียบๆ ใครจะคิดว่าสิบกว่าปีผ่านไปมันจะย้อนรอยมาทำร้ายเธอได้
เธอไม่รู้ว่าทางนั้นมีหลักฐานอะไรแค่ไหน ตอนนี้ต้องแกล้งยอมอติรัฐไปก่อน ปล่อยให้ได้ใจไปอีกสักพักก็แล้วกัน หาทางจัดการปิดปากไอ้หมายได้เมื่อไร คราวนี้ก็เป็นทีของเธอบ้าง เธอเสียน้องไปคนหนึ่งแล้ว อย่าหวังเลยว่าใครจะมากพรากหลานชายไปจากเธอได้
หญิงสาวเหวี่ยงข้าวของทิ้งเพื่อระบายโทสะ ยังไม่หายโกรธดีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ของน้อย
“คุณผู้หญิงคะคุณวินหายไปค่ะ” เสียงน้อยร้องลั่นอยู่หน้าประตูห้อง
เภตราสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ทำสีหน้าให้เป็นปกติแล้วค่อยผลักประตูออกไป
“เอะอะอะไรกัน ฉันเองแหละที่อนุญาตให้วินไปค้างบ้านอาเขา”
“ไม่ใช่ค่ะ คุณหนูไม่ได้ไปกับคุณอา คุณหนูหายไปค่ะ ตอนนี้คุณติกับคุณฟ้าช่วยกันหาอยู่”
ตอนเย็นเธอตั้งใจจะไปเก็บถาดอาหารในห้องของคุณหนูวินแต่ได้ยินเสียงเอะอะเสียก่อนเลยไปดู ปรากฏว่าคุณอติรัฐตกบันได เธอเลยวิ่งไปบอกคุณวินทว่ากลับไม่พบคุณหนูอยู่ในห้อง คุณหนูแทบไม่เคยออกจากห้องไปไหน เธอสังหรณ์ไม่ดีก็เลยวิ่งตามหาจนทั่วแต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ
“ตาวินอาจจะอยู่ในห้องน้ำหรือชั้นล่างก็ได้ แกหาไม่ดีเองมากกว่า”
“ไม่ใช่นะคะน้อยหาดีแล้ว”
“แน่ใจเหรอว่าดีแล้ว”
พอถูกนายจ้างถามเสียงเข้ม น้อยเลยหน้าเจื่อนลงแล้วตอบกลับไปเสียงอ่อย
“เอ่อ…คือ ไม่แน่ใจค่ะ”
“ไม่แน่ใจก็รีบไปหาสิ” เภตราแผดเสียงลั่นห้อง
น้อยเลยต้องรีบออกจากห้องนั้นก่อนที่จะเจอพายุอารมณ์จากนายจ้างมากกว่านี้ คุณเภตราดูอารมณ์ไม่ค่อยดี อยู่ห่างไว้จะดีกว่า
ในขณะที่ทุกคนวุ่นวายตามหา วินกลับไม่ได้หายไปไหน เด็กชายยังคงนั่งอยู่ในห้องแต่โดนกลุ่มหมอกบังตาเอาไว้เท่านั้น อิทธิฤทธิ์ของพระเครื่องมีไว้เพื่อปกป้องผู้ที่เคารพบูชาจากสิ่งเลวร้ายไม่ใช่มีไว้เพื่อทำลาย ดังนั้นเจ้ากลุ่มหมอกจึงยังไม่สูญสลาย มันแค่ปวดแสบปวดร้อนเท่านั้น ไม่นานก็หายและกลับมาปรากฏตัวได้อีกครั้ง
เสียงโวยวายว่าอาติตกบันไดกับคำว่าตัวประหลาดสีขาวทำให้เด็กชายทราบในทันทีว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นฝีมือเพื่อนของตน
“นายทำร้ายอาติทำไม” วินพูดกับเพื่อนสีขาวด้วยความไปพอใจ
พอเห็นว่าเพื่อนไม่โต้เถียงเด็กชายจึงย้ำถึงสิ่งที่กลุ่มหมอกเคยให้สัญญา
“นายสัญญาแล้วนี่ว่าจะไม่ทำอะไรคนในบ้านกับอาติ”
“เขาจะพานายไป ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว” เจ้ากลุ่มหมอกสารภาพกับวินด้วยสีหน้าสลด
“นายก็ไปกับฉันสิ ไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกัน บ้านอาติไม่ใหญ่เท่านี้ก็จริงแต่รับรองว่าสนุก”
เด็กชายรู้ว่าเพื่อนไม่ชอบความร้อนกับแสงแดด เขาจะขอร้องอาติให้ติดม่านทึบๆ ไว้ในห้อง แล้วก็จะเปิดแอร์เย็นๆ ให้เพื่อนอยู่อย่างสบายทั้งวัน
“ฉันไปไหนไม่ได้ ฉันออกจากที่นี่ไม่ได้” เจ้ากลุ่มหมอกคร่ำครวญ
เดิมทีมันเป็นวิญญาณของเด็กกำพร้าที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้ บ่มเพาะความเหงาความเศร้าเอาไว้ในใจทุกวันจนเกิดเป็นพลังทำให้สามารถมีรูปร่างขึ้นมาได้ วิญญาณจึงผูกพันกับที่นี่ไม่สามารถไปเกิดใหม่หรือออกไปนอกอาณาเขตบ้าน
“งั้นฉันจะมาเยี่ยมนายบ่อยๆ ดีไหม” เด็กชายเสนอ
เขาอยากอยู่กับอาติก็จริงแต่ก็สงสารเพื่อนคนนี้อยู่ไม่น้อย เขาตั้งใจว่าถ้ามาเยี่ยมป้าเมื่อไรก็จะแวะมาเยี่ยมเพื่อนด้วย
“นายจะทิ้งฉันไปงั้นเหรอ จะทิ้งฉันไปเหมือนทุกคนใช่ไหม” เจ้ากลุ่มหมอกเริ่มส่งเสียงสะอื้น
“ไม่ได้ทิ้งซักหน่อยแค่ไปอยู่กับอาติเท่านั้นเอง ก็บอกแล้วไงว่าจะมาเยี่ยมบ่อยๆ ฉันไม่ทิ้งนายหรอก” วินปลอบ
เด็กชายเริ่มรู้สึกลำบากใจกับท่าทีของเพื่อน วินผูกพันกับเจ้ากลุ่มหมอกมาก เวลาไม่มีใครเขาก็มีแต่เพื่อนคนนี้ที่คอยอยู่เคียงข้าง
“นายจะไปจริงๆ เหรอ” มันกลั้นสะอื้นถาม
“อืม” ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากอยู่กับอาติมากกว่าป้าอยู่ดี
เจ้ากลุ่มหมอกก้มหน้างุดอยู่นาน มันไม่อยากจะให้วินทิ้งมันไปแม้แต่วินาทีเดียว มันควรจะทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้วินจากไป มันกลั้นสะอื้นแล้วใช้ความคิดอย่างหนัก ในที่สุดมันก็เงยหน้าขึ้นมามองเด็กชายด้วยดวงตาวาววับ มันนึกวิธีที่จะทำให้เพื่อนคนนี้อยู่กับมันตลอดกาลออกแล้ว ‘ความตายไงล่ะ’
เมื่อตามหาวินไม่พบวิชชุตาก็โพล่งออกมาทันทีว่าเด็กชายกำลังตกอยู่ในอันตราย ลางสังหรณ์บอกให้เธอเร่งตามหาเด็กชายให้เร็วที่สุด
“เป็นไปได้นะคะว่าตอนนี้วินจะอยู่กับกลุ่มหมอกที่ทำร้ายคุณ”
น้ำเสียงร้อนใจของวิชชุตาทำอติรัฐร้อนใจตามไปด้วย ชายหนุ่มสั่งน้อยให้ไปหาที่ชั้นบน เขาจะรับหน้าที่ตามหาที่ชั้นล่าง ส่วนวิชชุตาให้ไปดูที่ครัวและสระน้ำหลังบ้าน
ทันทีที่หญิงสาวแยกจากทุกคนทางเดินคุ้นตาก็เริ่มเปลี่ยนสภาพไปจากที่เคย วิชชุตาหลงวนกลับมาที่เก่าอีกหลายครั้ง ตอนที่มาบ้านหลังนี้ครั้งแรกเธอก็เคยหลงแบบนี้ครั้งหนึ่ง มันต้องเป็นฝีมือมือเจ้ากลุ่มหมอกนั่นแน่
หญิงสาวลองหลับทำสมาธิดูเผื่อว่าจะช่วยได้ ทุกครั้งที่เธอหลับตาแล้วสูดหายใจลึกๆ ทำใจให้สงบทีไร อะไรๆ มันก็ดีขึ้นเกือบทุกครั้ง
พอลืมตาจากทางเดินสีน้ำเงินเข้มวิชชุตากลับมาอยู่ในห้องครัว หญิงสาวถอนใจด้วยความโล่งอกเมื่อสิ่งที่อยู่รอบตัวเริ่มคุ้นตา ออกจากห้องครัวมาก็เป็นห้องรับประทานอาหารที่เธอใช้ประจำ หญิงสาวมองไปที่รูปของเภตรากับภาพิมลแล้วเริ่มอธิษฐานออกมาดังๆ
“คุณภาพิมลคะ ถ้าคุณยังอยู่ใกล้ๆ วินยังไม่ไปไหน ได้โปรดช่วยวินด้วยเถอะค่ะ วินกำลังตกอยู่ในอันตราย”
หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวขอร้องให้วิญญาณของภาพิมลช่วย ทีวิญญาณของยายเล็กยังมีได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับวิญญาณแม่ของวิน
พร้อมกันนั้นวิชชุตาได้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่เธอเคารพนับถือ อ้อนวอนขอให้เธอเจอวิน ก่อนที่เด็กชายจะเป็นอันตราย
ฉับพลันก็มีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง มันผ่าลงมาไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่วิชชุตายืนอยู่นัก ผลจากฟ้าผ่าทำให้ไฟในบ้านดับทั้งหลัง
วิชชุตาสะดุ้งเฮือกเมื่อไฟดับ เธอถอยหลังมาชิดกับผนังแล้วเหลียวมองรอบตัวด้วยความหวาดระแวง เมื่อปรับสายตาได้ภาพเบื้องหน้าที่เธอเห็นผ่านประตูกระจกคือวินกำลังเดินตรงไปที่ท่าน้ำโดยมีเจ้ากลุ่มหมอกสีขาวเดินนำ
“วิน อย่าไปนะ!” หญิงสาวตะโกนเตือนจากหน้าต่าง
เด็กชายไม่แม้แต่จะหันมามอง มีเพียงเจ้ากลุ่มหมอกเท่านั้นที่หยุดชะงัก
“วินจะไม่ไปไหน วินจะอยู่กับฉันที่นี่ตลอดไป” เสียงแหลมเล็กของมันดังก้องไปทั้งห้อง สิ้นเสียงประตูหน้าต่างที่เปิดไว้ก็ปิดตัวลง ไม่ว่าวิชชุตาจะพยายามเปิดมันออกอย่างไรก็ทำไม่ได้ หญิงสาวตัดสินใจทุบกระจกโดยการเหวี่ยงเก้าอี้ไปที่หน้าต่าง ทว่าไร้ผล แม้แต่รอยขีดข่วนสักนิดก็ยังไม่มี เก้าอี้เสียอีกที่เป็นรอยถลอก
“คุณภาพิมลค่ะ ช่วยฉันอีกครั้งได้ไหม ให้ฉันออกไปที ได้โปรดเถอะค่ะ เปิดประตูที คุณอย่าใจร้ายเลยนะคะ วินยังเด็ก แกยังไม่สมควรตายตอนนี้” หญิงสาวลองอ้อนวอน
คราวนี้ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้ง ประตูหน้าต่างยังไม่ยอมขยับทั้งที่พยายามใช้สิ่งของทุบมันเต็มแรง
“เปิดประตูสิ เปิดประตู!” วิชชุตาตะโกนสั่ง
ทันใดนั้นเองแสงสีฟ้าก็เปล่งออกมาจากข้อมือหญิงสาววูบหนึ่ง แล้วประตูห้องที่ปิดสนิทก็เปิดออก เธอมัวแต่ห่วงวินจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นแสงนี้ เช่นเดียวกับตอนที่สายฟ้าจะผ่าลงมาวารัคคนีก็เปล่งแสงอีกเช่นกัน
วิชชุตาวิ่งฝ่าสายฝนออกไปข้างนอก เธอปราดเข้าไปดึงตัวเด็กชายเอาไว้แน่น
“วินอย่าไป กลับเข้าบ้านเร็ว”
วินชะงักเท้าแต่ก็ไม่ขยับเคลื่อนไหว ดวงตาเด็กชายหรี่ปรือเหมือนคนกำลังถูกสะกดจิต เธอร้องตะโกนเท่าใดเด็กชายก็ไม่ยอมรับรู้
“ถอยไป” มือสีขาวพุ่งเข้ามาผลักวิชชุตาจนกระเด็น
ตัวหญิงสาวกระแทกกับพื้นปูนอย่างแรง แต่วิชชุตาก็ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ได้รับ หญิงสาวฝืนยันตัวลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าวินกำลังจะก้าวลงบันไดท่าน้ำ
เธอวิ่งตามไปอย่างกระชั้นแล้วเอาตัวเข้าไปขวางระหว่างวินกับกลุ่มหมอกได้ทัน ก่อนที่เด็กชายจะก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย
เจ้ากลุ่มหมอกมองวิชชุตาตาเขียวแล้วตรงดิ่งเข้ามาหา ยิ่งมันเข้ามาใกล้มากเท่าไรอุณหภูมิรอบตัวก็ยิ่งลดต่ำลงเท่านั้น จนวิชชุตารู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่ในตู้แช่แข็งขนาดใหญ่
เร็วเท่าความคิดหญิงสาวตัดสินใจอุ้มวินหนี ทว่าขึ้นบันไดมายังไม่พ้นเธอก็ลื่นล้มลงเพราะถูกมือสีขาวของเจ้ากลุ่มหมอกคว้าข้อเท้าเอาไว้ มันกระชากหญิงสาวเต็มแรง ส่งผลให้วิชชุตาล้มกลิ้งลงมาอยู่ตรงจุดที่หนีมา ส่วนวินที่ล้มไปพร้อมกันกำลังลุกขึ้นตามคำสั่งของเจ้ากลุ่มหมอก แล้วเดินกลับลงมาที่ท่าน้ำอีกหน
วิชชุตาพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องทรุดลงไปอีกครั้งเพราะอาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ท่าทางเท้าเธอจะแพลงเสียแล้ว
“วินตื่นเร็ว หนีไป” เธอร้องบอกแข่งกับเสียงสายฝนที่กระหน่ำลงมา
วินเปียกปอนไปทั้งตัวทว่าดวงตายังคงไร้ความรู้สึก เด็กชายเดินเลยวิชชุตาไป อีกเพียงสองก้าวเท่านั้นพื้นปูนแข็งๆ ก็จะกลายเป็นพื้นน้ำ
“มาเล่นกัน เดินมาตรงนี้” เจ้ากลุ่มหมอกร้องเรียกอย่างร่าเริง
“ไม่นะ ไม่!” หญิงสาวหลับตาแล้วแผดเสียงร้องดังลั่น ในจังหวะที่เท้าขวาของวินกำลังสัมผัสที่ผิวน้ำ
วันนี้แสงแดดร้อนแรงของเดือนเมษายนถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆสีเทาครึ้ม กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าวันนี้จะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบปี เห็นทีจะพยากรณ์พลาดไปเสียแล้ว ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้เชื่อสิว่าไม่เกินสองชั่วโมงเมืองทั้งเมืองจะถูกชะล้างด้วยสายฝนเย็นฉ่ำ
“ดูท่าทางฝนจะตกหนัก ฟ้ารีบไปเถอะลูกเดี๋ยวจะเปียกเอา” ทิพย์อาภาเตือนเมื่อเห็นบุตรสาวยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต่าง
ทุกครั้งที่จะเกิดพายุวิชชุตามักมีอาการแบบนี้นี้เสมอ เอาแต่เหม่อมองท้องฟ้าเหมือนกับกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง
“ค่ะแม่ ถ้าฝนตกก็ดีสิคะ ร้อนจะแย่” หญิงสาวเปรยก่อนจะหอบอุปกรณ์การสอนเดินไปที่รถ
วิชชุตาชอบวันฝนตกเสียเหลือเกิน เธอบอกใครๆ ว่าชอบเวลาที่หยดน้ำโปรยปรายลงมาจากฟ้าแต่ก็ไม่เคยบอกเหตุผลที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในใจว่าเธอนั้นหลงรักสายฟ้าเสียยิ่งกว่าสายฝน
เธอไม่เคยร้องไห้กระจองอแงหรือร้องวี้ดว้ายเวลาได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเลยสักครั้ง ในทางตรงกันข้ามวิชชุตากลับชื่นชอบเจ้าสายไฟสีขาวที่แล่นแปลบปลาบเหล่านั้นเป็นพิเศษ ยิ่งเป็นฟ้าผ่าเธอยิ่งถูกใจใหญ่ ได้พบเห็นคราใดเลือดในกายมักจะสูบฉีดแรง รู้สึกฮึกเหิมราวกับว่าสายฟ้าเหล่านั้นคืออิทธิฤทธิ์ที่เธอแสดงออกมาให้ผู้คนประจักษ์ถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่
หญิงสาวมองท้องฟ้าอีกครั้งก่อนเอารถจักรยานยนต์บึ่งออกไปจากบ้าน ใจภาวนาให้ไปถึงบ้านที่สอนพิเศษก่อนที่สายฟ้าเส้นสวยๆ จะฟาดลงมา เธอจะได้ยืนมองมันในร่มอย่างสบายใจโดยไม่ต้องพะวงว่าตัวจะเปียก
สายลมเย็นที่มาปะทะร่างขณะที่รถจักรยานยนต์เคลื่อนไปบนผิวถนนทวีความแรงขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับเมฆดำที่ขยายอิทธิพลแผ่ออกเต็มท้องฟ้า ถึงที่หมายไม่ทันไรฝนก็ตกหนักชนิดไม่ลืมหูลืมตา ถ้าแม่ไม่เตือนให้มาก่อนเวลาป่านนี้เธอคงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำไปแล้ว
เข้าไปในบ้านลูกศิษย์ตัวน้อยก็มาขอเลื่อนไปเรียนตอนบ่ายเพราะจะต้องออกไปข้างนอกกับป้า หญิงสาวเลยนั่งมองฟ้าผ่าอย่างสบายใจไปตลอดช่วงเช้า
ฝนหยุดตกในช่วงที่วิชชุตาเริ่มสอนพอดี แล้วก็มาตกอีกรอบตอนสอนเสร็จ ราวกับว่าเธอถูกฟ้าฝนกลั่นแกล้งไม่ให้กลับบ้านอย่างไรอย่างนั้น
น้อยให้วิชชุตามานั่งรอให้ฝนซาเม็ดที่ห้องรับแขกด้านล่าง แล้วเตรียมคุกกี้กับเค้กมาให้จานใหญ่ ฝนตกหนักแบบนี้เธอคงฝืนขับรถกลับไม่ไหว เสียดายว่าด้านนอกมีแต่เม็ดฝนไม่มีสายฟ้าให้ดูเล่นเลย การรอคอยให้ฝนหยุดตกจึงค่อนข้างน่าเบื่อ
หญิงสาวกวาดตามองไปรอบตัว เวลากลางวันบรรยากาศที่นี่ก็วังเวงน่ากลัวอยู่แล้ว พอครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็ยิ่งน่ากลัวไปกันใหญ่ เหมาะจะใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์สยองขวัญเป็นที่สุด
วิชชุตาโทรไปบอกมารดาว่าจะกลับมืดหน่อย ถ้าค่ำแล้วฝนยังไม่ซาเธอจะโทรไปขอให้ไตรภพช่วยขับรถมารับกลับบ้าน จากนั้นก็นั่งเล็มคุกกี้ไปเล่นเกมในมือถือไป
นั่งอยู่เพลินๆ หญิงสาวก็ได้ยินฝีเท้าคนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ วิชชุตาหันขวับไปมองที่ประตูทันที ในใจภาวนาให้เป็นน้อยไม่ใช่เจ้าของบ้าน ให้เจอคุณเภตรากับฝ่าพายุออกไป เธอเลือกอย่างหลังดีกว่า
คนที่เดินมาไม่ใช่เภตราหรือน้อยแต่กลับเป็นอติรัฐ เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านประตูห้องไป ดูรีบร้อนผิดกับทุกครั้งที่เจอ เท่าที่สังเกตอติรัฐเป็นคนค่อนข้างใจเย็นทำอะไรละเอียดไม่รีบร้อน การเดินหรือวิ่งเร็วๆ จึงไม่น่าจะใช่วิสัยของเขา
ชายหนุ่มเดินผ่านไปได้ไม่กี่อึดใจ กลุ่มหมอกสีขาวรูปร่างเหมือนมนุษย์ก็ลอยตามไปติดๆ ดูเหมือนว่าเจ้ากลุ่มหมอกกำลังไล่ตามเขาอยู่
ตามงั้นเหรอ! มันจะตามเขาทำไมกัน
ลางสังหรณ์บอกให้วิชชุตารีบตามเจ้ากลุ่มหมอกนั่นไป หญิงสาววิ่งมาจนเกือบจะถึงบันไดก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าเจ้ากลุ่มหมอกกำลังตรงรี่เข้าไปประชิดตัวอติรัฐ มันใช้ส่วนที่คล้ายมือยึดขาของเขาไว้ข้างหนึ่งแล้วออกแรงกระชาก
“ระวังค่ะ!” วิชชุตาร้องลั่น
ทว่าสายไปเสียแล้ว อติรัฐเสียหลักลื่นตกบันไดลงมาหลายขั้น โชคดีที่เขาคว้าราวบันไดไว้ได้ทันจึงไม่กลิ้งตกลงมาด้านล่าง
เจ้ากลุ่มหมอกจึงเพิ่มแรงดึงที่ข้อเท้าด้วยหวังจะให้เขาตกลงมาจากบันไดสูงชัน
“หยุดนะ!”
หญิงสาววิ่งเข้าไปหากลุ่มหมอกแล้วพยายามแกะมือมันออก ร่างของมันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง กว่าจะทำให้มันยอมคลายมือได้ มือของเธอก็ทั้งแสบทั้งแดงเพราะฤทธิ์ความเย็น
เจ้ากลุ่มหมอกมองวิชชุตาด้วยสายตาโกรธจัด มันพุ่งตรงเข้าหาคนที่ขัดขวางมันแล้วผลักหญิงสาวให้ถอยออกห่าง วิชชุตาระวังตัวอยู่แล้วจึงแค่เซล้มไม่ได้ตกบันไดไป
“ตัวอะไรน่ะ”
อติรัฐอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าสิ่งที่กำลังเล่นงานเขาเป็นกลุ่มหมอกรูปคน ไอเย็นจากร่างมันทำเขารู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง
“อย่าพาวินไป” เสียงแหลมเล็กของมันประกาศก้อง แล้วมันก็ยื่นมือไปบีบคอคนที่จะพรากเพื่อนรักของมันไปเต็มแรง
ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนต่อสู้ ทว่ามือเย็นจัดคู่นั้นเสมือนกับคีมเหล็ก ไม่ว่าจะออกแรงสักปานใดก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้ เขาเริ่มอ่อนแรงลงทุกขณะ กลิ่นอับชื้นฉุนจมูกจากตัวมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ควบคุมร่างกายไม่ได้ดั่งใจ ยิ่งหายใจสูดกลิ่นนี่ก็เข้าไปก็ยิ่งรู้สึกวิงเวียนเหมือนสูดควันไฟเข้าไปเต็มปอด
ในขณะที่อติรัฐกำลังแย่ วิชชุตาก็พยุงตัวเองลุกขึ้นยืน เธอละล้าละลังอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาอย่างไรดี เธอนึกถึงแม่ นึกถึงบทสวดมนต์ที่เคยได้เรียนมา นึกถึงพระสงฆ์องค์เจ้าที่เคยกราบไหว้
ใช่แล้วพระ! เธอมีพระอยู่กับตัวนี่นา
หญิงสาวรีบถอดสร้อยพระที่สวมอยู่ออกแล้วยกมือไหว้ขอพร ก่อนจะนำไปคล้องคอกลุ่มหมอกเอาไว้
มันกรีดร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด แล้วร่างของมันก็อันตรธานหายไปพร้อมสายตาอาฆาตที่มองมายังวิชชุตา
อติรัฐทรุดลงนั่งเมื่อได้รับการช่วยเหลือ เขาไอออกมาเสียงดังอย่างทรมาน ชายหนุ่มหอบหายใจแรงๆ แล้วพิงตัวกับราวบันไดอย่างไร้เรี่ยวแรง
“คุณเป็นอะไรมากไหมคะ” วิชชุตาถามอย่างเป็นห่วง
เธอฟกช้ำแค่นิดหน่อยแต่เขาสิแย่ ท่าทางจะเจ็บมาก ที่ลำคอมีรอยแดงเป็นรูปมือชัดเจน จะว่าไปรอยมันก็ไม่ใหญ่มาก เล็กกว่ามือเธอด้วยซ้ำ เหมือนรอยมือของเด็กอายุประมาณวิน
“ผะ…ผม ไม่เป็นไร คุณเห็นอย่างที่ผมเห็นใช่ไหม”
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ เธอเข้าใจดีว่าเขารู้สึกอย่างไร คงตกใจ หวาดกลัวและสับสน เธอเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกันในช่วงแรกๆ ที่เห็นวิญญาณ
“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”
ชายหนุ่มนิ่งไปนานกว่าจะพูดคำนี้ออกมาได้ เขามัวแต่ตระหนกกับสิ่งที่เพิ่งพบเจอมาจนสติสัมปชัญญะกระเจิดกระเจิงหนีหายไปหมด
“ฉันไม่ได้ช่วยอะไรคุณมากมายหรอกค่ะ พระท่านต่างหากที่ช่วยคุ้มครอง” หญิงสาวว่าแล้วก้มลงไปเก็บพระจากพื้นมาส่งให้ชายหนุ่ม “คุณเก็บติดตัวไว้เถอะค่ะ มันจ้องทำร้ายคุณไม่ใช่ฉัน”
ชายหนุ่มยกมือไหว้พระก่อนจะรับมาคล้องคอไว้ตามคำสั่งของหญิงสาว
“มันตัวอะไรกันแน่ครับ ผีหรืออะไร”
“ฉันก็ไม่แน่ใจค่ะแต่ท่าทางจะเป็นอย่างที่คุณเข้าใจ”
“คุณเอาพระมาให้ผมแล้วคุณล่ะ ไม่กลัวเหรอ” ชายหนุ่มเพิ่งมาฉุกคิดหลังจากรับไปคล้องคอตัวเองนี่เองว่าถ้าเธอให้เขาแล้วเธอจะเอาอะไรคุ้มครองตัว
“ฉันเคยเห็นมันในห้องวินมาหลายครั้งแล้วแต่มันไม่เคยทำร้ายฉันสักที คิดว่าคงไม่เป็นไรค่ะ” วิชชุตากัดฟันพูด
เธอมัวแต่ห่วงคนอื่นจนลืมนึกถึงตัวเอง จะรับคืนมันก็น่าเกลียดก็เลยทำเป็นว่าไม่กลัว
“วิน...ใช่แล้วครับ! มันห้ามผมยุ่งกับวิน คุณพอจะรู้ไหมว่าทำไม”
“ไม่รู้สิคะ ฉันว่า…เรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”
เจอแบบนี้เข้าวิชชุตาขอบอกลาที่นี่ชั่วชีวิตและจะไม่ขอมาเหยียบอีกเป็นอันขาด
“งั้นไปรับวินกันครับ ผมเองก็ไม่อยากปล่อยให้หลานอยู่ในที่แบบนี้นานๆ” ชายหนุ่มเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดๆ แล้วเดินนำลิ่วไปที่ห้องของหลานชาย
“คุณเภตราเธอไม่ว่าอะไรเหรอคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามขณะสาวเท้าตามมา เธอสังหรณ์ใจว่าเภตราคงไม่ยอมให้วินไปกับอติรัฐแน่
“ไม่ว่าครับ พี่เภตราอนุญาตแล้ว” ชายหนุ่มพูดสั้นๆ โดยไม่บอกรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม ปล่อยให้คนฟังแปลกใจอยู่อย่างนั้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ณ ห้องนอนใหญ่ประจำคฤหาสน์ กระจกกรอบทองบ้านโตที่โต๊ะเครื่องแป้งกำลังสะท้อนเงาของหญิงสาววัยกลางคนหน้าตาสวยแต่บูดบึ้งเพราะแรงโทสะ สีหน้าอันขัดเคืองนี้เกิดขึ้นเมื่อเภตรานึกย้อนถึงวินาทีที่อติรัฐก้าวเข้ามาในห้อง เพื่อขอหลานชายคนเดียวของเธอไปอยู่ด้วย
‘พี่เภตราครับ ผมอยากจะให้วินไปอยู่กับผม ผมทนไม่ไหวแล้วนะครับพี่ พี่เห็นรึเปล่าว่าวินมีปัญหาหนัก เขาต้องการคนดูแล ไม่ใช่เลี้ยงแบบผิดๆ เอะอะอะไรก็ให้ข้าวของ แล้วก็เอาแต่ตำหนิคนอื่น’ ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง
‘ฉันมีวิธีการเลี้ยงหลานในแบบของฉัน คนอย่างเธอไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์’ เภตราพูดเสียงเข้ม
เธอรู้ดีว่าคนอย่างอติรัฐเถียงเธอได้ไม่เกินสามประโยคหรอก หากแต่ครั้งนี้ดูจะแตกต่างจากทุกครา อติรัฐเหมือนเป็นอีกคนเพราะกล้าตำหนิเธอออกมาตรงๆ
‘พี่เภตราเป็นแบบนี้น่ะสิครับ ชอบเอาแต่ความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่’
จากนั้นชายหนุ่มก็พร่ำพูดสิ่งที่ฟังไม่เข้าหูออกมามากมายจนคนฟังคนไม่ไหว
‘ออกไปเดี๋ยวนี้ แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก ออกไป!’ หญิงสาวชี้นิ้วไล่ด้วยความโกรธ ชั่วชีวิตนี้ไม่มีใครกล้ามาตำหนิเธอด้วยถ้อยคำร้ายแรงอย่างนี้มาก่อน
‘ผมไปแน่ครับ แต่จะไปพร้อมกับวิน ผมไม่ปล่อยให้วินอยู่กับฆาตกรฆ่าคนตายอย่างคุณหรอก’
‘ฆ่าคนตาย…หมายความว่ายังไง กะ…แก เอาอะไรมาพูด’
ใบหน้าถอดสีของเภตราทำให้อติรัฐได้รู้ว่าเรื่องนี้มีมูลความจริงอยู่ เพื่อนรุ่นพี่ของเขาเล่าว่าเภตราเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมแม่เลี้ยงตัวเอง เรื่องราวที่ได้ฟังมาคือใครๆ ต่างก็สงสัยว่าเภตราคือฆาตกรแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด เมื่อไม่มีพยานหลักฐานสุดท้ายมันก็เป็นแค่อุบัติเหตุ
‘ไม่มีใครคิดจะฟื้นคดีขึ้นมาทำใหม่เหรอครับพี่ ในเมื่อมันจบแบบคลุมเครือออกอย่างนั้น’ เขาพูดลอยๆ ออกมาทันทีที่ได้ฟังเรื่องนี้
ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าคำพูดของเขาจุดประกายให้เพื่อนคิดจะรื้อคดีนี้ขึ้นมาทำใหม่
หลายเดือนผ่านไปเขาก็พบเพื่อนคนนั้นอีกครั้ง อีกฝ่ายบอกว่าพบคนที่เห็นเหตุการณ์วันที่เกิดเรื่องแล้ว เขาไปตามหาคนที่น่าจะพอให้ข้อมูลได้ ไม่คิดเลยว่าพอไปถึงอีกฝ่ายจะตกใจจนเข่าอ่อน ยอมเล่าเรื่องราวที่ได้พบเห็นมาให้ฟังทั้งหมด ชายคนนั้นบอกว่าเภตราฆ่าคนตาย จริงเท็จแค่ไหนคงต้องหาหลักฐานอีกทีแต่โอกาสที่จะได้พบหลักฐานมีน้อยมากจนแทบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว
การโต้เถียงทำให้คุณอติรัฐหลุดปากพูดออกไปโดยไม่ตั้งใจ ปฏิกิริยาของเภตราทำให้ชายหนุ่มกล้าลองเสี่ยงใช้เรื่องนี้มาเป็นตัวบังคับให้ยอมให้วินไปอยู่กับเขา
เภตราต้องกัดฟันทำตามข้อเรียกร้องของอติรัฐ อารามตกใจทำให้เธอลืมคิดไปว่าสิ่งที่ทำลงไปคือการยอมรับว่าเป็นฆาตกร
หญิงสาวรู้สึกโกรธจนแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ มือเรียวกำแน่นจนเล็บสีสดจิกลงไปในเนื้อ อติรัฐกล้าดีอย่างไรถึงได้เอาเรื่องของนางนั่นมาข่มขู่ สิบแปดปีแล้วที่คดีปิดลง เหลือเพียงปีเศษเท่านั้นคดีจะหมดอายุความ ถ้าถึงเวลานั้นถึงความลับจะเปิดเผยก็ไม่มีใครสามารถเอาตัวเธอไปลงโทษได้ เธอสู้อุตส่าห์ปิดปากไอ้หมายด้วยเงินก้อนโต ให้มันหลบลี้ผู้คนไปอาศัยอยู่แถวชายแดน อติรัฐยังสู้อุตส่าห์ไปสืบไปค้นหาเอามันมาเป็นพยานจนได้
หญิงสาวทิ้งตัวลงกับเตียงแรงๆ อย่างขัดใจ ในสมองมีเรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนวนเวียนอยู่ ภาพในคืนนั้นฝังแน่นในความทรงจำอย่างไม่รู้ลืม วันที่เกิดเรื่องเป็นวันที่สามของงานศพพ่อ เมื่อไม่มีพ่อก็ไม่มีใครสามารถขวางเธอได้อีกต่อไป นางรำไพต้องถูกกำจัด
เธอแอบส่งจดหมายไปให้รำไพออกมาเจอกันที่ท่าน้ำ โดยใช้ชื่อชู้รักของมันเรียกมันมาแล้วผลักมันตกน้ำ รำไพร้องอ้อนวอนให้ช่วยด้วยสีหน้าน่าเวทนาอย่างที่สุด แทนที่จะช่วยเธอกลับใช้ไม้ยันไม่ให้มันตะกายขึ้นมาได้ เธอยืนดูจุดจบของแม่เลี้ยงด้วยความสะใจ ความตายเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วสำหรับความทะเยอทะยานของมัน ขี้ข้าอย่างมันไม่สมควรจะมาแทนที่แม่ ไม่สมควรจะถูกยกย่องให้เป็นเมียพ่อและได้สมบัติที่ควรจะเป็นของเธอกับน้องแม้แต่สตางค์แดงเดียว
เภตรายิ้มหยันให้กับความตายของเสี้ยนหนาม ก่อนกลับไปในงานแกล้งบีบน้ำตาเสียหน่อย ภาพิมลกับใครๆ คงเข้าใจว่าเธอแอบมาร้องไห้ แล้วทันใดนั้นเองหญิงสาวก็ได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวดังสวบสาบอยู่หลังพุ่มไม้ทำให้เธอหันหลังกลับ
‘ใครออกมาเดี๋ยวนี้’ หญิงสาวแผดเสียงสั่ง
ร่างสันทัดของนายหมายคนสวนค่อยๆ โผล่ออกมาจากดงไม้ด้วยอาการลนลาน หน้ามันซีดเผือด
‘ผมบ่ฮู้บ่เห็นอะหยังเลยคับคุณหนู บ่เห็นอะหยังซักอย่าง’ ตัวมันสั่นไปทั้งตัวตอนพูดกับเธอ
‘แกไม่เห็นน่ะดีแล้ว เพราะถ้าแกปากโป้งเล่าให้ใครๆ ฟังแม้แต่คนเดียว แกจะต้องติดคุกไปด้วย ฉันจะบอกตำรวจว่าแกฆ่านังรำไพ’
เธอขู่มันจนกลัวลาน ให้เงินปิดปากแล้วสั่งให้มันหายไปอย่างเงียบๆ ใครจะคิดว่าสิบกว่าปีผ่านไปมันจะย้อนรอยมาทำร้ายเธอได้
เธอไม่รู้ว่าทางนั้นมีหลักฐานอะไรแค่ไหน ตอนนี้ต้องแกล้งยอมอติรัฐไปก่อน ปล่อยให้ได้ใจไปอีกสักพักก็แล้วกัน หาทางจัดการปิดปากไอ้หมายได้เมื่อไร คราวนี้ก็เป็นทีของเธอบ้าง เธอเสียน้องไปคนหนึ่งแล้ว อย่าหวังเลยว่าใครจะมากพรากหลานชายไปจากเธอได้
หญิงสาวเหวี่ยงข้าวของทิ้งเพื่อระบายโทสะ ยังไม่หายโกรธดีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ของน้อย
“คุณผู้หญิงคะคุณวินหายไปค่ะ” เสียงน้อยร้องลั่นอยู่หน้าประตูห้อง
เภตราสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ทำสีหน้าให้เป็นปกติแล้วค่อยผลักประตูออกไป
“เอะอะอะไรกัน ฉันเองแหละที่อนุญาตให้วินไปค้างบ้านอาเขา”
“ไม่ใช่ค่ะ คุณหนูไม่ได้ไปกับคุณอา คุณหนูหายไปค่ะ ตอนนี้คุณติกับคุณฟ้าช่วยกันหาอยู่”
ตอนเย็นเธอตั้งใจจะไปเก็บถาดอาหารในห้องของคุณหนูวินแต่ได้ยินเสียงเอะอะเสียก่อนเลยไปดู ปรากฏว่าคุณอติรัฐตกบันได เธอเลยวิ่งไปบอกคุณวินทว่ากลับไม่พบคุณหนูอยู่ในห้อง คุณหนูแทบไม่เคยออกจากห้องไปไหน เธอสังหรณ์ไม่ดีก็เลยวิ่งตามหาจนทั่วแต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ
“ตาวินอาจจะอยู่ในห้องน้ำหรือชั้นล่างก็ได้ แกหาไม่ดีเองมากกว่า”
“ไม่ใช่นะคะน้อยหาดีแล้ว”
“แน่ใจเหรอว่าดีแล้ว”
พอถูกนายจ้างถามเสียงเข้ม น้อยเลยหน้าเจื่อนลงแล้วตอบกลับไปเสียงอ่อย
“เอ่อ…คือ ไม่แน่ใจค่ะ”
“ไม่แน่ใจก็รีบไปหาสิ” เภตราแผดเสียงลั่นห้อง
น้อยเลยต้องรีบออกจากห้องนั้นก่อนที่จะเจอพายุอารมณ์จากนายจ้างมากกว่านี้ คุณเภตราดูอารมณ์ไม่ค่อยดี อยู่ห่างไว้จะดีกว่า
ในขณะที่ทุกคนวุ่นวายตามหา วินกลับไม่ได้หายไปไหน เด็กชายยังคงนั่งอยู่ในห้องแต่โดนกลุ่มหมอกบังตาเอาไว้เท่านั้น อิทธิฤทธิ์ของพระเครื่องมีไว้เพื่อปกป้องผู้ที่เคารพบูชาจากสิ่งเลวร้ายไม่ใช่มีไว้เพื่อทำลาย ดังนั้นเจ้ากลุ่มหมอกจึงยังไม่สูญสลาย มันแค่ปวดแสบปวดร้อนเท่านั้น ไม่นานก็หายและกลับมาปรากฏตัวได้อีกครั้ง
เสียงโวยวายว่าอาติตกบันไดกับคำว่าตัวประหลาดสีขาวทำให้เด็กชายทราบในทันทีว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นฝีมือเพื่อนของตน
“นายทำร้ายอาติทำไม” วินพูดกับเพื่อนสีขาวด้วยความไปพอใจ
พอเห็นว่าเพื่อนไม่โต้เถียงเด็กชายจึงย้ำถึงสิ่งที่กลุ่มหมอกเคยให้สัญญา
“นายสัญญาแล้วนี่ว่าจะไม่ทำอะไรคนในบ้านกับอาติ”
“เขาจะพานายไป ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว” เจ้ากลุ่มหมอกสารภาพกับวินด้วยสีหน้าสลด
“นายก็ไปกับฉันสิ ไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกัน บ้านอาติไม่ใหญ่เท่านี้ก็จริงแต่รับรองว่าสนุก”
เด็กชายรู้ว่าเพื่อนไม่ชอบความร้อนกับแสงแดด เขาจะขอร้องอาติให้ติดม่านทึบๆ ไว้ในห้อง แล้วก็จะเปิดแอร์เย็นๆ ให้เพื่อนอยู่อย่างสบายทั้งวัน
“ฉันไปไหนไม่ได้ ฉันออกจากที่นี่ไม่ได้” เจ้ากลุ่มหมอกคร่ำครวญ
เดิมทีมันเป็นวิญญาณของเด็กกำพร้าที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้ บ่มเพาะความเหงาความเศร้าเอาไว้ในใจทุกวันจนเกิดเป็นพลังทำให้สามารถมีรูปร่างขึ้นมาได้ วิญญาณจึงผูกพันกับที่นี่ไม่สามารถไปเกิดใหม่หรือออกไปนอกอาณาเขตบ้าน
“งั้นฉันจะมาเยี่ยมนายบ่อยๆ ดีไหม” เด็กชายเสนอ
เขาอยากอยู่กับอาติก็จริงแต่ก็สงสารเพื่อนคนนี้อยู่ไม่น้อย เขาตั้งใจว่าถ้ามาเยี่ยมป้าเมื่อไรก็จะแวะมาเยี่ยมเพื่อนด้วย
“นายจะทิ้งฉันไปงั้นเหรอ จะทิ้งฉันไปเหมือนทุกคนใช่ไหม” เจ้ากลุ่มหมอกเริ่มส่งเสียงสะอื้น
“ไม่ได้ทิ้งซักหน่อยแค่ไปอยู่กับอาติเท่านั้นเอง ก็บอกแล้วไงว่าจะมาเยี่ยมบ่อยๆ ฉันไม่ทิ้งนายหรอก” วินปลอบ
เด็กชายเริ่มรู้สึกลำบากใจกับท่าทีของเพื่อน วินผูกพันกับเจ้ากลุ่มหมอกมาก เวลาไม่มีใครเขาก็มีแต่เพื่อนคนนี้ที่คอยอยู่เคียงข้าง
“นายจะไปจริงๆ เหรอ” มันกลั้นสะอื้นถาม
“อืม” ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากอยู่กับอาติมากกว่าป้าอยู่ดี
เจ้ากลุ่มหมอกก้มหน้างุดอยู่นาน มันไม่อยากจะให้วินทิ้งมันไปแม้แต่วินาทีเดียว มันควรจะทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้วินจากไป มันกลั้นสะอื้นแล้วใช้ความคิดอย่างหนัก ในที่สุดมันก็เงยหน้าขึ้นมามองเด็กชายด้วยดวงตาวาววับ มันนึกวิธีที่จะทำให้เพื่อนคนนี้อยู่กับมันตลอดกาลออกแล้ว ‘ความตายไงล่ะ’
เมื่อตามหาวินไม่พบวิชชุตาก็โพล่งออกมาทันทีว่าเด็กชายกำลังตกอยู่ในอันตราย ลางสังหรณ์บอกให้เธอเร่งตามหาเด็กชายให้เร็วที่สุด
“เป็นไปได้นะคะว่าตอนนี้วินจะอยู่กับกลุ่มหมอกที่ทำร้ายคุณ”
น้ำเสียงร้อนใจของวิชชุตาทำอติรัฐร้อนใจตามไปด้วย ชายหนุ่มสั่งน้อยให้ไปหาที่ชั้นบน เขาจะรับหน้าที่ตามหาที่ชั้นล่าง ส่วนวิชชุตาให้ไปดูที่ครัวและสระน้ำหลังบ้าน
ทันทีที่หญิงสาวแยกจากทุกคนทางเดินคุ้นตาก็เริ่มเปลี่ยนสภาพไปจากที่เคย วิชชุตาหลงวนกลับมาที่เก่าอีกหลายครั้ง ตอนที่มาบ้านหลังนี้ครั้งแรกเธอก็เคยหลงแบบนี้ครั้งหนึ่ง มันต้องเป็นฝีมือมือเจ้ากลุ่มหมอกนั่นแน่
หญิงสาวลองหลับทำสมาธิดูเผื่อว่าจะช่วยได้ ทุกครั้งที่เธอหลับตาแล้วสูดหายใจลึกๆ ทำใจให้สงบทีไร อะไรๆ มันก็ดีขึ้นเกือบทุกครั้ง
พอลืมตาจากทางเดินสีน้ำเงินเข้มวิชชุตากลับมาอยู่ในห้องครัว หญิงสาวถอนใจด้วยความโล่งอกเมื่อสิ่งที่อยู่รอบตัวเริ่มคุ้นตา ออกจากห้องครัวมาก็เป็นห้องรับประทานอาหารที่เธอใช้ประจำ หญิงสาวมองไปที่รูปของเภตรากับภาพิมลแล้วเริ่มอธิษฐานออกมาดังๆ
“คุณภาพิมลคะ ถ้าคุณยังอยู่ใกล้ๆ วินยังไม่ไปไหน ได้โปรดช่วยวินด้วยเถอะค่ะ วินกำลังตกอยู่ในอันตราย”
หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวขอร้องให้วิญญาณของภาพิมลช่วย ทีวิญญาณของยายเล็กยังมีได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับวิญญาณแม่ของวิน
พร้อมกันนั้นวิชชุตาได้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่เธอเคารพนับถือ อ้อนวอนขอให้เธอเจอวิน ก่อนที่เด็กชายจะเป็นอันตราย
ฉับพลันก็มีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง มันผ่าลงมาไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่วิชชุตายืนอยู่นัก ผลจากฟ้าผ่าทำให้ไฟในบ้านดับทั้งหลัง
วิชชุตาสะดุ้งเฮือกเมื่อไฟดับ เธอถอยหลังมาชิดกับผนังแล้วเหลียวมองรอบตัวด้วยความหวาดระแวง เมื่อปรับสายตาได้ภาพเบื้องหน้าที่เธอเห็นผ่านประตูกระจกคือวินกำลังเดินตรงไปที่ท่าน้ำโดยมีเจ้ากลุ่มหมอกสีขาวเดินนำ
“วิน อย่าไปนะ!” หญิงสาวตะโกนเตือนจากหน้าต่าง
เด็กชายไม่แม้แต่จะหันมามอง มีเพียงเจ้ากลุ่มหมอกเท่านั้นที่หยุดชะงัก
“วินจะไม่ไปไหน วินจะอยู่กับฉันที่นี่ตลอดไป” เสียงแหลมเล็กของมันดังก้องไปทั้งห้อง สิ้นเสียงประตูหน้าต่างที่เปิดไว้ก็ปิดตัวลง ไม่ว่าวิชชุตาจะพยายามเปิดมันออกอย่างไรก็ทำไม่ได้ หญิงสาวตัดสินใจทุบกระจกโดยการเหวี่ยงเก้าอี้ไปที่หน้าต่าง ทว่าไร้ผล แม้แต่รอยขีดข่วนสักนิดก็ยังไม่มี เก้าอี้เสียอีกที่เป็นรอยถลอก
“คุณภาพิมลค่ะ ช่วยฉันอีกครั้งได้ไหม ให้ฉันออกไปที ได้โปรดเถอะค่ะ เปิดประตูที คุณอย่าใจร้ายเลยนะคะ วินยังเด็ก แกยังไม่สมควรตายตอนนี้” หญิงสาวลองอ้อนวอน
คราวนี้ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้ง ประตูหน้าต่างยังไม่ยอมขยับทั้งที่พยายามใช้สิ่งของทุบมันเต็มแรง
“เปิดประตูสิ เปิดประตู!” วิชชุตาตะโกนสั่ง
ทันใดนั้นเองแสงสีฟ้าก็เปล่งออกมาจากข้อมือหญิงสาววูบหนึ่ง แล้วประตูห้องที่ปิดสนิทก็เปิดออก เธอมัวแต่ห่วงวินจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นแสงนี้ เช่นเดียวกับตอนที่สายฟ้าจะผ่าลงมาวารัคคนีก็เปล่งแสงอีกเช่นกัน
วิชชุตาวิ่งฝ่าสายฝนออกไปข้างนอก เธอปราดเข้าไปดึงตัวเด็กชายเอาไว้แน่น
“วินอย่าไป กลับเข้าบ้านเร็ว”
วินชะงักเท้าแต่ก็ไม่ขยับเคลื่อนไหว ดวงตาเด็กชายหรี่ปรือเหมือนคนกำลังถูกสะกดจิต เธอร้องตะโกนเท่าใดเด็กชายก็ไม่ยอมรับรู้
“ถอยไป” มือสีขาวพุ่งเข้ามาผลักวิชชุตาจนกระเด็น
ตัวหญิงสาวกระแทกกับพื้นปูนอย่างแรง แต่วิชชุตาก็ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ได้รับ หญิงสาวฝืนยันตัวลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าวินกำลังจะก้าวลงบันไดท่าน้ำ
เธอวิ่งตามไปอย่างกระชั้นแล้วเอาตัวเข้าไปขวางระหว่างวินกับกลุ่มหมอกได้ทัน ก่อนที่เด็กชายจะก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย
เจ้ากลุ่มหมอกมองวิชชุตาตาเขียวแล้วตรงดิ่งเข้ามาหา ยิ่งมันเข้ามาใกล้มากเท่าไรอุณหภูมิรอบตัวก็ยิ่งลดต่ำลงเท่านั้น จนวิชชุตารู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่ในตู้แช่แข็งขนาดใหญ่
เร็วเท่าความคิดหญิงสาวตัดสินใจอุ้มวินหนี ทว่าขึ้นบันไดมายังไม่พ้นเธอก็ลื่นล้มลงเพราะถูกมือสีขาวของเจ้ากลุ่มหมอกคว้าข้อเท้าเอาไว้ มันกระชากหญิงสาวเต็มแรง ส่งผลให้วิชชุตาล้มกลิ้งลงมาอยู่ตรงจุดที่หนีมา ส่วนวินที่ล้มไปพร้อมกันกำลังลุกขึ้นตามคำสั่งของเจ้ากลุ่มหมอก แล้วเดินกลับลงมาที่ท่าน้ำอีกหน
วิชชุตาพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องทรุดลงไปอีกครั้งเพราะอาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ท่าทางเท้าเธอจะแพลงเสียแล้ว
“วินตื่นเร็ว หนีไป” เธอร้องบอกแข่งกับเสียงสายฝนที่กระหน่ำลงมา
วินเปียกปอนไปทั้งตัวทว่าดวงตายังคงไร้ความรู้สึก เด็กชายเดินเลยวิชชุตาไป อีกเพียงสองก้าวเท่านั้นพื้นปูนแข็งๆ ก็จะกลายเป็นพื้นน้ำ
“มาเล่นกัน เดินมาตรงนี้” เจ้ากลุ่มหมอกร้องเรียกอย่างร่าเริง
“ไม่นะ ไม่!” หญิงสาวหลับตาแล้วแผดเสียงร้องดังลั่น ในจังหวะที่เท้าขวาของวินกำลังสัมผัสที่ผิวน้ำ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.พ. 2555, 13:41:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.พ. 2555, 13:41:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 1741
<< ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 4 วิญญาณที่ท่าน้ำ | ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 6 สำแดงเดช >> |

ameerahTaec 14 ก.พ. 2555, 14:41:58 น.
ตื่นเต้นดีคะ อิอิ อยากรู้ต่อแล้วว่าเป็นยังไง
ตื่นเต้นดีคะ อิอิ อยากรู้ต่อแล้วว่าเป็นยังไง

ปรางขวัญ 14 ก.พ. 2555, 15:40:11 น.
ลุ้นมาก อยากรู้ว่าวิชชุตาจะช่วยวินได้มั้ย
ลุ้นมาก อยากรู้ว่าวิชชุตาจะช่วยวินได้มั้ย

นิชาภา 14 ก.พ. 2555, 16:01:56 น.
คุณ ameerah Taec ขอบคุณที่ติดตามค่า เรื่องนี้ลงทุกวันหรือวันเว้นวันค่ะ เป็นซีรีย์จบในตอน มี 7 ตอนค่ะ เขียนจบหมดแล้ว ถ้าอยากรู้มาตามอ่านได้วันพรุ่งนี้เที่ยงๆ บ่ายๆ ค่า
คุณปรางขวัญ อยากสปอยแต่เดี๋ยวไม่สนุก พรุ่งนี้มาตามอ่านได้นะคะ เอาลงสม่ำเสมอแน่นอน ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
คุณ ameerah Taec ขอบคุณที่ติดตามค่า เรื่องนี้ลงทุกวันหรือวันเว้นวันค่ะ เป็นซีรีย์จบในตอน มี 7 ตอนค่ะ เขียนจบหมดแล้ว ถ้าอยากรู้มาตามอ่านได้วันพรุ่งนี้เที่ยงๆ บ่ายๆ ค่า
คุณปรางขวัญ อยากสปอยแต่เดี๋ยวไม่สนุก พรุ่งนี้มาตามอ่านได้นะคะ เอาลงสม่ำเสมอแน่นอน ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

Zephyr 14 ก.พ. 2555, 17:38:24 น.
เพื่อนสีขาวนี่มุ่งร้ายซะแล้ว
ป้าเภนี่ยังจิตไม่เปลี่ยน หึหึ
ปล.เราเพิ่งไปอ่านเวบนู้นมา แบบ อ๊ากกกกกกกกกก อยากรู้ว่า นิ เป็นใคร อยากๆๆๆๆๆๆ มากๆๆๆๆๆๆ แอบคิดไว้แล้วว่า นิ จะเป็น.ภ...แต่กลัวไม่ใช่จัง ^^ กลินเลสเลยถ้าเป็นงั้นนะ - -"
เพื่อนสีขาวนี่มุ่งร้ายซะแล้ว
ป้าเภนี่ยังจิตไม่เปลี่ยน หึหึ
ปล.เราเพิ่งไปอ่านเวบนู้นมา แบบ อ๊ากกกกกกกกกก อยากรู้ว่า นิ เป็นใคร อยากๆๆๆๆๆๆ มากๆๆๆๆๆๆ แอบคิดไว้แล้วว่า นิ จะเป็น.ภ...แต่กลัวไม่ใช่จัง ^^ กลินเลสเลยถ้าเป็นงั้นนะ - -"

นิชาภา 14 ก.พ. 2555, 17:45:23 น.
คุณ Neferretti กร๊ากกกกก อย่าจิ้นสิคะ เห็นแบบนี้เค้าเขียนนิยายวายน้า ยูริ หรือยาโยย ได้ทั้งสองอย่าง แต่รักยาโอยมากกว่า อ่านอีกเว็บตอนหน้าอ่ะค่ะ คันมือมากอยากแก้ แต่ไส้ในพิมพ์ไปเสียแล้วเลยอด ปรับอีกนิดนะ ออร่าม่วงนี่แผ่กันเลยทีเดียว อร๊างงงงงงง!!!
คุณ Neferretti กร๊ากกกกก อย่าจิ้นสิคะ เห็นแบบนี้เค้าเขียนนิยายวายน้า ยูริ หรือยาโยย ได้ทั้งสองอย่าง แต่รักยาโอยมากกว่า อ่านอีกเว็บตอนหน้าอ่ะค่ะ คันมือมากอยากแก้ แต่ไส้ในพิมพ์ไปเสียแล้วเลยอด ปรับอีกนิดนะ ออร่าม่วงนี่แผ่กันเลยทีเดียว อร๊างงงงงงง!!!

Zephyr 14 ก.พ. 2555, 18:42:26 น.
^^ หึหึ หุหุ เราจิ้นไปแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ มันแว้บมาๆๆๆมากๆๆๆ โดยเฉพาะถ้าเอาคำพูดของเทพเพี้ยนมาคิดนะคะ ฮ่าๆๆๆ แต่เอ วายนี่เข้าใจนะ ยูริกะยาโยยมันไม่เหมือนกันเหรอคะ
เรื่องนี้จะเป็นยูริเร้อ(นิกะฟ้า) วาย(สอง..ว ^^) ฮ่าๆๆ ไปดีก่า เดี๋ยวจะสปอยมากไป
^^ หึหึ หุหุ เราจิ้นไปแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ มันแว้บมาๆๆๆมากๆๆๆ โดยเฉพาะถ้าเอาคำพูดของเทพเพี้ยนมาคิดนะคะ ฮ่าๆๆๆ แต่เอ วายนี่เข้าใจนะ ยูริกะยาโยยมันไม่เหมือนกันเหรอคะ
เรื่องนี้จะเป็นยูริเร้อ(นิกะฟ้า) วาย(สอง..ว ^^) ฮ่าๆๆ ไปดีก่า เดี๋ยวจะสปอยมากไป

นิชาภา 14 ก.พ. 2555, 18:48:06 น.
คุณ Neferretti เป็นอย่างที่เข้าใจเคอะ เป็นการจับคู่ที่ถูกต้อง กร๊ากกก เสียดายจริงๆ ให้ดิ้นตาย อยากเอามาตบๆ ใหม่เหลือเกิน ได้หลายคู่นะนี่ โฮกกกกกก เลือดม่วงพุ่ง
คุณ Neferretti เป็นอย่างที่เข้าใจเคอะ เป็นการจับคู่ที่ถูกต้อง กร๊ากกก เสียดายจริงๆ ให้ดิ้นตาย อยากเอามาตบๆ ใหม่เหลือเกิน ได้หลายคู่นะนี่ โฮกกกกกก เลือดม่วงพุ่ง

Auuuu 14 ก.พ. 2555, 20:12:05 น.
อ่านที่คุณนิชาภากับ Neferretti แล้วฮา เอิ๊กๆๆๆ แต่เราก็อยากอ่านนะ เอิ๊กๆๆ
แอบสงสัยจริงๆว่านิเป็นใคร (ในเว็บนู้น) ส่วนเว็บนี้ ตอนนี้ก็ยังหลอน แต่ลุ้นมากกว่า วิญญาณร้ายไม่รู้ซะแล้วว่าเล่นอยู๋กับใครรรรร
Happy Valentine's day ค่าาาาา ^____________^
อ่านที่คุณนิชาภากับ Neferretti แล้วฮา เอิ๊กๆๆๆ แต่เราก็อยากอ่านนะ เอิ๊กๆๆ
แอบสงสัยจริงๆว่านิเป็นใคร (ในเว็บนู้น) ส่วนเว็บนี้ ตอนนี้ก็ยังหลอน แต่ลุ้นมากกว่า วิญญาณร้ายไม่รู้ซะแล้วว่าเล่นอยู๋กับใครรรรร
Happy Valentine's day ค่าาาาา ^____________^

นิชาภา 15 ก.พ. 2555, 15:37:21 น.
คุณ Auuuu สุขสันต์วันแห่งความรักเช่นกันค่ะ อีกไม่นานก็จะเฉลยแล้วค่ะว่านิเป็นใคร ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์รู้แน่ๆ ฮี่ๆ ^O^
คุณ Auuuu สุขสันต์วันแห่งความรักเช่นกันค่ะ อีกไม่นานก็จะเฉลยแล้วค่ะว่านิเป็นใคร ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์รู้แน่ๆ ฮี่ๆ ^O^