กฤตยามหาภูต โดย ตารกา (รอวางแผง)
"มหาสงครามแห่งเทพและอสูรกำลังจะอุบัติขึ้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือใช้ศิวะตรีศูล อาวุธเทพในตำนาน ผู้เดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดคือเธอ เทวีแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งกลับมาจุติใหม่โดยไร้ความทรงจำในอดีตชาติ"



เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ

ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)

แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)

บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่

ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป

หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^

Tags: แฟนตาซี ผจญภัย เทพ เทวี ปีศาจ วรรณกรรมเยาวชน ความรัก ปริศนา อดีตชาติ

ตอน: ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 2 ผลึกสะกดมาร

บทที่ 2 ผลึกสะกดมาร

ห้องที่วิชชุตาจะต้องมาอาศัยอยู่นับจากนี้เป็นห้องชุดขนาดใหญ่ที่เจ้าของหอพักสร้างเอาไว้อยู่เอง แต่ราวครึ่งปีก่อนเจ้าของกับครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น เขาจึงยกห้องให้หลานสาวอย่างนิศารัตน์อยู่โดยไม่คิดค่าเช่า สิ่งที่ต้องจ่ายมีเพียงแค่ค่าน้ำค่าไฟเท่านั้น

ในห้องขนาดครอบครัวนี้ประกอบไปด้วยสองห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่นและหนึ่งห้องครัว ส่วนที่เป็นครัวจะถูกกั้นไว้ด้วยประตูบานเลื่อนแยกออกเป็นสัดส่วนเพื่อไม่ให้กลิ่นการประกอบอาหารฟุ้งออกมา ถัดจากครัวไปก็จะเป็นระเบียงกว้างที่เอาไว้สำหรับซักล้างและตากผ้า

เนื่องจากมีกันอยู่สามคนการแบ่งห้องจึงอาศัยจับสลากเอา นิศารัตน์ได้นอนห้องเดี่ยว ส่วนวิชชุตากับพัชราวดีได้นอนห้องเดียวกัน วิชชุตาไม่เกี่ยงเรื่องที่ต้องใช้ห้องนอนร่วมกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จัก เพราะดูจากนิสัยโดยรวมแล้วพัชราวดีเป็นคนที่น่าคบคนหนึ่ง

“ฉันได้ห้องเดี่ยวแล้วที่เก็บของเลยเหลือเฟือ ฟ้ากับเรเอาชั้นเก็บของนี่ไปก็แล้วกัน” นิศารัตน์บอกพลางยกชั้นพลาสติกสีฟ้ามาให้ที่ห้อง

“ขอบใจนะ”

พัชราวดีรับชั้นวางของมาตั้งไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง จากนั้นก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าผาก เธอเกิดและโตที่เชียงใหม่ทำให้ไม่ชินกับอาการร้อนเช่นกัน

สามสาวตั้งใจว่าจะปัดกวาดเช็ดถูฝุ่นออกไปจากห้องให้หมดก่อน แล้วค่อยเปิดเครื่องปรับอากาศ ก็เลยต้องทนร้อนอยู่พักใหญ่

“เค้าจะไปซื้ออะไรเย็นๆ หน่อย ฟ้ากับนิจะเอาอะไรไหม” พัชราวดีร้องถาม

“เอาสิ ฉันขอชามะนาว ส่วนฟ้าเป็นโค้ก” นิศารัตน์สั่งให้อย่างรู้ใจ

ด้านหน้าหอพักมีมินิมาร์ทเอาไว้บริการนิสิต ส่วนคนดูแลร้านก็ไม่ใช่ใครอื่นเพราะเป็นคนเดียวกับผู้ดูแลหอพัก เยื้องจากร้านค้าไปอีกหน่อย ก็จะเป็นร้านอาหารตามสั่งเรียงกันอยู่สองสามร้าน สำหรับคนที่ไม่ได้เอารถมาใช้แล้ว การได้พักที่นี่จัดว่าสะดวกสบายใช้ได้เลยทีเดียว

พอพัชราวดีหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง วิชชุตาก็ได้จังหวะหันมาแยกเขี้ยวใส่แม่เพื่อนสาวตัวดี

“เข้าใจเลือกหอนะยะยัยนิ”

“ชอบไหมล่ะ บรรยากาศดี๊ดี” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ด้วยเดาออกมาวิชชุตาคงไปเห็นอะไรที่ชาวบ้านชาวเมืองเขามองไม่เห็นมาอีก ถึงได้มาโวยวายเอากับเธอ

“ย่ะ บรรยากาศดีมาก” วิชชุตาเอ่ยประชดแล้วค้อนขวับเข้าให้

“ใช่ไหมล่ะ ของญาติฉันเสียอย่าง กว้างก็กว้าง มียามเฝ้าตลอด จะเข้าออกหอก็ต้องใช้คีย์การ์ด แถมยังมีสวนสวยๆ กับศาลาทรงไทยให้นั่งเล่นอีก เลิศเนอะ” นิศารัตน์เจื้อยแจ้วยาวเหยียดอย่างไม่สนใจคำประชดเสียอย่างนั้น

ที่เพื่อนพูดมาวิชชุตาไม่ขอเถียงแม้แต่คำเดียว ที่นี่อะไรๆ ก็ดีหมดยกเว้นอย่างเดียวคือต้นโพธิ์ต้นยักษ์ขนาดสามสี่คนโอบข้างหอพัก โคนต้นไม้ใหญ่ต้นนี้มีผ้าเจ็ดสีผูกอยู่ ด้านหน้ามีศาลกับเครื่องเซ่นไหว้ตั้งเอาไว้ พอวิชชุตาหันไปมองก็รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกบางสิ่งที่มีพลังอำนาจลึกลับจับจ้องอยู่ ความรู้สึกมันวูบวาบในอก เหมือนกับว่าในตัวเธอมีกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบ มันไม่เจ็บปวดแต่ก็ชวนให้รู้สึกไม่สบายตัว เธอไม่ชอบเจ้าความรู้สึกแบบนี้เลย

“ว่าแต่…เห็นอะไรแถวใต้ต้นโพธิ์ไหม” นิศารัตน์กระเถิบเข้ามาถามอย่างใคร่รู้

“ไม่เห็น!” หญิงสาวปฏิเสธเสียงเฉียบ

“งั้นก็ดีแล้วนี่ พอเรมาเราไปจุดธูปไหว้พระภูมิกับศาลต้นโพธิ์กันนะ ไปฝากเนื้อฝากตัวเสียหน่อย”

ยังไม่ทันขาดคำพัชราวดีก็กลับเข้ามาในห้อง วิชชุตาจึงถูกฉุดกระชากลากดึงลงไปข้างล่าง พร้อมกับยัดธูปเทียนใส่มือให้พร้อม

ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว หญิงสาวก็เลยยกมือขึ้นไหว้ตั้งจิตภาวนาขออย่าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ที่นี่มาปรากฏตัวให้เห็นเพราะนึกเอ็นดูเธอเลย แล้วก็เหมือนกับว่าสิ่งที่สิงสถิตอยู่ที่นี่รับรู้คำขอของเธอ เพราะพอลืมตาขึ้นมาความรู้สึกที่เหมือนกับถูกจ้องมองในที่แรกก็หายไปด้วย

วิชชุตาไม่รู้เลยว่าเธอกำลังเริ่มจับสัมผัสของผู้มีพลังคล้ายคลึงกันได้ เพราะก่อนหน้านี้บนต้นโพธิ์ใหญ่ มีร่างๆ หนึ่งคอยเฝ้ามองหญิงสาวอยู่ พอลอบมองจนเป็นที่พอใจแล้ว ร่างนั้นจึงสลายปลิวหายไปกับสายลม ทิ้งไว้แต่เพียงคำพูดดังแผ่วๆ ว่า ‘ขอต้อนรับการกลับมา…วิชชุตาเทวี’


ก่อนเปิดเรียนหนึ่งสัปดาห์ทางมหาวิทยาลัยจะจัดให้มีการเข้าค่ายรวมของนิสิตชั้นปีที่หนึ่งของทุกคณะขึ้น ชื่อค่ายก็คือ ‘Beginning clam’ เป็นค่ายเตรียมความพร้อมก่อนการเข้าเรียน เนื่องจากจำนวนนิสิตที่มีจำนวนมาก การเข้าค่ายจึงแบ่งเป็นสองรอบ วิชชุตากับนิศารัตน์ได้เข้าค่ายในรอบแรก ส่วนพัชราวดีได้เข้าค่ายในรอบที่สอง

“กลับมาอย่าลืมเล่าให้เค้าฟังด้วยล่ะว่าเป็นไงบ้าง” พัชราวดีตะโกนบอกจากระเบียงหน้าต่าง

“จ้า...แล้วจะเล่าให้ฟัง” นิศารัตน์โบกมือลาเพื่อน แล้วลากกระเป๋าเดินจากหอพักเข้าไปในอาณาเขตมหาวิทยาลัย

พอเข้ามาถึงถนนสายหลักสองสาวก็โบกรถไฟฟ้าแล้วบอกคนขับให้ช่วยจอดที่ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์หรือที่เรียกกันย่อๆว่า ‘ตึก EN’

รถไฟฟ้านี้เป็นรถสำหรับบริการรับส่งคนไปยังสถานที่ต่างๆ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ตัวรถเป็นสีขาวแถบฟ้า จุผู้โดยสารได้ราวสิบห้าคน กระจกด้านหน้าจะมีป้ายสีติดไว้บ่งบอกเส้นทางวิ่งของรถ สีแดงวิ่งรอบมหาวิทยาลัย สีเหลืองวิ่งตัดครึ่งหนึ่ง สีเขียววิ่งผ่านแถวตึกวิศวกรรมศาสตร์และเกษตรศาสตร์ ส่วนสีฟ้าวิ่งในบริเวณคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพและหอสมุด

กิจกรรมของค่ายเริ่มขึ้นในตอนสาย ทุกอย่างดูสนุกและปกติดีจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน คืนนี้กลุ่มของวิชชุตากับนิศารัตน์ได้นอนพักค้างแรมในตึกของคณะแพทย์ศาสตร์

ตึกนี้มีทั้งหมดห้าชั้น ทางเข้าตึกด้านหน้าเป็นโดมทรงกลมเชื่อมต่อกันด้วยอาคารแนวยาว หากมองจากมุมสูงจะเห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยม พื้นที่ตรงกลางอาคารเปิดโล่งเอาไว้เป็นสวนหย่อมกว้าง มีน้ำพุและพันธุ์ไม้หลากสีประดับอยู่

วิชชุตากับนิศารัตน์ได้พักในห้องบริเวณชั้นสี่ ภายในเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำรอเอาไว้แล้ว หลายคนจึงสุดแสนจะโล่งใจที่ไม่ต้องทนร้อนกันตลอดคืน

ก่อนจะพากันทยอยไปอาบน้ำ พวกรุ่นพี่ก็เข้ามาเตือนว่าเวลาไปไหนให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามออกไปเดินไกลๆ คนเดียวเป็นอันขาด

“โดยเฉพาะชั้นห้านะคะ ถ้าไม่อยากเจอดีก็อย่าไป” รุ่นพี่ผู้หญิงที่ยืนข้างๆ คนประกาศช่วยสำทับ

คนด้านหน้าจึงยกมือถามทันทีว่าแถวนั้นมีอะไรทำไมถึงต้องห้าม

“แถวนั้นเขาเอาไว้เก็บ…อุ๊บ!”

ก่อนที่คำตอบจะหลุดออกจากปากหญิงสาว คนข้างๆ ก็เอามือมาปิดปากเพื่อนไว้เสียก่อน

“แถวนั้นมันมืดน่ะค่ะ ไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมาพี่ก็เลยห่วงว่าน้องๆ จะเป็นอันตรายถ้ามีคนร้ายซุ่มอยู่” คนที่ยื่นมือมาปิดปากเพื่อนรีบพูดก่อนจะติงเพื่อนสาวเสียงดุ “จะบ้าเหรอ บอกไปเดี๋ยวน้องเขาก็กลัวกันพอดี”

“ขอโทษ” อีกฝ่ายกระซิบตอบ

เธอเกือบเผลอหลุดปากพูดออกไปแล้วไหมล่ะ นึกถึงแล้วก็อดขนลุกไม่ได้ สโมสรนิสิตตัวแสบเข้าใจหาที่พักให้จริงๆ เลย ตึกมีเป็นสิบไม่ให้ใช้ดันมาให้ใช้ตึกนี้

วิชชุตากับนิศารัตน์ไม่ได้ใส่ใจสังเกตท่าที่มีลับลมคมในของรุ่นพี่นัก พวกเธอแค่อยากจะรีบอาบน้ำแล้วเข้านอนเนื่องจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

พอเห็นว่าห้องน้ำด้านนอกมีคนต่อแถวรอใช้อยู่เต็ม วิชชุตาจึงชวนนิศารัตน์ไปเดินขึ้นบันไดไปอีกชั้น ส่วนนี้มีห้องน้ำอยู่ แต่รุ่นพี่เตือนเอาไว้ก่อนแล้วว่าไฟระเบียงทางเดินฝั่งนี้มันเสีย ถ้าไม่กลัวที่จะต้องเดินฝ่าความมืดก็ขึ้นไปใช้ได้ตามสบาย

วิชชุตาเดินคู่ไปกับเพื่อน อาศัยแสงจากไฟฉายที่พกมานำทางในความมืด บรรยากาศวังเวงและความเงียบของสถานที่ ทำให้หญิงสาวเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดจึงไม่มีใครกล้าเข้ามาใช้ห้องน้ำในส่วนนี้เลย

โชคดีที่ไฟห้องน้ำยังสว่างดีทุกดวง สองสาวจึงได้อาบน้ำกันอย่างสบายใจ วิชชุตาอาบน้ำเสร็จก่อนนิศารัตน์ หญิงสาวจึงออกมายืนรับลมที่ระเบียงรอเพื่อน

ระเบียงทางเดินชั้นนี้มืดหมดจะมีแสงสว่างก็แต่บริเวณห้องขนาดใหญ่ซึ่งอยู่เยื้องจากจุดที่วิชชุตายืนอยู่ไม่ไกลเท่านั้น

‘ห้องนี้เขาเอาไว้ทำอะไรกันนะ’ ความใคร่รู้ทำให้วิชชุตาลองเดินไปดูที่ห้องนั้น

เข้าไปใกล้ได้ไม่เท่าไรหญิงสาวก็ได้กลิ่นเหม็นฉุนจมูก พอลองมองเข้าไปในห้องดูก็พบว่าห้องขนาดใหญ่นี้มีเตียงวางเรียงกันอยู่มากมายตลอดแนวยาวของห้อง เกือบทุกเตียงมีร่างคนถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าขาว

วิชชุตาเลยได้รู้คำตอบในทันทีว่าทำไมรุ่นพี่ถึงได้มีท่าทีแปลกๆ ที่แท้ชั้นห้าของตึกแพทย์คือห้องปฏิบัติการทางกายวิภาคศาสตร์ หรือ ‘ห้องผ่าศพ’ นั่นเอง

หญิงสาวแทบลืมหายใจเมื่อหันไปเห็นว่าบางเตียงนอกจากร่างไร้วิญญาณของมนุษย์แล้วยังมีตัวประหลาดผิวสีเหลืองซีดอยู่ด้วย ตัวมันสูงไม่ถึงเมตร ลำตัวผอมแห้ง พุ่งป่อง ศีรษะล้านเลี่ยนเป็นทรงกลม ไม่มีใบหู ดวงตาเป็นสีเทาขนาดเท่าเหรียญสิบบาท จมูกแหลมเล็ก ปากกว้างเท่าฝ่ามือ พวกมันกำลังตะกรุมตะกรามดูดไอสีเทาจากซากศพอยู่

ภาพที่เห็นตรึงวิชชุตาอยู่กับที่ ความรู้สึกสะอิดสะเอียนพลุ่งขึ้นมาพร้อมกับอาการชาไปทั้งร่างเหมือนกับตอนเดินผ่านต้นโพธิ์ที่หอพักไม่มีผิด ความรู้สึกมันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะบอกว่ามีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา

หญิงสาวถอยห่างออกมาจากประตูห้องทันที แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเกือบจะชนเข้ากับใครคนหนึ่ง

“เธอมาทำอะไรตรงนี้” ชายหนุ่มสวมแว่นในชุดเสื้อกาวน์เอ่ยถาม

“เปล่าค่ะ คือ…” อารามตกใจทำให้หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก

ชายหนุ่มส่งยิ้มขบขันมาให้ แล้วปรายตาไปที่ป้ายชื่อบนคอวิชชุตา ป้ายนี้พวกรุ่นพี่สั่งให้แขวนเอาไว้ตลอดห้ามถอดออกอย่างเด็ดขาด

“มาเข้าค่ายล่ะสิ แถวนี้เขาห้ามผ่านนะครับ รีบกลับไปรวมตัวกับเพื่อนๆ ดีกว่า ถึงจะเป็นมหาวิทยาลัยกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย” เขาเตือนแล้วเดินเข้าห้องนั้นไป

วิชชุตาตั้งใจจะเตือนเขาว่ามีอะไรอยู่ในห้องแต่พอเธอมองตามเขาเข้าไปในนั้นก็ไม่เห็นเจ้าตัวประหลาดพวกนั้นแล้ว

“ยืนรออะไรอยู่ครับ ไม่กลัวรึไง ดีเลยถ้าไม่กลัวจะมาเป็นลูกมือพี่ทำงานก็ได้นะ” เขาว่าแล้วหยิบถุงมือมายื่นให้ประกอบคำพูด

“ไม่ล่ะค่ะ ขอตัวนะคะ” วิชชุตาส่ายหน้าดิกแล้วเดินออกมา

เธอไม่กล้าบอกให้เขารู้เรื่องตัวประหลาดในห้อง เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่มักหาว่าเธอโกหกไม่ก็เพ้อเจ้อไปเอง ถ้าไม่นับเรื่องกลุ่มหมอกสีขาวที่เธอเคยเจอก็ไม่มีใครเคยได้รับความเดือดร้อนจากวิญญาณหรือตัวประหลาดที่เธอมองเห็นเลย วิชชุตาจึงปิดปากเงียบเสีย

หญิงสาวเดินกลับมาที่ห้องน้ำในจังหวะที่นิศารัตน์เดินออกมาพอดี เธอเลยฉุดแขนเพื่อน พาเดินก้าวเท้ายาวๆ ออกจากบริเวณนั้น

“ท้องฟ้าคืนนี้ไม่สวยเอาเลย” เดินอยู่ดีๆ นิศารัตน์ก็โพล่งออกมา

“ยังไงเหรอ ก็เห็นว่ามันปกติดี” วิชชุตายื่นหน้าจากระเบียงไปมองท้องฟ้าบ้าง เธอไม่ยักรู้สึกอะไรอย่างที่เพื่อนว่าเลยสักนิด

“ไม่รู้สิ รู้สึกเหมือนคืนนี้พวกภูตผีจะถูกปลดปล่อย ตอนรอฉันเข้าห้องน้ำเธอสังเกตเห็นห้องฝั่งตรงข้ามที่เปิดไฟไว้ไหม ตรงนั้นน่ะนะฉันว่ามันต้องมีอะไรอยู่แน่ๆ เลย ฉันเห็นภาพปีศาจสีเหลืองล่ะ หน้าตาตลกชะมัด อย่างกับตัวกอลลัม ใช้สมาธิเพ่งมองหน่อยเดียวมันก็กระเจิงหายหมดซะงั้น อดไปดูเลย”

นิศารัตน์มัวแต่สนอกสนใจปีศาจหน้าตาประหลาดอยู่นี่เอง ก็เลยอาบน้ำนานผิดปกติวิสัย

ที่แท้ตัวการที่ทำให้เจ้าตัวประหลาดพวกนั้นหายไปก็คือนิศารัตน์นี่เอง วิชชุตาจึงขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อนอีกนิดเพื่อความอุ่นใจ เธอล่ะรักเพื่อนซี้คนนี้ขาดใจเพราะความสามารถพิเศษในการไล่ผีนี่แหละ


คืนนั้นที่แปลงปลูกพืชด้านหลังมหาวิทยาลัย แปลงผักกาดแปลงหนึ่งกำลังถูกทำลายด้วยฝีมือของสุนัขตัวโต การที่พืชผักถูกทำลายด้วยฝีมือสัตว์ไม่ใช่เรื่องน่าวิตก สิ่งที่ควรจะต้องหวั่นเกรงคือเจ้าสุนัขตัวนี้ต่างหาก ขนาดตัวของมันโตกว่าสุนัขปกติหลายเท่า มีสามหัว เขี้ยวเล็บใหญ่โตคมกริบราวกับอาวุธสังหาร ดวงตาสีแดงสดของมันเปล่งประกายกระหายเลือดเกินกว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาไปได้

เจ้าตัวสามหัวใช้อุ้งเท้าหนาตะกุยดินอย่างเมามัน มันขุดลึกลงไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนเป็นหลุมกว้าง แล้วมันก็เจอสิ่งที่มันต้องการ สิ่งที่เหมือนแผ่นหินจารึกอักขระโบราณถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินลึกลงไปราวสามเมตร

กรงเล็บคมกริบถูกกางออก แค่ตะปบลงไปทีเดียวแผ่นหินหนาก็แตกออก ส่วนที่แตกออกนี้คือฝาหีบใส่ของใบหนึ่ง ด้านในหีบโบราณอายุกว่าสามพันปีมีโครงกระดูกมนุษย์กับห่อผ้าสีหม่นบรรจุอยู่

ดวงตาสีแดงเป็นประกายมองผ่านโครงกระดูกไป มันตรงเข้าไปคาบห่อผ้ามาไว้ในปาก แล้วจัดการกลบหลุมกว้างที่มันขุดขึ้น ก่อนจะกระโจนหายลับไปในความมืดมิด

สิ่งที่อยู่ในห่อนั้นคือผลึกสะกดมาร ตามตำนานกล่าวไว้ว่าผลึกนี้เป็นผลึกที่ใช้สะกดปีศาจจำพวกโรหิตภูต ปีศาจที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการสูบเลือดจากสิ่งมีชีวิตอื่น สิ่งที่พวกโรหิตภูตโปรดปรานมากที่สุดก็คือเลือดมนุษย์ ดังนั้นพวกมันจึงต้องถูกกำจัดเพื่อไม่ให้เป็นภัยต่อมนุษย์

ณ ที่แห่งนี้เคยมีใครคนหนึ่งได้สะกดโรหิตภูตเอาไว้ การสะกดคือการกักขังวิญญาณของปีศาจโดยใช้อำนาจของผลึกสะกดมาร เมื่อผลึกถูกนำออกไปนอกบริเวณที่เก็บรักษา โรหิตภูตก็จะยังคงถูกสะกดต่อไปจนกว่าพลังที่หลงเหลือของผลึกจะหมด

คะเนแล้วไม่น่าจะเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงวิญญาณร้ายในหลุมจะได้รับอิสระอีกครั้ง หนทางที่จะหยุดยั้งมันได้คือการสะกดมันไว้ด้วยผลึกสะกดมารหรือสังหารด้วยอาวุธเทพเท่านั้น





นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.พ. 2555, 14:46:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.พ. 2555, 14:46:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1686





<< ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 1 ก้าวใหม่   ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 3 โรหิตภูต >>
Auuuu 17 ก.พ. 2555, 15:04:29 น.
ปีศาจเริ่มโผล่ละะะะ


Zephyr 17 ก.พ. 2555, 15:46:19 น.
ตัวสามหัวนี่ใช่เซอร์เบอร์รัสของเฮเดสป่ะคะ หึหึ
วู้ เอาตำนานนู่นนี่มามั่วกันหมดเลย ขำๆนะคะ
มารและปิศาจเริ่มโผล่แระ แถมขวัญใจเค้าคนนึงก็มาเหมือนกัน
ร่วมด้วยช่วยกันป่วน ฮ่าๆๆๆ


เพลา 17 ก.พ. 2555, 15:58:16 น.
เริ่มมีมารร้ายออกมาป่วนแระ แต่วายุเทพก้อไม่ออกมาทักทายสักที อิอิ


นิชาภา 17 ก.พ. 2555, 19:43:46 น.
คุณ Auuuu หุๆๆ ปีศาจเริ่มโผล่เราก็โผล่มาหัวเราะค่า

คุณ Neferretti เอามาจากไอ้ตัวนั้นแหละค่ะ 5555 มิกซ์สุดพลังกันเลยทีเดียว หนุกหนานค่า

คุณเพลา วายุเทพขี้อายคะ (ไม่ใช่ละ)พี่ท่านซุ่มเงียบนิดหน่อย จริงๆ คือคนเขียนมัวแต่เวิ่นเว้อชีวิตเฟรชชี่เพลินนั่นเอง เอิ๊กกกกก


หนอนฮับ 17 ก.พ. 2555, 21:02:17 น.
มาแว้ววววววววววววววว


นิชาภา 17 ก.พ. 2555, 22:01:39 น.
คุณหนอนฮับ สวัสดีตอนดึกค่า ^O^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account