กฤตยามหาภูต โดย ตารกา (รอวางแผง)
"มหาสงครามแห่งเทพและอสูรกำลังจะอุบัติขึ้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือใช้ศิวะตรีศูล อาวุธเทพในตำนาน ผู้เดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดคือเธอ เทวีแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งกลับมาจุติใหม่โดยไร้ความทรงจำในอดีตชาติ"



เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ

ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)

แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)

บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่

ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป

หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^

Tags: แฟนตาซี ผจญภัย เทพ เทวี ปีศาจ วรรณกรรมเยาวชน ความรัก ปริศนา อดีตชาติ

ตอน: ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 3 โรหิตภูต

บทที่ 3 โรหิตภูต

วิชชุตากับนิศารัตน์กลับมาจากการเข้าค่ายในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น ทั้งสองเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเข้าค่ายให้พัชราวดีฟังหลายอย่าง ตามจริงบ้างเกินจริงบ้างจนเจ้าตัวชักเริ่มไม่อยากไปลำบาก พัชราวดีเกลียดแดดเป็นที่สุด หญิงสาวทำหน้าเบ้ในทันทีเมื่อรู้ว่าต้องตากแดดอยู่กลางลานสมเด็จพระนเรศวรจนสายเพื่อทำพิธีในช่วงเช้า และยังต้องเดินตากแดดเป็นระยะเพื่อไปยังฐานต่างๆ อีกด้วย

คนกลัวแดดเปรยว่าจะแกล้งป่วยอยู่หลายรอบ แต่ถึงจะอิดออดปานใดวันรุ่งขึ้นเจ้าหล่อนก็ยังยอมไปเข้าค่ายแต่โดยดี นิศารัตน์กับวิชชุตาจึงอยู่เฝ้าห้องกันสองคน

วิชชุตาฆ่าเวลาด้วยการเปิดคอมพิวเตอร์เล่นเกม ส่วนนิศารัตน์หยิบไพ่ยิปซีออกมาทำนายดวงชะตา เธอเปิดไพ่ไปขมวดคิ้วไปอยู่พักใหญ่ จนวิชชุตาอดถามไม่ได้ว่าเป็นอะไรถึงเอาแต่พึมพำอยู่คนเดียว ชะโงกหน้าไปมองก็เห็นว่าบนผ้าปูสีดำมีไพ่จำนวนหนึ่งหงายอยู่ หนึ่งในนั้นมีไพ่ความตายและไพ่ปีศาจอยู่ด้วย

“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก รู้แค่ปีศาจกำลังจะมา”

“ยังไง…พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยยัยนิ”

“จำเมื่อคืนก่อนได้รึเปล่า ที่ฉันบอกว่าเป็นคืนนี้พวกภูตผีจะถูกปลดปล่อย ฉันเช็กดูแล้วนะ มันใช่จริงๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง” หญิงสาวเล่าด้วยท่าทางตื่นเต้น แล้วกระโดดขึ้นจากพื้นมาเกาะแขนวิชชุตาเอาไว้ “ฟ้าจ๋า…เราไปดูกันเถอะ ฉันอยากเห็นปีศาจของจริง ตัวนี้มันท่าจะเก่งด้วยเพราะดูเหมือนมันจะไม่กลัวฉัน”

นิศารัตน์อยากจะลองคุยกับพวกภูตผีปีศาจดูสักครั้ง แต่พวกนี้ไม่ยอมเข้าใกล้เธอเลย จะมองให้เต็มตาสักหน่อยก็เผ่นหนีกันกระจุยกระจาย เพิ่งจะมีเจ้าตัวในคำทำนายนี่แหละที่เธอสัมผัสได้ว่ามันมีพลังกล้าแข็งกว่าภูตผีทั่วไป

“ไม่มีทาง” วิชชุตาปฏิเสธเสียงแข็ง

ไม่ว่านิศารัตน์จะพยายามหว่านล้อมอย่างไรหญิงสาวก็ไม่ยอมใจอ่อน วิชชุตาสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เธอยังเข็ดขยาดเรื่องกลุ่มหมอกสีขาวเมื่อคราวก่อนอยู่เลย ไม่มีทางเสียล่ะที่เธอจะรนหาเรื่องด้วยการออกไปตามหาสิ่งที่เพื่อนเรียกว่าปีศาจ

เมื่อตื๊อไม่ได้ผลนิศารัตน์ก็เลยยอมแพ้ หญิงสาวหยิบหนังสืออ่านเล่นที่นำติดตัวมาจากบ้านขึ้นมาอ่าน จนใกล้เที่ยงคืนก็ปิดหนังสือแล้วเตรียมตัวเข้านอน

นิศารัตน์นอนหลับตาอยู่ได้ครึ่งชั่วโมงก็ต้องลุกขึ้นมาจากเตียง ความที่เป็นคนหลับยากตื่นง่ายสร้างปัญหาให้กับหญิงสาวไม่น้อย เธอมักรับรู้อะไรได้ไวกว่าคนอื่นทำให้ต้องสะดุ้งตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหรือสัมผัสถึงความรู้สึกผิดปกติ

คืนนี้เธอข่มตาลงไม่ได้เพราะถูกความรู้สึกกระวนกระวายรุมเร้า ภาพอสูรกายขนาดมหึมาวูบเข้ามาในสมองทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว จะว่าหวาดกลัวก็ไม่ใช่ตื่นเต้นก็ไม่เชิง เธอรู้แต่ว่าต้องออกไปดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ข้างนอกในคืนนี้เป็นสิ่งเดียวกับภาพที่เธอเห็นหรือไม่

หญิงสาวลุกขึ้นเปิดไฟแล้วเปลี่ยนชุด แสงไฟที่ลอดเข้ามาจากห้องนั่งเล่นกับเสียงกุกกักทำให้วิชชุตารู้สึกตัวตื่น หญิงสาวจึงเปิดประตูห้องนอนออกมาดูด้วยอาการงัวเงีย

“จะออกไปไหนน่ะนิ นี่มันตีหนึ่งแล้วนะ”

“ไปดูอะไรหน่อย ขอโทษนะที่ทำให้ตื่น” หญิงสาวตอบแล้วเดินไปหยิบกุญแจรถจากที่แขวนข้างผนังมาถือไว้

“ตอนนี้เนี่ยนะ จะบ้าเหรอยายนิ!” วิชชุตาแหวใส่

ทว่าเพื่อนสาวกลับไม่ใส่ใจคำเตือน นิศารัตน์ดึงดันจะออกไปให้ได้ สุดท้ายแล้ววิชชุตาเลยจำเป็นต้องเปลี่ยนชุดตามออกไปด้วย เธอเป็นห่วงว่าถ้าไปลำพังเพื่อนจะเป็นอันตราย มีเธอไปด้วยอย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกัน


บนพื้นดินสีดำตรงจุดที่ถูกขุดเอาผลึกสะกดมารออกไป ผิวดินเริ่มแปรสภาพเป็นโคลนเหลวๆ มีฟองอากาศมากมายผุดพราวขึ้นมาจากผิวดินราวกับหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดพล่าน

ไม่กี่อึดใจต่อมากระดูกสีขาวขุ่นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากใต้ดินทีละชิ้นจนเต็มพื้นที่ เมื่อกระดูกชิ้นสุดท้ายลอยขึ้นมาแล้ว แอ่งโคลนก็หยุดเดือดแล้วแปรสภาพเป็นพื้นดินธรรมดา ชิ้นส่วนกระดูกทั้งหลายเริ่มต่อเข้าด้วยกันจนเป็นโครงร่างมนุษย์

เมื่อทุกชิ้นส่วนถูกต่อติดเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แล้ว เจ้าโครงกระดูกก็หยัดตัวลุกขึ้นจากพื้น หมุนกะโหลกไปมา ขยับข้อต่อแขนขา แล้วเริ่มสอดส่ายสายตามองหาบางสิ่ง

ห่างจากตัวมันไปราวสามเมตร งูเขียวตัวเขื่องกำลังเลื้อยไปบนพื้นหญ้าก่อนจะหยุดชะงักลงไม่ห่างจากบริเวณที่โรหิตภูตยืนอยู่นัก สัญชาตญาณของมันเตือนให้รับรู้ว่ามีอันตรายอยู่ตรงหน้า ลิ้นสองแฉกแลบออกมาอย่างระวังระไว

เจ้าโครงกระดูกเองก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของงูตัวอ้วน มันกางกรงเล็บแหลมเปรี๊ยะออกมาแทงทะลุลงบนร่างของงูเขียวเคราะห์ร้ายอย่างรวดเร็ว แล้วอ้าปากฝังเขี้ยวคมลงบนเหยื่อ ตะกรุมตะกรามสูบเลือดที่ไม่ได้ลิ้มรสมานานแสนนานด้วยความหิวกระหาย

งูเขียวดิ้นทุรนทุรายไปมาด้วยความเจ็บปวด ชะตากรรมของมันคงไม่พ้นต้องจบชีวิตลงในฐานะเหยื่อรายแรกของโรหิตภูต

เมื่อได้ลิ้มรสโลหิตที่ไม่ได้ได้ดื่มกินมาหลายพันปี จากร่างโครงกระดูกไร้เนื้อหนังก็เริ่มมีชิ้นเนื้อปรากฏขึ้นมาตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

แค่งูยังไม่พอ…มันต้องการมากกว่านั้น

โรหิตภูตเริ่มมองหาเหยื่ออีกครั้ง นก หนู งู กบ ที่สามารถหาได้ในบริเวณนั้นถูกจับมาสูบเลือดจนหมดสิ้น ในที่สุดร่างกายของมันก็เปลี่ยนสภาพไปจนมีเนื้อหนังไม่ต่างไปจากมนุษย์ มันสูบเลือดจนมีพละกำลังพอที่จะล่าเหยื่อตัวใหญ่ขึ้นได้ คืนนี้มันจะต้องได้ดื่มเลือดมนุษย์อันแสนหวานอย่างหนำใจ


นิศารัตน์ขับรถจักรยานยนต์ฝ่าความมืดเข้าไปในมหาวิทยาลัยโดยมีวิชชุตาซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง แล้วสองสาวก็พบกับเรื่องไม่ชอบมาพากลเข้า เมื่อไฟฟ้าในมหาวิทยาลัยเกือบทุกจุดดับหมด ทั้งที่ปกติแล้วไม่ว่าจะดึกดื่นเพียงไรแถวนี้ก็ยังมีไฟถนนและไฟใต้ตัวอาคารแต่ละหลังเปิดไว้ แต่สำหรับคืนนี้แสงสว่างมีพอให้มองเห็นเส้นทางได้เพียงรางๆ เท่านั้น

“ไฟดับหรือไงนะ” วิชชุตาเหลียวมองรอบตัว เธอไม่ชอบความมืดกับบรรยากาศแบบนี้เลย

“ไม่รู้สิ ที่แน่ๆ มหา’ลัยเราน่าจะเปลี่ยนยามได้แล้ว ตั้งแต่ยามเฝ้าหน้าประตู ยามตึกวิทย์ฯ ยันยามตึกแพทย์ หลับกันหมด” นิศารัตน์เปรย

วิชชุตาเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน การที่พวกยามพร้อมใจกันหลับและการที่ยัยนิพรวดพราดออกมากลางดึกแบบนี้ ทำให้เธอสังหรณ์ใจชอบกลว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น

“เราจะไปไหนกันน่ะนิ”

นั่งซ้อนท้ายรถวนไปวนมาก็นานแล้ว เธอยังไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางของเพื่อนสาวอยู่ที่ใด

“ไม่รู้สิ จับทิศทางไม่ได้เลยว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่ คงต้องเข้าไปใกล้อีกหน่อยถึงจะรู้”

แรกทีเดียวเธอสัมผัสได้ถึงพลังที่รุนแรงมาก แต่พอออกมาความรู้สักนั้นกลับเลือนรางจนไม่สามารถสัมผัสได้อีก

“มันนี่คือ…ปีศาจที่เธอว่าเหรอ” วิชชุตากลั้นใจถาม

พลางภาวนาใจใจว่าขออย่าให้ใช่เลย เธอไม่อยากมีประสบการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์ไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“น่าจะนะ แต่ไม่ใช่ตัวที่ฉันอยากมาเจอที่สุด” หญิงสาวตอบแล้วชะลอความเร็วรถลง

ภาพโครงกระดูกกับซากสัตว์ตายที่ผุดเข้ามาในหัวเธอบอกว่ามันต้องอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้

“ฉันจะบ้าตายกับเธอจริงๆ เลย คิดได้ไงเนี่ยออกมาตามหาปีศากลางดึก เกิดมันทำร้ายเธอขึ้นมาไม่แย่เหรอ”

ยังเอ็ดเพื่อนไม่ทันเสร็จเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้น สองสาวจึงหันมาสบตากัน อย่างขอคำปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี

“ฉันจะไปดูเองว่าแถวนั้นเกิดอะไรขึ้น เธอรีบปลุกยามแล้วตามมานะนิ” วิชชุตาพูดขึ้น

หญิงสาวจอดรถให้เพื่อนลงตรงหน้าตึกวิทยาศาสตร์แล้วขับรถไปตามเสียงกรีดร้องที่ดังมาเป็นระยะ

แล้ววิชชุตาก็พบว่าเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากแปลงปลูกผัก เธอจึงจอดรถที่ริมถนนแล้วเปิดหยิบไฟฉายออกมาใช้เป็นเครื่องนำทาง แล้วเธอก็ต้องผงะเมื่อพบว่ามีหญิงสาวร่างกายเปลือยเปล่าคนหนึ่งนั่งชันเข่าร้องไห้อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

หญิงสาวคิดว่าผู้หญิงคนนี้อาจถูกคนร้ายข่มขืน จึงรีบเดินเข้าไปหา

“เป็นอะไรรึเปล่าคะคุณ”

ถึงจะเรียกเสียงดังแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมขยับตัวหรือเงยหน้าขึ้นมามอง วิชชุตาก็เลยเดินเข้าไปเขย่าตัวของอีกฝ่าย ร่างขาวซีดเปลือยเปล่าเย็นเฉียบเสียจนเธอต้องปล่อยมือแล้วถอยออกมา ความรู้สึกนี้เป็นแบบเดียวกับตอนที่เธอสัมผัสตัวกลุ่มหมอกสีขาวไม่มีผิด

พอเห็นว่าวิชชุตากำลังถอยห่างออกไป หญิงสาวคนนั้นก็หยุดร้องไห้แล้วหันมาสบตาด้วย แววตาสีเหลืองของเจ้าหล่อนสะท้อนวูบวาบกับแสงไฟฉาย ถ้าไม่ใช่คอนแทกต์เลนส์รุ่นใหม่ผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ใช่มนุษย์แน่ เผลอๆ อาจจะเป็นปีศาจที่นิศารัตน์บอกก็เป็นได้

วิชชุตาทั้งกลัวทั้งตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นเองเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้นในสมอง

“อย่ากลัวเลยขอรับนายหญิง มันแค่ปีศาจสูบเลือดธรรมดาเท่านั้น มันทำอะไรท่านไม่ได้หรอกขอรับ”

แสงสีฟ้าจางๆ จากกำไลวารัคคนีบอกให้รู้ว่ามันคือเจ้าของเสียงในสมองเธอเมื่อครู่

“คุณกำลังพูดกันฉันงั้นเหรอคะ” วิชชุตายกกำไลขึ้นมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เผลอลืมความกลัวไปชั่วขณะ

“ถูกแล้วขอรับนายหญิง ข้ากำลังพูดกับท่าน”

“คุณอยู่ในกำไล”

“นี่มิใช่เวลาของการสนทนานะขอรับนายหญิง ท่านรีบสังหารโรหิตภูตตนนี้ก่อนที่มันจะทำร้ายท่านดีกว่า”

สิ้นเสียงเตือนของกำไลไม่ทันไร โรหิตภูตก็พุ่งตรงมาหาวิชชุตา เขี้ยวยาวโง้งน่ากลัวโผล่ออกมาจากริมฝีปากสีแดงสดของมัน เป็นสัญญาณว่ามันเริ่มเอาจริง

วิชชุตาเบี่ยงตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด หญิงสาววิ่งหนีการไล่ล่าของโรหิตภูตไปรอบบริเวณนั้น วิ่งไปร้องถามกำไลไปว่าจะจัดการผีดูดเลือดนี่ได้อย่างไร ทว่าวารัคคนีก็พูดวกไปวนมาเหลือเกิน ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจเสียที

“เรียกใช้พลังจากกายท่านสิขอรับ”

“พลังอะไร ฉันไม่มีอะไรอย่างนั้นหรอก”

“มีสิขอรับ พลังแห่งเทพไงขอรับ แค่รวบรวมสมาธิแล้วปล่อยพลังออกไป”

วิชชุตาลองเรียกพลังออกมาจากตัวอย่างที่กำไลบอกแต่ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ จนเริ่มจะเหนื่อยหอบ ขืนวิ่งอยู่อย่างนี้ต่อไปเธอคงหมดแรงแล้วกลายเป็นเหยื่อมันแน่ หญิงสาวจึงตัดสินใจวิ่งหนีไปที่รถ ทว่ากลับควานหากุญแจในกระเป๋าไม่พบ เธอคงทำมันหล่นหายตอนกำลังตกใจ

ตอนนี้หญิงสาวกับโรหิตภูตอยู่ห่างกันไม่กี่ช่วงก้าว วิชชุตาจึงจำต้องทิ้งรถเปลี่ยนมาเป็นใช้เท้าวิ่งหนีอย่างเดิม

“ช่วยด้วยค่ะ…ช่วยด้วย!” หญิงสาวตะโกนสุดเสียงแต่ก็ไร้การตอบรับ รอบตัวเธอว่างเปล่ามองไม่เห็นใครเลย

“ร้องไปก็ไม่มีใครมาช่วยหรอกขอรับ ผู้คนที่นี่ถูกมนตร์สะกดให้อยู่ในนิทรารมณ์กันหมดแล้ว” วารัคคนีบอก

มันสัมผัสได้ว่ามีผู้มีอำนาจกล้าแข็งร่ายมนตร์ไว้รอบบริเวณนี้ หากไม่ใช่ผู้มีอำนาจวิเศษจะถูกมนตร์สะกดให้หลับใหล

“มิน่าล่ะหลับกันหมดเลย แล้วใครจะช่วยฉันล่ะทีนี้”

“ท่านก็ใช้พลังท่านสิขอรับ”

“ฉันลองแล้วนี่นาแต่ก็ทำไม่ได้” หญิงสาวแย้งแต่กำไลก็ยังเซ้าซี้ให้เธอลองทำสมาธิดูอีกที

สารภาพตามตรงเลยว่าถ้ายังวิ่งอยู่อย่างนี้ เธอไม่มีทางทำสมาธิได้แน่ ถ้าให้นั่งหรือยืนอยู่เฉยๆ ก็ว่าไปอย่าง

หญิงสาววิ่งหนีมาจนเกือบถึงหน้าตึกวิทยาศาสตร์ เธอก็เห็นนิศารัตน์ปั่นจักรยานตรงเข้ามาหา

“ขึ้นมาเร็วฟ้า” นิศารัตน์ตะโกนบอก

หญิงสาวมองเห็นคนแก้ผ้าวิ่งตามหลังเพื่อนมาแต่ไกล ถ้าไม่เห็นเขี้ยวคมกริบของปีศาจสาวเธอคงหัวเราะตัวงอเพราะคิดว่าเพื่อนถูกคนบ้าวิ่งไล่

ตอนแยกกับวิชชุตาเธอพยายามปลุกยามสุดความสามารถ แต่ปลุกเท่าไรยามก็ไม่ยอมตื่น โทรเรียกหนึ่งเก้าหนึ่งสายก็ไม่ว่าง เธอเลยถือวิสาสะใช้จักรยานที่จอดอยู่แถวนั้นปั่นไปหาเพื่อน

“เร่งหน่อยนิ มันตามมาจะทันแล้ว”

ได้ฟังนิศารัตน์ก็เร่งปั่นจักรยานสุดกำลัง พอทิ้งห่างโรหิตภูตออกมาไกลราวสิบเมตร มันก็หยุดวิ่งตามแล้วงอตัวลง วินาทีนั้นเองปีกลักษณะเหมือนปีกค้างคาวก็ผุดออกมาตรงกลางหลังของมัน โรหิตภูตสะบัดปีกสองสามทีแล้วทะยานตัวเองขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งตรงมาที่สองสาวอย่างรวดเร็ว

“เหมือนตัวที่ฉันเห็นเลยแต่ที่เห็นไม่มีปีกแฮะ สงสัยมันจะเลเวลอัพ” นิศารัตน์หันมามองอย่างสนใจ ความเร็วรถจักรยานจึงตกลง

“อย่าหยุดสินิ มันบินตามมาแล้ว”

เจ้าตัวที่อยู่บนฟ้าบินเร็วมาก ไม่ถึงนาทีมันต้องไล่ตามพวกเธอทันแน่

“ลองทำสมาธิเรียกพลังมาที่มือ แล้วปล่อยออกไปสิขอรับ” วารัคคนีเอ่ยแนะนำ

วิชชุตาจึงหลับตาลงแล้วรวบรวมสมาธิแบบจริงจัง ในที่สุดหญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังที่อัดแน่นอยู่ในกาย คลื่นพลังนี้ไหลออกมาจากแกนกลางของร่างแล้วมารวมกันอยู่ที่ฝ่ามืออย่างช้าๆ

แม้จะรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่มี แต่มันก็น้อยนิดจนเธอคิดว่าคงไม่สามารถทำอันตรายปีศาจตนนี้ได้ สัญชาตญาณบอกให้เธอรอ แล้วค่อยปล่อยพลังออกมาทีเดียวในจังหวะที่โรหิตภูตบินเข้ามาใกล้

“นิหยุดรถ” วิชชุตาสั่งเพื่อน แล้วกระโดดลงมา เธอยกมือขึ้นเล็งไปที่เป้าหมายแล้วคลายมือปล่อยพลังออกมาสุดความสามารถ

รัศมีสีฟ้าเหมือนลำแสงของไฟฉายพุ่งออกมาจากฝ่ามือของวิชชุตา มันทะลุผ่านปีกของโรหิตภูตส่งผลให้เจ้าปีศาจร่วงลงมากระแทกพื้นเสียงดัง ‘อั๊ก!’

โรหิตภูตกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด สิ้นเสียงร้องมันก็นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ปีกสีเนื้อน่าเกลียดผลุบหายไปจากหลังของมันพร้อมๆ กับคมเขี้ยว แล้วร่างกายของมันกลับไปเป็นมนุษย์ผู้หญิงเหมือนอย่างที่วิชชุตาเห็นในตอนแรก

“ว้าว! ปีศาจของแท้เลยนะเนี่ย”

นิศารัตน์หันไปมองด้วยอาการตื่นเต้นยินดี เธอไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด กลับดีใจเสียมากกว่าที่ได้เจอกับปีศาจอย่างไม่คาดฝัน

วิชชุตาถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วเธอก็หันไปเล่นงานตัวต้นเหตุที่พาเธอมาเจอประสบการณ์ขวัญผวาและเกือบๆ จะถึงฆาตกลางดึก

“ต่อไปนี้เธอห้ามออกมาดูอะไรอย่างนี้เด็ดขาดเลยเข้าใจไหม รู้รึเปล่าถ้าเรียกพลังออกมาไม่ได้ทั้งเธอทั้งฉันได้กลายเป็นมื้อดึกของยายผีดูดเลือดนี่แน่”

“รู้แล้วค่ะแม่ฟ้า ลูกนิผิดไปแล้วอย่าโกรธเลยนะ” นิศารัตน์ตีหน้าทะเล้นแล้วยกมือไหว้ขอโทษเพื่อน

“ให้จริงอย่างที่พูดนะยะ อย่าดีแต่รับปาก” วิชชุตาเอ่ยสำทับเสียงเข้ม

ทันใดนั้นเองร่างของโรหิตภูตที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นก็ลุกพรวดขึ้นมากระโจนเข้าใส่วิชชุตาโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว

“ระวัง! ” นิศารัตน์ร้องเตือน เธอปราดเอาตัวเข้ามากันร่างของเพื่อนไว้

ทันใดนั้นเองลำแสงสีฟ้าจากกำไลก็เฉี่ยวผ่านไหล่ของนิศารัตน์ไป มันเผาร่างของโรหิตภูตจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

วิชชุตามองเถ้าที่ถูกพัดหายไปกับสายลมตาค้าง ครั้งนี้เธอยังไม่ทันได้รวบรวมสมาธิอะไรเลย ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ากำลังถูกทำร้าย ทำไมเธอถึงทำให้ปีศาจกลายเป็นผงได้ ทีรวบรวมพลังแทบตายยังทำได้แค่ทำมันสลบไปเท่านั้นเอง

ความสงสัยของวิชชุตาถูกไขข้อข้องใจโดยวารัคคนี อาวุธเทพอธิบายให้ฟังว่าเมื่อครู่เป็นพลังอำนาจจากตัวมันเอง และยังอธิบายอีกด้วยว่าหน้าที่ของมันก็คือปกป้องผู้เป็นนายยามมีภัย

“แล้วทำไมคุณไม่ช่วยฉันตั้งแต่แรกล่ะ ปล่อยให้ฉันวิ่งหนีแทบตาย” วิชชุตาอดแหวออกมาไม่ได้

“นายหญิงไม่ได้สั่งนี่ขอรับ” วารัคคนีตอบหน้าตาเฉย

ฟังแล้ววิชชุตาก็เริ่มจะปวดหัวตุ๊บๆ ช่วงสองสามเดือนมานี้เธอเจอแต่เรื่องประหลาด ไหนจะผี ไหนจะปีศาจ แล้วยังมีกำไลพูดได้ที่พูดภาษาคนไม่ค่อยจะรู้เรื่องเพิ่มมาอีกหนึ่ง

“ข้ามิได้แกล้งนะขอรับ แต่ข้าเป็นเพียงข้าช่วงใช้ของท่านเท่านั้น มีสิทธิ์แสดงอานุภาพได้ยามนายหญิงมีภัยถึงชีวิต นอกจากการณ์นี้แล้วข้าก็มิบังอาจทำการอันใดที่เป็นการลบหลู่เบื้องสูง” เจ้ากำไลพูดราวกับอ่านความคิดของวิชชุตาออก

“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณคุณมากนะคะ” หญิงสาวรีบตัดบทก่อนจะต้องมึนกับภาษาลิเกผสมงิ้วของวารัคคนีไปมากกว่านี้

ใจจริงหญิงสาวมีเรื่องอยากถามวารัคคนีอีกมาก แต่คงต้องรอให้กลับไปที่หอพักก่อน เธอเริ่มกลัวว่าจะมีตัวประหลาดอะไรโผล่ออกมาอีก

“รีบกลับกันเถอะนิ” หญิงสาวว่าแล้วดึงมือเพื่อนสาวจอมอยากรู้อยากเห็นให้ออกมาจากที่ตรงนั้น

สองสาวตั้งใจจะใช้จักรยานที่นิศารัตน์ยืมมาเป็นพาหนะไปก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยเอามาคืนจะได้แวะมาเอารถจักรยานยนต์ที่จอดทิ้งไว้ด้วย ทว่าพอปั่นจักรยานมาถึงตึกวิทยาศาสตร์ สองสาวก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่ารถที่จอดทิ้งไว้ที่แปลงผัก ถูกนำมาไว้ที่หน้าตึกอย่างเรียบร้อย ทั้งยังมีกุญแจเสียบคาเอาไว้ให้ด้วย

“ผีหลอกอีกแล้วเหรอเนี่ย” มองรถแล้ววิชชุตาก็รู้สึกเข่าอ่อนอย่างห้ามไม่อยู่ เธอเจอเรื่องผีมาหนักพอแล้ว ให้เจออีกเห็นทีจะไม่ไหว

“อย่ามองโลกในแง่ร้ายอย่างนั้นสิ อาจจะมีผีหนุ่มใจดี แอบช่วยเราอยู่ก็ได้” นิศารัตน์ว่าแล้วตรงไปสตาร์ทรถแล้วเร่งเครื่องพาเพื่อนสาวออกไปจากบริเวณนั้น

คล้อยหลังสองสาวเหนือขึ้นไปบนยอดไม้สูง คนที่ถูกเรียกว่าผีหนุ่มใจดีกำลังระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ

ทุกฉากการต่อสู้ของวิชชุตากับโรหิตภูตล้วนอยู่ในสายตาของบุรุษในร่างโปร่งแสงผู้นี้ เขาเป็นผู้สะกดทุกคนให้หลับไปเพราะตั้งใจจะมาปราบโรหิตภูต เขาบังเอิญเห็นหญิงสาวเข้ามาในอาณาเขตเวทของตนเสียก่อน จึงเฝ้ามองหญิงสาวจากระยะไกลอย่างเงียบๆ

เมื่อเห็นว่าวิชชุตาสามารถจัดการกับปีศาจได้ ชายหนุ่มก็ปรบมือให้และกล่าวแสดงความชื่นชมออกมา

“ไม่เลวเลย ใช้พลังได้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ระลึกอดีตชาติ สมแล้วกับที่เป็นเทวีแห่งสายฟ้า”



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.พ. 2555, 20:07:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.พ. 2555, 20:07:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1902





<< ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 2 ผลึกสะกดมาร   ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 4 เทวตำนาน >>
Zephyr 18 ก.พ. 2555, 20:30:15 น.
ประโยคสุดท้ายนี่ หนึ่งในขวัญใจเค้าพูดเลยนะ
โรหิตภูตนี่แอบสยองอ่ะ แหวะ ดีนะ ตอนอ่านแค่หัวค่่ำ ยังไม่ดึกมาก
ถ้าดึกกว่านี้ อึ้ยยยยย ไม่อยากจะคิด สยอง อ่าาาา


นิชาภา 18 ก.พ. 2555, 20:34:17 น.
คุณ Neferreti ฉากนี้ได้ไอเดียมาจากตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ดึกๆ ไปกับเพื่อนค่ะ สมัยนั้น มน ยังไม่ขยายเท่านี้ แบบว่ารกไปหมดมีแต่ป่าหญ้า แล้วหอที่อยู่นี่ก็อึมครึมได้ใจมาก เป็นหอนอก ไอ้ที่บอกว่ามีต้นโพธิ์แล้วมีศาลนี่เรื่องจริงนะคะ 5555 รูมเมทที่ชื่อเรเป็นคนหาค่ะหอนี้ แบบว่าพ่อแม่รู้จักกันเค้าก็เลยจับมาอยู่ด้วยกัน แต่กลายเป็นว่าอยู่ได้เทอมเดียวชีเผ่น บอกว่ากลัว ทิ้งเราให้อยู่ตามลำพัง ไอ้เราก็ขี้เกียจย้ายหอเลยอยู่ไป มีเจออะไรแปลกๆ ให้ได้อึ้งบ้าง แต่ก็ยังอยู่ต่อจนเรียนจบ กร๊ากกกกก ความขี้เกียจชนะความกลัวผี


Auuuu 18 ก.พ. 2555, 20:35:01 น.
เปลี่ยนนางเอกเป็นนิแทนละกันนนน :"D


นิชาภา 18 ก.พ. 2555, 20:40:22 น.
คุณ Auuu ฟ้าโดนเก็บค่ะ คนเขี่ยนลำเอียงจัด จริงๆ แล้วพล็อตเก่ามันมีสามภาคค่ะ ภาคแรกจะเป็นวิชชุตาเทวีแบบจัดเต็ม ภาคสองจะเป็นของนิหมดแล้ว แล้วภาคสุดท้ายจะเป็นภาคมหาสงคราม แต่นิก็ยังเด่นอยู่ดีล่ะนะ เอิ๊กกกก


Zephyr 18 ก.พ. 2555, 20:47:52 น.
แหม เป็นเรานะถ้าเพื่อนไม่อยู่เราก็ไม่อ่ะ ไปไหนไปด้วย


Auuuu 18 ก.พ. 2555, 20:48:30 น.
ฮ่าๆๆ นิน่ารัก ชอบบุคลิกแบบนิ อยากอ่านทุกภาคเลยยยย ^^


เพลา 18 ก.พ. 2555, 20:54:42 น.
บุรุษในร่างโปร่งแสงเนี่ยคงเป็น วายุเทพ ชิมิ อิอิ มีเทพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่หนูนิเนี่ยใช่เทพหรือป่าวนะ


นิชาภา 18 ก.พ. 2555, 20:59:23 น.
คุณ Neferretti แรกๆ ก็ว่าจะย้ายตามเหมือนกันค่ะ แต่ว่าเสียดายค่าประกัน เลยลองอยู่คนเดียวก่อนสักเทอม เอาไปเอามาอยู่คนเดียวเขียนนิยายได้เยอะแฮะ ไม่มีคนชวนเมาท์ เลยอยู่คนเดียวมาตลอดน่ะค่ะ ^O^

คุณ Auuuu ถ้ามีวาสนาจะรื้อใหม่หมดเลยค่ะ แล้วรีไรท์เขียนใหม่ให้มันอลังการขั้นเทพไปเลย ตอนนี้อรหมดสัญญา อีกสองสามปีละนะ

คุณเพลา ใช่แล้วค่ะ เขาคือวายุเทพ ส่วนนิจะเป็นเทพไหม ไม่เฉลยค่า เพราะอีกเว็บก็ยังไม่เฉลย เดี๋ยวสปอย หุๆๆ


เพลา 18 ก.พ. 2555, 21:17:37 น.
ใช่ๆ อยากอ่านทุกภาคเลย ตอนนี้เรื่องน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆแล้ว ลุ้นๆว่าจะมีเทพอะไรโผล่มาอีก ที่สำคัญเมื่อไหร่พระเอกจะมาซะที ถ้ามาช้านะจะเชียร์ให้วายกะนิซะเลยฮ่าๆๆๆ


นิชาภา 18 ก.พ. 2555, 21:30:36 น.
คุณเพลา เรื่องนี้ไม่มีพระเอกค่ะ 5555 ไม่ใช่ละ มีแต่แทบไม่มีบท ปล่อยเค้าไปเหอะค่ะ เรามาวายกันดีกว่า(ซะงั้นอ่ะ)


เพลา 18 ก.พ. 2555, 21:50:57 น.
อิอิ ถ้าให้จิ้นวายก้อ ฟ้ากะนิ แล้ววายุเทพ เนี่ยจะมีคู่วายป่าว ฮ่าๆๆ วายกันให้กระจาย


อสิตา 18 ก.พ. 2555, 21:58:23 น.
แอบอ่านที่คุณนิชาภาคุยเรื่องชอบเขียนแฟนตาซีในกระทู้ก่อนค่ะ... หัวอกเดียวกันเลย แต่ตอนนี้เราอั้นแฟนตาซีไม่ไหวแล้วค่ะ เลยกะว่าจะไม่เขียนนิยายรักธรรมดาอีกต่อไป ^^มาเป็นกำลังใจให้นะ แฟนตาซีจงเจริญ เดี๋ยวจะอ่านเรื่องนี้ด้วย อ่านตามทันแล้วจะมาเม้นต์นะคะ ลงชื่อไว้ก่อน


Auuuu 18 ก.พ. 2555, 22:44:18 น.
ถ้ารื้อแล้วบอกกันมั่งนะคะ ชอบๆๆ นิยายแฟนตาซี ชอบจินตนาการ


นิชาภา 18 ก.พ. 2555, 23:14:34 น.
คุณเพลา วายุเทพมีค่ะ แอบสปอยนิดๆ แล้วก็ไป หุๆๆ

คุณอสิตา จับมือเขย่าๆ แล้วกอดแน่นๆ หนึ่งที อิจฉาท่านยิ่งนักโดดไปเขียนได้เลย ของเรายังมีปากท้องที่ต้องดูแล กัดฟันเขียนแนวปกติต่อไป (ปาดน้ำตา)

คุณ Auuuu อาจจะเข็นแฟนตาซีเรื่องอื่นออกมาแทนก่อนอ่ะค่ะ เอาแบบโรแมนติกแฟนตาซี ให้เราหายอยากไปได้บ้างแทน


อสิตา 18 ก.พ. 2555, 23:33:36 น.
TwT ไม่หรอกค่ะ ตอนนี้ไส้แห้งอยู่นะ... แต่พยายามบอกคนอ่านว่า เรื่องที่นำเสนอก็มีรักที่ไม่แพ้เรื่องรักปกติ แต่บางทีก็ต้องหลอกคนอ่านกลายๆ ว่าไม่ค่อยแฟนตาซีเท่าไหร่ ให้เขายอมอ่านก่อน พอติดแล้วก็เลิกไม่ได้เอง (นั่น...)


นิชาภา 18 ก.พ. 2555, 23:43:13 น.
คุณอสิตา ฮา เป็นแผนการที่แยบยลขั้นเทพมากค่า แอบจำไปใช้บ้างดีกว่า 5555 ของเราก็มีโรแมนติกแฟนตาซีต้องเขียนเหมือนกันค่ะ แต่งานเยอะมากเลยช่วงนี้ (โลภ)ไปรับปากเค้าไว้ยังไม่เสร็จสักเรื่องเลยค่ะ เดทไลน์ 20 มีนา เพิ่งได้แค่ 12 หน้าเอง ปาดเหงื่อ T^T เขียนเผื่อด้วยนะคะ เคลียร์ตัวเองแล้วจะไปเขียนด้วย ^O^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account