นิทานธารา
อยากเปิดม่านฟ้า ให้คนเรามองเห็นอะไรบางอย่างจากดวงดาวที่ทอแสงลงมา
ได้เห็นภาพความรักที่ต่างออกไป ...ว่าแม้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
หรือใบไหนๆ พวกเราล้วนไม่ต่างกัน

Tags: โลกเก่า อความารีน่า ลารีน่า รูบีส ดอน เงือก เจ้าชาย เจ้าหญิงจากดวงจันทร์ ชาวประมง

ตอน: :เรื่องชุดในคืนแห่งดาวใต้เงาจันทรา: : บทที่ ๑ ถึงโลกที่จากมา{ตอนแรก}

คุณ ฮอบบิท
โผล่มาแล้วหรือคะ คุณฮอบบิทเคยมาทักทายตอนลงมายาไฟฯ แรกๆ
ยังไงก็แวะมาอีกนะคะ หุหุ

คุณ Chii (^^มาจาก แมวชี่สวีทโฮม รึเปล่าคะ? )
ตัวเอกเรื่องนี้เป็นเงือกค่ะ แต่ไม่ใช่เงือกแบบธรรมดานะ ยังมีอะไรอีกมากมายซ่อนอยู่
แล้วก็ไม่ใช่นิทานแบบซอฟท์ๆเสียด้วยสิ >.<
ป.ล. อัคนิกับชามัลจริงๆก็แอบวาย เฆี่ยนตีกันไป ปากบอกว่าเกลียด
แต่สายตาที่มองสบกันมันแสนจะเร่าร้อน

คุณ เนเฟอร์เรตตี(เรียกซะเต็มยศ)
อย่างที่บอกไป เป็นจินตนิยายที่มีครบรสละมังคะ ต้องใจเย็นหน่อย แต่รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน
พี่มิ้งค์ฝากมาเย้ย บอกว่าอัคนิติดกลิ่นสกั๊งค์แบบรุนแรงแล้ว เพราะนอนกอดกันนานเหลือเกิน
เห็นทีจะล้างไม่ออกตลอดชีวิตละ

คุณ เมล็ดทานตะวัน
ใช่ค่ะ เคยลงในพันทิป แต่ลงไปได้หน่อยก็หยุด ท่าทางจะมีอาถรรพ์
ไม่หรอก... มีงานอื่นมาขวางทุกทีทำให้สะดุดไปน่ะค่ะ TwT

คุณ หมูอ้วน
กอดดดดด แค่มาอ่านก็ดีใจแล้วค่ะ งานยุ่งเหรอคะ พยายามเข้านะ คนเขียนก็งานยุ่งเหมือนกัน
/ซับน้ำตา



















บทที่ ๑ ถึงโลกที่จากมา


นิทานของอดัมจบไปแล้ว ต่อไปนี้เป็นนิทานของผมบ้าง
จุดเริ่มต้นของนิทาน ซึ่งอาจมีทั้งเศร้า ทุกข์ สุข รอยยิ้ม น้ำตา
ทุกสิ่งแสดงออกมา เห็นไปจนถึงภาษาแห่งใจ

พวกเราต่างก็ไม่คิดว่าชีวิตของตนเองจะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้
เรื่องราวยิ่งใหญ่ดำเนินไป นิทานแห่งการเดินทางข้ามผ่านจักรวาล
จากจุดกำเนิด สู่บ้านใหม่... แต่จุดสิ้นสุดนั้นเล่า ไม่มีใครล่วงรู้

เรื่องราวเหล่านี้อาจยาวเกินกว่าที่ใครบางคนจะเป็นผู้เล่ามันทั้งหมด
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมขอเป็นผู้เริ่ม เมื่อเวลาผ่านไปนับร้อย นับพัน
หรือถึงหมื่นปีหลังจากเรื่องของผม เรื่องเล่าของสรรพสิ่งก็จะยังดำเนินไปอีก
ทุกอย่างที่ว่าก็มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน...น้ำ
มารดาของสรรพชีวิตแห่งดวงดาว ผมชอบประโยคที่ว่านี้มาก

พงศ์ธารา นามสกุลซึ่งมีความหมายว่าสกุลอันกำเนิดแต่น้ำ
เป็นภาษาไทย ต้นตระกูลเก่าแก่ของผมที่ยังพอสืบสาวขึ้นไปได้
ตอนนี้เราแยกเป็นแค่ชาวเอเชียตามลักษณะโดยรวม แต่ความหมาย
ของนามนี้คือพวกเราทั้งหมด ไม่ใช่แค่ตัวผม หมายถึงเหล่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูง
ที่เดิมก็กำเนิดจากน้ำเหมือนกันกับสิ่งมีชีวิตอื่น เราพัฒนามาจนแตกต่าง
มีมันสมองรวมอยู่ในหัวใจเช่นคนอย่างเราๆ ท่านๆ แต่ถึงจุดหนึ่งอาจไม่ถือ
เป็นพวกเดียวกัน ต่อเมื่ออวัยวะทั้งสองส่วนนี้แยกจากกัน

ด้วยความพิการทางใจแต่กำเนิด หรืออุบัติเหตุระหว่างการเติบโต


ภายใต้โดมกระจก เมื่อหลับตาพักจากงาน เราเคยจินตนาการไปว่า
อยู่ท่ามกลางอวกาศพร่างหมู่ดารา ดาวนับล้านดารดาษเกลื่อนไป
มากมายเสียยิ่งกว่าเม็ดทรายบนชายหาดริมฝั่งมหาสมุทร

ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ผมกับอดัมมักจะนั่งทำงานกันสองคนในห้อง
ลึกลงมาใต้ดิน โดยไม่มีใครมารบกวน อ้อ นอกจากมอร์แกน
พวกเราได้รับสิทธิในฐานะ อัจฉริยะ... เป็นเช่นนั้นมายาวนาน
แม้จะรู้เต็มอกว่างานที่เรากำลังคร่ำเคร่งอยู่นั้นสืบเนื่องมาจาก
ความฉุกละหุกโกลาหนเพียงใดที่เบื้องบน เราต้องใจเย็น
เพราะเมื่อไหร่ที่ใจร้อนขาดสติ ก็ไม่อาจคิดอะไรดีๆ ออกมาได้

ตั้งแต่ศตวรรษที่ ๒๐ พื้นที่อันตรายของโลก ริง ออฟ ไฟร์ หรือ วงแหวนไฟ
พินาศสิ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวแห่งพระแม่ธรณี ...เป็นเหตุสุดวิสัย ?
แน่ใจหรือว่าทุกอย่างเกิดขึ้นโดยน้ำมือของธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว

เพียงผีเสื้อกระผือปีกยังสามารถสั่นสะเทือนถึงอีกซีกโลก ประสาอะไร
กับการกระทำของมนุษย์จำนวนนับล้านล้านล้านที่กระหน่ำทำร้ายโลก
ทั้งในยามปกติ ทั้งก่อสงครามย่อยๆ ต่อเนื่องยาวนานสืบมาเป็นพันพันปี
สงครามโลกครั้งที่สามอาจไม่สามารถนับได้ว่าเกิดเมื่อไหร่
แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะจบลงตรงไหนอีกเหมือนกัน

เมื่อเกิดมาบนโลกใบนี้ คงต้องมีสักครั้งหรือหลายครั้งที่จะได้ยินคำพูด
กรอกหูว่าไม่มีปัญหาอะไรแก้ไขไม่ได้ โดยแม้แต่ผู้พูดเองในเวลานั้น
อาจจะไม่ได้เชื่อตามคำกล่าวที่ว่าจากปากตนเลยด้วยซ้ำ

เขาเพียงแค่อยากให้เราสู้ ไม่อยากให้ละทิ้งสิ่งที่เรียกว่า “ความหวัง”
บางครั้งมันจะมีเหลืออยู่น้อยนิด อย่างกับน้ำเพียงไม่กี่หยดที่ติดอยู่ก้นขวด
ก็ยังอยากจะเขย่า เค้นคั้นออกมาให้ได้จนหยดสุดท้าย

แต่มนุษย์จะยังพูดคำว่ามีหวังได้หรือเปล่า
เมื่อยามฟ้ามิได้เป็นสีฟ้าอีกต่อไป... เมื่อยามที่น้ำกลายเป็นสีโคลน...
และมวลพืชทั้งหลายหงิกงุ้มดำไหม้ ไม่อาจเติบโตเชิดกิ่งก้านใบขึ้นอวดสีเขียวรับแสงตะวัน
ที่บัดนี้ดูราวกับเปลวเพลิงจากขุมนรก มิอาจเป็นความหวังของมวลหมู่ชีวิตบนโลกดังเดิมได้อีก

งานของเราจบลงแล้ว อย่างน้อยก็สำหรับที่นี่ บนโลก ไกอาผู้เป็นมารดา...
ยานอพยพค่อยๆ ทยอยจากไป แต่คนที่ได้ไปกับยานน่ะหรือ มีจำนวนเพียง
ไม่เท่าไหร่ ประชากรโลกส่วนมากถูกทิ้งให้แห้งตาย เน่าไปพร้อมๆ กับโลกใบนี้

เป็นความล้มเหลวของมวลมนุษยชาติที่จะก้าวไปถึงจุดซึ่งสามารถสร้างอาณานิคมใหม่
ยังแดนดาวอันไกลโพ้นฟ้า พวกเขาไม่โชคดีขนาดนั้น ทั้งมีเวลาไม่พอ นักวิทยาศาสตร์
จำนวนแค่กระหยิบมือไม่เร็วพอจะสู้กระบวนการทำลายตนเองที่ดำเนินมาอย่างไม่หยุดยั้ง
โดยน้ำมือคนบนโลกซึ่งดูจะมีพลังงานและเรี่ยวแรงแข็งขันกว่ากันสักหมื่นสักแสนเท่า

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มสุดท้ายยังรั้งอยู่เพื่อคุมการอพยพของยาน ซึ่งคาดว่าคงจะเป็น
งวดสุดท้ายเช่นกัน ส่วนคนที่ไม่มีโอกาสขึ้นยานนั้นช่างน่าสมเพชนัก เพราะพวกเขา
คงไม่มีทั้งปัญญา ทั้งกำลังสร้างยานที่จะพาเอาตัวรอดพ้นไปจากขุมนรกอันแรงร้อนนี้ได้อีกแล้ว

ยานลำสุดท้ายในขบวนกำลังจะออก ลาก่อนโลก ลาก่อนมาตุภูมิ... ลมแรงร้อนจัดพัดมา
รู้สึกได้ผ่านชุดป้องกันรังสี กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นในใจราวกับได้สัมผัสจากมือแม่

ผมกำลังจะก้าวขึ้นยานพร้อมเพื่อนสนิทคนเดิมนามอดัม แต่แล้วก็รู้สึกว่าฝ่ายนั้นหยุดนิ่ง
มิได้ก้าวตามมา แล้วทำไมเขาไม่ขึ้นไปเดินนำหน้าเหมือนอย่างเคยล่ะ ตามนิสัยที่ชอบนำ
คนอื่นของเพื่อนคนนี้ เขานำเพื่อจะปกป้อง เพื่อที่จะรับอันตรายทั้งปวงที่อาจเกิดขึ้นก่อนใคร

ผมคิดกับตัวเองอย่างขำๆ ตลอดเวลาใครๆ ก็ลอบพูดกันว่า ดร.อดัม กรีนแมน
เป็นคนเดียวที่มักจะก้าวนำหน้า ดร.วิศรุต พงศ์ธารา ไปได้เสมอ ผมไม่ริษยา
แต่อุ่นใจยามมีเขาอยู่ข้างหน้าด้วยซ้ำ เพราะผมรู้ว่าตัวเองจะปลอดภัยหากมีมือของอดัม

“อยากตกยานหรือไง คุณหัวหน้า...” ผมหันไปกระตุ้น แต่แล้วกลับเริ่มรู้สึกเอะใจ
ด้วยสีหน้าของเพื่อนในยามนี้แทนคำพูดอย่างชัดเจนว่าเขากำลังคิดอะไร
ความลังเลใจในนาทีสุดท้าย สิ่งที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุด

“มาคิดๆ ดูแล้ว ผมไม่ไปดีกว่า คุณไปเถอะวิศรุต...”

“ล้อเล่นหรือไง” ผมถามเขาเสียงเบา ทั้งที่รับรู้ได้จากคำพูดกระทั่งแววตาของคนตรงหน้า
ว่าสิ่งที่อดัมแสดงออกในเวลานี้นั้น หาใช่ความลังเลใจอย่างที่ผมคิดแต่แรก
ทว่าเป็น ความมั่นใจ...

“ผมแอบคิดมาตลอด การไปจากที่นี่ มันไม่ใช่ความหวังอย่างที่หลายคนคิด
คุณก็รู้ดีเท่าๆ กับผม เราไม่ได้จะไปยังโลกใหม่เหมือนในฝัน แต่กำลังมุ่งไปสู่
อนาคตที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง เรียกว่าลอยไปตามยถากรรม ตามบุญตามกรรม”

“จะไม่รับผิดชอบพวกลูกยานเลยหรือในฐานะกัปตัน พวกเราต้องไป...ก็เพราะที่ตรงนี้
มันไม่มีหวังแล้ว” ผมพยายามหว่านล้อมเพื่อน

“ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบ... แต่การละทิ้งโลกของเราไปนี่สิ ผมยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นการ
ไม่รับผิดชอบยิ่งกว่า เป็นการหนีปัญหาอย่างน่าสมเพช ผมคิดแบบนี้มาตลอด
คุณเองก็รู้ เหมือนเวลาที่คนรักกำลังจะตาย เราควรจะอยู่เคียงข้าง หรือว่าละทิ้งไป”

“แล้วบนยานล่ะ ไม่มีคนที่คุณรักเลยหรือไง”
ผมมองเขา อัดอั้นเหมือนก้อนอะไรบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกอยู่ในอก

“มันไม่เหมือนกัน” อดัมส่ายหน้า “...ใครๆ ก็ว่าเราเป็นอัจฉริยะ ชื่นชมกันมาทั้งชีวิต
ถ้าผมจะขอใช้ความฮึกเหิมที่ได้จากคำเยินยอนั้นมาเป็นพลังในที่ซึ่งคนอื่นอาจคิดว่า
ไม่มีหวัง มันก็น่าจะดีนะ ส่วนคุณ ต้องไปต่อเพื่อสร้างความหวังอันใหม่ให้กับเหล่าคนที่
รออยู่บนยาน เราต้องแยกกันไป ...รู้ไหมวิศรุต สมัยเด็กๆ ก่อนเราจะรู้จักกันเสียอีก
ครูคนหนึ่งที่ผมรักมากเคยสอน ตราบใดยังไม่ตายก็อย่าทิ้งความหวัง ความหวังของใครๆ
อาจอยู่ในอวกาศ ดวงดาวอันไกลโพ้น แต่สำหรับผม...ขอเริ่มความหวังครั้งสุดท้ายบนโลก
ซึ่งทุกๆ คนเชื่อว่ากำลังตายจากไป อย่างน้อยผมก็อยากอยู่ช่วยคนมากมายที่ยังตกค้างอยู่ที่นี่”

“อดัม...คุณคิดจะอยากเป็นพ่อของมนุษย์ทุกคนบนโลกเหรอไง พวกนั้นน่ะ
ไม่ได้เห็นค่าของคุณหรอก อาจจะอยากโห่ไล่ด้วยซ้ำ เหมือนกับที่แต่ก่อน
พวกเขาไม่เคยเห็นค่าใครก็ตามที่ออกมาพูดเพื่อให้โลกนี้มันสะอาดขึ้น
ไม่ว่าจะในแง่กายภาพ หรือจิตวิญญาณ” ผมส่ายหน้าให้เพื่อน ใจหายจน
อยากเข้าไปดึงแขน ฉุดกระชากลากถูให้ขึ้นยานด้วยกัน หรือแม้กระทั่งใช้ยาสลบ
แต่หนักใจตรงที่ความนับถือกันมีมากกว่านั้น...

“ถึงแม้ว่าโลกนี้มันจะบ้า แต่ก็เป็นโลกของเรา...” อดัมยิ้ม ทำท่าคล้ายอยากเอามือ
ล้วงกระเป๋ากางเกง แต่เผอิญว่าชุดรัดกุมที่เราสวมอยู่ในตอนนี้ไม่มีกระเป๋า
เขาดึงตรากัปตันออกจากออกเสื้อ แปะมันลงที่ตรงหน้าอกข้างซ้ายของผม
ตำแหน่งที่หัวใจกำลังสูบฉีดสายธารแห่งชีวิตไปหล่อเลี้ยงกายซึ่งกำลังสั่นน้อยๆ

ผมยังมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนอยู่นาน จนเสียงสัญญาณเตือนเริ่มเร่งให้ขึ้นยาน
“ถ้ามอร์แกนรู้ว่าผมปล่อยให้คุณอยู่ที่โลกอย่างนี้ คนที่เธอจะเอาตายก็คือผม”
กระนั้นเท้าทั้งสองของผมก็พาตนเองถอยหลังขึ้นสู่ทางลาดทอดตัวสู่ประตูยานที่เปิดอ้า
รอคอยผมอยู่เป็นคนสุดท้าย แม้สายตายังไม่วายจับจ้องไปยังอดัมด้วยแววร้อนรน
เพื่อนที่ร่วมต่อสู้ด้วยกัน เคียงบ่ากันมาตั้งแต่หนุ่มจนวัยล่วงเข้าจวนสี่สิบ

“ผมไม่ใช่อดัมผู้ให้กำเนิดลูกหลานของโลกใบนี้หรอก แต่ผมจะเป็นอดัมคนที่พยายาม
เฝ้าดูแลมนุษย์คนสุดท้ายบนโลกให้ดีที่สุด ให้นานตราบเท่าที่ผมจะสามารถอยู่ได้”
อดัมตะโกนมา

ในขณะที่ประตูยานกำลังจะกั้นเราสองคนจากกัน ผมยังมองไปยังเขา
ระยะไกลเกินกว่าจะพูดกันได้ แต่ผมก็ยังคงส่งภาษามือถึงเขาอย่างที่คนเคย
ท่องอวกาศใช้สื่อสารกันในยามที่ไม่อาจพูดจา

“แล้วผมจะติดต่อมา”

“ยังไง” อดัมส่งสัญญาณมือเป็นคำถามกลับมา

“ไม่รู้สิ เงยขึ้นดูสัญญาณบนท้องฟ้า...รอคอยข่าวจากผมก็แล้วกัน”



ณ ห้วงอวกาศไกลโพ้นดาราจักร สามปีต่อมา...
“เราจากโลกมาไกลเกินกว่าที่จะย้อนกลับ หนทางข้างหน้ามืดสนิท ยานก็ชำรุด
ถึงแม้ว่าจะอยู่ไปได้ถึงสิบปี แต่สำหรับอนาคตที่ไกลไปกว่านั้น
ตอนนี้ไม่มีความหวังอะไรเหลืออยู่อีกแล้ว”

มอร์แกน ไนด้า ซึ่งเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวพูดขึ้นในห้องปรึกษาวางแผนของ
ยานโอเดสซ่าหมายเลข ๑๓ น้ำเสียงเหมือนกำลังบ่นพร่ำรำพึงมากกว่าต้องการจะ
บ่งชี้อะไรจริงจัง ก่อนหันมาสบสายตาวิศรุต…ผู้ชายที่เธออยากจะโทษว่าเป็นต้นเหตุของ
ความซวย ทุกๆ อย่างที่บังเกิดขึ้นกับยาน และกำลังจะเกิดขึ้นต่อไปเป็นสายโซ่ แต่ลึกๆ
เธอรู้ว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว อย่างที่คนอื่นอาจตัดสินใจกับทางเลือกยากลำบากที่ผ่านๆ
มาไม่ได้ดีเท่าด้วยซ้ำไป

วิศรุตยิ้ม ถึงแม้ว่าดวงตาสีฟ้าสดใสคู่นั้นจะมองเขาอย่างที่เรียกว่า เกือบจะเป็น
เคียดแค้น...แต่ชายหนุ่มยังคงยิ้มไม่สร่างเมื่อเอ่ยกับแม่สาวผมทองตรงหน้า
“พูดออกมาเถอะครับ ดร.ไนด้า คุณคิดอยู่ใช่ไหมล่ะ ว่าถ้าหัวหน้า ผู้นำยานลำนี้เป็นอดัม
ทุกอย่างจะไม่ผิดพลาด...หรืออย่างน้อย อะไรๆ ก็คงจะดีกว่านี้” วิศรุตยิ้มให้หญิงสาว
ผู้มีอายุน้อยกว่าเขาร่วมสิบกว่าปี ในสายตาเขาเธอเป็นคนสวยมาก จากเด็กสาว
โตมาเป็นแม่สาวดุ จอมพยศ แกร่งกว่าผู้ชาย อย่างที่เขาชอบ...
ถ้าหากว่าตลอดเวลาที่ผ่านอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงออกว่าไม่ชอบหน้าเขาเพียงใด
เขาอาจจะผิดที่แหย่เธออยู่เรื่อย ถึงตอนนี้ก็กลับลำไม่ทันเสียแล้ว

“ทั้งสองคนนี้ จะกัดกันให้ได้อีกแล้วใช่ไหม” เสียงสูงๆ ของบุคคลที่สามเอ่ยขัดขึ้น

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรอย่างเขาว่าเลยนะสแตนลีย์” หญิงสาวสบถอย่างฉุนนิดๆ ยักไหล่
“อยู่ๆ เขาก็ร้อนตัวขึ้นมาเอง”

“โอ๊ย ไม่ต้องพูดหรอกย่ะ ก็เธอเล่นพิฆาตเขาด้วยสายตาเสียขนาดนั้น พอได้แล้วมอร์แกน”
สแตนลีย์ เฮย์ส เอ่ยกับเพื่อนสาวด้วยปลายเสียงห้วนจัด แม้ท่าทางของเขาจะไม่ถึงกับตุ้งติ้ง
ออกจะแลดูสมชายเกินกว่าเหตุในบางครั้งด้วยซ้ำ แต่สแตนลีย์ก็ไม่เคยปกปิดว่าเขาเองเป็นอะไร
ด้วยคำพูดจาและอีกหลายๆ อย่างที่ตรงไปตรงมาเสมอ “ฉันก็เสียใจพอๆ กับหล่อนนั่นแหละ
ที่อดัมสุดหล่อคนนั้นไม่ยอมขึ้นมากับยาน แต่เขาเลือกทางนั้นเอง เธอเลิกพาลกับคุณวิศรุตได้แล้ว
นี่ก็ผ่านมาตั้งสามปีดีดักแล้ว อะไรกันยังมาแฟ่ดๆ ไม่เลิก”

สมาชิกอีกสองคนที่เหลือในห้องนั่งเงียบกันไปคล้ายไม่มีความเห็น หนึ่งในนั้นซึ่งอาวุโสที่สุด
กลับเดินปลีกไปเหม่อมองภาพอวกาศแสนสวยงามด้วยแววตาเลื่อนลอยคล้ายคนเสียสติ
อีกคนที่ดูภายนอกเหมือนนักเลงหัวไม้ รอยสักเต็มตัวจนลามจากใต้เสื้อขึ้นมาถึงคาง
ควักบุหรี่เถื่อนออกมาจุดสูบ
...ทั้งที่ถือเป็นข้อห้าม แต่เวลานี้ไม่มีใครสนใจจะว่ากล่าวเขาแต่อย่างใด
วิศรุตมองหน้าทุกคนอีกครั้ง “ผมขอตัวนะ ต้องไปทำหน้าที่ประจำวันสักหน่อย
ในเมื่อประชุมกันต่อไปก็ไม่ได้ข้อเสนอแนะอะไรดีขึ้น” ชายซึ่งเป็นผู้นำ มีหน้าที่รับผิดชอบ
ควบคุม บริหารทุกๆ อย่างในยานโอเดสซ่ากล่าว

“งานสำคัญอะไรของเขา ถึงตอนนี้ยังมีอะไรเหลือให้ต้องจัดการอีกเหรอ ? ”
สแตนลีย์บ่นอย่างเพลียๆ เมื่อวิศรุตคล้อยหลัง

“หึ จะงานอะไรเสียล่ะ...นอกจากงานทิ้งขยะประจำวัน น่าปลื้มใจจริงนะ
ผู้นำยานกับคนทิ้งขยะของยานเราดันเป็นคนคนเดียวกัน” มอร์แกนเอ่ยด้วยสุ้มเสียง
ห้วนสะบัด ก่อนจะเดินลงส้นเท้าออกไปจากห้องประชุมนั้นอีกคน



ผ่านส่วนต่างๆ ของยานที่แลดูจะหมดหวังเพราะอุบัติเหตุตัวยานถูกชนด้วย
เทหวัตถุอวกาศตรงปีกซ้ายเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งระบบจึงรวนตามไปด้วย

ทั้งห้องเพาะปลูก ห้องทดลองสิ่งมีชีวิต ห้องเสบียงยังพอใช้ได้ ยานเขายังไม่นับว่า
อยู่ในภาวะวิกฤติ อาหารยังมีพอเพียง ไม่มีส่วนสำคัญใดของยานเสียหาย ไม่มีโรคระบาด
ทว่าเช่นกัน...ไม่มีแม้กระทั่งความหวังยาวไกลในหนทางข้างหน้า

จำนวนคนฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนของขวบปี ผู้โดยสารในยานนี้มีทั้ง
นักวิทยาศาสตร์และพลเรือนซึ่งได้รับคัดเลือกมาเป็นพิเศษ แต่ถึงกระนั้นเวลาเพียง
แค่สามปีก็ยังกดดันพอจะทำให้พวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปบางคนก็ย่ำแย่
ตั้งแต่จากโลกมาแล้ว

สามปีนับว่าเป็นเวลาน้อยนิดเหลือเกินกับการเดินทางในอวกาศ แต่เมื่อคราวนี้
ไม่ใช่การเดินทางท่องเที่ยวอันสดใส ทว่าเป็นการเดินทางไปตามยถากรรมอย่างที่อดัมบอก
บางคนไม่เต็มใจจะจากโลกมา จำใจเพราะเป็นตัวแทนของครอบครัว ตระกูลของพวกเขา
ไม่อยากให้สายเลือดสูญสิ้นไปพร้อมกับโลกที่กำลังตายลง แต่ตัวแทนเหล่านั้นก็มีจิตใจอ่อนแอ
เกินกว่าจะเดินทางไปต่อได้ในห้วงจักรวาลอันมืดมิดไร้ซึ่งความหวัง

คนพวกนี้ส่วนมากไม่มีศาสนา ศาสนาแรกของมนุษย์มาจากความกลัว
จนต้องสร้างทวยเทพแห่งธรรมชาติขึ้นมาให้ยึดเหนี่ยว พัฒนาเป็นศาสนาศิวิไลซ์
เปลี่ยนเป็นไร้ศาสนา... ถึง ค.ศ.๕๕๐๐ วนมาจบที่ความกลัวอีกครั้ง
ไม่แน่ว่าจากนี้ศาสนาอาจกลับมา

ผู้นำยานยิ้มกับตนเอง แม้ว่าสมัยก่อนที่เขาจะจากโลกมาการเป็นคนเอเชีย
ไม่ได้เป็นปัญหากับการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดไม่ว่าในวงการไหนๆ แต่เขาก็ยังไม่ได้เป็น
ผู้นำยานหมายเลข ๑๓ เพราะเลือกอยู่เคียงข้างอดัม เพื่อนรักผู้โดดเด่นกว่าเขา
แบบเฉือนเอาชนะไปได้ สุดท้ายแล้วยังไง หมอนั่นกลับเป็นฝ่ายเลือกที่จะแยกไป
ไม่ใช่ทิ้งเขา แต่เลือกทำให้ตนเองกลายเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้บนโลก ไม่มีใครกล้าตำหนิ
เมื่อทราบเหตุผลที่อดัมตัดสินใจ

วิศรุตไม่เคยโกรธเพื่อนกับการตัดสินใจบ้าระห่ำ ในวินาทีสุดท้าย ยังคิดถึงฝ่ายนั้นมากมาย
เขาพยายามติดต่อกลับไปตามสัญญาที่ให้ไว้ จากเมื่อแรกด้วยเทคโนโลยีสื่อสารขั้นสูงสุด
ที่ส่งตรงไปถึงโลกได้ในทันที ถัดจากนั้น ฝากข้อความไปกับสัญญาณที่ต้องใช้เวลาเดินทาง
ไปยังโลกนานหลายปี จนมาตอนนี้ข้อความแรกที่เขาใช้วิธีนั้นส่งไปคงยังไม่ถึงมือ
อดัม กรีนแมน ด้วยซ้ำ... แต่วิศรุตก็ยังคิดจะรักษาสัญญา ฝากสัญลักษณ์ไว้รายทาง
ในจุดอวกาศสำคัญที่ผ่าน หากมีผู้ผ่านทางมาพบ ขอให้ช่วยนำข้อความของเขาส่งต่อไปถึงโลกให้ด้วย

จนมาตอนนี้ทั้งยานต้องประหยัดสงวนพลังงานเอาไว้มากกว่าที่คิด เพราะมีพลังงานสำรอง
บางส่วนรั่วไหลออกไป แม้ตอนนี้พวกเขาจะยังไม่เดือดร้อน แต่ไม่แน่ว่าต้องอยู่ในยานนี้ไปอีกกี่ปี

วิศรุตยังยิ้มออก ขณะที่กำลังจะส่งข่าวของยานออกไปตามปกติ ข้อความหลายส่วน
อาจไม่เรียกว่าส่งถึงคนเป็นเพื่อนนามว่าอดัมที่ยังอยู่บนโลกอีกต่อไปแล้ว
แต่เขาเขียนถึงโลกที่จากมามากกว่าอื่น...

ชายหนุ่มบรรจุจดหมายซึ่งเป็นตัวคอมพิวเตอร์บันทึกสัญญาณเสียงลงในแคปซูลใส
เตรียมปล่อยมันออกไปพร้อมกับขยะอวกาศซึ่งจะถูกปล่อยทิ้งออกไปนอกยานทุกวันๆ
แต่ในขณะที่เขากำลังจะยัดมันเข้าช่องทิ้งขยะ มือเรียวขาวของใครบางคนก็แย่งสิ่งนั้นไปจากเขา

“ฉันอยากจะรู้นักว่าที่คุณทำมันมีสาระอะไรนักหนา คุณวิศรุต...”
มอร์แกนเอ่ยเสียงเข้ม ถอยหลบเมื่อชายหนุ่มเอื้อมมือจะคว้าแคปซูลใสนั้นกลับไป
เธอเปิดมันออก กดปุ่มเล่นเสียงก่อนเขาจะถึงตัว

วิศรุตพ่นลมหายใจดังพรืด สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งขณะถอยไปยืนกอดอกอิงผนังอย่างใจเย็น
เมื่อหญิงสาวผู้ถือดีกำลังเริ่มฟังข้อความในจดหมายของเขาอย่างไม่มีความเกรงใจ
เธอไม่เคยให้ความเคารพเขาในฐานะผู้นำยาน เธอเกลียดเขา แต่ไม่ว่ายังไงวิศรุตก็ยิ้มกว้างออกมา
เมื่อเห็นหญิงสาวผมทองอ้าปากค้างเพราะในข้อความท้ายๆ นั้นมีเอ่ยถึงเธอเป็นการส่วนตัวด้วย

“...มอร์แกนอารมณ์เสียเหมือนกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนใส่ผมเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว
ดูท่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนผมก็คงไม่อาจแทน ดร.กรีนแมน คนแสนดีแสนน่ารัก
ของเธอได้เลย หวังว่าอยู่ที่โลกจะหาผู้หญิงสวยนิสัยดีสักคนมาเป็นแม่ของลูกได้
อ้อ...ถ้าสภาพแวดล้อมดีพอที่คุณคิดจะมีลูกสักคนน่ะนะ โชคดีแล้วอดัม
ที่ไม่ต้องทนกับยายคนที่เอาแต่ทำตัวเป็นเด็กตลอดเวลาคนนี้

ไม่แน่ว่าถ้าเป็นคุณที่มาทำหน้าที่ผู้นำคอยคุมยาน ตอนนี้เธออาจจะหันมาเกลียดคุณ
เหมือนเกลียดขี้หน้าผมอยู่ก็เป็นได้... สุดท้ายนี้ สำคัญมาก ขอให้คุณและทุกคนบนโลก
หรือใครก็ตามที่อพยพมาจากโลกแล้วได้พบเจอสาส์นนี้เข้าโดยบังเอิญ อย่าได้ท้อถอย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้ยังมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อวันข้างหน้า
สวัสดี...จากผม วิศรุต พงศ์ธารา กัปตันยานโอเดสซ่าหมายเลข ๑๓”

...ความเงียบที่เริ่มมาคุขึ้นเรื่อยๆ ก่อตัวขึ้น แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหัวเราะพรืด
อย่างกลั้นไม่อยู่ของผู้นำยาน “เป็นไงล่ะ ชอบใจไหม ผมไม่ได้ขอให้คุณอ่านนะครับ มิสไนด้าคนสวย”
“คุณนี่มัน... ทุเรศที่สุด ยิ่งกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลยนะ
นินทาผู้หญิงลับหลังแบบนี้”

“อาจจะไม่มีใครพบเจอมันด้วยซ้ำ ถ้าแบบนั้นมันก็แค่คำบ่นกับลมกับแล้ง
ของผู้ชายหน้าโง่คนหนึ่ง คุณก็คิดแบบนั้นไม่ใช่เหรอ ที่ว่าจดหมายของผมไม่มีค่าอะไร
อีกอย่าง ความเป็นสุภาพบุรุษ...ก็ไม่จำเป็นต้องมีกับคนที่ คุณเห็นผมเป็นศัตรู
ตลอดเวลาเลย แล้วก็นี่นะ เป็นสุภาพสตรีจะแย่แล้วคุณน่ะ เที่ยวได้กระชากจดหมาย
ของคนอื่นจากมือไปต่อหน้าต่อตาเขา”

“ก็ดีกว่าชอบทำอะไรลับหลังแล้วกัน” มอร์แกนเชิดหน้า แก้มของเธอเป็นสีแดงจัด
แลดูน่ารัก ขัดกันกับความกราดเกรี้ยวที่เจ้าของดวงหน้างามแสดงออก
พอเห็นเธอหายใจฟืดฟาด ชายหนุ่มก็ยิ่งขำจนต้องส่งเสียงหัวเราะออกมา

“หุบปาก กล้าดียังไง ! แถมในบันทึกเสียงนั่นยังมาหาว่าฉันเป็นผู้หญิงวัย
ใกล้หมดประจำเดือนอีกด้วย”

“โอ๊ย คุณฟังผิดแล้ว... ผมไม่ได้บอกว่าใกล้ แต่บอกว่าคุณน่ะเป็นผู้หญิงวัยทองแล้วตะหาก”
ชายหนุ่มปัดป้องกำปั้นของหญิงสาวที่อัดเข้ามาใส่เขาแรง ไม่ใช่อย่างมวยวัด
แต่อย่างคนที่ถูกฝึกการใช้ร่างกายมาจนสามารถต่อสู้ได้จริงๆ วิศรุตไม่มีทางเลือก
เขาไม่อยากตอบโต้ให้เธอต้องเจ็บตัว ชายหนุ่มรวบร่างของคนกำลังแผลงฤทธิ์
เข้าไว้ในอ้อมแขน เธอฮึดฮัด ขยับจะร้องประท้วงแล้วก็คงด่าเขาอีกเป็นชุด
ชายหนุ่มจึงยิ่งไม่มีทางเลือกเป็นครั้งที่สอง ตัดสินใจประกบริมฝีปากลงจุมพิตเธอ
ด้วยแรงอารมณ์ แปลกที่คราวนี้แม่คนถือดีอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งลนไฟลงคาแขนเขาเลยทีเดียว…

บางที เขาน่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว วิศรุต เขี่ยแก้มเธอเบาๆ หลังจากจุมพิตอ้อยอิ่ง
ผ่านพ้นไป “ไง ยังเกลียดผมอยู่ไหม...” เขาพึมพำ ลืมตา สบตาสีฟ้าสวยของมอร์แกน
หน้าตาแดงก่ำกันไปทั้งสองฝ่าย โดยที่เขายังไม่ยอมคลายแขนปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระ

“เกลียด มากยิ่งกว่าเดิมอีก” หญิงสาวกระซิบเสียงแผ่วระโหย แต่ยามนี้ดวงตา
ที่มองสบตาชายหนุ่มกลับมีแววหวั่นไหว ไม่ได้พูดอย่างมั่นใจเช่นแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว
และเขาก็รู้สึกยินดีเหลือเกินจนอยากจะบอกข่าวนี้กับอดัม คิดว่าเพื่อนคงแปลกใจไม่น้อยทีเดียว



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.พ. 2555, 12:39:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2555, 12:41:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1466





<< :เรื่องชุด ในคืนแห่งดาวใต้เงาจันทรา: : {บทนำ นิทานจากโลกเก่า}   :เรื่องชุดในคืนแห่งดาวใต้เงาจันทรา: : บทที่ ๑ ถึงโลกที่จากมา{ต่อ-จบบท} >>
อสิตา 27 ก.พ. 2555, 12:52:24 น.
แนวอาจจะแปลกสักหน่อยนะ อ่านแล้วคิดยังไงก็แวะมาคุยกันได้ค่ะ


Zephyr 27 ก.พ. 2555, 13:20:18 น.
งงแฮะ ฮ่าๆๆๆ เปิดมาก็นิทานอดัมจบแล้ว หึหึ
อ่านไปอ่านมาพอเข้าใจแระ อิอิ สรุปตอนนี้อีตาวิศรุตกะน้องหนูมอร์แกน ลอยเท้งเต้งอยู่บนยานอวกาศโอเดสซ่าหมายเลข 13 สินะคะ แล้วจะรักกันยังไงเนี่ย เอ แล้วตาอดัมอีก งืมมม คงอีกสองสามตอนละมั้งกว่าเราจะเกทพ้อยน์ หึหึ
ปล. ฮือ ตุ๊กตาเสือน้อยของเค้าต้องติดกลิ่น มีมลทิน ตลอดชีวิต โฮๆๆๆๆ T_T อัคน้อย มาหาแม่มา อย่าอยู่กะพี่มิ้งค์เลย มามะ มามะ(แม่อาจจิตกว่าพี่มิ้งค์ก็ได้นะ ฮ่าๆๆๆ)


อสิตา 27 ก.พ. 2555, 13:24:01 น.
ของอดัมเป็นนิทานเงือกน้อยแบบธรรมดา แต่อดัมอาจจะเล่าเก่ง ดีเทลเยอะ วิศรุตเลยชอบฟัง
แต่เงือกน้อยของอสิตาไม่ธรรมดานะ เพราะเป็นเงือกต่างดาว หุหุ...อยู่บนยานอีกเดี๋ยวก็ลงจอดที่บ้านใหม่แล้วละค่ะ

พี่มิ้งค์บอกว่าไม่ปลอดภัยที่จะให้อัคน้อยถูกล่อลวง ดังนั้นตอนนี้เธอคิดว่าต้องคุมเข้มอัคน้อยแล้วละ ล่ามไว้กับตัวเองเลย


Zephyr 27 ก.พ. 2555, 13:36:08 น.
^
โห พี่มิ้งค์ใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย
กักกันอิสรภาพ ทำงี้กะอัคน้อยได้ไง แค่นี้อัคน้อยก็ดุจะแย่แล้ว ไปล่ามไว้กะตัวเหมือนขังในพลอยนี่เดี๋ยวยิ่งดุไปใหญ่หรอก เหอๆๆ ถูกล่ามไว้กะพี่มิ้งค์นี่เอง มิน่าล่ะ อัคน้อยไม่มาปรากฎหน้าสตอรี่บอร์ดให้ยลอ่านซะที โดนพี่มิ้งค์คุมนี่เอง จนกว่าจะแน่ใจว่าไม่โดนล่อลวงใช่ม้ายยยย(อย่างอัคน้อยไม่โดนล่อลวงหรอกนะ แต่คนอ่านสิ โดนล่อ โดนลวง จนเคลิ้มไปหลายแระ รู้ป่ะ)


SunSeed 27 ก.พ. 2555, 14:28:58 น.
ถ้าเราไม่มีความหวัง เราก็ไม่มีทางสมหวัง... อยากรู้เหมือนกันนะคะ ระหว่างการไปหาสิ่งที่ดีกว่า กับทำสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น แบบไหนมันดีที่สุด


Chii 28 ก.พ. 2555, 00:08:28 น.
...555
โธ่เอ๊ยยยย แอบหลงรักเค้าก็ไม่บอก วิศซี่นี่ไม่ไหวเลยน้าาาาา
ว่าแต่.. อดัมจะตามมามั้ย ถ้าอดัมไม่ตามมา จะมีอดัมสองมั้ย
ถ้าไม่มีอดัม แล้วมันจะ "ของแท้และวายยยย" ได้ไงอ้ะะะ


Chii 28 ก.พ. 2555, 00:09:02 น.
อ้อ ..ชีค่ะ ชีจาก chobits ของป้าแคลมป์ค่ะ ^^ มันพ้องกะชื่อเล่นเราพอดี


goldensun 28 ก.พ. 2555, 05:56:04 น.
ถ้าหยุดทำร้ายโลก ธรรมชาติก็น่าจะเยียวยาตัวเองได้ ไม่ใช่หรือคะ
เข้าใจอดัมเลย ว่ายังมีความหวังในเรื่องการฟื้นฟูอยู่ เข้าใจว่า ที่ยานออกไปน่าจะมีจุดหมายชัดเจนแล้วซะอีก ว่าแต่ออกหลายลำ ถ้าไม่มีจุดหมายนี่ แยกย้ายกันไปหาโลกใหม่หรือคะ


อสิตา 28 ก.พ. 2555, 08:07:33 น.
(ตอบเล่นๆก่อน เดี๋ยวตอนลงตอนใหม่จะตอบอีกทีนะคะ เผื่อมีคนไม่ได้กลับมาอ่าน)
คุณเมล็ดทานตะวัน...ขี้เกียจพิมพ์ชื่อภาษาอังกฤษ การเดินทางยังอีกยาวไกล ทั้งของคนที่ยังอยู่ และคนที่จากไป ไม่มีใครผิด มีแต่ทางที่ต่างกันเท่านั้น

คุณชี เจอคอเดียวกันแล้วค่ะ เราบ้าแคลมป์มากๆ ตอนเด็กๆ หัดวาดรูปก็เพราะแคลมป์ด้วยส่วนนึงเลย อดัมไม่ตามมาแต่ว่าสองคนนี้ก็ยังแอบวายข้ามสหัสวรรษได้ด้วยสิ่งที่ทิ้งไว้แทนตัวนะ จะรูปแบบไหนต้องติดตาม (จริงๆคนที่วายเป็นตัวร้ายอ่ะค่ะ กำลังจะออกตอนหน้า)

คุณโกลเด้นซัน ยินดีต้อนรับ(สู่อีกเรื่อง)ค่ะ^^ โลกยุคนั้นแทบไม่เหลืออะไรแล้ว ประมาณปีพ.ศ.5000++เข้าไปแล้ว แต่อดัมก็ยังสู้ต่อไป และจะเห็นว่าความหวังของคนนี่เป็นสิ่งที่ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ
ส่วนยานที่ออกไปก็ได้พบโลกใหม่ พบแล้วจะเกิดอะไรซ้ำรอยเดิมไหม หรือจะแก้ไขทัน มาลุ้นกันต่อไป *-*/


ฮอบบิท 28 ก.พ. 2555, 19:21:03 น.
"ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบ...แต่การละทิ้งโลกของเราไปนี่สิ ผมรู้สึกว่าเป็นการไม่รับผิดชอบยิ่งกว่าเป็นการหนีปัญหาอย่างน่าสมเพช ผมคิดแบบนี้มาตลอดคุณเองก็รู้ เหมือนเวลาที่คนรักกำลังจะตาย เราควรจะอยู่เคียงข้าง หรือว่าละทิ้งไป" ...ชอบประโยคนี้มากๆ เลยล่ะ คม...และทำให้คิด


บุลินทร 29 ก.พ. 2555, 18:50:26 น.
มาเรื่องใหม่แล้วเหรอออ เดี๋ยวเอามาลงบ้าง ฮ่าๆ แต่ยังเขียนไม่ถึงไหนเลย


ริญจน์ธร 1 มี.ค. 2555, 23:36:21 น.
^
^ มาฟ้องว่าคนข้างบนแอบอู้งาน เอาเรื่องใหม่มาลงเลย เร็วๆ
เรื่องนี้แฟนตาซีมาก >.< ชอบๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account