ปมรักภูตเสน่หา โดย ตารกา (วางแผงแล้ว)
56 ปีที่ก่อน ณ คฤหาสน์ผาทราย พลช ชายหนุ่มรูปงาม ลูกชายของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ได้ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับคู่หมั้น แม้เวลาจะผ่านมากหลายทศวรรษแล้ว แต่ดวงวิญญาณของชายหนุ่มก็ยังไม่ไปไหน เขาสถิตอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยการกลับมาของคนที่รักหมดหัวใจ

นิยายเรื่องนี้วางแผงแล้วนะคะ สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป
หรือสั่งซื้อได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ

http://www.thebooklovers.co.th/index.php/product/detail/778


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานนะคะ
Tags: ซึ้งกินใจ ลึกลับ ย้อนอดีต ผี โรแมนติก จิตกรหนุ่มผู้เจ้าอารมณ์ วิญญาณอาลัยที่แสนอ่อนโยน สืบสวน นางเอกเป็นนักกายภาพบำบัด คฤหาสน์กลางเกาะ

ตอน: บทที่ 4 เรื่องเล่าจากภาพเก่า

บทที่ 4 เรื่องเล่าจากภาพเก่า

ปรางรัตน์งัวเงียตื่นขึ้นมาตอนตีสามเพราะอาการเหน็บชาที่แขน หญิงสาวอ้าวปากหาว แล้วยกมือขึ้นขยี้ตาก่อนจะเลยไปแตะที่หน้าผาก สัมผัสอบอุ่นที่คงค้างอยู่ทำให้หญิงสาวเผลอยิ้มออกมา ทั้งที่ไม่รู้เลยสักนิดเดียวว่าเกิดอะไรขึ้น

หญิงสาวบิดตัวแก้เมื่อยขบสองสามที แล้วก้มลงหยิบผ้าห่มผืนเล็กที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาพับ ผ้าห่มผืนนี้เธอเอามาวางรองหลังแทนหมอนอิงจะได้นั่งอ่านหนังสือได้สบายขึ้น ก็เลยไม่สงสัยเมื่อเห็นมันวางกองอยู่บนพื้นในสภาพคลี่ออก

ปรางรัตน์เดินกลับมาที่เตียงนอนแล้วรินน้ำในเหยือกดื่ม แต่ปริมาณที่เหลืออยู่มีไม่มากพอจะดับกระหายให้เธอ หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินลงไปข้างล่าง เธอไม่รู้ว่าสวิตช์ไฟทางเดินอยู่ตรงไหน จึงหยิบไฟฉายติดมือไปด้วย ขาไปเอาน้ำหญิงสาวไม่พบอะไรผิดปกติ แต่ขากลับกลับเห็นแสงไฟจากทางด้านนอกหน้าต่างเหมือนเมื่อคืนวาน

ความกระหายใคร่รู้ทำให้หญิงสาวปิดไฟฉายเพื่อให้มองในความมืดได้ชัดขึ้น ขณะนี้แสงไฟปริศนากำลังเคลื่อนออกจากป่าด้านหลังคฤหาสน์เข้ามาในตัวบ้าน ปรางรัตน์เดาทันทีว่าเป็นลุงแก่น เธอนึกอยากจะวิ่งลงไปถามเสียตอนนี้ว่าลุงแกออกไปทำอะไรดึกดื่น ทว่าพอลงมากลับไม่พบใครและไม่เห็นแสงไฟเลย หญิงสาวจึงเดินกลับห้องไปอย่างผิดหวัง ก่อนนอนเธอเตือนตัวเองว่าพรุ่งนี้จะต้องถามลุงแก่นให้ได้ เพื่อที่จะได้หายคาใจ


ปรางรัตน์นอนต่ออีกราวสองชั่วโมง ก่อนจะลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาข้างล่าง หญิงสาวไปดูกัลยากรก่อนว่าอาการดีขึ้นหรือยัง เคาะประตูสักพักเจ้าของห้องก็เดินงัวเงียมาเปิดประตูให้ ใบหน้าของกัลยากรดูซีดเซียวเหมือนคนไม่สบายหนักจนน่าตกใจ

“พี่แอนเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ ไปหาหมอไหมคะ” ปรางรัตน์รีบแตะมือที่หน้าผากของรุ่นพี่ทันที แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายตัวเย็นเฉียบ

“ไม่เป็นไร แค่ไมเกรนขึ้นเท่านั้นเอง ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว”

เมื่อคืนเธอมีไข้อ่อนๆ พอไข้ลดก็ปวดหัวขึ้นมาอีก ก็เลยแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย

“มียาแล้วใช่ไหมคะ”

“ระดับพี่น่ะมีครบอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ขอพี่นอนต่อหน่อยนะ มีอะไรบ่ายๆ ค่อยคุยกัน” หญิงสาวหมุนตัวกลับเข้าห้องไปทันทีที่พูดจบ

“เดี๋ยวค่ะพี่แอน! กินอะไรก่อนเถอะนะคะ เมื่อวานทำข้าวต้มหมูไว้ให้ ขอเวลาอุ่นแค่สามนาทีเท่านั้น”

ปรางรัตน์วิ่งปรู๊ดลงไปข้างล่างโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ รออึดใจเดียว หญิงสาวก็ยกถาดข้าวต้มร้อนๆ หอมกรุ่น กับน้ำส้มคั้นมาเสิร์ฟให้ถึงเตียงนอน

จัดการเรื่องรุ่นพี่เสร็จ หญิงสาวก็หันมาจัดการเรื่องของตัวเอง หญิงสาวกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง แล้วก็เจอกับป้าเลื่อมที่กำลังจะใส่ผ้ากันเปื้อน เตรียมตัวทำอาหารเช้า

“ตื่นเช้าจังนะคะคุณ” ป้าเลื่อมหันมาส่งยิ้มทักทาย

“เป็นความเคยชินไปแล้วค่ะ ที่ทำงานเปิดค่อนข้างเช้า ก็เลยต้องรีบตื่น”

แผนกกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลที่หญิงสาวทำงานอยู่ แบ่งเวรเป็นสองช่วงเวลา คือเจ็ดโมงเช้าถึงบ่ายโมง กับบ่ายโมงจนถึงสองทุ่ม หญิงสาวผูกขาดกะเช้ามาตลอดสองปี เพราะตอนบ่ายต้องไปทำกายภาพบำบัดให้นายพิทักษ์ ก็เลยเคยชินกับการตื่นก่อนหกโมงเช้า

“เช้านี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ ป้าจะทำให้”

“มื้อเช้าอะไรก็ได้ค่ะ แต่มื้อกลางวันขออาหารอ่อนๆ ก็ดีนะคะ คือ…พี่แอน เขาไม่ค่อยสบายค่ะ”

“ตายจริง! เป็นอะไรมากไหมคะ”

“ปวดหัวไมเกรนค่ะ ตอนนี้ไม่มีไข้แล้ว แก้มให้กินข้าวต้มกับยาแล้วค่ะ พี่แอนบอกว่าสักบ่ายโมงค่อยขึ้นมาปลุก”

ป้าเลื่อมรับคำว่าเข้าใจ แล้วสอบถามว่ากัลยากรนั้นชอบกินอาหารแบบไหน ถึงพวกอาหารอ่อนๆ ที่ว่าจะไม่พ้นโจ๊กหรือข้าวต้ม แต่มันก็ยังแบ่งแยกย่อยเป็นสารพัดประเภท ปรางรัตน์เองก็ตอบไม่ได้ว่ารุ่นพี่ชอบอย่างไหนเป็นพิเศษ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาก็เห็นว่าหญิงสาวเอร็ดอร่อยกับอาหารเกือบทุกประเภท จึงตอบไปว่าเธอทำข้าวต้มหมูให้แล้ว มื้อเที่ยงก็น่าจะเป็นอะไรที่แตกต่าง

ในขณะทีคุยกันปรางรัตน์ก็ช่วยป้าเลื่อมทำกับข้าวไปด้วย ทีแรกป้าเลื่อมปฏิเสธแต่หญิงสาวก็ตื้อขอหยิบนั่นจับนี่จนได้ สุดท้ายก็ช่วยกันทำอาหารและเอามานั่งกินที่โต๊ะเล็กในครัวด้วยกัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็ต้องกินข้าวคนเดียว เช้านี้ลุงแก่นมากินอาหารเช้ากับภรรยาไม่ได้เพราะว่าออกไปทำธุระตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง

“ลุงแก่นออกไปไหนหรือคะ” หญิงสาวถามก่อนจะตักข้าวใส่ปาก

“ไปตลาดจ้ะ พอดีของสดใกล้หมด ก็เลยต้องนั่งเรือไปซื้อที่อีกเกาะ ป้าสั่งไว้แล้วว่าให้ซื้อกุ้งตัวโตๆ มาด้วย เอามาเผากินกับน้ำจิ้ม อร่อยอย่างบอกใครเลยล่ะค่ะ คุณทานเผ็ดได้ใช่ไหมคะ”

“ได้ค่ะ ป้าพูดซะแก้มน้ำลายไหลเลย”

สองสาวต่างวัยสนทนากันไปกินอาหารเช้ากันไปอย่างถูกคอ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าป้าเลื่อมเป็นคนคุยเก่ง อีกส่วนก็คือปรางรัตน์มีบุคลิกที่ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดู หญิงสาวสุภาพแต่ก็ร่าเริง ทั้งยังมีดวงตาใสแจ๋วเหมือนนัยน์ตาเด็กน้อยที่อ่อนต่อโลก หลายคนจึงอยากปกป้องและถูกชะตาด้วยตั้งแต่แรกเห็น

“บ้านนี้มีแผนผังบ้านหลังนี้ไหมคะ คือแก้มเป็นคนหลงทางง่ายมากๆ เลยค่ะ มีไว้หน่อยก็คงดี”

ในนวนิยายที่อ่านเมื่อคืนบอกเอาไว้ว่าคฤหาสน์หลังใหญ่ทั้งหลายมักจะมีแผนผังอยู่ นางเอกของเรื่องใช้แผนผังที่ได้มา เป็นตัวอ้างอิงว่าเธอเข้าไปตรวจสอบห้องใดมาแล้วบ้าง

“มีสิคะ อยู่ที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างค่ะ”

ปรางรัตน์รับคำแล้วลองเดินไปดูแต่ก็หาไม่พบ ก็เลยต้องวกกลับมาที่ครัวขอร้องให้ป้าเลื่อมชี้ให้ดู แล้วก็พบว่าแผนผังไม่ได้วางทิ้งไว้ในห้องอย่างที่เข้าใจ แต่ถูกจัดใส่กรอบสีทองหรูหรา ติดอยู่ที่มุมหนึ่งของผนังราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดราคาแพงทั้งหลาย ความกลมกลืนของมันทำให้หญิงสาวเผลอมองผ่านโดยไม่ได้ตั้งใจ

เธอเอ่ยปากขอดินสอกับกระดาษมาลอกแผนที่ ไม่กี่อึดใจป้าเลื่อมก็เตรียมของที่ต้องการมาให้ ทั้งยังแถมปากกา ไม้บรรทัดและยางลบมาให้ด้วย นอกจากนี้ยังใจดีช่วยปลดภาพจากผนังลงมาวางบนโต๊ะ ให้เธอลอกแผนที่ได้ถนัดขึ้น หญิงสาวจึงยกมือไหว้ขอบคุณผู้สูงวัย

“ไหว้พระเถอะค่ะ มันเป็นหน้าที่ของป้าอยู่แล้ว” แม้จะปฏิเสธการแสดงความเคารพแต่หญิงสูงวัยก็ยิ้มอย่างพึงพอใจในมารยาทอันดีของคนอายุน้อยกว่า “ถ้าต้องการอะไรอีกเรียกป้านะคะ ป้าอยู่ที่ห้องพักติดกับห้องครัว”

ถัดจากครัวเป็นห้องเล็กๆ สำหรับคนรับใช้เอาไว้พักผ่อน มีทั้งโซฟาและโทรทัศน์ซึ่งเป็นความบันเทิงเพียงไม่กี่อย่างในคฤหาสน์กลางเกาะแห่งนี้

ปรางรัตน์กล่าวขอบคุณป้าเลื่อมอีกครั้งแล้วเพ่งมองแผนผัง เพื่อพยายามศึกษารายละเอียดคร่าวๆ คฤหาสน์นี้มีสามชั้นครึ่ง มีห้องใต้ดิน ห้องใต้หลังหาและห้องย่อยอีกมากมาย แบ่งเป็นสามส่วนหลักคือส่วนกลาง ปีกตะวันตกและปีกตะวันออก สองส่วนหลังนี้มีโครงสร้างเหมือนกันทุกประการ

นายพิทักษ์ให้อภิสิทธิ์ว่าเธอสามารถเข้าออกได้ทุกห้อง แต่ในทางปฏิบัติแล้วหญิงสาวไม่สามารถไปที่ฝั่งตะวันตกได้ เพราะที่นั่นเป็นที่อยู่ของคนเจ้าอารมณ์ไม่น่าคบ เธอก็เลยได้แต่หวังว่าจดหมายจะถูกเก็บไว้ในห้องใดห้องหนึ่งที่ไม่ใช่ห้องทางปีกตะวันตก

หญิงสาวขีดฆ่าห้องพักของตัวเองกับรุ่นพี่ทั้งสามคนออกจากแผนผัง เพราะห้องเหล่านี้คือห้องพักสำหรับแขกที่ได้รับการตกแต่งใหม่หมด จึงไม่น่าจะมีข้าวของเก่าๆ อยู่

ป้าเลื่อมบอกว่าส่วนที่ได้รับการตกแต่งใหม่มีแค่ทางเดินรอบคฤหาสน์ โถงตรงกลางทางเข้า ห้องพักแขกทางปีกตะวันออก กับด้านตกวันตกที่ศิวกรใช้ทำงานเท่านั้น ส่วนที่เหลือใช้เก็บของไม่ก็ปิดเอาไว้ ซึ่งส่วนที่ไม่ได้เปิดใช้นี้มีมากมายเสียจนทำให้นึกท้อ

ปรางรัตน์นั่งหลังขดหลังแข็งลอกแผนที่ไปได้สองชั้น ก็ได้เวลารับประทานอาหารอีกครั้ง หนนี้ป้าเลื่อมชิงลงมือไปดูแลแขกก่อน และเสิร์ฟอาหารให้ถึงเตียง มื้อเที่ยงนี้สองสาวจึงกินข้าวในครัวด้วยกันอีกครั้ง

เมื่อท้องอิ่มก็ได้เวลาต้องกลับไปทำงาน ใช้เวลาอีกสองชั่วโมงแผนผังอย่างละเอียดของคฤหาสน์ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว แม้อัตราส่วนจะไม่ตรงตามแผนผังตัวจริง แต่ก็มีห้องทุกห้องอยู่ครบถ้วน

เพื่อความมั่นใจว่าแผนผังนี้ใช้ได้จริง ปรางรัตน์จึงลองเดินสำรวจดูว่าจุดต่างๆ ตรงตามแผนผังหรือไม่ สำรวจได้ชั้นเดียวหญิงสาวก็ต้องหยุดเดินแล้วพับแผนผังซ่อนเอาไว้ เนื่องจากเห็นกัลยากรกำลังเดินลงมาจากชั้นบน

“ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะพี่แอน” ปรางรัตน์ถาม

สีหน้าของหญิงสาวดูดีขึ้นผิดกับที่เธอเห็นเมื่อเช้ามาก

“หายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ”

กัลยากรเป็นพวกป่วยง่ายหายไว พอปวดหัว ได้หลับเต็มตา กินอิ่มท้อง หญิงสาวก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เธอชวนปรางรัตน์ให้ออกไปเดินด้านนอกด้วยกัน

พอออกจากประตูใหญ่มาก็จะเจอกับสวนเลย สวนของคฤหาสน์แห่งนี้ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม เน้นไม้พุ่มกับไม้ประดับ พื้นที่โดยรอบมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาตา เป็นปราการธรรมชาติอย่างดี หากเดินออกมาจากคฤหาสน์ไปทางทิศใต้อีกสักหน่อย ก็จะพบกับหน้าผาสูงที่เป็นจุดชมวิว ตรงส่วนนี้ทำรั้วกั้นเอาไว้สูงถึงอก ป้องกันไม่ให้มีคนผลัดตกลงไป

“วิวสวยสุดๆ เลย มาดูเร็วแก้ม” กัลยากรโบกมือให้อย่างร่าเริง

เห็นรุ่นพี่ตื่นเต้นหญิงสาวก็พลอยสนุกตามไปด้วย สองสาวเที่ยวกันเพลินจนเกือบค่ำ เพราะไถลไปถึงน้ำตกที่อยู่อีกด้านของเกาะ แต่ยังไม่ทันได้ลงเล่นก็ต้องกลับกันเสียก่อน เพราะท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว

กลับมาถึงป้าเลื่อมก็เข้ามาบอกว่าวิรัลพัชรติดต่อมา บอกว่าจะอยู่ค้างคืนอีกสักสองสามคืน ถ้าอยากเที่ยวด้วยกันให้โทรบอก พรุ่งนี้บ่ายเธอจะส่งเรือไปรับ

“พี่ตามใจแก้มแล้วกัน ตัวพี่ยังไงก็ได้ เที่ยวก็ดี อยู่นี่ก็สบาย” กัลยากรว่า

ปรางรัตน์เองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อให้เธอตัดสินใจเธอก็เลือกที่จะไม่ไปเที่ยวกับวิรัลพัชร เนื่องจากเห็นว่ากัลยากรเพิ่งจะหายป่วย ไปนั่งเรือตากแดดร้อนนานๆ อาจจะกลับมาไม่สบายได้อีก

พอโทรศัพท์ไปบอกวิรัลพัชรแล้ว สองสาวก็พากันมานั่งล้อมวงกินกุ้งเผา กับสารพัดอาหารทะเลอยู่ในครัวกับสองสามีภรรยาคนเฝ้าบ้าน

ป้าเลื่อมแกออกจะปลื้มอยู่ไม่น้อยที่เห็นอาหารฝีมือตัวเองหมดเกลี้ยง กัลยากรกินเผ็ดจัดไม่ได้ แต่ก็ยังกินเอากินเอาทั้งที่น้ำหูน้ำตาไหล แถมยังชมไม่ขาดปากว่าน้ำจิ้มกุ้งกับผัดเผ็ดฝีมือป้าอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา

คุยไปรับประทานอาหารไปได้สักพัก ปรางรัตน์ก็สบโอกาสถามลุงแก่นเรื่องแสงไฟที่เธอเห็นว่าเป็นลุงหรือเปล่า

“ไม่ใช่ผมหรอกครับคุณ สงสัยจะเป็นคุณเล็ก บางทีดึกๆ นอนไม่หลับคุณเขาก็ออกมาเดินเล่นครับ”

ฟังแล้วปรางรัตน์ก็นึกค่อนในใจว่านอกจากมารยาทแย่แล้วยังเป็นคนประหลาด กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน เที่ยวออกไปเดินเล่นกลางป่า ทำตัวน่าสงสัยเสียเหลือเกิน

“ที่นี่มีหนังสืออะไรให้อ่านไหมคะป้า จะขอยืมอ่านแก้เบื่อสักหน่อย” กัลยากรถามบ้าง

เธอเห็นเปลยวนผูกเอาไว้ในสวน คงดีถ้าได้เอนหลังพร้อมกับอ่านหนังสือไปด้วย

“มีค่ะ แต่หนังสือใหม่ๆ ไม่ค่อยจะมีหรอกนะคะ มีแต่ของเก่า”

“ดีสิคะ ยิ่งเก่านี่ยิ่งปลื้มเลย”

กัลยากรชอบของเก่าเพราะที่บ้านทำธุรกิจด้านนี้อยู่ เธอคิดว่าของยิ่งเก่าก็ยิ่งมีเสน่ห์ พวกเครื่องเรือนของใช้ต่างๆ มักจะมีประวัติของมัน พวกหนังสือเก่าเองก็ใช่กัน ถึงหน้ากระดาษจะเหลืองกรอบ บางครั้งภาษาที่ใช้ก็อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องนัก แต่ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ เหมือนกับได้ย้อนอดีตไปยังช่วงเวลาขณะนั้น

หลังมื้ออาหารป้าเลื่อมกับลุงแก่นจึงพาสองสาวมาที่ห้องสมุด ซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือของตัวอาคาร ห้องนี้เป็นห้องขนาดใหญ่ เพดานสูง กลางห้องมีบันไดเวียนขึ้นไปที่ชั้นลอยซึ่งมีชั้นหนังสือเรียงกันเป็นตับ ฝั่งซ้ายของทั้งชั้นบทและชั้นล่าง มีโซฟากับโต๊ะตั้งเอาไว้เป็นมุมอ่านหนังสือ

“พวกคุณโชคดีนะคะ ที่มาตอนหลังทำความสะอาดครั้งใหญ่พอดี ก็เลยไม่เจอฝุ่นเท่าไร”

ศิวกรรวบรวมหนังสือทั้งหมดที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วคฤหาสน์เอาไว้ที่ห้องสมุดแห่งนี้ แล้วให้คนมาซ่อมแซม จัดเรียงให้เป็นระเบียบตามหมวดหมู่ ถึงเขาจะไม่เคยสนใจหยิบมาอ่าน แต่ก็รู้ว่าควรจะเก็บรักษาสิ่งมีค่าทางปัญญาเหล่านี้ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน

“ชั้นนี้เป็นนิยายทั้งชั้นเลย มาดูสิแก้ม แก้มชอบอ่านนี่”

กัลยากรร้องเรียกแล้วไล่สายตาไปตามสันหนังสือที่เรียงรายอยู่ สักอึดใจก็รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดสังเกต เพราะคนที่เรียกหาไม่มาเสียที หันไปมองจึงเห็นว่าปรางรัตน์กำลังยืนจ้องภาพถ่ายที่ผนังตาไม่กระพริบ

“ภาพนี้มีอะไรหรือแก้ม…อ๊ะ! อาเล็กนี่” กัลยากรถามเองตอบเองเสร็จสรรพ

ภาพถ่ายที่แขวนอยู่บนกำแพงเป็นภาพขาวดำของครอบครัวหนึ่ง ในภาพมีชายชรากับภรรยานั่งอยู่ตรงกลาง มีเด็กผู้หญิงใช้ชุดกระโปรงฟูฟ่องนั่งพับเพียบอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ คนทางด้านซ้ายหน้าตาเหมือนกับศิวกรไม่มีผิด

“ไม่ใช่คุณเล็กหรอกค่ะ คนในภาพคือคุณพลช น้องชายของคุณท่านค่ะ” ป้าเลื่อมแก้ให้

พอสังเกตก็จะเห็นว่ามีวันที่เขียนกำกับเอาไว้ ทำให้รู้ว่าภาพนี้ถ่ายเมื่อห้าสิบหกปีก่อน ถ้าไม่ใช่การตัดต่อก็แสดงว่า ศิวกรหน้าตาเหมือนกับญาติผู้ใหญ่ราวกับฝาแฝด

“นึกแล้วว่าต้องไม่ใช่คนเดียวกัน” ปรางรัตน์พึมพำ

ที่เธอเหม่อจ้องภาพนี้ไม่ใช่เพราะว่ามันถ่ายเมื่อนานมาแล้ว แต่แววตาของคนในภาพถ่ายต่างหากที่ตรึงความสนใจของเธอเอาไว้ ศิวกรกับคนในภาพอาจจะหน้าตาคล้ายกัน แต่ดวงตากับริมฝีปากไม่เหมือนกันเสียทีเดียว คนในภาพมีริมฝีปากหนากว่าเล็กน้อย ส่วนดวงตาอ่อนโยนเหลือเกิน เธอยืนยันได้เลยว่าคุณพลชคนนี้เป็นเทพบุตรปีกขาว ส่วนหลานชายของเขาเป็นเทพบุตรปีกดำปี๋ และถ้าให้เดาต่อภาพสีน้ำมันที่เธอเห็นจะต้องเป็นภาพเหมือนของคุณพลชไม่ใช่ศิวกร

หญิงสองลองเอื้อมมือไปปิดใบหน้าส่วนบทของคนในภาพเอา เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าดวงตาผู้ชายคนนี้ช่างคล้ายคลึงกับคนที่เธอเคยฝันถึง

“ตอนป้าเห็นทีแรก ป้าก็ตกใจค่ะ ไม่คิดว่าจะเหมือนกันได้ขนาดนี้ ใครๆ เขาก็ว่าคุณเล็กเป็นคุณพลชกลับชาติมาเกิด”

“ถ้าอย่างนั้นอีกคนก็คือคุณปู่ของพลอยสินะคะ” กัลยากรเดาแต่ก็ผิดอีก

ชายหนุ่มอีกคนในภาพใบนี้คือคุณพจน์ พี่ชายของนายพิทักษ์ ส่วนเด็กผู้หญิงเป็นน้องสาว ชื่อว่าพิมพา ป้าเลื่อมยังบอกอีกว่าตอนนี้คนในรูปต่างก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว

“คุณพิมพาเธอตายตั้งแต่ยังอายุน้อยค่ะ คุณพลชก็เหมือนกัน”

“ป่วยหรือคะ” กัลยากรเดาอีก ต้องมีสักอย่างที่เธอเดาถูกบ้างล่ะ

“คุณพิมพาน่ะใช่ค่ะ เธอป่วยเป็นโรคปอด แต่คุณพลชไม่ใช่ เขาลือกันว่าฆ่าตัวตายพร้อมกับคู่หมั้น หลังจากถ่ายรูปนี้ได้ไม่นานค่ะ”

ป้าเลื่อมเกิดไม่ทันเหตุการณ์นี้ แต่ครอบครัวของป้าเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลนี้ จึงได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ มามาก

“ทำไมถึงฆ่าตัวตายล่ะคะ” ปรางรัตน์หันมาถามอย่างสนใจ

หญิงสาวรู้สึกใจหายแปลกๆ เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มในภาพนี้ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับคนรัก

“อันนี้ป้าก็ไม่ทราบหรอกค่ะ แต่เขาลือกันว่าคู่หมั้นของคุณพลชป่วยหนัก รู้ว่าคงอยู่ได้ไม่นานก็เลยฆ่าตัวตายไปพร้อมกัน”

“ว้าว! โรแมนติกจังเลย” กัลยากรเอามือมาประสานกันไว้อย่างประทับใจ

ในขณะที่ในใจของปรางรัตน์กลับมีปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรงว่าเรื่องที่ป้าเลื่อมเล่านั้นไม่เป็นความจริง

“คู่หมั้นคุณพลชไม่ได้ป่วยหนัก” หญิงสาวโพล่งออกมา

ทุกคนจึงหันมาจ้องมองเธอเป็นตาเดียว

“หมายความว่ายังไงแก้ม รู้อะไรมาหรือไง” กัลยากรถามขึ้นมาก่อน

หญิงสาวจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไปให้ แล้วรีบกลบเกลื่อนด้วยเหตุผลที่พอจะฟังขึ้น

“แก้มพูดยังไม่ทันจบค่ะ แก้มหมายถึงถ้าคู่หมั้นคุณพลชไม่ได้ป่วย เขาคงจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เพราะท่าทางรักกันมาก”

ได้ฟังคำอธิบายทุกคนก็ไม่ติดใจอะไรอีก ปรางรัตน์จึงรอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด





นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ค. 2555, 13:03:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ค. 2555, 13:03:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1840





<< บทที่ 3 ไม่ถูกชะตา   บทที่ 5 ความฝันกับอดีต >>
goldensun 26 ก.ค. 2555, 13:45:58 น.
อย่างที่คิดเลย ถ้ามีรูปคู่หมั้นคุณพลชด้วย คงยิ่งชัด
หญิงสองลอง-หญิงสาวค่ะ
เป็นรูปช่วงที่คุณพิทักษ์ออกจากบ้านไปแล้วใช่มั้ยคะ ถืงไม่ได้อยู่ในรูป


หนอนฮับ 26 ก.ค. 2555, 17:01:14 น.
อ๊ายยยย...หนูแก้มจำอดีตได้รึ !


nunoi 26 ก.ค. 2555, 22:09:52 น.
อยากรู้ทำไมถึงฆ่าตัวตาย


Zephyr 27 ก.ค. 2555, 00:29:41 น.
ชักมีเค้าลางมาเรื่อยๆ แต่นะ เริ่มมีความจำผุดมาสินะ เลยเถียงได้


นิชาภา 27 ก.ค. 2555, 17:02:10 น.
คุณ goldensun คนที่จะมาเป็นคู่หมั้นคุณพลชไม่เฉลยง่ายๆ ค่า เดี๋ยวไม่มัน โฮะๆๆ ส่วนที่บอกว่าเป็นช่วงที่คุณพิทักษ์ออกจากบ้านไปแล้ว ถูกต้องนะครับ ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปนี้

คุณหนอนฮับ แก้มยังจำไม่ได้ค่ะ แต่เห็นอดีตได้ หุๆๆ

คุณ Nunoi เรื่องราวมันค่อนข้างซับซ้อนค่ะ มาลุ้นไปด้วยกันนะคะ

เฟอร์จัง แบบว่าเป็นสัญชาตญาณส่วนตัวของแก้มน่ะจ้ะ ชียังจำอดีตไม่ได้หรอก แต่เห็นเรื่อยๆ หุๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account