ปมรักภูตเสน่หา โดย ตารกา (วางแผงแล้ว)
56 ปีที่ก่อน ณ คฤหาสน์ผาทราย พลช ชายหนุ่มรูปงาม ลูกชายของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ได้ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับคู่หมั้น แม้เวลาจะผ่านมากหลายทศวรรษแล้ว แต่ดวงวิญญาณของชายหนุ่มก็ยังไม่ไปไหน เขาสถิตอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยการกลับมาของคนที่รักหมดหัวใจ

นิยายเรื่องนี้วางแผงแล้วนะคะ สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป
หรือสั่งซื้อได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ

http://www.thebooklovers.co.th/index.php/product/detail/778


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานนะคะ
Tags: ซึ้งกินใจ ลึกลับ ย้อนอดีต ผี โรแมนติก จิตกรหนุ่มผู้เจ้าอารมณ์ วิญญาณอาลัยที่แสนอ่อนโยน สืบสวน นางเอกเป็นนักกายภาพบำบัด คฤหาสน์กลางเกาะ

ตอน: บทที่ 6 ความจริงที่น่าตกใจ

บทที่ 6 ความจริงที่น่าตกใจ

พลชรับรู้ได้ด้วยญาณถึงความฝันของปรางรัตน์ สิ่งที่หญิงสาวเห็นคือเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ชายหนุ่มไม่ได้เป็นผู้บันดาลให้เกิดภาพฝันนี้ ตัวการที่แท้จริงคือพลังอำนาจลึกลับที่เขาขนานนามว่า ‘โชคชะตา’

ความฝันของหญิงสาวคือสัญญาณบอกว่า อีกไม่นานกงล้อแห่งชะตากรรมจะหมุนวนกลับมายังจุดเดิมอีกครั้ง และเวลาแห่งการรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลง ชายหนุ่มอิ่มเอมใจที่ได้รู้ว่าอีกไม่นานปรางรัตน์จะจำตนได้ พลชอยากให้เธอมองสบตาเขาอีกครั้ง เปล่วงเสียงเรียกชื่อให้ได้ยินสักคำ เพียงเท่านี้วิญญาณอาลัยอย่างเขาคงมีความสุขราวกับได้ขึ้นสวรรค์

ในความเป็นจริงวิญญาณบาปอย่างพลชไปได้ไกลอย่างมากก็แค่นรก ชายหนุ่มไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเป็นผู้พรากชีวิตเธอได้ เช่นเดียวกันกับที่ไม่อาจตัดใจไปจากเธอ ต่อให้ปรางรัตน์รู้ความจริงแล้วชิงชังเขาเข้ากระดูกดำ ชายหนุ่มก็ยังคงจะรักหญิงสาวด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี

ร่างสูงโปร่งทอดมองคนที่กำลังนอนหลับตาอย่างห่วงใย ใบหน้าซูบซีดของปรางรัตน์ทำให้พลชอยากมีพลังกล้าแข็งกว่านี้จะได้คอยปกป้องเธอ น่าเศร้าที่เขาปรากฏตัวได้เฉพาะในความฝันเท่านั้น ทั้งยังพูดจากันได้เพียงไม่กี่ประโยค

“ขอโทษนะครับที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย” พลชเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย

วิญญาณอย่างพลชแข็งแกร่งในตอนกลางคืน แต่อ่อนแอในตอนกลางวัน แสงจากดวงอาทิตย์ทำให้พลังเขาลดลงมาก กว่าจะปลุกศิวกรให้ตื่น แล้วดลใจให้มองออกไปข้างนอก ก็กินเวลานานโข วันนี้แดดแรงชนิดที่ว่าถ้าเธอเป็นเนื้อชิ้นสดหนึ่ง ก็แทบจะกลายเป็นเนื้อแดดเดียวได้เลย

พลชเจ็บปวดเหลือเกินยามมองเห็นร่องรอยการถูกแดดเผาบนผิวเนื้อเนียน ความรู้สึกผิดทำให้ชายหนุ่มติดตามหญิงสาวตลอดวัน โดยไม่หวั่นเกรงแสงอาทิตย์ที่ทำให้อ่อนล้า แม้จะทรมานแต่การได้เฝ้ามองคนที่รักก็ทำให้เกิดความสุข เวลายาวนานกลายเป็นชั่วอึดใจ ไม่นานตะวันก็ตกดินชายหนุ่มจึงกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

เมื่อไม่ต้องทรมานเพราะแสงแดดเขาก็กลับมาตามติดเธอได้สะดวกขึ้น แต่ก็มีช่วงที่ต้องหยุดตามเหมือนกัน อาทิตอนที่หญิงสาวเข้าห้องน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า แม้จะเป็นวิญญาณแต่เขาก็คงไว้ซึ่งสามัญสำนึกและความเป็นสุภาพบุรุษ ขณะนี้ก็เช่นกันเมื่อปรางรัตน์เดินไปอาบน้ำ พลชก็นั่งไขว่ห้างรออยู่อย่างเรียบร้อยในห้องรับแขก

สิบห้านาทีต่อมาหญิงสาวก็เดินฮัมเพลงออกมาจากห้องน้ำ เมื่อเหลือบตามองเห็นว่าเธอแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พลชก็ลอยไปนั่งอยู่ข้างๆ แล้วเท้าคางมองหญิงสาวหวีผม ปรางรัตน์สางผมเพียงไม่กี่ทีก็วางแปรงลง แล้วผุดลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งไปที่เตียง เห็นแล้วก็อดประท้วงออกมาไม่ได้

“แก้มแก้วใจร้าย ไม่รู้หรือครับว่าผมชอบมองคุณเวลาอยู่หน้ากระจก”

เมื่อครั้งยังมีชีวิต พลชเคยคิดฝันเอาไว้ว่าหากแต่งงานกับเธอเมื่อใด เขาจะคอยแปรงผมให้ทุกวัน ชายหนุ่มหลงใหลทุกสิ่งในตัวหญิงสาว แต่ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษคือเรือนนุ่มสลวยสีดำขลับ ตอนยังมีชีวิตเขาเลยชอบแอบมองเธอจากด้านหลัง เพื่อดูผมยาวเหยียดตรงพลิ้วไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว

ในที่สุดพลชก็ยั้งใจไม่ให้เอื้อมมือไปสัมผัสผมยาวสลวยไม่ได้ มือเขาทะลุผ่านเส้นผมสีดำสนิทไป โดยไม่อาจรับรู้ถึงความนุ่มลื่นของมัน

คงดีไม่น้อย หากเขาสามารถพบเจอเธอได้ในร่างมนุษย์ ไม่ใช่วิญญาณอาลัยอย่างนี้

พลชคร่ำครวญอย่างโศกเศร้า ในขณะที่เขาเฝ้ามองเธอตาละห้อย ดวงวิญญาณของชายหนุ่มก็ถูกขุมพลังบางอย่างฉุดออกจากห้อง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน เขารู้เพียงว่าตัวเองถูกขว้างอย่างแรงไปทางฝั่งตะวันตกของคฤหาสน์ แล้วพุ่งชนกับร่างของศิวกรที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ โดยไม่สามารถต้านทานคือขัดขืดได้เลย

ชายหนุ่มรู้สึกเวียนศีรษะแล้วก็ต้องย่นหัวคิ้วด้วยความประหลาดใจ วิญญาณเช่นเขาไม่ควรจะรู้สึกอย่างนี้ ตราบใดที่ยังไม่ได้เจอกับแสงอาทิตย์ พอปรับสายตาได้พลชก็ต้องตะลึงเมื่อพบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในร่างของหลานชาย หรือพูดให้ฟังง่ายคือ ‘เขากำลังเข้ามาสิงร่างนี้’

น้ำหนักของร่างกายกับแรงดึงดูดของโลกเป็นสิ่งที่พลชไม่ได้สัมผัสมานาน พอลองขยับเนื้อตัวดูสักพัก ก็พบว่าร่างนี้สามารถเคลื่อนไหวได้ดังใจทุกประการ ความลิงโลดใจทำให้ชายหนุ่มรีบวิ่งทะลุกกำแพงออกไปตามความเคยชิน แล้วก็ต้องชนโครมเข้ากับกำแพงอย่างจัง

“เจ็บ!” ชายหนุ่มลูบหน้าตัวเองป้อยๆ แล้วหัวเราะลั่น

ตั้งแต่ตายไปเขาก็ไม่เคยรับรู้สึกความเจ็บปวดหรือความหิวกระหายอีกเลย พอกลับมามีความรู้สึกเหมือนดังเช่นมนุษย์อีกครั้ง ก็อดดีใจไม่ได้ ชายหนุ่มสาวเท้าเตรียมออกมาจากห้อง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก

ยังไม่ทันตัดสินใจว่าจะปิดมันดีไหม พลชก็ถูกพลังบางอย่างผลักกระเด็นออกจากร่างของศิวกร เขากลับสู่สภาพวิญญาณเหมือนเช่นเคย ในขณะที่เจ้าของร่างตัวจริง กำลังงัวเงียตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ ว่ากลิ้งลงจากเตียงมาอยู่ที่หน้าประตูห้องได้อย่างไร

เขาเข้าสิงศิวกรโดยไม่ตั้งใจ แล้วก็ถูกผลักออกมาแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน

ชายหนุ่มเม้มปากอย่างตรึงตรอง ก่อนจะตั้งสมมุติฐานว่าบางทีเขาอาจจะใช้ร่างของคนอื่นได้ขณะที่เจ้าตัวกำลังหลับ พลชจึงลองไปที่เรือนหลังเล็กซึ่งเป็นที่อยู่ของคนดูแลคฤหาสน์ดู ลุงแก่นกำลังนอนกรนเสียงดังสนั่น ในขณะที่ป้าเลื่อมกำลังนุ่งผ้าถุงเดินเข้าไปในห้องน้ำ

พลชตัดสินใจลองใช้ร่างของลุงแก่นก่อน ชายหนุ่มตั้งจิตแล้วพุ่งชนร่างของลุงแก่นอย่างแรงแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตัวเขาทะลุผ่านร่างแกไปเหมือนดังเช่นที่ทะลุผ่านวัตถุอื่นๆ แม้จะลองสักกี่ครั้งก็ยังให้ผลเดิม เขาจึงรอให้ป้าเลื่อมหลับแล้วสิงดูบ้าง แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นอีกเช่นกัน

หรือเราจะสิงได้เฉพาะแต่ศิวกรเท่านั้น

พลชตั้งสมมุติฐานเอาไว้แล้วรอให้ศิวกรนอนหลับตอนใกล้รุ่ง พอเห็นว่าชายหนุ่มหลับสนิทดีแล้ว วิญญาณของพลชก็ตั้งจิตแล้วเข้าไปอยู่ในร่างนั้นทันที

คราวนี้สมมุติฐานของเขาถูกต้อง ตราบใดที่จิตของศิวกรอยู่ในสภาวะหลับใหลหรือไม่ได้สติ พลชจะเข้าออกร่างนี้กี่ครั้งก็ได้

ชายหนุ่มลุกออกจากเตียงแล้วเปิดประตูเดินออกไปจากห้อง แต่แล้วก็ต้องทรุดฮวบ เมื่อแสงอาทิตย์จากหน้าต่างทำให้รู้สึกอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับร่างได้ เขาพยายามดิ้นรนบังคับร่างให้กลับเข้าไปที่ห้องแต่ก็ทำไม่ได้ วิญญาณเขาถูกผลักกระเด็นออกมา ศิวกรที่น่าสงสารเลยต้องนอนบนพื้นระเบียงเย็นเฉียบ

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พลชรู้เพิ่มเติมขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งว่าเขาสามารถใช้ร่างของศิวกรได้เฉพาะแต่ในเวลากลางคืนเท่านั้น

“คืนนี้ผมจะไปหาคุณนะครับแก้มแก้ว” ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเองอย่างลิงโลดใจ ก่อนที่จะเร้นกายหายไปในขณะที่ดวงตะวันกำลังลอยเด่นขึ้นมา


เมื่อคืนปรางรัตน์ฝันประหลาดอีกแล้ว เธอฝันต่อเนื่องจากเหตุการณ์ที่ฝันตอนเป็นลมหมดสติไป.ในความฝัน เธอเฝ้ามองแก้มแก้วทำหน้าที่พยาบาลนายพงษ์ หรือก็คือคุณปู่ทวดของวิรัลพัชร หญิงสาวมีหน้าที่ดูแลคนป่วยในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนจะมีหญิงรับใช้มานอนเฝ้าแทน หากมีอะไรก็จะไปตามที่ห้องพัก

ฝันเรื่อยเปื่อยเหมือนการใช้ชีวิตประจำวันนี้ดำเนินไปอย่างช้าๆ พร้อมกับเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลอัศวเทพศิรันที่ปรางรัตน์ได้รู้เพิ่มเติมจากการสังเกต

หญิงสาวสรุปได้ว่านายพงษ์ มีภรรยาทั้งหมดสามคน คนแรกคือแม่ของคุณพจน์ ไม่มีใครบอกว่าผู้หญิงคนนี้ชื่ออะไร รู้แต่ว่าเสียชีวิตก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่สองไม่นาน จากนั้นนายพงษ์ก็แต่งงานใหม่กับหม่อมราชวงศ์เฉิดฉวี มีลูกชายด้วยกันสองคนคือ คุณพิทักษ์กับคุณพลช ส่วนภรรยาคนที่สามนั้น เป็นคนที่คุณหญิงเฉิดฉวีจัดหามาให้ปรนนิบัติสามี เพราะหลังจากคลอดลูกชายคนเล็กแล้ว คุณหญิงก็สุขภาพไม่แข็งแรง อนุภรรยาคนนี้มีชื่อว่าแจ่มจันทร์ ภายหลังมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนคือ คุณพิมพา แต่ใครๆ ที่บ้านนี้มักจะเรียกว่าคุณน้องนาง

ผู้ที่อาศัยอยู่ประจำในคฤหาสน์ก็คือนายพงษ์กับอนุภรรยาและบุตรสาวคนเล็ก ส่วนคุณหญิงกับลูกชายทั้งสามอยู่ที่กรุงเทพฯ หรือที่คนที่นี่เรียกกันว่าพระนคร ตามคำเรียกสมัยนั้น ขณะนี้คนที่ดูแลควบคุมกิจการทั้งหมดของตระกูลคือคุณพจน์ โดยมีคุณพลชที่เรียนจบมาจากอังกฤษเป็นผู้ช่วย ทว่ากลับไม่มีใครบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคุณพิทักษ์ให้แก้มแก้วได้รับรู้ ราวกับว่าชื่อนี้เป็นคำเรียกต้องห้าม

ปรางรัตน์มารู้เฉลยตอนใกล้ตื่นว่าก่อนหน้าที่แก้มแก้วจะมาอยู่ที่นี่ คุณพิทักษ์มาอยู่ดูแลบิดาและคุมการตกแต่งคฤหาสน์หลังนี้อยู่นานหลายเดือน แล้วก็เกิดทะเลาะกันใหญ่โตเพราะนายพงษ์อยากให้บุตรชายหมั้นหมายกับญาติทางฝั่งมารดาซึ่งมีเชื้อสายเจ้า ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าคุณพิทักษ์มีภรรยาที่แอบจดทะเบียนสมรรสกันเงียบๆ อยู่แล้ว

ฝ่ายหญิงเรียนจบมหาวิทยาลัย เป็นลูกเจ้าสัวมีฐานะ แต่ไม่ได้รับการยอมรับเพราะว่านายพงษ์เกลียดคนจีนมาก เนื่องจากสมัยที่ยังไม่ร่ำรวยเคยถูกเจ้าสัวคนหนึ่งโกงจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ว่ากันว่าที่ภรรยาคนแรกของท่านเสียชีวิต ก็เป็นเพราะเจ้าสัวคนนี้

ปรางรัตน์รับรู้เรื่องราวได้เพียงเท่านั้นก็สะดุ้งตื่น แสงแดดจ้าของยามสายที่ส่องลงมาทำให้หญิงสาวเหลียวไปมองนาฬิกา แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว

นี่ฝันเป็นตุเป็นตะแถมยังนอนเพลินได้ขนาดนี้เชียว

หญิงสาวรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาข้างล่าง ในตู้กับข้าวมีชุดอาหารเช้าแบบอเมริกัน แล้วก็กับข้าวสำหรับเป็นมื้อเที่ยงเตรียมเอาไว้ให้พร้อม ส่วนที่เป็นมื้อเที่ยงนั้นกำลังร้อนได้ที่เลยทีเดียว เพราะเพิ่งทำเสร็จเมื่อสักครู่นี่เอง

“ลงมาแล้วเหรอคะคุณ สีหน้าสดชื่นเชียว หายดีแล้วใช่ไหมคะ” ป้าเลื่อมส่งยิ้มมาให้หญิงสาวต่างวัยเมื่อได้พบหน้า

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้วุ่นวาย”

ถ้าป้าเลื่อมไม่ทักเธอคงลืมไปแล้วว่าเมื่อวานนี้เป็นลมไป เนื่องจากถูกความฝันประหลาดดึงความสนใจไปหมด

หญิงสาวยกจานกับข้าวออกมาจากตู้ แต่ป้าเลื่อมแย่งไปบอกว่าขออุ่นให้ก่อน แล้วจัดแจงยกกับข้าวอย่างอื่นมาเสริมให้ด้วย

“วันนี้ลุงเขาจะไปที่ในเมือง คุณอยากได้อะไรเปล่าคะ จะได้ให้ลุงไปซื้อให้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องรออีกนานไม่ก็ต้องไปเองนะคะ”

สามีแกนั่งเรือไปที่เมืองไม่บ่อยนัก อยากได้อะไรก็ต้องฝากซื้อเสียแต่เนิ่นๆ

“ขอบคุณค่ะ แต่ตอนนี้แก้มยังไม่มีอะไรที่อยากได้เลย ของจำเป็นก็เตรียมมาสำหรับหนึ่งเดือนแล้ว”

พวกสบู่ยาสีฟันปรางรัตน์พกเอาหลอดใหญ่มาเพราะรู้ว่าต้องอยู่นาน แต่ถึงจะหมดก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะในห้องน้ำมีเตรียมเอาไว้ให้อีกเยอะแยะ

“ถ้าอย่างนั้นป้าไปส่งข้าวให้พวกโรงปั่นไฟก่อนนะคะ”

ป้าเลื่อมเอื้อมมือไปคว้าปิ่นโตเถาใหญ่กับกระติกน้ำมาถือไว้ด้วย

“เกาะนี้มีคนอื่นอยู่ด้วยเหรอคะ” ปรางรัตน์ถามด้วยความประหลาดใจ เธอคิดมาตลอดว่าที่นี่มีแต่ศิวกรกับสองสามีภรรยาเท่านั้น

“พวกช่างเขาเพิ่งมาอยู่ตอนปรับปรุงที่นี่แหละค่ะ คุณเล็กชอบทำงานตอนกลางคืน ก็เลยจ้างคนเพิ่ม เรื่องน้ำไฟจะได้ไม่มีปัญหา”

ป้าเลื่อมเล่าต่อว่าทีแรกศิวกรจะทำที่นี่เป็นโรงแรม แต่ไม่รู้นึกอย่างไรเกิดเปลี่ยนใจทีหลัง เอามาทำเป็นที่ทำงานแทน

พอป้าเลื่อมไปแล้ว หญิงสาวก็รีบกินอาหารแล้วเริ่มปฏิบัติการตามหาจดหมายต่อ เธอหาในห้องชั้นสองเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เป็นห้องชั้นสาม ทว่าหามาตลอดบ่ายก็ยังคว้าน้ำเหลวเหมือนเคย

หญิงสาวหยิบแผนที่ออกมากากบากห้องบริเวณชั้นสองและสามทิ้ง แล้วเขียนเครื่องหมายคำถามลงไปยังบริเวณที่น่าจะมีจดหมายเก็บอยู่ อย่างห้องเก็บของ ชั้นใต้ดินและห้องใต้หลังคา เธอคิดว่าถ้าเข้าไปค้นหาในพื้นที่พวกนี้น่าจะเจอง่ายกว่าการไล่หาไปทีละห้องอย่างที่ทำในตอนแรก

ปรางรัตน์เลือกค้นหาที่ห้องเก็บของก่อน แล้วเธอก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าภายในมีเครื่องเรือนเก่าๆ กับของไม่ใช้แล้วกองสูงท่วมหัว

ป้าเลื่อมบอกว่าตอนปรับปรุงที่นี่แทบจะไม่ได้ทิ้งอะไรไปเลย ตอนนี้เธอเชื่อแล้วล่ะว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะแม้แต่ของที่ดูเป็นขยะอย่างว่าวขาดๆ หรือกระป๋องแป้งหมดอายุ ก็ยังสู้อุตส่าห์เก็บเอาไว้

ด้านในสุดของห้องมีเตียงหลังใหญ่ตั้งอยู่ ตรงนั้นมีโต๊ะหลายตัววางซ้อนกันเอาไว้ จุดนี้อยู่ห่างจากประตูแค่ไม่กี่เมตร แต่หญิงสาวกลับไม่เห็นช่องทางที่จะแทรกเข้าไปด้านในได้เลย

ปรางรัตน์จึงต้องยกข้าวของที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ออกมาได้ออกมาวางกองไว้ด้านนอกก่อน ขยับนั่นนิด ขยับนี่หน่อย ในที่สุดก็สามารถเข้าไปด้านในได้

หญิงสาวไล่เปิดดูตามลิ้นชักกับตู้ต่างๆ บางอันก็มีของกระจุกกระจิกของผู้หญิงเก็บเอาไว้ บางอันก็ว่างเปล่า จนมาถึงตู้เก็บของขนาดเล็กแบบโบราณตู้หนึ่ง หญิงสาวก็พบจดหมายหลายฉบับวางซ้อนกันไว้แล้วทับด้วยกล่องใบเล็ก ซึ่งภายในมีนาฬิกาข้อมืออยู่เรือนหนึ่ง

พอหยิบจดหมายมาดูหญิงสาวก็ต้องผิดหวัง เมื่อจดหมายเหล่านั้นจ่าหน้าซองถึงพยาบาลที่ชื่อแก้มแก้วทั้งนั้น หญิงสาววางมันลงแล้วก็ต้องอุทานลั่นในวินาทีต่อมา เมื่อรู้ว่าผู้หญิงในความฝันของเธอมีตัวตนจริงๆ

ปรางรัตน์นิ่งอึ้งไปนานหลายนาทีกับเรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หญิงสาวพยายามหาคำตอบอย่างมีเหตุมีผลและพยายามอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ ทว่ายิ่งคิดกลับยิ่งค้นพบว่าสิ่งที่กำลังประสบอยู่เป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ

หญิงสาวกล้าสาบานได้ว่าไม่มีใครบอกเธอว่านายพงษ์มีพยาบาล หรือเอ่ยชื่อแก้มแก้วให้ได้ยินมาก่อน จดหมายคือเครื่องยืนยันอย่างดีว่าความฝันของเธอคือเรื่องจริง อย่างน้อยที่สุดผู้หญิงในฝันก็มีตัวตนอยู่จริง ปรางรัตน์รู้สึกได้ทันทีว่ามีอำนาจลึกลับบางอย่างกำลังพยายามบอกบางสิ่งกับเธอ

ทำยังไงดี เรื่องนี้มันชักไม่ธรรมดาแล้ว

หญิงสาวถามตัวเองอย่างช่างใจ ใจหนึ่งเธอก็กลัวสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อีกใจซึ่งมีอำนาจเหนือกว่ากลับสั่งให้เธออยู่ต่อ เสียงเล็กๆ ในหัวมันกระซิบบอกว่าถ้าอยู่ที่นี่ต่อไป บางทีอาจจะได้รู้ความจริงว่าคุณพลชกับคู่หมั้นเสียชีวิตได้อย่างไร

นึกถึงการตายของคุณพลชทีไร ปรางรัตน์มักจะมีอาการทุรนทุรายเสมอ เธอกระหายใคร่รู้เรื่องของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็น และมันก็ส่งผลให้หญิงสาวตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อ

เมื่อเปิดใจรับเรื่องลึกลับหญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงความผูกพันและแรงดึงดูดระหว่างเธอกับสถานที่แห่งนี้ บางครั้งเวลาที่อยู่คนเดียว เธอจะรู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ หากเชื่ออย่างที่คนอื่นบอกว่าศิวกรคือคุณพลชกลับชาติมาเกิด บางทีเธออาจจะเป็นคนชื่อแก้มแก้วกลับชาติมาเปิดก็เป็นได้

เมื่อคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นแก้มแก้ว หญิงสาวก็ถือสิทธิ์กับของที่เพิ่งค้นพบ เธอหยิบจดหมายออกมาจากตู้แล้วซุกเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นจึงค่อยค้นหาของที่ต้องการจากตู้ใบอื่น

ค้นอยู่นานปรางรัตน์ก็ยังไม่พบอะไรเพิ่มเติม จึงเปลี่ยนไปลองหาในกล่องกระดาษสารพัดขนาดที่ซ้อนกันเอาไว้ เปิดดูได้สองกล่องท้องก็ร้องโครกครากเพราะความหิว เธอเลยเดินออกมาดูนาฬิกาที่ห้องโถง ปรากฏว่าเลยเวลาอาหารมามากแล้ว หญิงสาวจึงตรงไปที่ห้องครัวก่อน

เวลาทำงานปรางรัตน์จะไม่สวมนาฬิกาคือใส่เครื่องประดับ เพราะกลัวว่าจะไปขูดกับตัวคนไข้ขณะกายภาพบำบัด นอกเวลางานก็เลยติดนิสัยไม่ชอบใส่อะไรให้เกะกะมาด้วย

ป้าเลื่อมเพิ่งลงมาจากข้างบนพอดีตอนที่หญิงสาวเข้าไปในครัว ป้าแกเห็นว่าผิดเวลาก็เลยขึ้นไปตามหญิงสาว

“ขอโทษนะคะที่ทำให้ต้องรอ พอดีหาของเพลินน่ะค่ะ แก้มขนของออกมาจากห้องเก็บของ ป้าเลื่อมไม่ต้องเก็บคืนนะคะ หาของในนั้นเสร็จแก้มจะจัดการเอง” หญิงสาวบอกเอาไว้ก่อนเพราะไม่อยากรบกวน

“ให้ป้าช่วยไหมคะ สองคนค้นเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ”

“อย่าเลยค่ะ แค่งานบ้านกับทำกับข้าวป้าก็เหนื่อยแย่แล้ว แก้มหาเองได้ นั่งดูของเก่าไปเพลินๆ ด้วย สนุกดีค่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธอย่างเกรงใจ

คนมีอายุอย่างป้าเลื่อมมักจะมีปัญหาปวดหลัง กระดูกผุ ไม่ก็ไขสันหลังกดทับเส้นประสาทกันอยู่แล้ว ให้มาช่วยยกของจะเป็นการทรมานคนแก่เสียเปล่าๆ

แม้จะสงสัยในพฤติกรรมของหญิงสาวอยู่บ้างแต่ป้าเลื่อมก็ยอมตามใจ แกเปลี่ยนประเด็นไปที่เรื่องอาหารแทน แล้วเริ่มบ่นถึงสามีเพราะวันนี้ลุงแก่นไม่ได้อยู่กินด้วย แต่จะไปค้างในเมืองแทน

ปรางรัตน์รับประทานอาหารเย็นและเป็นเพื่อนคุยกับป้าเลื่อมจนหัวค่ำ เสร็จแล้วก็เดินขึ้นชั้นบนมาอาบน้ำ อยู่ห้องมาก็หลายวันแต่เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าผนังตรงอ่างอาบน้ำมีม่านกั้นอยู่ พอลองรูดออกถึงได้รู้ว่าผนังตรงส่วนนี้เป็นกระจกทั้งหมด

หญิงสาวลองมองออกไป สิ่งที่เธอเห็นคือความมืดที่ดูวังเวง ทนมองได้ไม่นานนักก็ต้องรีบรูดม่านลง ก่อนที่ผ้าม่านสีขาวจะขยับไปอยู่ที่จุดเดิม ปรางรัตน์ก็เหลือบเห็นแสงไฟตรงบริเวณสวน

“อีตาศิวกรอีกแล้ว ทำอะไรของเขานะ”

เนื่องจากรู้สึกสงสัยมานาน หญิงสาวจึงรีบแต่งตัว หยิบไฟฉาย แล้วเดินออกมาทางประตูหลัง เพื่อไปยังจุดที่แสงไฟมักจะหยุดอยู่เป็นประจำ

ปรางรัตน์เห็นแสงสว่างแวบๆ อยู่บริเวณป่าห่างจากสวนไปไม่เท่าไร พอใช้ไฟฉายส่องดูก็เห็นว่ามีทางเท้าเข้าไปในป่า แต่ก็เป็นทางเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยพงหญ้าสูงกับต้นไม้หนาทึบ ความเย็นของสายลมทำให้ขนแขนของหญิงสาวพร้อมใจกันตั้งชันขึ้น รอบกายเธอเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงแมลงกรีดร้องเลยสักตัว มันวิเวกวังเวงเสียจนทำให้ใจสั่น

หญิงสาวเดินมาได้ไม่กี่ก้าวก็เริ่มละล้าละลังไม่อยากเข้าไปลึกมากไปกว่านี้ เธอกลัวเหลือเกินว่าถ้าเกิดไฟฉายมีปัญหาขึ้นมาอีก เธอจะหลงทางอยู่กลางป่าที่แสนน่ากลัวนี่ทั้งคืน ในขณะที่กำลังลังเล แสงไฟที่เห็นอยู่ไม่ไกลก็ดับลง

ถ่านไฟฉายเขาหมดหรือไงนะ

ความคิดที่ว่ามีคนกำลังเดือดร้อนทำให้ปรางรัตน์กลั้นใจเดินฝ่าความืดไป ถึงจะไม่ชอบหน้าชายหนุ่ม แต่เขาก็เคยช่วยเธอเอาไว้ ได้ใช้หนี้บุญคุณคืนจะได้ถือว่าไม่มีอะไรติดค้างกันอีก

ปรางรัตน์เดินมาตามทางเดินจนมาถึงลานโล่ง ลักษณะเป็นวงกลม เห็นแล้วก็จำได้ทันทีว่ามันคือจุดที่แสงไฟมักจะมาหยุดอยู่เป็นประจำ หญิงสาวกวาดตามองหาชายหนุ่มแต่ไม่พบ จึงตัดสินใจตะโกนเรียก

“คุณศิวกรคะ คุณอยู่…”

เสียงตะโกนขาดช่วงไปเพราะแสงจากไฟฉายส่องไปเจอวัตถุบางอย่างที่คล้ายกับมือคน โผล่ออกมาจากผิวดิน

พอเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวก็เห็นว่ามันเป็นมือจริงๆ แถมยังมีสีแดงเหมือนกับเลือดเปรอะอยู่ด้วย

“ฆะ…ฆาตกรรม” ปรางรัตน์เอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างยากเย็น

หญิงสาวรู้สึกในทันทีว่าตัวเธอกำลังสั่น มือเธอเย็นเฉียบแต่กลับชื้นเหงื่อ แค่เรื่องลึกลับที่ได้ประสบพบมาก็แย่เต็มทีแล้ว แต่นี่ยังต้องมาเจอศพคนตายกลางป่าอีกหรือ

ปรางรัตน์ออกอาการสติแตก ยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าไม่เหลือสีเลือดอยู่เลย กระนั้นในจิตสำนึกก็ยังคิดอย่างมีสติ เธอจะต้องไปหาป้าเลื่อมแล้วโทรศัพท์เรียกตำรวจหรือตามคนมาจัดการกับเรื่อง

หญิงสาวบังคับตัวเองให้เคลื่อนไหว ทว่ายังไม่ทันขยับก็ถูกแสงไฟสาดใส่เข้าเต็มหน้า จนต้องหยีตาเบือนหน้าหนี

“มาทำอะไรที่นี่”

ประโยคนี้ฟังดูคล้ายคำตำหนิมากกว่าคำถาม แต่ปรางรัตน์ก็ตื่นตระหนกเกินกว่าจะเก็บมาเป็นอารมณ์

“เกิดเรื่องแล้วค่ะ คือ…”

หญิงสาวตั้งใจจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าก็ต้องชะงักไปเสียก่อนเมื่อเห็นว่าตามตัวของศิวกรเปรอะไปด้วยเลือด ชายหนุ่มมองเธอตาขวาง แล้วย่างสามขุมเข้ามาหา มือข้างหนึ่งของเขามีขวานคมกริบอยู่ด้วย

ปรางรัตน์แทบจะก้าวขาไม่ออกเพราะความกลัว เธอก็ไม่เหลือสติจะคิดอะไรอย่างอื่นอีก นอกจากกรีดร้องในใจว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับฆาตกร

“อย่าเข้ามานะ!” หญิงสาวแผดเสียงก้อง แล้วหันหลังวิ่งหนีสุดฝีเท้า





นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ค. 2555, 11:52:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.ค. 2555, 11:52:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 2024





<< บทที่ 5 ความฝันกับอดีต   บทที่ 7 บาดเจ็บ >>
หนอนฮับ 28 ก.ค. 2555, 18:07:25 น.
อิอิ...พระเอกตัวจริงมาแว้ววววววว ชิมิ


goldensun 28 ก.ค. 2555, 21:37:12 น.
เข้าใจผิดแน่เลย คุณเล็กแกติสต์ไม่ใช่หรือคะ เป็นศิลปิน มืดๆ มองพลาดรึเปล่า
พลชเข้าสิงได้อย่างนี้ อลเวงแน่ อยากรู้ พลชฆ่าแก้มแก้วได้ยังไง


Zephyr 29 ก.ค. 2555, 00:08:41 น.
อ่าว ทำไงล่ะเนี่ย ตาเล็กกลายเป็นฆาตกรไปแล้ว เรียกว่ามาผิดจังหวะป่ะนะ หรือกำลังสร้างงานศิลปะอยู่ แบบโหดๆน่ะ
ปู่เข้าสิงหลานชายได้ สนุกล่ะ หึหึ แล้วปู่พรากชีวิตแก้มในอดีตทำไมนะ
ประวัติครอบครัวนี้ดูวุ่นวายเนอะ หึหึ


นิชาภา 29 ก.ค. 2555, 15:28:39 น.
คุณหนอนฮับ หัวเราะเบาๆ ค่ะไม่รู้ไม่ชี้เรื่องพระเอก

คุณ Goldensun ถูกต้องแล้วคร้าบบบบบบบ ตอนถูกเรื่องเข้าใจผิด ส่วนเรื่องแก้มแก้วมาลุ้นกันต่อไป

เฟอร์จัง ระยะนี้เค้าขยันแต่ต้นเดือนหน้าไม่ขยันแล้วค่ะ งานเข้า ต้องแบ่งเวลาไปปั่นอีกเรื่องด้วย คงลงได้วันเว้นวันหรือวันเว้นสองวัน T^T เรื่องอาเล็กตอนหน้าเฉลยแล้วเคอะว่าเข้าใจผิด ครอบครัวนี้วุ่นวายยุ่งเหยิงได้ใจค่ะ เขียนไปมึนไป ขนาดทำผังตระกูลไว้แล้วนะบางอารมณ์ยังก่งก๊ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account