ปมรักภูตเสน่หา โดย ตารกา (วางแผงแล้ว)
56 ปีที่ก่อน ณ คฤหาสน์ผาทราย พลช ชายหนุ่มรูปงาม ลูกชายของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ได้ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับคู่หมั้น แม้เวลาจะผ่านมากหลายทศวรรษแล้ว แต่ดวงวิญญาณของชายหนุ่มก็ยังไม่ไปไหน เขาสถิตอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยการกลับมาของคนที่รักหมดหัวใจ

นิยายเรื่องนี้วางแผงแล้วนะคะ สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป
หรือสั่งซื้อได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ

http://www.thebooklovers.co.th/index.php/product/detail/778


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานนะคะ
Tags: ซึ้งกินใจ ลึกลับ ย้อนอดีต ผี โรแมนติก จิตกรหนุ่มผู้เจ้าอารมณ์ วิญญาณอาลัยที่แสนอ่อนโยน สืบสวน นางเอกเป็นนักกายภาพบำบัด คฤหาสน์กลางเกาะ

ตอน: บทที่ 7 บาดเจ็บ

บทที่ 7 บาดเจ็บ

ศิวกรปล่อยให้หญิงสาวเดินหายเข้าไปในป่าโดยไม่คิดจะติดตาม แม้จะเดาออกว่าตอนนี้เธอกำลังเข้าใจผิด

ปล่อยจอมจุ้นจ้านให้วิ่งป่าราบไปน่ะดีแล้ว จะได้รู้จักเข็ด ไม่เที่ยวสะกดรอยตามใครเขาอีก

ชายหนุ่มเหลือบมองไปยังตัวต้นเหตุแล้วยิ้มออกมา มือที่เห็นคือผลงานปั้นที่เขาจงใจทำขึ้นมาเป็นตลกร้ายรับวันฮัลโลวีน ส่วนคราบสีแดงคล้ายเลือดที่เปรอะเสื้ออยู่ คือไวน์แดงที่ทำหกก่อนจะลงมาข้างล่าง

พอหญิงสาววิ่งไปแล้วชายหนุ่มก็หิ้วขวานกลับไปฟันกิ่งไม้ต่อ คืนนี้เขาอารมณ์ดีเลยอยากจะก่อไฟย่างอะไรกินกับไวน์ท่ามกลางแสงดาว

ลานกว้างที่ศิวกรอยู่ในขณะนี้คือสถานที่สำหรับตั้งแคมป์ เขาให้คนจัดการถางทางเอาไว้เผื่อว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศมานอนกลางดินและใช้เป็นที่จัดกิจกรรมส่วนตัว ศิวกรมีความเป็นศิลปินในตัวเองสูง เขาจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ทำผลงานออกมาไม่ได้ดั่งใจ ชายหนุ่มไม่อยากพาลใส่ใครเลยเลือกที่จะบำบัดความเครียดด้วยการขนผลงานที่ทำเสียมาทุบทิ้ง บางครั้งก็จามด้วยขวานหรือขุดหลุมฝัง ได้ประโยชน์ทั้งในแง่การระบายอารมณ์และออกกำลังกาย พอเหนื่อยก็ทิ้งตัวลงนอนใต้แสงดาว ให้พลังธรรมชาติช่วยบำบัดจิตใจ

ศิวกรอาจจะได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะในวงการจิตรกรรม แต่ในเรื่องงานประติมากรรมแล้วเขายังห่างชั้นกับคำคำนี้มากนัก ชายหนุ่มสามารถวาดทุกอย่างออกมาจากหัวได้ตรงตามที่คิดทุกประการแต่ไม่สามารถถ่ายทอดมันออกมาในรูปแบบสามมิติได้เต็มที่ ช่วงหนึ่งปีมานี้เขาเลยท้าทายตัวเองด้วยการหันมาจับงานปั้น สี่เดือนก่อนชายหนุ่มใช้นามแฝงในการส่งผลงานเข้าประกวด และได้รับรางวัลที่สองมา ทำให้งานเริ่มขายได้ ถึงราคาจะแค่หนึ่งในสิบของมูลค่างานสีน้ำมันแต่เขาก็พอใจ

ชายหนุ่มลงมือฟันกิ่งไม่ไปได้แค่ท่อนเดียวก็ได้ยินเสียงแม่สาวจอมอยากรู้อยากเห็นกรีดร้อง ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่าคงสะดุดล้มหรือเจอสัตว์เลื้อยคลานอะไรสักอย่าง

ศิวกรตั้งใจว่าจะทำเป็นไม่สนใจ แต่ความเงียบของสถานที่ทำให้เขาได้ยินชัดราวกับว่าเจ้าหล่อนมานอนร้องโอดโอยจะเป็นจะตายอยู่ข้างๆ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาคงตราหน้าว่าเจ้ามารยาไม่ก็สำออย แต่สองคำนี้ใช้ไม่ได้กับปรางรัตน์

ชายหนุ่มมีเหตุผลสองประการที่มาสนับสนุนความเชื่อของตัวเอง หนึ่งคือเธอเข้าใจว่าเขาเป็นฆาตกรเลยวิ่งหนี ดังนั้นคงไม่แกล้งหกล้มให้เขาตามไปจับตัวได้ง่ายๆ สองคือเธอไม่ได้สำออยแต่อ่อนแอจนน่าเป็นห่วง ถ้าวันก่อนเขาไม่บังเอิญไปพบเธอนอนหมดสติอยู่ หญิงสาวอาจจะแห้งตายอยู่ตรงนั้นแล้ว

เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกระตุ้นให้ระลึกถึงดวงหน้าซีดเซียวกับร่างกายบอบบางที่เคยอยู่ในอ้อมแขน ตัวเธออ่อนปวกเปียก ไม่มีสติเลยสักนิดตอนที่เรียก จนเขานึกหวั่นใจว่าจะต้องเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับเธอไปโรงพยาบาล

ผู้หญิงอย่างปรางรัตน์จำเป็นต้องมีคนคอยดูแล แต่ในสถานการณ์ขณะนี้คนที่ทำได้มีเพียงแค่ศิวกรเท่านั้น สามัญสำนึกในใจเร่งเร้าให้รีบตามไปดู ก่อนที่หญิงสาวจะได้รับอันตรายมากกว่านี้

ให้ตายสิ! มารบกวนกันไม่พอ ยังจะมีหน้ามาทำให้รู้สึกผิดอีก

ศิวกรอาจจะมีฉากหน้าเย็นชา แต่เขาไม่ใช่คนไร้มนุษยธรรม ชายหนุ่มโยนขวานลงกับพื้น แล้วก้าวยาวๆ ไปตามทิศทางที่หญิงสาววิ่งหนีไป

ทางด้านของปรางรัตน์ หญิงสาวหกล้มโครมใหญ่เพราะสะดุดเข้ากับรากไม้ หน้าท้องเธอไปกระแทกกับตกไม้เข้าอย่างจังก็เลยจุกจนลุกไม่ขึ้น พอจะฝืนความเจ็บลุกขึ้นได้ ข้อเท้ามันก็ปวดแปลบจนต้องทรุดลงอีกครั้ง

สถานการณ์แบบนี้เธอวิ่งหนีเขาไม่ไหวแน่ หญิงสาวจึงพยายามตะเกียกตะกายไปที่พุ่มไม้ข้างทาง เพื่อหาที่กำบังตัว แต่เสียงย่ำเท้าสวบสาบก็ตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรไฟฉายอันใหญ่ก็ส่องเข้าที่หน้าเธอจาตาพร่า

“อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันสู้จริงๆ ด้วย ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย” หญิงสาวแหกปากร้องเสียงดัง

มือเร่งควานหาอาวุธป้องกันตัวเป็นการใหญ่ แล้วก็ได้ก้อนหิวขนาดเหมาะมือมาก้อนหนึ่ง ยังไม่ได้ขว้างออกไป ชายหนุ่มโยนบางอย่างมาข้างตัวแล้วส่องไฟให้ดูชัดๆ

“ดูซะว่าเป็นอะไรกันแน่ แล้วหยุดแหกปากได้แล้ว”

ปรางรัตน์ตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเห็นมือที่มีรายละเอียดเหมือนจริงทุกประการ มันน่ากลัวจนเธอไม่กล้าจับเลยได้แต่เพ่งมองอย่างพิจารณา

“มองตรงรอยถลอกสิ จะเห็นเนื้อปูนขาวๆ” ศิวกรเอ่ยอย่างรำคาญเมื่อเห็นท่าทีลังเล

พอมองตามก็เห็นว่ามันเป็นของปลอมจริงๆ ปรางรัตน์นึกทึ่งความสามารถของคนที่ลงสีมือข้างนี้เหลือเกิน เพราะมันเหมือนจริงชนิดที่เรียกว่าไร้ที่ติด

“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวรีบยกมือไหว้ท่วมหัว เมื่อรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดไปไกล

ชายหนุ่มไม่สนใจจะยกโทษให้ เขาเดินเข้ามาหาแล้วยัดไฟฉายอันใหญ่ใส่มือปรางรัตน์

“ส่องนำทางให้ด้วย” พูดจบชายหนุ่มก็ก้มลงอุ้มหญิงสาวขึ้นมาจากพื้น

“ฉันเดินไหว ไม่ต้องอุ้มก็ได้ค่ะ” ปรางรัตน์ร้องห้าม

“อย่าอวดเก่ง ถ้ามีสำนึกว่าทำความเดือดร้อนให้คนอื่นก็หุบปากซะ” ศิวกรดุเสียงเข้ม หญิงสาวเลยยิ่งหน้าเจื่อนลงกว่าเดิม

ปรางรัตน์ไม่กล้าเถียงเขาเพราะทำให้เขาเดือดร้อนจริงๆ สภาพเธอตอนนี้เดินกลับเองไม่ไหวดังคำที่เขาว่า

เวรกรรมอะไรเธอหนอ ถึงต้องให้คนที่ไม่ชอบหน้ามาช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา

ถูกอุ้มมาได้สักพักหนึ่ง หญิงสาวก็ต้องหน้าแดงแปร๊ด เนื่องจากนึกขึ้นได้ว่าตัวเธอกำลังซบอยู่กับอกเขา ถึงจะมีเนื้อผ้าเป็นตัวขวางกั้นแต่ก็อยู่ในสภาพที่แนบชิดกันแบบเกินงาม ปรางรัตน์รีบปล่อยมือที่โอบไหล่หนาออก ใบหน้าของเธอแดงยิ่งขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างกายเขา หัวใจหญิงสาวเต้นรัวเป็นกลองและไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงได้ง่ายๆ เลย

“อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวก็ทิ้งไว้นี่ซะเลย” ชายหนุ่มทำเสียงดุใส่อีกรอบ เมื่อตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนเอาแต่ดิ้นขยุกขยิกไปมา

หญิงสาวเลยทำตัวเกรงไม่กล้าขยับ เพราะกลัวว่าเขาจะเหวี่ยงเธอทิ้งจริงๆ ศิวกรใช้เท้าเตะประตูบ้านดังโครมแล้วพาเข้ามาด้านใน ดูจากจังหวะการกระแทกเท้าและอารมณ์ของเขา ปรางรัตน์เชื่ออย่างหมดใจเลยว่าเขาจะโยนโครมเธอลงกับพื้น แล้วเดินหนีไปอย่างไม่ไยดี ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามกับที่คิด ศิวกรวางตัวเธอบนโซฟาอย่างเบามือ และหยิบหมอนอิงมาสอดใต้ขาข้างที่เจ็บให้ด้วย

“เจ็บตรงไหนอีกไหม” ชายหนุ่มถามเสียงห้วน แต่ก็ไม่กระโชกโฮกฮากเหมือนอย่างการสนทนาที่ผ่านมา ปรางรัตน์จึงกลัวเขาน้อยลง และคิดในแง่บวกว่าเขาอาจจะเป็นคนพูดจาห้วนๆ อย่างนี้เอง

“ไม่ค่ะ แค่ข้อเท้าพลิกอย่างเดียว”

ได้ฟังชายหนุ่มก็เดินไปที่ห้องครัว หากะละมังมาใส่น้ำแข็งแล้วเติมน้ำลงไป เตรียมไว้ให้หญิงสาวแช่เท้า วิธีนี้คือการปฐมพยาบาลอย่างหนึ่ง ความเย็นจากน้ำแข็งจะช่วยลดการอักเสบได้

“ขอบคุณค่ะ” ปรางรัตน์ค้อมศีรษะให้เมื่อเขาวางกะละมังลงที่พื้น

หนนี้ศิวกรก็ทำเป็นไม่สนใจคำขอบคุณเหมือนเคย ชายหนุ่มเดินหนีออกไปจากห้อง แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ปรางรัตน์นึกฉุนอยู่บ้างกับท่าทีไร้มนุษยสัมพันธ์ของเขา แต่คนอย่างเธอรักที่จะมองโลกในแง่ดี ประกอบกับเคยเจอผู้ป่วยอารมณ์ร้ายนิสัยแย่มานักต่อนักแล้ว จึงคิดเสียว่าเขาไม่ปกติจะได้ไม่ต้องเก็บเอามาเป็นอารมณ์

หญิงสาวจับข้อเท้าตัวเองพลิกไปมาเพื่อประเมินอาการ เธอเคยแต่ตรวจคนอื่น มาตรวจตัวเองแบบนี้เลยรู้สึกแปลกๆ ผลการตรวจพบว่าเอ็นข้อเท้าแค่อักเสบหรือฉีกนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ถึงกับขาด ทำให้โล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง

ปรางรัตน์หลับตาปี๋แล้วหย่อนเท้าลงไปในน้ำเย็นจัด หญิงสาวกัดฟันทำหน้าเหยเกเพราะความเย็นของน้ำ ผสมกับอาการเจ็บแปลบเมื่อขยับข้อเท้า

“โอ๊ย! เจ็บเป็นบ้าเลย เจ็บๆๆ” หญิงสาวคราง นึกเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ขยันสร้างเรื่องได้ขนาดนี้

เสียงร้องของปรางรัตน์ดังแว่วไปถึงหูของคนที่แอบดูอยู่ที่กรอบประตู ศิวกรยังไม่ได้ไปไหนไกลเพราะยังเป็นห่วงอยู่ เขาคิดเอาไว้ว่าถ้าประคบเย็นแล้วเธอเดินกลับห้องไหวก็จะหลบไปอย่างเงียบๆ แต่ถ้าไม่ไหวก็คงต้องช่วยพาขึ้นไปข้างบน

ตอนอยู่ต่อหน้าศิวกรหญิงสาวไม่ร้องสักแอะ แต่กลับทำหน้าเหยเกตอนอยู่ลำพัง แสดงว่าอดกลั้นเอาไว้ไม่ยอมแสดงออก

อ่อนแอแต่ทำเป็นเก่ง ไม่น่ารักเลย ถ้าอ้อนสักนิดก็จะช่วยดูแลให้ดีๆ หรอก

ความคิดนี้ชวนให้สับสนพิลึก เขาไม่อยากยุ่งกับเธอแต่ดันอยากให้เธออ้อนเสียอย่างนั้น ศิวกรนวดขมับตัวเองแล้วเลิกคิดเพ้อเจ้อ ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้ยา หยิบผ้าเอายืดสำหรับพันข้อเท้าออกมา พร้อมยาแก้ปวดกับแก้อักเสบ ได้ของครบแล้วก็เอามายื่นให้

“คุณพันเองได้ใช่ไหม เป็นนักกายภาพบำบัดนี่”

ศิวกรรู้ว่าหญิงสาวทำอาชีพอะไร เพราะหลังจากได้ยินชื่อเธอ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าบิดามีนักกายภาพบำบัดชื่อนี้คอยดูแลอยู่ ได้ยินมาเหมือนกันว่าเธอเป็นคนโปรดของพ่อ ท่าทางท่านจะเอ็นดูมากจริงๆ เลยส่งมาให้เขาดูตัว

ปรางรัตน์เกือบจะพยักหน้ารับคำพูดของชายหนุ่มไปแล้ว แต่ก็ส่ายหน้าเพื่อลองใจเขา เท่าที่ได้สัมผัสศิวกรเป็นจำพวกมนุษยสัมพันธ์แย่แต่ก็มีน้ำใจ ถ้าเขายอมช่วยเธอพันข้อเท้า หญิงสาวก็จะไม่ถือสานิสัยชอบตะคอกกับท่าทีขวางโลก

“วุ่นวายจริง” ศิวกรจุปากอย่างหงุดหงิด แต่ก็ยอมคุกเข่าลงไปพันผ้าให้

หญิงสาวกลั้นยิ้มเมื่อเขาช่วยเธอในทันทีโดยไม่มีการเล่นตัว มองดูแล้วนิสัยของศิวกรก็คล้ายกับนายพิทักษ์อยู่เหมือนกัน ตรงที่เสียงดังชอบเอ็ดตะโร แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่คนดุเลย ออกจะใจดีมากด้วยซ้ำ

ในขณะที่ชายหนุ่มปฐมพยาบาลให้กับหญิงสาว วิญญาณของพลชก็ลอยเข้ามาดูอาการใกล้ๆ

‘พันแบบนั้นไม่ได้นะครับ/พันผิดแล้ว’ คนกับผีพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียง

ศิวกรไม่ได้ยินเสียงประท้วงนี้ เนื่องจากเสียงหนึ่งเป็นของวิญญาณ ส่วนอีกเสียงนั้นเป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น

การพันแบบที่ชายหนุ่มพันสวยงามไร้ที่ติ แต่มันไม่ได้ช่วยในการรักษาเลย จะพันหรือไม่พันก็มีผลไม่ต่างกันนัก กระนั้นปรางรัตน์ก็ไม่โต้แย้งเพราะอยากจะรักษาน้ำใจเขา อย่าว่าแต่คนไม่มีความรู้เลย พวกนักกายภาพบำบัดอย่างเธอ นานๆ เจอคนไข้ข้อเท้าแพลงสักที บางทีก็ลืมวิธีพันไปเหมือนกัน

พันข้อเท้าเสร็จชายหนุ่มก็อุ้มเธอขึ้นไปส่งบนห้อง ปรางรัตน์ก็เลยต้องขอบคุณเขาอีกครั้ง ซึ่งชายหนุ่มก็เมินหน้าหนีอีก หญิงสาวเลยตัดสินใจถามให้หายคาใจ เพราะคิดว่ามันต้องมีเหตุผลที่เขาทำเมินคำขอบคุณของเธอ

“คุณเขินที่จะรับคำขอบคุณจากคนอื่นหรือคะ”

ศิวกรรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินคำถามนี้ ตลอดชีวิตเขาเคยได้ยินแต่คำตำหนิในแง่ลบ ไร้มารยาทบ้างล่ะ ยะโสโอหังบ้างละ เธอนึกอย่างไรกันถึงคิดว่าคนอย่างเขาจะขัดเขิน

“ผมแค่ไม่ชอบรับคำขอบคุณตามมารยาท” ชายหนุ่มแก้ความเข้าใจผิด แล้วเตรียมออกไปจากห้อง แต่ก็ได้ยินเสียงเธอพูดขอโทษเสียก่อน ก็เลยหันมามองใช้สายตาถามว่าขอโทษทำไม

“ฉันขอบคุณคุณจากใจจริงแค่ครึ่งเดียวค่ะ อีกครึ่งหนึ่งขอบคุณตามมารยาทอย่างที่คุณบอก ก็คุณไม่รับคำขอบคุณฉันก่อนนี่คะ ฉันก็เลยฉุน เอาเป็นว่าถ้าคราวหน้าคุณทำอะไรให้อีก แล้วฉันไม่ได้รู้สึกขอบคุณจากใจจริง ฉันจะไม่พูดก็แล้วกัน”

ศิวกรทอดสายตามองหญิงสาวเหมือนมองตัวประหลาด ไม่เคยมีใครพูดกับเขาอย่างจริงใจและตรงไปตรงมาอย่างนี้กับมาก่อน

“อ๊ะ! เดี๋ยวค่ะ เอาใหม่ๆ“ หญิงสาวเอ่ยท้วงคำพูดของตัวเอง เมื่อเห็นสายตาแปลกๆ ที่มองมา “ถ้าไม่ขอบคุณฉันก็รู้สึกผิดอยู่ดี แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีมารยาทด้วย บอกเป็นเปอร์เซ็นต์แทนได้หรือเปล่าคะ อย่างขอบคุณห้าสิบเปอร์เซ็น ขอโทษแปดสิบเปอร์เซ็นอะไรทำนองนี้”

สีหน้าเอาจริงเอาจังของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มจากใบหน้าเรียบเฉยได้หนึ่งยิ้ม แต่ก็คงอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะคนอย่างศิวกรไม่ใคร่จะคุ้นชินกับการยิ้มนัก

ชายหนุ่มพึมพำว่า “เด็กเพี้ยน” แล้วหันไปสบตาคนที่ส่งยิ้มกว้างมาให้อึดใจหนึ่ง เขาไม่พูดอะไรอีกจนกระทั่งเดินมาถึงประตูห้องแล้ว ปรางรัตน์จึงได้ยินคำตอบรับ

“อยากพูดหรือทำอะไรก็ตามใจ”

น้ำเสียงของศิวกรไม่อ่อนโยนแต่ก็เป็นมิตรกว่าเดิมมาก ชายหนุ่มยอมรับแบบไม่มีข้อโต้แย้งว่าในบรรดาผู้หญิงที่พ่อส่งมาให้ทำความรู้จัก เขาปฏิบัติตัวกับปรางรัตน์ดีที่สุด

แม้จะได้สนทนากันไม่กี่ประโยคและศิวกรก็ไม่ค่อยชอบความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่ายนัก แต่ถ้ามองอย่างเป็นกลางแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าความรู้สึกที่มีต่อเธอยังเป็นแง่บวก ถึงกระนั้นเขาก็ไม่นึกพิศสวาทฉันชู้สาว คนอย่างศิวกรเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง เขาเหมาะจะอยู่กับงานศิลป์ไปตลอดชีวิต มากกว่าแต่งงานมีครอบครัว




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ก.ค. 2555, 14:57:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ค. 2555, 14:57:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1905





<< บทที่ 6 ความจริงที่น่าตกใจ   บทที่ 8 คุณพลช >>
มะดัน 29 ก.ค. 2555, 18:08:40 น.
เก๊กมากจริงๆ อิอิ


หนอนฮับ 29 ก.ค. 2555, 21:30:13 น.
หนอนก็เพี้ยนนะคะ...สนใจรับความรู้สึกดีๆ ของหนอนไหมคะ >< ปล่อยหนูแก้มไปเจอกับพลช เถอะคะ...ส่วนคุณเล็กมาเป็นแฟนหนอนแทน อิอิ


Zephyr 29 ก.ค. 2555, 21:44:47 น.
อาเล็กเริ่มใจอ่อนกับสาวเพี้ยนแล้วสินะ
เก๊กไปงั้นเองสิ
ตกลงปู่พิทักษ์ส่งมาให้ดูตัวหรอกเรอะ นึกว่าส่งมาเจอพลชซะอีก


goldensun 29 ก.ค. 2555, 22:37:16 น.
อย่างที่คิด กลัวไปเองจนทำตัวเองเจ็บไปเลย แต่เจ็บตัวคราวนี้ก็ทำให้เข้าใจคุณเล็กมากขึ้น
แต่เดี๋ยวคงสับสนถ้าคุณเล็กถูกพลชสิง


konhin 29 ก.ค. 2555, 23:59:32 น.
แล้วสรุปว่าหลอกมาให้เจอใครกัน?


นิชาภา 30 ก.ค. 2555, 19:44:24 น.
คุณมะดัน ใช่ค่ะอาเล็กขี้เก๊ก คนเขียนเขียนไปหมั่นไส้ไป 5555

คุณหนอนฮับ ฮาาาาา เอาคุณอาเล็กไปเลยค่ะ เพราะส่วนตัวคนเขียนเลิฟๆ คุณพลชมากกว่า (ณ ตอนนี้น่ะนะคะ)

เฟอร์จัง จริงๆ อยากเขียนให้อาเล็กซึนค่ะ แต่เขียนตัวละครซึนจัดไม่รอด ทรเมาทรมานอึดอัดตายก่อน เลยให้ซึนแตกแบบเบาๆ ค่ะ

คุณ goldensun แก้มแก้วไม่ใช่แค่สับสบหรอกค่ะ ชีสติแตกแบบเบาๆ 55555

คุณ konhin หลอกมาเจอคุณอาเล็กค่ะ คุณปู่ไม่รู้ว่าคุณพลชเป็นวิญญาณลอยไปลอยมา คุณปู่คิดว่าคุณพลชกลับชาติมาเกิดเป็นอาเล็ก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account