ธารปรารถนา
เพราะที่ดินฮวงจุ้ยเยี่ยม (หลังติดเขา หน้ามีน้ำ) ของยายแท้ๆ ที่พาปราณมาพบกับตอง หรือจะจริงอย่างที่ยายบอกว่าที่ดินผืนนี้เป็นมงคล จะนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ จึงทำให้ตองได้พบคนดีๆ อย่างปราณ

แต่ทำไมการได้พบและคบหาคนดีๆ สักคนหนึ่งจึงได้ลากพาตองลงไปในกระแสธารแห่งความปรารถนาอันเชี่ยวกรากของใครต่อใครอีกหลายคน เรื่องชุลมุนวุ่นวายที่ไม่เคยประสบพบเจอก็ต้องมาเกิดขึ้นกับตัว

ตกลงที่ดินของยายเป็นมงคลหรืออัปมงคลกันแน่เนี่ย

แล้วตองจะป่ายปีนขึ้นจากธารปรารถนาร้อนร้ายสายนี้ได้ไหม ต้องไปติดตามพร้อมๆ กันค่ะ
Tags: รักอารมณ์ดี

ตอน: ตอนที่ ๒ (ต่อจนจบ)

ทางเดินไปลานจอดรถจำเป็นต้องผ่านห้องยาของโรงพยาบาล และขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่าน เภสัชกรสาวที่เพิ่งจ่ายยาพร้อมอธิบายวิธีกินให้คนไข้รายหนึ่งเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี รอยยิ้มจุดขึ้นบนใบหน้าเนียนใสโดยอัตโนมัติ ก่อนเสียงทักทายกึ่งดีใจกึ่งประหลาดใจจะตามมา

“อ้าว ปราณ”
คนถูกเรียกชะงักเท้า หันไปมองและเดินยิ้มเข้าไปหา

“มาทำอะไรที่นี่” อภิสราถาม กวาดตามองเขาทั่วตัว “ไม่สบายหรือเปล่า”

“เปล่า พอดีเกิดอุบัติเหตุ เราผ่านไปเจอ เลยพาคนเจ็บมาส่ง ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
คนถามมีท่าทีโล่งใจ หล่อนเหลือบตามองคนไข้ที่นั่งเกือบเต็มเก้าอี้ที่เรียงเต็มพรืดอยู่หน้าห้องยา

“แล้วปราณรีบไปไหนต่อหรือเปล่า ถ้าปราณไม่รีบกลางวันนี้กินข้าวกันอีกมื้อเป็นไง”
เขาพลิกข้อมือดูนาฬิกา เห็นว่าล่วงเลยมาเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว หมดอารมณ์จะไปทำธุระปะปังให้มารดา จึงรับคำชวนโดยไม่อิดออด อภิสรายิ้มและบอกเร็วๆ เพราะเกรงใจคนไข้ที่รอนาน

“งั้นปราณรอก่อนนะ อีกพักใหญ่เลยกว่าพรีมจะได้เวลาพัก”

“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวออกไปรอแถวๆ ศูนย์อาหารของโรงพยาบาลแล้วกัน”

นัดแนะกับอภิสราแล้ว ปราณก็เดินเรื่อยเฉื่อยไปนั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟเล็กๆ หน้าศูนย์อาหารภายในโรงพยาบาล เขาดื่มกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์ฆ่าเวลาไปพลางๆ ผ่านไปเกือบชั่วโมงอภิสราจึงออกมาตามนัด

“เราจะกินที่นี่หรือออกไปกินข้างนอกดีล่ะ” อภิสราถาม รอยยิ้มเกลี่ยอยู่บนใบหน้าแทบตลอดเวลา

“พรีมมีเวลาพักไม่นาน กินที่นี่ก็สะดวกดีนะ” ปราณออกความเห็น เขากินอะไรก็ได้ไม่เรื่องมาก “หรือพรีมเบื่ออยากจะออกไปกินข้างนอก”

“จะว่าเบื่อก็เบื่อ แต่ก็สะดวกดีอย่างที่ปราณว่า กินที่นี่ก็ได้”

เมื่อตกลงกันได้ หนุ่มสาวก็เดินเคียงกันเข้ายังศูนย์อาหารที่ไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก มีร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวแกง ร้านอาหารตามสั่ง ร้านส้มตำ และร้านขายเครื่องดื่มอยู่อย่างละร้าน ปราณหยุดแลกคูปองตรงเคาน์เตอร์เล็กๆ ข้างประตูเข้าออก เขาแลกเผื่ออภิสราด้วย แม้หล่อนจะปฏิเสธแข็งขันที่จะไม่รับความเอื้อเฟื้อ แต่ปราณไม่ยอม แถมถือวิสาสะจับมือบอบบางขึ้นมาและยัดคูปองใส่มือหล่อนหน้าตาเฉยอีกด้วย

อภิสราจำเป็นต้องรับไว้ เพราะรู้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคนที่หล่อนรู้จักมักคุ้น ไม่ว่าจะเป็นบรรดาพ่อค้าแม่ขาย หรือเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่มาพักรับประทานอาหาร หล่อนทำเป็นไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็น และรอยยิ้มกริ่มของเหล่านั้น
เพราะหล่อนรู้ดีแก่ใจว่าเรื่องราวระหว่างตนกับปราณไม่อาจเป็นไปอย่างที่ใครคิดกัน...มันเลยจุดนั้นมาไกลโขแล้ว หล่อนรู้ว่าทุกอย่างไม่มีทางหวนคืนเป็นดังเดิม แม้หล่อนจะอยากให้เป็นเช่นนั้นเพียงไรก็ตาม...ทว่าคงเป็นไปไม่ได้ หากวันหนึ่งปราณรู้ความจริงว่าเหตุใดที่ทำให้หล่อนต้องย้ายมาฝังตัวอยู่ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ เขาอาจจะโกรธเกลียดหล่อนไปตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้

ไม่มีอะไรดีไปกว่าเก็บเกี่ยวความสุขเล็กน้อยที่ได้รับยามอยู่ใกล้ชิดเขาไว้ เพื่อเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจในวันที่เขาเกลียดชัง วันนั้นคงจะมาถึง...อีกไม่นานนี้แหละ

“แล้วธุระที่ว่าขึ้นมาทำน่ะ เรียบร้อยแล้วหรือ” อภิสราชวนคุยโดยไม่ล่วงล้ำถามไถ่ว่าธุระของปราณคืออะไร

นอกจากความขยันขันแข็งแล้ว การไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวก็เป็นข้อดีอีกข้อของอภิสราที่ปราณชอบ เขายังแปลกใจอยู่จนทุกวันนี้ว่าทำไมความรักที่มีต่อหล่อนจึงหยุดอยู่แค่คำว่าเพื่อนเท่านั้น และดูเหมือนไม่มีวันจะพัฒนาต่อไปเป็นอื่นได้อีกแล้ว

“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย พอดีเจอเรื่องยุ่งๆ เข้าเสียก่อน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปจัดการ”

ทั้งคู่เลือกนั่งโต๊ะตัวในสุดชิดผนัง มุมที่สามารถมองเห็นทุกคนที่เดินเข้ามาในห้องอาหารแห่งนี้ อภิสราวางกระเป๋าใบเล็กสำหรับใส่ของกระจุกกระจิกไว้บนโต๊ะ และเดินไปล้างมือตรงอ่างล้างมือชิดผนังอีกด้าน ปราณรับอาสานั่งเฝ้าของ ให้หญิงสาวเป็นฝ่ายไปซื้ออาหารก่อน

ขณะที่รอ ตาที่มองตรงไปยังประตูทางเข้าก็ปะทะเข้ากับร่างบอบบางที่พยุงหญิงชราซึ่งแขนข้างหนึ่งใส่เฝือกขาวโพลนใหม่เอี่ยมอยู่ในตาข่ายคล้องคอ มีพี่กรหิ้วถุงใส่ยาเดินประกบมาอีกด้าน ทั้งคู่พาหญิงชรามานั่ง ก่อนคนตัวเล็กหางเปียยาวจะเดินไปสั่งอาหาร

“นี่จ้ะ น้ำแตงโมปั่นของปราณ” อภิสราบอกพร้อมกับแก้วใสทรงสูงบรรจุน้ำแตงโมปั่นเย็นฉ่ำถูกยกมาวางตรงหน้า ดึงความสนใจของชายหนุ่มกลับมา ปราณยิ้มขอบคุณ อภิสรายังจดจำได้เสมอว่าเขาชอบอะไร ผิดกับเขาที่แทบจำเรื่องราวเล็กน้อยของหล่อนไม่ได้เลย

“เดี๋ยวเราไปดูก่อนนะว่าจะกินอะไรดี”
พร้อมกับพูด ปราณลุกขึ้นเดินไปยังร้านอาหารที่ตั้งเรียงกันอยู่เป็นแถวยาว และตัดสินใจเลือกข้าวราดแกงเพราะนอกจากจะดูสะอาดน่ากินแล้วยังรวดเร็วไม่ต้องเสียเวลารอนาน

“ป้าอ๋อยเอาแซบๆ เลยนะ ไม่ต้องเผ็ดนะป้า แต่แซบๆ” น้ำเสียงสนิทสนมดังมาจากหน้าร้านขายส้มตำที่อยู่ติดกัน ปราณเหลือบตามองเห็นคนหน้าใสหางเปียยาวยืนเกาะเคาน์เตอร์สั่งแจ๋วๆ โดยไม่สนใจจะเหลือบแลมาทางเขาสักนิด

“ไม่เผ็ด แล้วมันจะแซบได้ยังไง” แม่ค้าถามด้วยเสียงเอ็นดู

“แค่เปรี้ยวจี๊ดจ๊าดปนนัวๆ ก็แซบหลายแล้วป้าจ๋า”

“แหม ยังสาวยังแส้กินอะไรอย่างกับคนแพ้ท้อง” แม่ค้าเย้ากลั้วเสียงหัวเราะ

ปราณรับจานข้าวแกง หยิบช้อนส้อมมาวางริมจานและเดินกลับไปที่โต๊ะ แต่ก็ทันได้ยินเสียงแม่คนหางเปียยาวตอบแม่ค้าเสียงร่าเริง

“ก็ตองแพ้ท้องจริงๆ นี่นาป้าอ๋อย...”

ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยความเสียดาย...หากเขาก็เดินมาไกลเกินกว่าจะได้ยินประโยคต่อจากนั้น

“เวลาท้องมันอยาก ปากมันก็แพ้”

“ป้าว่าใจมันอยากปากมันเลยแพ้มากกว่า”
ตองได้แต่หัวเราะแหะๆ เพราะป้าอ๋อยพูดจริงเลยไม่รู้จะลื่นไหลไปทางไหนได้



หลังรับประทานอาหารเสร็จ ตองจัดยาแก้ปวดลดการอักเสบกล้ามเนื้อที่ต้องกินหลังอาหารทันทีส่งให้ยาย เมื่อหญิงชรากินยาเสร็จ กรก็กระวีกระวาดเข้าประคองพวงแสด เพราะนอกจากจะรู้สึกผิดที่น้องสาวตัวเองดูแลลูกไม่ดี ปล่อยให้เดินทะเล่อทะล่ามายืนขวางถนนจนเป็นเหตุให้ตองกับพวงแสดต้องมารับเคราะห์แล้ว กรยังเคารพรักพวงแสดในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง และยังเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของหญิงสาวที่เขาเฝ้าใฝ่ปองอีกด้วย

ใช่...กรชอบตอง ชอบมานานแล้ว หากฐานะของเขายังไม่มั่นคงพอที่จะดูแลตองให้สุขสบายได้ แต่ชายหนุ่มมั่นใจว่าอีกไม่นานนี้แหละ...อีกไม่นานนี้ เขาจะมีพร้อมทุกอย่าง และเมื่อเขาพร้อม เขาจะเปิดเผยความในใจให้เธอได้รู้

ก่อนออกจากศูนย์อาหาร ตองเข้าแถวเพื่อนำคูปองที่เหลือมาแลกเงินคืน เธอได้ยินป้าน้อยแม่ค้าขายข้าวแกงหันไปคุยกับป้าอ๋อยแม่ค้าส้มตำที่ตองสนิทสนมคุ้นเคยด้วยเป็นการส่วนตัว เพราะนอกจากป้าอ๋อยจะขายส้มตำอยู่ที่ศูนย์อาหารในโรงพยาบาลแล้ว นางยังไปเปิดแผงขายที่ตลาดในช่วงค่ำอีกด้วย และตองก็อุดหนุนอยู่เป็นประจำ

“อ๋อย แกว่าคุณผู้ชายคนหน้าตาเข้มๆ ขาวๆ สูงๆ ใส่เสื้อยีนที่นั่งอยู่โต๊ะสุดท้ายนั่นน่ะเป็นแฟนหมอพรีมหรือเปล่าวะ ดูเขาคุยกันกระหนุงกระหนิงน่ารักดีเนอะ” คนต่างจังหวัดมักเรียกหมอ พยาบาล เภสัชกร ว่าหมอเหมือนกันหมด ปกติตองไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เสียงป้าแกชวนให้เรื่องธรรมดาดูน่าสนใจจนตองต้องหันไปมองตาม

“แหม เรื่องแบบนี้ แค่เห็นสนิทสนมกันมันไม่พอจะให้คิดว่าเขาเป็นแฟนกันหรอกนะ เพราะสมัยนี้หนุ่มสาวเขาเป็นเพื่อนกันได้ เขาจับมือถือแขน โอบไหล่ กอดเอวกันได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน”

ป้าอ๋อยตอบ ตองเห็นคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาแล้วก็ร้องอ๋ออยู่ในใจ ผู้ชายหน้าตาเข้มๆ สูงๆ ขาวๆ ที่ป้าแกกำลังเพ็งเล็งเป็นพิเศษไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคุณพลเมืองดีที่ช่วยพาเธอกับพวงแสดมาส่งโรงพยาบาลนั่นเอง แล้วหมอพรีมคนนั้นก็คืออภิสรา เภสัชกรสาวสวยที่เธอเพิ่งเจอเมื่อค่ำวานที่ร้านอภิสราเภสัชถึงสองครั้งสองหนในช่วงเวลาที่ห่างกันไม่ถึงสองชั่วโมง

ตองยิ้มให้กับความสวยหล่อของหนุ่มสาวที่นั่งคุยกันอย่างสนิทสนม ชวนให้คิดว่าทั้งคู่เป็นมากกว่าเพื่อน อย่างนี้จะเรียกว่าเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกได้ไหมนะ

“แหม ถ้าเป็นแฟนกันจริงๆ ก็ดีสิ หมอพรีมแกทั้งสวยทั้งนิสัยดี ถ้าจะครองตัวเป็นโสดก็น่าเสียดาย”

“จะเสียดายทำไมกัน” ป้าอ๋อยถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็เสียดายความสวย เสียดายความดีที่ไม่ได้ส่งต่อถึงลูกหลานไงล่ะ”

แม่ค้าข้าวแกงชี้แจงเสร็จสรรพก่อนจะยุติการสนทนาลงเพราะมีลูกค้าเข้ามาสั่งอาหาร ตองอมยิ้มเห็นด้วยกับป้าขายข้าวแกงขณะละสายตาจากภาพนั้น และพบว่ากรมองคนทั้งคู่อยู่เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนคือแววตาของกรไม่ได้แสดงความชื่นชมต่อภาพน่ารักนั้นเลยสักนิด กระเดียดไปทางดูแคลนด้วยซ้ำ แถมรอยยิ้มที่จุดขึ้นตรงมุมปากของเขาก็ดูเหยียดหยันอย่างไรพิกล

หากเพียงไม่กี่วินาทีสีหน้าแววตาของกรก็กลับเป็นปกติดังเดิม มีแต่ตองนั่นแหละที่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย แต่แล้วความสงสัยนั้นก็อยู่ในใจตองได้ไม่นาน เพราะเมื่อออกจากศูนย์อาหารตองก็พบกับคนที่ทำให้เธอมีอาการเหมือนกรเมื่อครู่ไม่มีผิด

“สวัสดีค่ะคุณพวง ตอง” เสียงทักทายร่าเริงราวกับยินดีเป็นล้นพ้นดังมาจากสาวร่างใหญ่อวบอิ่ม ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อนหวานราวกลีบกุหลาบฉีกยิ้มกว้างจนตองกลัวว่าแก้มตึงๆ นั่นจะปริแตกออกมาเหมือนหน้าขนมปุยฝ้าย

“สวัสดีครับคุณเพลินฤดี” กรทักทายพร้อมกับยกมือไหว้นอบน้อม เพราะเพลินฤดีคนนี้เป็นน้องสาวเฮียประพจน์เจ้าของโรงงานที่กรทำงานอยู่

เพลินฤดีชายตามองกรและพยักหน้ารับรู้นิดหนึ่งด้วยท่าทางไว้ตัว ก่อนจะมุ่งความสนใจมายังพวงแสดดังเดิม

“แหม เพลินคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่ตัดสินใจมาตรวจสุขภาพวันนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้พบคุณพวง ไปหาที่บ้านตั้งหลายครั้งหลายหน ตองก็บอกแต่ยายไม่อยู่ ไปวัดบ้างละ ไปปฏิบัติธรรมบ้างละ เลยไม่ได้เจอสักที” คนปากชมพูยังเจื้อยแจ้วต่อไปด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนไม่รู้อย่างนั้นแหละว่าเหตุผลเหล่านั้นเป็นการปฏิเสธทางอ้อมของคนที่ไม่อยากพบหน้า

“อ้าว แขนคุณพวงไปโดนอะไรมาคะ” หล่อนทักด้วยสีหน้าวิตกทุกข์ร้อนราวกับเมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของพวงแสด คิ้วที่วาดไว้เรียวสวยถูกกดเข้าหากัน

“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอก นี่เรากำลังจะกลับกันอยู่พอดี”

พวงแสดออกตัว ตองซ่อนยิ้มสมใจ เธอรู้...ยายไม่อยากเสวนากับเพลินฤดีนานนัก เพราะหล่อนก็เป็นอีกคนที่จ้องที่ดินทำเลงามของพวงแสดตาเป็นมัน และหวังจะครอบครองมันให้ได้ ดูว่ามาแรงแซงหน้าใครๆ ด้วยซ้ำ ยายเบื่อจะปฏิเสธจนต้องใช้วิธีหลบหน้าแทน แม้ตองจะไม่เห็นด้วยกับวิธีของยาย แต่ถ้าทำให้นางสบายใจตองก็ไม่อยากขัด

“ไม่มากอะไรกันคะ คนอายุเจ็ดสิบแขนหักนี่ถือว่าไม่ธรรมดานะคะ กระดูกกระเดี้ยวมันเปราะบางต่อยาก จะกลับมาเหมือนเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ถึงเพลินฤดีจะพูดเรื่องจริง แต่ตองฟังแล้วขัดหูขัดใจ พลอยให้คันปากยิบๆ อยากตอบโต้ แต่ติดตรงพวงแสดปรายตามาปรามอย่างรู้ทัน ตองจึงต้องยืนฟังอย่างสงบด้วยความอดทน...แต่บางทีเพลินฤดีเองก็อาจกำลังอดทนอยู่เหมือนกันก็ได้ ถ้าพวงแสดไม่มีสิ่งที่หล่อนต้องการ หล่อนอาจไม่เสียเวลามาชายตามองด้วยซ้ำ

“ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะคะคุณพวง เออ...ว่าแต่ว่า...เรื่องที่เคยคุยๆ กันไว้น่ะ คุณพวงตัดสินใจหรือยังคะ”

นั่นปะไร...หล่อนหวังผลจริงๆ นั่นแหละ ตองกัดริมฝีปากไว้ไม่ให้มันบิดเบ้ดูแคลน

อันที่จริง...ถึงเพลินฤดีไม่มาทาบทามขอซื้อที่ดินของยายตองก็ไม่ชอบหล่อนอยู่ดี เพราะหล่อนเป็นเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบรายใหญ่ที่สุดในจังหวัดก็ว่าได้ จึงทำให้หล่อนมีโฉนดที่ดินงามๆ หลายผืนอยู่ในครอบครอง เนื่องจากลูกหนี้ที่เป็นชาวไร่ชาวนากู้เงินไปลงทุนแล้วผลผลิตไม่ดี ไม่มีเงินมาใช้หนี้ จำต้องให้หล่อนยึดที่ทำมาหากินไปสร้างโรงแรม รีสอร์ต เปิดรับนักท่องเที่ยว เมื่อเกษตรกรเหล่านั้นหมดที่ทำมาหากินก็มุ่งหน้าเดินทางเข้าไปแออัดอยู่ในเมืองหลวง บางส่วนก็หันมาเป็นลูกจ้างในกิจการของเพลินฤดีนั่นละ

ครอบครัวของกรก็เป็นหนึ่งในอย่างหลังนี้เหมือนกัน

เมื่อก่อนที่บ้านกรเคยทำไร่ข้าวโพดบนที่ดินแปลงเล็กๆ แค่สิบไร่ติดกับที่ดินผืนงามของพวงแสด แต่โชคร้ายผลผลิตไม่ดี และก้อยน้องสาวของกรที่ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ก็อุ้มท้องกลับมาคลอดที่บ้านเกิดโดยปราศจากสามี การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งนั้นใช้เงินไม่ใช่น้อย เมื่อรายได้ที่เข้ามาไม่เพียงพอกับรายจ่าย หัวหน้าครอบครัวอย่างลุงแก้วจึงนำโฉนดที่ดินไปจำนองกับเพลินฤดี แต่เมื่อหาเงินมาใช้ให้ตามกำหนดไม่ได้ ไม่มีแม้กระทั่งเงินส่งดอกเบี้ยเนื่องจากมีโรคพืชเข้าแทรกซ้อน ที่ดินผืนนั้นก็ถูกยึดไปโดยปริยาย

จากนั้นลุงแก้วไปเป็น รปภ. ที่เพลินฤดีอพาร์ตเม้นท์ซึ่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย กรไปทำงานเป็นคนขับรถส่งของที่โรงงานดีจริงคอนกรีตของเฮียประพจน์ ส่วนแก้วที่ต้องเลี้ยงดูลูกเล็กจึงแบ่งเบาภาระของครอบครัวโดยการรับจ้างซักรีดอยู่กับบ้าน

ที่ดินแค่สิบไร่ของบ้านกรดูไร้ความหมายเมื่อเขตแดนมันชนชิดติดกับที่ดินผืนใหญ่ของพวงแสด แถมอยู่ติดถนนลูกรังลึกเข้าไปด้านในไม่ติดถนนใหญ่แบบที่ผืนงามที่เพลินฤดีอยากได้ ทำให้หล่อนเพียรมาทาบทามขอซื้อมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แต่ก็ถูกพวงแสดปฏิเสธมาโดยตลอด

“เพลินยังรอฟังข่าวดีอยู่นะคะ” เสียงแหลมๆ ของเพลินฤดีดังแหวกความคิดของตองกระเจิงกระจาย เธอเห็นพวงแสดสบตากับเพลินฤดี แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่ามั่นคงเด็ดขาดว่า

“คุณเพลินคะ จะวันนี้หรือวันหน้าฉันก็ยังยืนยันเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ...ว่าฉันไม่ขายที่ผืนนั้น คุณเอาเวลาที่ตามถามตามตื๊อฉันไปหาที่ผืนอื่นแทนเถอะค่ะ”

เพลินฤดียังฉีกยิ้มกว้างได้อยู่ ไม่รู้ว่าคำพูดของพวงแสดพุ่งเข้าหูซ้ายแล้วทะลุลอดออกไปทางหูขวาหมดสิ้น โดยไม่หลงเหลือเซาะซอนเข้าไปในรอยหยักของสมองแม้แต่น้อย หรือว่าสมองของหล่อนเรียบลื่นเกลี้ยงเกลาไร้รอยหยักกันแน่

หรือบางทีอาจไม่ใช่ทั้งสองอย่างที่ตองคิดนั่นก็ได้ แต่เป็นคุณสมบัติของคนเห็นแก่ตัวที่จะซึมซับจดจำแต่เรื่องที่ตนได้ผลประโยชน์เท่านั้น

“อย่าเพิ่งตัดรอนกันแบบนั้นสิคะคุณพวง ถ้าคุณพวงไม่ขายเรามาลงทุนทำธุรกิจร่วมกันก็ได้นี่คะ ที่ตรงนั้นสวย ในป่าลึกเข้าไปก็มีน้ำตก เราทำรีสอร์ตรับนักท่องเที่ยวได้สบาย เงินทองจะไหลมาเทมาไม่รู้จบรู้สิ้นนะคะคุณพวง”

“ไม่ล่ะค่ะ ฉันยังกินดีอยู่สบาย ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ที่ดินผืนนั้นฉันคงไม่มีวันขายให้ใคร เก็บไว้ดูเล่นให้สบายตาสบายใจดีกว่า”

พวงแสดตอบหยิ่งๆ แล้วเดินจากมา ตองเดินตามด้วยความโล่งใจที่ตนไม่ตบะแตกพูดอะไรร้ายๆ ออกไป แต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง สายตาหลังแว่นกรอบโตปะทะเข้ากับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเพลินฤดีอย่างจัง...รอยยิ้มของหล่อน คล้ายพายุฝนที่ตั้งเค้าทะมึนอยู่ขอบฟ้า ไม่รู้จะซัดกระหน่ำลงมาเมื่อใด ตองเห็นแล้วไม่สบายใจจริงๆ


พวงแสดและตองแยกกับกรตรงหน้าโรงพยาบาลตอนเกือบบ่ายโมง ชายหนุ่มต้องกลับไปทำงานต่อเพราะลามาแค่ครึ่งวัน ตองเหมารถรับจ้างกลับมาถึงบ้าน พาหญิงชราเข้าไปพักในห้องนั่งเล่นที่เปิดประตูหน้าต่างให้สายลมต้นฤดูหนาวโชยผ่านเย็นสบาย เธอเช็ดเนื้อตัวให้พวงแสดจนสะอาดเอี่ยม ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ แล้วจึงขอตัวไปอาบน้ำบ้าง เพราะตนเองก็มอมแมมไม่แพ้กัน

ตองหายไปไม่นานก็กลับมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง ครีมอาบน้ำกลิ่นแอปเปิ้ลยังทิ้งกลิ่นกรุ่นหอมไว้บนเนื้อตัว หญิงสาวหอบอุปกรณ์ทำแผลเข้ามาด้วย เธอเดินด้วยฝีเท้าเบากริบเพราะเห็นพวงแสดเอนหลังหลับตาอยู่บนเก้าอี้โยกข้างหน้าต่างซึ่งมองออกไปเห็นทุ่งบัวตองเหลืองอร่าม ดวงหน้าเรียวของหญิงชราแม้จะเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยหากคงเค้าความงามในอดีตดูสงบนิ่ง ทว่าหัวคิ้วมุ่นน้อยๆ คล้ายมีเรื่องครุ่นคิดกังวลใจ

ตองนั่งลงบนเก้าอี้หวายบุนวมนุ่ม และง่วนกับการทำแผลที่ข้อศอก แขน และหน้าแข้งบางจุด หญิงชราลืมตามองหลานสาวเงียบๆ แววตาฝ้าฟางคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

จนเมื่อตองทำแผลเสร็จ ปิดกล่องยา และเงยหน้าขึ้นมานั่นแหละ นางจึงถอนหายใจเนิบเนือยและเอ่ยว่า

“ตองรู้ไหม อุบัติเหตุวันนี้ทำให้ยายเป็นห่วงตองยิ่งกว่าเดิมอีกนะ ห่วงว่าถ้ายายไม่แค่แขนหัก แต่ตายไป ตองจะอยู่อย่างไร”

แววตาและน้ำเสียงพวงแสดบ่งชัดว่านางกำลังจริงจังเป็นงานเป็นการจนตองไม่กล้าล้อเล่นด้วยเรื่องการขายสมบัติกินเหมือนที่ผ่านๆ มา ได้แต่นิ่งและตั้งใจฟัง

“ยายคิดอยู่ตลอดว่าตองจะทำงานการอะไรที่มันมั่นคงเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องขายสมบัติให้นายทุน แล้วสุดท้ายก็ต้องไปเป็นลูกจ้างนายทุน ทำงานให้เขางกๆ บนที่ทางที่เคยเป็นของเรา เหน็ดเหนื่อยอยากจะพักก็ทำไม่ได้ ต้องอดทนทำไป ได้เงินก็จริง แต่ไม่มีอิสระ ตองอยากเป็นแบบนั้นหรือ”

หญิงสาวเม้มปากนิ่ง ครุ่นคิด แน่นอนละว่าตองซาบซึ้งในความห่วงใยที่ยายมีต่อเธอ และเธอก็ห่วงยายเหมือนกัน ห่วงจนไม่กล้าทิ้งไปทำงานที่ไหนไกลๆ ให้ยายต้องอยู่คนเดียว แต่หากอยากให้ยายสบายใจ เธอคงต้องเริ่มต้นทำงานอีกครั้งอย่างจริงจังสักทีอย่างที่ยายขอสินะ หญิงสาวไตร่ตรองแล้วตอบเสียงอ่อน

“ยายก็รู้ ตองรักอิสระยิ่งกว่าอะไร” ร่างบางเดินมานั่งขัดสมาธิบนพื้นไม้ใกล้ๆ เก้าอี้โยกที่พวงแสดนั่งอยู่ เงยหน้าสบตาคนเป็นยาย พลางบีบนวดปลีน่องเหี่ยวย่นให้อย่างเอาอกเอาใจ

“ตองคิดๆ ไว้เหมือนกันว่าจะทำอะไร คอยดูนะยาย ตองจะเป็นเจ้าของกิจการเร็วๆ นี้แหละ ไม่ไปเป็นลูกจ้างใครอย่างที่ยายกังวลหรอก”

หญิงชรายิ้มละมุน เอ่ยด้วยเสียงเอ็นดูหากแฝงความท้าทายอย่างไม่ปิดบัง

“เอาสิ ยายจะคอยดู อย่าพูดให้เหม็นขี้ฟันฟรีๆ แล้วกัน”



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ค. 2555, 07:35:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ค. 2555, 07:35:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1659





<< ตอนที่ ๒   ตอนที่ ๓ >>
ภาวิน 30 ก.ค. 2555, 07:49:12 น.
สวัสดีค่ะ พบกันวันนี้ วันจันทร์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคมพอดิบพอดี ใกล้วันหยุดยาว กลัวนักอ่านจะหนีไปเที่ยวกันหมดเลยรีบมาโพสต์โดยไว

คุณ kaija มาอัพต่อแล้วค่ะ มาอ่านได้เลย รออยู่ รออยู่

คุณ Darkplanet ตอนนี้น่าจะชัดขึ้นแล้วนะคะว่าตองท้องหรือเปล่า แล้วถ้าตองไม่ท้อง คนที่ท้องเป็นใคร ? อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะคะ มาติดตามไปด้วยกัน

คุณ nunoi ตองซื้อแผ่นตรวจครรภ์ไปให้ใคร ตอนหน้าจะได้รู้โดยพร้อมเพรียงกันแล้วค่ะ รออีกนิดนะ

คุณ Barby มาอัพแล้วนะคะ มาอ่านเร็วๆ ไวๆ (จูงมือ จูงมือ)

คุณอสิตา เหม่ๆ พระเอกไม่รอฟังชื่อเพราะรู้อยู่แล้วไงเล่า เพราะแม่นางตองเรียกตัวเองตองอย่างนั้น ตองอย่างนี้ตลอดๆ


Barby 30 ก.ค. 2555, 11:02:54 น.
กรที่แปลกๆนะค่ะ จะร้ายหรือป่าวนะ สงสัยๆ


Sweetbutter 30 ก.ค. 2555, 13:31:37 น.
หรือว่า พรีมเคยท้องมาก่อนนนนน คิดไปไกล


Edelweiss 30 ก.ค. 2555, 16:08:54 น.
เอาใจง่วยนะจ๊ะตอง


nunoi 31 ก.ค. 2555, 10:46:16 น.
ตอนหน้าจะรู้ว่าใครท้องแล้ว แต่ก็มีเรื่องให้คิดอีกแล้ว ว่าพรีมทำอะไรไว้ ทำไมถึงคิดว่าปราณต้องเกลียดด้วยนะ


อสิตา 1 ส.ค. 2555, 14:24:27 น.
ฮี่ๆ ชอบประโยคแพ้ท้องของนางเอก กับตรงเสียดายถ้าความสวยและความดีจะไม่ได้ส่งต่อถึงลูกหลานน่ะค่ะ
ตรงชื่อของป้าอ๋อยป้าน้อย รู้สึกว่าไม่ต้องมีก็ได้(ถ้าจะไม่มีบทต่อไปในอนาคต) เพราะหลังจากนั้นก็มีชื่อเพลินฤดีกับประพจน์ออกมาอีก เรื่องชื่อที่ไม่จำเป็นในนิยายก็สำคัญเหมือนกันนะคะ เพราะคนอ่านจะเสียแรมในสมองไปฟรีๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account