ธารปรารถนา
เพราะที่ดินฮวงจุ้ยเยี่ยม (หลังติดเขา หน้ามีน้ำ) ของยายแท้ๆ ที่พาปราณมาพบกับตอง หรือจะจริงอย่างที่ยายบอกว่าที่ดินผืนนี้เป็นมงคล จะนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ จึงทำให้ตองได้พบคนดีๆ อย่างปราณ

แต่ทำไมการได้พบและคบหาคนดีๆ สักคนหนึ่งจึงได้ลากพาตองลงไปในกระแสธารแห่งความปรารถนาอันเชี่ยวกรากของใครต่อใครอีกหลายคน เรื่องชุลมุนวุ่นวายที่ไม่เคยประสบพบเจอก็ต้องมาเกิดขึ้นกับตัว

ตกลงที่ดินของยายเป็นมงคลหรืออัปมงคลกันแน่เนี่ย

แล้วตองจะป่ายปีนขึ้นจากธารปรารถนาร้อนร้ายสายนี้ได้ไหม ต้องไปติดตามพร้อมๆ กันค่ะ
Tags: รักอารมณ์ดี

ตอน: ตอนที่ ๓

ตอนที่ ๓

การตื่นเช้าดูเหมือนจะเป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับคนขี้เกียจอย่างตอง ยิ่งเป็นเวลาเช้ามืดต้นฤดูหนาวแบบนี้ด้วยแล้ว ถ้าเตียงนุ่มและผ้าห่มอุ่นเป็นแม่เหล็กขั้วบวกแล้วละก็ ตองคงเป็นแม่เหล็กขั้วลบอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแรงดึงดูดเข้าหากันช่างมากมายมหาศาลเหลือเกิน ตองต้องใช้พลังใจอย่างยิ่งในการเอาชนะ ไม่ปล่อยให้ตัวเองขดตัวลงไปใต้โปงผ้าห่มอย่างที่ใจร่ำร้องต้องการ

ในที่สุด เธอก็สามารถแซะตัวเองออกจากที่นอนได้สำเร็จโดยไม่ต้องรอให้พวงแสดมาปลุกเหมือนทุกวัน

แม้จะอยู่กับยายมาตั้งแต่เด็กๆ เข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ในครัวเวลายายทำอาหารมานับร้อยนับพันครั้ง แต่ตองไม่เคยซึมซับเอาเสน่ห์ปลายจวักจากพวงแสดมาเลยสักนิดเดียว เธอทำได้แต่อาหารง่ายๆ ที่ไม่มีขั้นตอนซับซ้อนยุ่งยาก ไม่มีกลเม็ดเคล็ดลับอะไรเป็นพิเศษ บนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้จึงมีหม้อข้าวต้มกุ๊ยเม็ดบานแฉ่งที่น้ำเกือบแห้งขอดตั้งควันฉุยรอท่า และเครื่องเคียงซึ่งประกอบด้วยหัวไชโป๊เค็มผัดใส่ไข่ ยำผักกระป๋อง และปลาอินทรีย์ทอดจวนไหม้

ทว่า...แค่นี้ก็ทำให้พวงแสดยิ้มจนเห็นฟันปลอมเกือบครบทั้งสามสิบสองซี่ได้แล้วละ

“ยายคงต้องกินข้าวต้มไปอีกเป็นเดือนใช่ไหมเนี่ย”

หญิงชราเย้าเมื่อตองกระตือรือร้นตักข้าวต้มร้อนๆ ใส่ถ้วยกระเบื้องมาวางตรงหน้าอย่างเอาอกเอาใจ เธอทำท่าจะป้อนให้ด้วย แต่พวงแสดโบกมือห้ามเพราะแขนขวาที่นางถนัดยังใช้งานได้ดี

“ถ้ายายอยากกินมัสมั่น พะแนง แกงคั่วไก่ หรือไข่พะโล้ ตองก็ทำให้ได้นะ” หญิงสาวบอกเสียงใส ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววเจ้าเล่ห์อยู่หลังแว่นกรอบโตสีชมพูสดใส

“ไม่ดีกว่า ยายสงสารทวารหนัก กลัวจะต้องทำงานหนักสมชื่อ” หญิงชราตอบยิ้มๆ

“โธ่ ดูถูกฝีมือตองขนาดนั้น เดี๋ยวนี้เขามีผงปรุงรสสำเร็จรูปแล้วนะยาย ไม่ต้องมาเคี่ยวน้ำแกงเป็นชั่วโมงๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว จะแกงเขียวหวาน แกงส้ม ต้มยำ แค่เทผงลงหม้อ ใส่น้ำรอเดือด ใส่ผักใส่เครื่องตาม พอสุกปุ๊บ ชิมปั๊บ อร่อยโลด ง่ายดายสะดวกสบายที่สุด...” คนพูดเว้นไปนิด หัวเราะขำ ก่อนเอ่ยต่อว่า “แต่ถ้าทำอย่างนี้กันทั้งประเทศ ต่อไป เข้าบ้านไหนๆ คงได้ชิมแกงรสเดียวกันเนอะยายเนอะ”

“อะไรที่มันง่ายดาย หาที่ไหนก็ได้แบบนั้น มันก็ไม่ชวนประทับใจนะสิ...คุณค่าน่ะ...มักจะมาพร้อมกับความยากลำบากเสมอ”

“เห็นทียายจะต้องกินอาหารไร้คุณค่าไม่น่าประทับใจไปจนกว่ายายจะหายดีนั่นแหละ”

พวงแสดยิ้มละไมไม่ต่อความ แล้วเริ่มลงมือรับประทานอาหารฝีมือหลานสาว ซึ่งตองก็คอยตักโน่นนี่เติมให้อยู่ตลอด...นางเพิ่งประจักษ์...คุณค่าไม่ได้มาพร้อมกับความยากลำบากเสมอไปอย่างที่นางเอ่ยอ้างหรอก เพราะเรื่องง่ายๆ อย่างที่ตองทำอยู่นี่ก็มีคุณค่าต่อจิตใจนางมากมายแล้วละ ความชื่นอกชื่นใจที่มีลูกหลานเอาใจใส่ดูแลมันเป็นเช่นนี้นี่เอง

“ยายจ๋า เดี๋ยวตองไปตลาดแป๊บนึงนะจ๊ะ จะไปเตรียมซื้อของสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ตองกำลังจะเปิดกิจการในเร็ววัน” ตองแกล้งใช้คำหรูหรา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนอัดแน่นด้วยความมุ่งมั่น

“แล้วจะไปยังไง รถก็ยังซ่อมไม่เสร็จ” หญิงชราท้วงเสียงอ่อน

“ไอ้แก่ไงยาย มันยังใช้การได้อยู่ เมื่อเย็นวานตองลองดูแล้ว”

‘ไอ้แก่’ ของตองคือมอเตอร์ไซคล์คันเก่าที่ตองเก็บเข้ากรุหลังจากหอบหิ้วคันเก่งที่เคยขี่ร่อนทั่วมหาวิทยาลัยกลับมาใช้ที่บ้าน

“แล้วจะทำธุรกิจอะไรล่ะ เล่าให้ยายฟังได้ไหม”

“เล่าไม่ได้หรอกยาย เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น รอตองกลับมาจากตลาดยายต้องได้รู้แน่” หญิงสาวยิ้มมีเลศนัย ก่อนอ้าปากหาวหวอด

เมื่อคืนตองนอนดึกเพราะมัวแต่ตรวจดูยอดเงินคงเหลือในสมุดฝากธนาคาร และวางแผนทำธุรกิจขนาดเล็กอย่างที่เธอโม้ให้ยายฟังไปเมื่อครู่ การนอนดึกไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับตอง แต่การตื่นเช้านี่สิมันทำให้เธอง่วงหงาวหาวนอนไปได้ตลอดวัน

“แค่เริ่มคิดจะทำงานจริงจัง ก็ถูกความขี้เกียจเล่นงานซะแล้ว ตองอยากนอนขึ้นมาอีกแล้วสิยาย” ตองบ่นดังๆ และแก้ง่วงโดยการรวบถ้วยข้าวต้มของเธอและยายที่กินอิ่มเรียบร้อยแล้วมาซ้อนกันเพื่อยกไปล้าง

“ถ้ารู้ตัวว่าขี้เกียจ ยิ่งต้องรีบทำงานเก็บเงินไว้ให้พอตั้งแต่ยังแข็งแรง แก่ไปจะได้ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย อยู่สบายๆ ใช้เงินอย่างเดียว” พวงแสดแนะ

“หรือตองจะไปหางานราชการทำดีนะยาย พอเกษียณก็กินบำนาญแบบยายไง” ตองเปรย แล้วสรุปเองเสร็จสรรพ “ไม่เอาดีกว่า ไม่ชอบทำงานที่มีหัวหน้าคอยบังคับบัญชา มันไม่อิสระ”

“ถ้างั้นก็รีบไปเตรียมตัวให้พร้อม จะได้เปิดกิจการของตัวเอง ว่าแต่เอามอเตอร์ไซคล์ไปดีหรือ ที่เคล็ดๆ ยอกๆ หายดีหรือยัง” ดวงตาที่ทอดมองหลานสาวฉายแววห่วงใย

“สบายมากจ้ะยาย ตองน่ะแข็งแรงนะจะบอกให้” ตองเบ่งกล้ามประกอบคำโอ่อวด

“เฮ้อ มีแต่ยายสินะที่ยังขยาดไม่หาย คิดถึงตอนที่พุ่งลงข้างทางทีไรหัวใจวูบๆ ทุกที ให้ซ้อนมอเตอร์ไซคล์ใครตอนนี้ ยายไม่กล้าเด็ดขาดเลย”



ไอ้แก่ของตองยังใช้งานได้ก็จริง แต่มันสตาร์ตติดยากเย็นเหลือเกินจนตองอารมณ์เสียและแทบจะถอดใจ พวงแสดออกมายืนส่งกำลังใจผ่านสายตาเงียบๆ เพราะนางรู้นิสัยหลานสาวคนนี้ดี ถ้าอารมณ์ไม่ดี โกรธหรือโมโหอะไรอยู่ อย่าได้ปลอบหรือพูดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น

ยิ่งพูด ยิ่งปลอบแทนที่จะอารมณ์ดีขึ้น ตองจะยิ่งพาลหงุดหงิดไปกันใหญ่

ตองกระทืบคันสตาร์ตจนเท้าที่เคล็ดๆ ยอกๆ ชักจะปวดมากขึ้น หญิงสาวหยุดเท้า หายใจหอบเหนื่อย และเข่นเขี้ยวอย่างหงุดหงิด

“อย่ามาขี้เกียจแข่งกับฉันนะไอ้แก่ แกล้มแชมป์ฉันไม่ได้หรอก”

เธอตั้งใจว่าจะลองสตาร์ตอีกครั้งเดียวถ้าไม่ติดจะเดินกลับไปนอนให้หายโมโหให้ดู

สงสัย ‘ไอ้แก่’ มันจะฟังรู้เรื่อง ทันทีที่ตองกระทืบคันสตาร์ตไปจนสุดแรง เครื่องยนต์จึงรีบทำงานพ่นควันขาวโขมง

ตองเป่าลมพรูออกปาก ตบกระจกหมวกกันน็อกลงมาบังหน้า ยิ้มให้พวงแสดนิดหนึ่งแล้วพารถแล่นลิ่วลงจากบ้านบนเนินเขา วันนี้ตองไม่หันไปชื่นชมความงามของทุ่งดอกบัวตองอีกเพราะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หากเมื่อรถเลี้ยวลงมาตรงจุดเกิดเหตุเมื่อวาน ตองก็ต้องเบรคจนตัวโก่งอีกครั้ง

เปล่าหรอก คราวนี้ไม่มีอะไรตัดหน้า มีแต่แลนด์โรเวอร์คันงามที่เคยพาตองกับพวงแสดไปโรงพยาบาลจอดนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น ส่วนเจ้าของรถนะหรือ โน่นเดินลุยกอหญ้าแฝกไปยืนเท้าสะเอวราวกับนายแบบ อวดหลังไหล่ผึ่งผายอยู่ริมลำธาร ตองจอดรถริมทาง ถอดหมวกกันน็อกใส่ตะกร้าหน้ารถ แล้วเดินลุยตามไปหยุดเยื้องอยู่เบื้องหลังชายหนุ่มที่หยีตาสู้แสงตะวันมองตรงไปยังท้องทุ่งดอกบัวตองอีกฟากของลำธาร

“มาทำอะไรแถวนี้น่ะคุณ หรือว่าสนใจที่ผืนนี้” ตองทักถาม ชายหนุ่มหันกลับมาสบตาและยิ้มกว้างขวางเปิดเผย รอยยิ้มของเขาสวยชวนมองจนตองเผลอยิ้มตาม

“ก็ทุ่งบัวตองสวยขนาดนี้ ใครเห็นก็ต้องสนใจ ไม่แปลกไม่ใช่หรือ”

“ใช่ สวยมาก ใครเห็นก็ต้องสนใจ...ไม่แปลก” ตองเอ่ยอย่างเผลอไผล...ไม่ได้หมายถึงทุ่งดอกบัวตองสักนิด

หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าเธอจ้องมองรอยยิ้มของเขานานเกินไป

“ว่าแต่คุณขับรถมาที่นี่แต่เช้าเพื่อจะชื่นชมความงามของทุ่งดอกไม้แค่นี้เองหรือ” เธอรีบเอ่ยแก้เก้อเมื่อสบตาสีน้ำตาลเข้มพราวระยับซึ่งมองเธอราวกับล่วงรู้ความคิดอย่างนั้นแหละ ทว่าพูดไปแล้วคิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากัน ดวงตากลมโตหรี่แสง ประโยคต่อมาคล้ายคาดคั้นอยู่ในที “หรือว่า...ที่มาดูเพราะมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง”

“ทำไมจะต้องมีอะไรแอบแฝงด้วยล่ะ แค่ชอบ ก็แวะชม” ปราณไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องหลีกเลี่ยง อาจเป็นเพราะดวงตาหลังแว่นกรอบโตที่เปิดเผยตรงไปตรงมานั่นกำลังมองเขาอย่างประเมิณ ดูไม่ไว้ใจและพร้อมจะกระโดดไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถ้าหากว่า...ถ้าหากว่าเขายอมรับความจริง!

“แล้วนี่คุณหายดีแล้วหรือ ถึงได้ขี่มอเตอร์ไซคล์ออกมาแบบนี้” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง แล้วอดหลุบตามองเอวคอดกิ่วของเธอไม่ได้...เธอยังดูเป็นปกติ ทะมัดทะแมง คล่องแคล่ว แถมว่องไวอย่างกับลูกลิงแสนซน บางทีเรื่องที่เขาคิดว่าเธอตั้งท้องก่อนวัยอันควรอาจเป็นความเข้าใจผิดของเขาแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ได้

“ก็ฉันบอกแล้วตั้งแต่เมื่อวานว่าไม่ได้เป็นอะไร...เดี๋ยวฉันต้องรีบไปธุระ...” ตองตัดบท “ถ้าคุณชอบก็เชิญคุณชื่นชมธรรมชาติต่อไปตามสบายเถอะค่ะ แต่ชื่นชมได้อย่างเดียวนะคะ อย่าคิดครอบครอง...เจ้าของเขาหวง” คนเตือนยิ้ม

พลันที่ได้ยินคำว่า ‘เจ้าของเขาหวง’ คล้ายมีแสงสว่างวาบพาดผ่านเข้ามาในหัว พร้อมเสียงของปทุมวรรณผู้เป็นมารดาที่บอกกับเขาเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า

‘ที่ดินผืนนั้นน่ะสวยมาก ถ้าเราได้มาคงต่อยอดได้สบายๆ เจ้าของเขาชื่อพวงแสด แก่มากแล้ว แล้วก็หวงที่ผืนนั้นมากด้วย ใครมาขอซื้อก็ถูกปฏิเสธหน้าหงายกลับไปทุกราย...แม่ยกเรื่องนี้ให้ปราณจัดการ พูดกับคุณยายพวงแสดนั่นดีๆ เขาอาจยอมขายให้เราก็ได้ อาจไม่ทั้งหมดสักส่วนหนึ่งก็ยังดี แต่ถ้าได้ทั้งหมดก็จะดีมากเลย’

เพราะอย่างนี้นี่เองเขาจึงคุ้นชื่อพวงแสดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินที่โรงพยาบาลเมื่อวานนี้

ปราณมัวแต่นิ่งคิด รู้ตัวอีกทีร่างบอบบางในกางเกงทรงโจงกระเบนสีน้ำตาลเข้มก็เดินลิ่วขึ้นไปสตาร์ตมอเตอร์ไซคล์หน้าดำคร่ำเครียดแล้ว แต่สตาร์ตอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าเครื่องยนต์จะทำงาน ชายหนุ่มก้าวยาวๆ ตามขึ้นไป

“ถ้าคุณจะไปไหนแถวๆ นี้ เดี๋ยวผมไปส่งได้นะ ดูท่าทางแล้วรถคันนี้คงไม่ติดง่ายๆ”

ปราณมั่นใจว่าเขาอยากช่วยเหลือเธอจริงๆ ไม่มีผลประโยชน์เรื่องที่ทางแอบแฝงแต่อย่างใดเลย

ตองยังกระทืบคันสตาร์ตอยู่อีกหลายครั้งติดๆ กัน ในที่สุดเธอก็ยอมแพ้ หญิงสาววาดขาลงจากเบาะ ใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ปลายจมูกลากยาวไปถึงแก้มแดงเรื่อ ขณะที่ดวงตามองเจ้าพาหนะเก่าแก่อย่างโกรธเคือง

“ถ้าคุณเต็มใจช่วย...ฉันก็อยากรบกวนขอติดรถคุณไปลงที่ตลาดหน่อย” ตองรับน้ำใจเขาอีกครั้ง ไม่รู้เพราะเขายิ้มสวยชวนฝัน หรือเพราะตองมอบความไว้วางใจให้เขาไปแล้วอย่างง่ายดายหลังจากที่เขาให้ความช่วยเหลือเธอกับยายเมื่อวานนี้

“ไอ้แก่มันเกเรจนน่าทุบทิ้ง” ตองบ่นอุบ

“ดูท่าทางมันคงรับใช้คุณมานาน มันเจ็บป่วยก็ต้องรักษาสิ ไม่ใช่ฆ่าให้ตาย” ชายหนุ่มเท้าเอวมองสภาพรถแล้วเปรยอย่างที่ใจคิด ก่อนหันมาสบตาพร้อมกับถาม “แล้วจะจอดทิ้งไว้ตรงนี้นะหรือ”

“เดี๋ยวเข็นข้ามถนนไปฝากบ้านพี่กรไว้ก่อนก็ได้ ทำธุระเสร็จกลับมาค่อยพาไปหาหมอ” คนพูดตวัดสายตาค้อนไอ้แก่ไปหนึ่งที ก่อนมองถนนซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงจูงพาหนะเก่าคร่ำครึข้ามถนนไป

เห็นท่าทางก๋ากั่นแบบนี้ นึกว่าจะดื้อดึงเอาแต่ใจจนไม่ยอมฟังใครเสียอีก

ชายหนุ่มคิดขณะมองตามร่างบอบบาง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มในกรอบตายาวรีฉายแววรื่นรมย์ระยับ รอยยิ้มค่อยๆ จุดขึ้นบนใบหน้าคมคายทีละน้อย...เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูเหลือเกิน

ปราณไม่รู้เลยว่าเขาลืมเลือน ‘ธุระ’ ของมารดาไปเสียสนิทใจตั้งแต่นาทีไหนกัน



แลนด์โรเวอร์คันเปรียวแล่นฉิวไปบนถนนยามเช้าซึ่งว่างโล่ง สายลมเย็นฉ่ำที่พัดผ่านเข้ามาภายในรถเพราะคนขับลดกระจกลงจนสุดบานช่วยให้ตองรู้สึกสดชื่นขึ้น อารมณ์กรุ่นโกรธเริ่มคลายลง เรี่ยวแรงที่หมดไปกับไอ้แก่ค่อยคืนกลับมา หากข้อเท้าข้างขวาเหมือนจะเจ็บมากขึ้น แต่เมื่อยังเดินไหวใช้การได้ตองถือว่ามันยังไม่เป็นไร

“คุณนี่ขับรถเร็วดีเนอะ”

ปราณเดาไม่ออกว่าคำเปรยเรียบๆ นั้นเจ้าตัวกำลังต้องการบอกเล่า ชื่นชม หรือประชดประชันกันแน่ เขาจึงเสี่ยงถามขึ้นลอยๆ

“ที่พูดนี่ต้องการจะเตือนให้ขับช้าๆ หรือเปล่า”

“เปล่า ฉันก็ชอบความเร็วเหมือนกัน ยังไงเร็วดีกว่าช้า ฉันเลยยังไม่เคยเตือนใครให้ขับรถช้าๆ สักที เคยแต่เตือนว่าอย่าประมาท”

“อันที่จริง...ความรวดเร็วก็ไม่ดีเสมอไปหรอกนะ อย่างเมื่อวานถ้าเราขับช้าลงกว่านั้นอีกคนละหน่อย คุณก็คงไม่ต้องหักหลบกะทันหัน คุณยายก็คงไม่ต้องแขนหัก”

“แหม...คุณคิดได้เองแบบนี้แล้ว...จะต้องรอให้ใครเตือนอีกล่ะ”

ตองพูดยังไม่ทันจบดี ความเร็วก็ถูกผ่อนลงโดยอัตโนมัติ พร้อมกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ชำเลืองมองเธอราวค้อน

ทว่า...ตองไม่มีโอกาสได้เห็นกิริยาเช่นนั้น เพราะโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายหน้าตาคล้ายย่ามซึ่งวางอยู่บนตักส่งเสียงเรียกเข้าด้วยท่วงทำนองเร้าใจจนตองต้องรีบควานหา เมื่อหยิบขึ้นมาดูหน้าจอ คิ้วเรียวเหนือกรอบแว่นก็ขมวดฉับเข้าหากัน ความกังวลประดังเข้ามาในดวงตากลมโตจนบดบังแววสดใสรื่นเริงเมื่อครู่เสียสิ้น และแน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นไม่อาจรอดพ้นจากการสังเกตของปราณไปได้

“ว่าไงจ๊ะเมย” เธอกรอกเสียงลงไป ปราณไม่ได้ยินว่าคู่สนทนาพูดว่าอย่างไร แต่คงไม่ใช่เรื่องดีนักเพราะตอนนี้คนที่นิ่งฟังดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

“ใจเย็นๆ สิเมย อย่าเพิ่งตีโพยตีพาย เอาอย่างนี้นะ...รอพี่แป๊บนึง เดี๋ยวพี่เข้าไปหา อย่าเพิ่งทำบ้าอะไรลงไปล่ะ” บอกด้วยสุ้มเสียงกึ่งดุกึ่งปลอบแล้ว ตองก็หันมากระซิบกับเขาโดยที่ยังไม่ยอมวางสาย “เดี๋ยวคุณช่วยส่งฉันลงที่เพลินฤดีอพาร์ตเม้นต์ใกล้ๆ กับมหา’ลัยหน่อยได้ไหม ฉันมีธุระด่วนต้องเข้าไปที่นั่น”

ชายหนุ่มพยักหน้า เหลือบมองสบตาคนข้างกายแล้ว ปราณรู้ทันทีว่ายามนี้เธอกำลังต้องการความเร็ว และเขาก็ไม่ขัดข้อง...จัดให้ได้ทันใจเช่นกัน



ทันทีที่รถเลี้ยวปราดเข้ามาในลานจอดรถของเพลินฤดีอพาร์ตเม้นต์ ตองหันไปขอบคุณคนขับเร็วๆ แล้วเปิดประตูลงทันทีที่รถจอดสนิท เพราะลุงแก้วพ่อของกรเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของที่นี่ ตองจึงขอใช้สิทธิพิเศษขึ้นไปข้างบนได้โดยไม่ต้องใช้คีย์การ์ด

“มีอะไรหรือเปล่าตอง ทำไมรีบร้อนหน้าตาตื่น” ลุงแก้วถามขณะเปิดประตูกระจกให้ตอง

“เพื่อนตองที่อยู่ที่นี่มีเรื่องเครียดนิดหน่อยค่ะ ตองเลยรีบมาหา”

ลุงแก้วพยักหน้าหงึกๆ รับรู้ ไม่แปลกใจอะไรอีกเพราะเขาเคยเห็นเพื่อนตองคนนั้นแล้ว เมื่อเดือนก่อนนี้เอง ตองหอบหิ้วนักศึกษาสาวคนหนึ่งซึ่งเมามายไม่ได้สติมาส่งถึงเพลินฤดีอพาร์ตเม้นต์ โดยมีลุงแก้วช่วยพยุงขึ้นไปส่งถึงหน้าห้องพัก หลังจากนั้นตองก็แวะเวียนมาเยี่ยมมาหาอยู่ไม่ขาด ล่าสุดก็เมื่อสองวันก่อนนี้เอง

ตองกดเรียกลิฟต์และยืนกระสับกระส่ายรอ รู้สึกว่ามันช่างช้านานเหลือเกินไม่ทันอกทันใจเอาเสียเลย

ไม่ถึงห้านาทีหลังจากนั้นตองก็ก้าวออกจากลิฟต์เดินเร็วๆ มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง รัวกำปั้นลงไปบนบานประตูสี่ห้าครั้งติดๆ กัน ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นประตูก็ถูกกระชากเปิด คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตองดูผิดหวัง โกรธเกรี้ยวและเหมือนพร้อมจะอาละวาดตลอดเวลา

“พี่ตองมาหลอกเมยทำไม มาหลอกเมยทำไม” เสียงแหลมเล็กกระชากถาม ตองรีบดันร่างซูบโทรมนั้นเข้าไปในห้องเพราะเกรงห้องข้างเคียงจะแตกตื่น และปรามเสียงเบาทว่าหนักแน่น

“เข้าไปคุยกันข้างในเมย อย่ามาเสียงดังตรงนี้ รบกวนคนอื่นเขา”

ทันทีที่ประตูห้องปิดลง เจ้าของห้องก็ปาซองยาบำรุงที่ตองซื้อให้เมื่อวันก่อนใส่หน้าอกเธอ กิริยาก้าวร้าวไร้ความเกรงใจนั้นมาพร้อมคำถามที่แผดลั่น

“พี่ตองทำแบบนี้กับเมยทำไม”

ความโกรธแล่นปรี๊ดขึ้นสมองตองทันทีเหมือนกัน ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อ่อนแอกว่า ตองคงตอบโต้ กลับไปอย่างไร้มารยาทเช่นกัน เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อระงับเพลิงโทสะ แต่กระนั้น ประโยคที่ตองย้อนถามยังห้วนและเสียงดังไม่แพ้กัน

“พี่ทำอะไร”

“พี่ตองหลอกให้เมยกินยาบำรุงนี่ทำไม...ทั้งที่เมยบอกแล้วว่าไม่อยากให้ไอ้มารหัวขนนี่มันเกิดขึ้นมา...เมยจะเอามันออก...นี่ถ้าเมยไม่ไปถามที่ร้านขายยา เมยก็คงโง่อยู่อย่างนี้” คนพูดน้ำตาไหลพรูด้วยความคับแค้น มือเล็กๆ ทุบลงบนหน้าท้องที่ยังคงแบนราบดูไม่รู้เลยว่ามีชีวิตน้อยๆ ฝังอยู่ในนั้น ตองกระชากมือนั้นไว้แทนคำห้ามปราม และออกแรงลากเมยมานั่งลงบนเตียง

“สิ่งที่เมยจะทำต่างหากที่เรียกว่าโง่” ตองไม่ได้ตวาดลั่นออกไปอย่างที่ใจคิดอยากทำ แค่เอ่ยเสียงเรียบ ดุดัน “แค่ทำตัวนอกลู่นอกทางก็ผิดบาปมากพอแล้ว ยังคิดจะทำลายชีวิตที่ตัวเองสร้างขึ้นมาอีก แล้วลูกที่เกิดขึ้นมานี่น่ะ พี่ถามหน่อยซิว่าถ้าเมยไม่ยินยอมพร้อมใจ มันมุดเข้าไปเองได้ไหม”

คนฟังสะอึกสะอื้น ตองรู้ว่าตัวเองพูดแรง แต่ถ้าที่เคยพูดจาปลอบโยนให้กำลังใจไปมันไม่ได้ผล เธอก็หมดความอดทนเหมือนกัน

“แต่ถ้าเก็บไว้ แล้วแม่เมยรู้...” ประโยคที่เหลือถูกแทนที่ด้วยเสียงสะอื้นฮั่ก

“แม่เมยอาจจะผิดหวัง เสียใจ แต่พี่เชื่อว่าคนอย่างแม่ของเมยไม่มีทางเห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของเมยแน่”

ตองเอ่ยอย่างมั่นใจเนื่องจากรู้จักมาลีแม่ของเมยดี เพราะนอกจากมาลีจะเป็นแม่ของเมยแล้ว นางยังเป็นแม่ของมนัสเพื่อนร่วมคณะที่เป็นบั๊ดดี้กับตองตอนเรียนอยู่ปีหนึ่ง ต่อมาจึงกลายเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาก ตองเคยพบมาลีหลายครั้งทั้งตอนที่เธอลงไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่กรุงเทพฯ และตอนที่มาลีขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่และแวะมาหามนัส...นั่นจึงทำให้ตองพลอยได้รู้จักเมยซึ่งครั้งนั้นยังเป็นนักเรียนมัธยมที่น่ารักสดใสไปด้วย

ตองกับมนัสไม่ใช่แค่สนิทสนมกันมากเท่านั้น แต่ยังมีความคิดเห็นคล้ายคลึงไปในแนวทางเดียวกัน ชอบขี่มอเตอร์ไซคล์ไปนอนกางเต้นท์ชมดาวบนยอดดอยเหมือนกัน อยู่ชมรมต่อต้านยาเสพติดเหมือนๆ กัน จนใครๆ ที่รู้จักทั้งคู่ดีต่างพากันคิดว่าอีกหน่อยคนคู่นี้คงพัฒนาความสัมพันธ์จากเพื่อนกลายเป็นแฟนอย่างแน่แท้

แม้แต่ตองเองก็เผลอคิดแบบใครๆ เหมือนกันแหละ...ถ้าหากมนัสจะไม่ขาดการติดต่อไปเสียก่อน หลังจากเรียนจบและย้ายกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ

ในระยะแรกที่มนัสเข้าทำงานในบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง เขายังคงติดต่อมาสม่ำเสมอ แต่เมื่อนานไปคล้ายวงโคจรชีวิตของมนัสจะค่อยๆ ถอยห่างออกไปจากตองเรื่อยๆ เขาไม่โทร. มา ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบอีเมล์ แล้วอยู่มาวันหนึ่งหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเขาก็ไม่อาจติดต่อได้ขึ้นมาเฉยๆ อย่างนั้นเอง

เท่าที่ตองสอบถามเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ ในระยะสองปีหลังมานี้ มนัสไม่ได้ติดต่อใครและไม่มีใครติดต่อเขาได้เช่นกัน ตองคิดว่าเส้นทางระหว่างเขากับเธอคงไม่มีทางมาบรรจบพบกันอีก ตองไม่เสียใจ แต่รู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ความสงสัยที่ไม่มีคำตอบมาพร้อมกับความห่วงใย

หากชีวิตคนเรามีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้เสมอ ในค่ำคืนหนึ่งที่ตองนัดพบปะเพื่อนฝูงที่ผับเล็กๆ ในตัวอำเภอ ตองได้พบเมยน้องสาวของมนัสกำลังเมามายเสียอกเสียใจที่ถูกคนรักทอดทิ้ง เมยดูไร้สติจนน่าเป็นห่วงและตองไม่อาจทิ้งเธอไว้ในสถานที่ล่อแหลมเช่นนั้นเพียงลำพังได้ เธอจึงพาเมยกลับมาส่งที่เพลินฤดีอพาร์ตเม้นต์ตามคำบอกเล่ากระท่อนกระแท่นของเมย

ตองไม่รู้ว่าผู้ชายที่หักอกเมยเป็นใคร แต่ดูเหมือนนอกจากผู้ชายคนนั้นแล้ว เมยก็ไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนอีก ตองจึงไม่สามารถทิ้งเมยไปได้ เธอยังแวะเวียนมาหา มาอยู่เป็นเพื่อน มาให้กำลังใจกันโดยตลอด

ทว่า...การได้พบเมยครั้งนี้ทำให้ตองได้ทราบข่าวคราวความเป็นไปของมนัสเพิ่มขึ้นอีกด้วย เมยเล่าว่าเขาได้แยกตัวไปซื้อคอนโดอยู่เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว นานๆ จึงจะกลับบ้านสักที มาลีกับเมยสงสัยว่าเขาจะแอบอยู่กับแฟน แต่ทั้งคู่ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเพราะมนัสโตเป็นผู้ใหญ่ เรียนจบและมีงานการทำมั่นคงพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว

พอได้รู้ว่าเขายังอยู่สุขสบายดีแต่ไม่คิดจะติดต่อมา แถมยังเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ราวกับต้องการหลบลี้หนีหน้า ความน้อยใจรื้นขึ้นในอกพร้อมๆ กับทิฐิมานะ...ตองหมดความสนใจเขาตั้งแต่ตอนนั้น ความห่วงใยที่เคยมีสูญสลายไปในพริบตา

ตองหมดความสนใจในตัวมนัสก็จริง แต่เธอก็ไม่อาจละเลยเมยได้ เธอตั้งใจว่าจะคอยดูแลจนอาการซึมเศร้าของเมยดีขึ้นพอที่เมยจะอยู่ได้ด้วยตัวเองนั่นแหละ เธอจึงจะถอยห่างออกไปใช้ชีวิตปกติ แต่ยังไม่ทันที่เมยจะดีขึ้นอย่างที่ตองหวัง ก็มีปัญหาใหญ่โตตามมาอีกคำรบจนได้

เมื่อสองวันก่อนนี้เองที่เมยร้อนใจเนื่องจากรอบเดือนขาดหายไปเดือนกว่าแล้ว เดือดร้อนตองต้องรีบไปซื้อแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์มาให้ ตอนที่รอดูผลตรวจ ตองลุ้นพอๆ กับเมยเลยทีเดียว...เธอยอมรับว่าไม่อยากให้เมยท้องตอนนี้ ตอนที่เมยยังไม่พร้อมอะไรสักอย่าง ทั้งเพิ่งเลิกกับแฟน ยังเรียนไม่จบ ยังไม่มีงานทำ...ตองได้แค่ช่วยภาวนาว่าขอให้รอบเดือนที่ขาดหายไปนั้น แค่เกิดจากเมยเครียดเกินไป เลยทำให้การหลังฮอร์โมนผิดปกติ มีผลให้รอบเดือนคลาดเคลื่อนไปด้วย

หากคำภาวนาของตองไม่เป็นจริง เมื่อผลตรวจออกมาว่าเมยตั้งครรภ์ เมยนิ่งงันคล้ายชีวิตจิตใจถูกกระชากออกไปจากเนื้อตัว ก่อนจะร้องไห้ตีโพยตีพายอาละวาดจะเอาเด็กออกท่าเดียว ตองพยายามเกลี้ยกล่อมให้เก็บเด็กไว้และบอกมาลีให้ทราบเรื่องนี้ เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ต่อไป แต่เมยไม่เชื่อ สุดท้ายตองจึงซื้อยาบำรุงครรภ์มาให้กินแทนโดยหลอกว่าเป็นยาขับเลือดที่เมยต้องการ

‘มันได้ผลแน่นอน รับรอง ออกชัวร์’

ตองรับประกันคุณภาพเมื่อเห็นแววตาลังเลไม่แน่ใจตอนที่เมยรับซองยาบำรุงไปพินิจ...ตองละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า...รับรอง ออกชัวร์ เมื่อครบเก้าเดือน!

ตองไม่คิดว่าเมยจะหลงกลเธอไปจนครบกำหนดคลอดหรอก เธอแค่ต้องการประวิงเวลาไปก่อน รอให้เมยได้สติอารมณ์เย็นลง ค่อยพูดกันด้วยเหตุผลอีกครั้ง

“แต่แม่เมยหวังกับเมยไว้มาก...แม่...คงผิดหวัง” เสียงเอ่ยกระท่อนกระแท่นตามแรงสะอื้นของเมยดึงตองออกจากความคิดคำนึง ตองอยากจะบอกว่าถ้าคิดได้แบบนี้แต่แรกเรื่องคงไม่ลงเอยแบบนี้ แต่พูดไปจะกลายเป็นซ้ำเติม

“พี่เชื่อว่าแม่ทุกคนพร้อมจะให้อภัย และให้โอกาสลูกตัวเองเสมอ ไม่มีแม่คนไหนอยากเห็นลูกตัวเองทำผิดซ้ำซากหรอก แล้วที่เมยคิดจะเอาเด็กออกน่ะ ตรองดูให้ดีซิว่า...อยากทำเพื่อปกป้องความรู้สึกของแม่ ไม่ให้แม่เสียใจ หรือทำเพื่อลบล้างหลักฐานความผิดที่ตัวเองก่อขึ้น และปกปิดความผิดของตัวเองไว้เป็นความลับ ถ้าเป็นอย่างหลัง เมยก็นับว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก เพราะนั่นเป็นการกระทำของคนที่ไม่รักใครเลย ไม่รักแม้กระทั่งตัวเอง...และถ้าตอนที่เมยอยู่ในท้องแม่ แม่เมยคิดแบบนี้ ตอนนี้เมยคงไม่มีโอกาสมานั่งสะอึกสะอื้นฟังพี่พูดอยู่แบบนี้หรอก”

พูดจบ ตองก็นั่งลงบนเตียงข้างๆ ร่างอันสั่นเทิ้มด้วยแรงสะอื้นของเมย ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากปากตองอีก เธอพูดทุกอย่างไปหมดแล้วและไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซาก หากเธอไม่ได้ไปไหน ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นนานเท่านาน จนคนที่ร่ำไห้จนตาช้ำบวมแดงเรื่อค่อยๆล้มตัวลงนอนคุดคู้และผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย



ตองเดินลงจากตึกเพลินฤดีอพาร์ตเม้นต์ด้วยหัวใจที่หน่วงหนัก เพราะตลอดเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ผ่านมา ตองซึมซับความเคร่งเครียด เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้าที่แผ่ซ่านออกมาจากเมยไว้เต็มหัวใจ และมันก็ไม่อาจสลัดให้หลุดหายไปได้รวดเร็วอย่างที่ใจต้องการเสียด้วยสิ

“เป็นไงมั่งคุณ โอเคไหม”

เสียงทุ้มที่ทักถามทำเอาร่างบางที่ก้มหน้าก้มตาเดินไปถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหันไปพบเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ใกล้ม้าหินใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าตึก

“อ้าว คุณ ยังไม่กลับอีกหรือ” ตองแปลกใจ

“คุณจะติดรถผมไปลงที่ตลาดไม่ใช่หรือ นี่ยังไม่ถึงตลาดเลยนะ”

“ตลาดอยู่ใกล้แค่นี้ ฉันไปมอเตอร์ไซคล์รับจ้างก็ได้” ตองตอบ ขมวดคิ้วมองเขาอย่างคลางแคลง...ผู้ชายคนนี้ทำดีกับเธอมากเกินไปหรือเปล่า ดูไม่น่าไว้ใจอย่างไรพิกล

“อย่ามองผมแบบนั้นสิ ผมก็แค่...ไม่รู้จะไปไหนดี ก็เลยรีรอ เผื่อจะได้ไปเดินเที่ยวเล่นที่ตลาดกับคุณด้วย” ปราณกำลังแก้ตัว

อันที่จริงเขาจะกลับไปโรงแรมที่พักเสียแต่แรกก็ได้ สถาปนิกอย่างเขาแค่มีโน้ตบุ๊กส์เครื่องเดียวกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ทางโรงแรมมีบริการก็สามารถทำงานได้แล้ว แต่เพราะคนตัวเล็กที่หายเข้าไปในอพาร์ตเม้นต์ทำหน้าเคร่งเครียดเหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตายรออยู่ เขาเลยรีรอเผื่อว่าจะช่วยเหลืออะไรได้

ทว่าอยู่ๆ คุณปทุมวรรณมารดาเขาก็โทร. มาถามความคืบหน้าของธุระที่สั่งให้มาจัดการ...ก็เรื่องเจรจาซื้อขายที่ดินที่พวงแสดหวงนักหวงหนานั่นแหละ ถ้าสิ่งที่จะต้องทำไม่ใช่เรื่องง่ายดายแล้วละก็ ทางที่ดีที่สุดคือต้องเข้าไปทำความรู้จักกับพวงแสดให้มากกว่านี้เสียก่อน...รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

และหนทางดีที่สุดหนทางเดียวที่ปราณพอจะคิดออกตอนนี้...ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่า...การตีสนิทกับแม่สาวแว้นแว่นโตซึ่งดำรงตำแหน่งหลานสาวคนเดียวของพวงแสดใช่ไหมล่ะ




ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2555, 21:03:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ส.ค. 2555, 21:03:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1428





<< ตอนที่ ๒ (ต่อจนจบ)   ตอนที่ ๔ >>
ภาวิน 8 ส.ค. 2555, 21:48:17 น.
สวัสดีค่ะ ช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างยุ่งเหยิงหน่อยค่ะ มีเรื่องอะไรให้จัดการเยอะแยะไปหมด คิดว่าจะไม่มีนิยายมาโพสต์ซะแล้ววววว...แต่ก็ยังเบ่งออกมาได้ตั้งตอนนนึง อ่านแล้วชอบใจกดไลค์ได้เต็มที่เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ ติได้ชมได้ ทักทายกันได้ตลอดเวลาค่ะ

รู้สึกว่าตอนที่ผ่านมาจะทำให้งุนงง สงสัย และเริ่มคาดเดา มาตอบเม้นท์กันดีกว่าเนอะ

คุณ Barby กรจะร้ายหรือดี...นั่นสินะ...ร้ายหรือดีหนอ...อยากรู้ทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากติดตาม ตามมา ตามมา

คุณ Sweetbutter พรีมเคยท้องมาก่อนหรือเปล่า เดาได้ แต่ม่ายยยบอก บอกได้แค่อย่าคิดมากน่า

คุณ Edelwiss ขอบคุณค่ะที่แวะมาให้กำลังใจ ผ่านมากทักทายกันได้เสมอนะคะ

คุณ nunoi คันปากยิบๆ เลยค่ะ อยากเฉลยทุกข้อสงสัย แต่อะไรที่พรีมทำไว้นั้นน่ะ กว่าจะรู้ก็เกือบท้ายๆ เรื่องโน่นแน่ะค่ะ ถ้าบอกตอนนี้เดี๋ยวก็ไม่มีอะไรให้ลุ้นกันพอดี

คุณอสิตา ขอบคุณคอมเม้นท์ดีๆ นะคะ ไม่ได้มองข้ามไปและจะนำไปปรับปรุงจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เปิดนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาอ่าน ไม่ว่าจะอ่านแล้วไป อ่านแล้วทักทาย อ่านแล้วคอมเม้นท์ อ่านแล้วกดไลค์ อ่านมาก อ่านน้อยแค่ไหนก็ตาม ทุกสายตาที่ผ่านเข้ามา เป็นกำลังใจให้คนเขียนเสมอค่ะ



อสิตา 9 ส.ค. 2555, 02:14:53 น.
ทวารหนัก ทำงานหนัก
อืม ฝีมือทำอาหารนางเอกนี่มาจากคนเขียนเปล่าคะ...
มนัสคงไม่ได้แอบอยู่กับแฟนที่เป็นผู้ชายหรอกนะ หุหุหุ ถ้าเราเป็นนางเอกคงหันไปเป็นทองแผ่นเดียวกับพระเอกโดยไม่ลังเลค่ะ จากนั้นก็เอาที่ดินเจ๊พวงแสดไปทำอะไรสักอย่าง สักแค่ส่วนเดียวก็พอ
รู้สึกว่ายายก็ยึดติดเกิดไปนิดถ้าจะเก็บไว้เฉยๆทั้งหมดอ่าขอหลานใช้สอยหน่อยน้า


Barby 9 ส.ค. 2555, 13:12:13 น.
เอ พระเอกของเราจะหลอกมาตีสนิทไม่ได้นะ


Sweetbutter 10 ส.ค. 2555, 01:26:35 น.
นึกภาพทุ่งบัวตองไม่ออก ไปเปิดอากู๋ดูดีกสว่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account