ปมรักภูตเสน่หา โดย ตารกา (วางแผงแล้ว)
56 ปีที่ก่อน ณ คฤหาสน์ผาทราย พลช ชายหนุ่มรูปงาม ลูกชายของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ได้ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับคู่หมั้น แม้เวลาจะผ่านมากหลายทศวรรษแล้ว แต่ดวงวิญญาณของชายหนุ่มก็ยังไม่ไปไหน เขาสถิตอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยการกลับมาของคนที่รักหมดหัวใจ
นิยายเรื่องนี้วางแผงแล้วนะคะ สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป
หรือสั่งซื้อได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ
http://www.thebooklovers.co.th/index.php/product/detail/778
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานนะคะ
นิยายเรื่องนี้วางแผงแล้วนะคะ สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป
หรือสั่งซื้อได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ
http://www.thebooklovers.co.th/index.php/product/detail/778
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานนะคะ
Tags: ซึ้งกินใจ ลึกลับ ย้อนอดีต ผี โรแมนติก จิตกรหนุ่มผู้เจ้าอารมณ์ วิญญาณอาลัยที่แสนอ่อนโยน สืบสวน นางเอกเป็นนักกายภาพบำบัด คฤหาสน์กลางเกาะ
ตอน: บทที่ 9 คนสองบุคลิก?
บทที่ 9 คนสองบุคลิก?
ปรางรัตน์นอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด คำเรียก ‘แก้มแก้ว’ ของศิวกรก่อให้เกิดคำถามมากมาย แม้ชื่อของเธอจะแปลตรงตัวว่าแก้มแก้วก็จริง แต่หญิงสาวก็อดคิดมากไม่ได้เมื่อมันไปพ้องกับชื่อคนในความฝัน และท่าทีที่แปลกไปของศิวกรก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมองผ่านกันได้ง่ายๆ
พอมาทบทวนดูแล้วหญิงสาวก็พบว่าศิวกรทำตัวคล้ายกับคุณพลชในความฝันของเธอเหลือเกิน ทั้งยังพบเรื่องที่ชวนให้ฉงนคือถ้าเขาพันผ้าเป็น ทำไมตอนหัวค่ำถึงพันให้เธอผิดวิธี
หรือว่าบางที…คนเมื่อครู่อาจจะไม่ใช่ศิวกรแต่เป็นคุณพลช
ความคิดที่ว่าตัวเองโดนผีหลอกทำให้หญิงสาวกลัวจนดึงผ้าห่มมาคลุมโปง แล้วภาวนาให้เช้าเร็วๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอกับอะไรแปลกๆ อีก
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาฟ้าด้านนอกก็สว่างไสว แสงอาทิตย์ช่วยขับไล่ความกลัวออกไปจากจิตและเปลี่ยนบรรยากาศวังเวงของคฤหาสน์หลังงามให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น ปรางรัตน์จึงค่อยโผล่ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์นอกผ้าห่มอย่างโล่งใจ
ตลอดเวลาที่อยู่ใต้ผ้าห่มเธอคิดอยู่หลายครั้งว่าอยากจะเผ่นหนีออกไปจากที่นี่ แต่ก็ไม่อาจไปได้เพราะยังมีจดหมายที่ต้องตามหา และถึงจะตัดเรื่องจดหมายทิ้งไปตอนนี้สภาพร่างกายของเธอก็ยังไม่พร้อมจะเดินไกลๆ ต้องรออย่างน้อยสองสามวันกว่าจะมีปัญญาเดินลงเขาได้ด้วยตัวเอง
“ทำยังไงดี”
หญิงสาวถามตัวเองแล้วพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย ความที่ไม่ทันระวัง มือเธอก็เลยไปปัดกับหนังสือที่วางเอาไว้บนตัวเตียงจนตกลงมา
ปรางรัตน์หยิบหนังสือกลับไปเก็บไว้ที่เดิม สายตาเลยเหลือบไปเห็นหน้าปกเข้า หนังสือเล่มนี้เธอซื้อมาเพราะคำนำว่าตัวเอกนั้นเป็นคนหลายบุคลิก ตอนนั้นเองที่หญิงสาวเริ่มคิดหาคำตอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นผี ไม่แน่หรอกว่าศิวกรอาจจะเป็นคนสองบุคลิก
แม้เรื่องประหลาดที่เจอมาตลอดหลายวันนี้จะบั่นทอนความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ของเธอไปจนหมด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เห็นจะเป็นเรื่องลึกลับเสมอไป
หญิงสาวพยายามมองทุกอย่างในแง่ดีและเป็นกลางเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นผีหลอก ผีสิง หรือบุคลิกซ้อน เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้วและยังคงหาทางพิสูจน์ไม่ได้ ปรางรัตน์เลยไม่รู้ว่าจะกลุ้มใจหรือคิดมากต่อไปทำไม เพราะต่อให้เครียดหรือกลัวแทบตายยังไง เธอก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าต้องเองต้องอยู่ที่นี่ไปอีกระยะหนึ่ง
พอตั้งสติได้หญิงสาวก็กระโดดเป็นกระต่ายขาเดียวตั้งใจว่าจะไปอาบน้ำ แต่ป้าเลื่อมมาเคาะห้องเสียก่อน พร้อมกับยกอ่างน้ำแข็งสำหรับแช่เท้ามาด้วย
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ แล้วจึงชวนคุย “ป้าเลื่อมรู้ได้ยังไงคะว่าแก้มข้อเท้าพลิก”
“เมื่อคืนป้าได้ยินเสียงคุณกับคุณเล็กค่ะ ก็เลยเดินออกมาดู แต่คุณเล็กไล่ให้ป้ากลับไปนอน บอกว่าพรุ่งจะได้ตื่นมาดูแลคุณแต่เช้า ส่วนเรื่องปฐมพยาบาลคุณเล็กจะจัดการเอง” ป้าเลื่อมเล่าตามความจริง
“คุณเล็กของป้านี่ก็ใจดีนะคะ เสียดายเก๊กมากไปหน่อย” ปรางรัตน์แอบนินทา
“เพิ่งเห็นใจดีก็แต่กับคุณนี่แหละค่ะ”
แม่บ้านสูงวัยรู้สึกแปลกใจมากที่เจ้านายยอมลงทุนดูแลแขกด้วยตัวเอง เธอคิดว่าต้องเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองหนุ่มสาวแน่ แล้วก็มั่นใจว่ามันเป็นเรื่องดีด้วย
ระหว่างที่หญิงสาวแช่เท้ากับน้ำแข็ง ป้าเลื่อมก็กลับลงไปยกอาหารเช้าขึ้นมาให้ ปรางรัตน์จึงเริ่มรู้สถานะตัวเองว่าตอนนี้กลายเป็นคนเจ็บขึ้นมาจริงๆ เพราะถูกห้ามไม่ให้ไปไหน
“ทนเบื่อเอาหน่อยนะคะคุณ บันไดมันชัน เกิดกลิ้งตกลงมามันจะไม่คุ้มกัน” ป้าเลื่อมเตือนด้วยความปรารถนาดี
หญิงสาวยอมรับความปรารถนาดีของอีกฝ่ายเอาไว้ และสัญญาว่าในช่วงสองวันนี้จะไม่เสี่ยงเดินเขย่งขาเดียวลงไปข้างล่าง ทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวเธอเองทั้งนั้น ประเมินอาการดูแล้ว ถ้าอยากจะหายเร็วๆ ก็ต้องงดลงน้ำหนักที่ขาระยะหนึ่ง
เมื่อดูแลปรางรัตน์เรียบร้อยแล้ว ป้าเลื่อมก็ยกอาหารอีกชุดมาวางไว้หน้าห้องของศิวกร แล้วเคาะห้องเรียกเหมือนที่เคยทำเป็นประจำเวลาเอาอาหารมาส่ง ศิวกรเปิดประตูรับแล้วเริ่มรับประทานอาหารเช้าบนโต๊ะเล็กที่ใช้ตั้งคอมพิวเตอร์
ห้องที่เขาอยู่นี้เป็นห้องโล่งยาวเหยียด กินพื้นที่ของปีกตะวันออกเกินครึ่ง ชายหนุ่มทำห้องน้ำแบบไม่มีผนังเอาไว้ที่มุมหนึ่ง อีกมุมเป็นเตียงนอน ส่วนที่เหลือคือพื้นที่สำหรับสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ซึ่งค่อนข้างจะรกเลอะเทอะไร้ระเบียบ แต่ก็อยู่ห่างพอจะแยกออกได้ว่าส่วนไหนเป็นที่กินอยู่หลับนอน ส่วนไหนเป็นห้องทำงาน
กิจวัตรประจำวันของชายหนุ่มไม่เหมือนคนปกติทั่วไป แต่ก็ค่อนข้างจะเป็นเวลา ชายหนุ่มกินอาหารมื้อแรกตอนเช้าตรู่ แล้วจึงค่อยนอนหลับพักผ่อน สักบ่ายสองหรือบ่ายสามก็จะตื่นมาทำงานหรือหาอะไรทำไปตามเรื่อง แล้วค่อยกินอาหารมื้อที่สองในช่วงหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม
ชายหนุ่มมักงีบกลับหลังอาหารเย็นราวครึ่งชั่วโมง ตื่นมาก็จะอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่น แล้วเริ่มลงมืออีกครั้งทำงานจนกระทั่งรุ่งสาง ถ้าเกิดหิวขึ้นมาระหว่างทำงานเขาก็จะลงไปหาอะไรกินที่ครัว แต่ถ้าไม่ก็รอให้ถึงมื้อเช้าเลยทีเดียว
เช้านี้ศิวกรไม่ค่อยง่วงนัก เพราะเมื่อคืนเผลองีบหลับไปตอนช่วงตีสามถึงตีสี่ นอนพลิกตัวไปมาได้ราวสิบนาที ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นมาเปิดเพลงบรรเลงเพื่อกล่อมตัวเอง ไม่นานก็ผล็อยหลับไปโดยที่ไม่เอะใจสักนิดว่าเมื่อคืนมีคนแอบเอาร่างของตัวเองไปใช้
ปรางรัตน์ฉวยโอกาสตอนที่ขาเจ็บขลุกอยู่บนเตียง แล้วนั่งอ่านนวนิยายทั้งวัน หญิงสาวชอบอ่านแบบเก็บรายละเอียด อ่านช้าๆ ไปที่ละหน้า ประโยคไหนไม่เข้าใจหรือจิตนาการไม่ทันก็จะอ่านซ้ำอีกครั้ง ดังนั้นแค่มีหนังสือเล่มหนาพอดีๆ สักเล่ม หญิงสาวก็ใช้เวลาหมดวันไปได้อย่างมีความสุข
พออ่านหนังสือจบเล่มเธอก็เริ่มพักสายตา ตอนนี้ยังหัวค่ำอยู่มากแต่ปรางรัตน์ก็อยากรีบเข้านอน เธอต้องรู้ให้ได้ว่าคู่หมั้นของคุณพลชเป็นใคร แม้จะหวาดกลัวอำนาจลึกลับที่ดลบันดาลให้เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะต้องมีเหตุผลในตัวของมันเอง และเธอจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้
เมื่อปล่อยใจให้หลับใหลภาพความฝันที่รอคอยมาทั้งวันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า หนนี้หญิงสาวไม่ได้ฝันต่อจากเมื่อคืน แต่เป็นเหตุการณ์หลังจากที่คุณพลชมาที่คฤหาสน์หลังนี้แล้วราวสามสี่วัน ที่รู้ก็เพราะได้ยินคุณพิมพาเธอบ่นมาพี่ชายมาแค่สามสี่วันเท่านั้นก็จะกลับออกไปอีกแล้ว
“พี่ยังไม่ได้กลับหรอกครับ แต่จะไปรับคนที่ท่าเรือต่างหาก” ชายหนุ่มย่อตัวลงตอบคำถามน้องสาว แล้วขยี้ผมหยักศกของเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู
ดูเหมือนว่าคุณพลชจะไม่ได้ทำดีเฉพาะแต่กับสาวๆ อย่างแก้มแก้วเท่านั้น แต่ยังอ่อนโยนกับเด็กเล็กและคนชราอย่างแม่สร้อยด้วย เขาทักทายคนรับใช้ทุกคนด้วยรอยยิ้ม ปรางรัตน์เลยจัดคุณพลชให้อยู่กลุ่มพวกมีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ
“ไปรับใครคะ พี่พจน์หรือเปล่า” เด็กหญิงเม้มปากเมื่อถามจบ ท่าทางคุณพิมพาจะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนักเวลาเอ่ยถึงชื่อนี้
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคุณพจน์ค่อนข้างขรึมและเจ้าระเบียบ ไม่แปลกเลยที่คุณพิมพาจะเกรงกลัวพี่ชายใหญ่มากกว่าคนอื่นๆ ในบ้าน บางทีถ้าเด็กหญิงดื้อมากๆ ขู่ว่าจะฟ้องคุณพ่อไม่ได้ผล ก็ต้องขู่ว่าจะฟ้องคุณพี่ นี่นี้ล่ะเงียบกริบเลยทีเดียว
“เดี๋ยวก็รู้” คุณพลชอุบไว้ไม่ยอมบอก ไม่ว่าน้องสาวจะเซ้าซี้อย่างไรก็ยอมแย้มพราย
พอถึงเวลาก็เดินลงจากคฤหาสน์ไปกับพวกคนรับใช้ผู้ชาย ไม่ยอมให้เด็กหญิงตามไปด้วย เพราะกลัวว่าจะวิ่งซนจนตกเขา คุณพิมพาก็เลยสะบัดหน้าใส่งอนๆ พลางสัพยอกว่าคุณพี่ใจร้าย
ช่วงที่ชายหนุ่มไม่อยู่นายพงษ์เรียกหาแก้มแก้วให้ขึ้นไปพบ ตอนไปถึงชายชรากำลังนั่งสูบยาอยู่ที่ริมหน้าต่าง เรื่องสูบยานี้ไม่ว่าใครห้ามก็ไม่ฟัง เนื่องจากผู้สูงวัยอ้างว่าเป็นความสุขของคนกำลังใกล้ตาย ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
“มาแล้วรึแก้มแก้ว รู้ใช่ไหมว่าวันนี้จะมีแขกมา”
แก้มแก้วรับคำแล้วนั่งลงกับพื้น หญิงสาวค่อยๆ คลานเข่าเข้ามาหา แล้วนั่งพับเพียบอยู่เยื้องกับชายชราอย่างรู้มารยาท
“คนที่จะมาพักคือวาดวลี เธอเป็นหลานของคุณหญิง”
คุณหญิงที่พูดถึงคือคุณหญิงเฉิดฉวี ภรรยาเอกของนายพงษ์ ถึงจะไม่เคยเห็นหน้า แต่ดูจากการคำพูดแล้ว ดูเหมือนนายพงษ์จะให้ความเกรงใจภรรยาคนนี้อยู่มาก
“วาดวลีมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ฉันเลยอยากจะฝากเธอให้ช่วยดูแล”
“ได้ค่ะท่าน ดิฉันจะดูแลคุณวาดวลีเป็นอย่างดี”
ฟังแล้วปรางรัตน์ก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีวาดวลีคนนี้อาจจะเป็นคุณหมั้นของคุณพลชก็ได้ ที่เดาอย่างนั้นเพราะป้าเลื่อมบอกว่าคนรักของคุณพลชป่วยด้วยโรคร้าย ทั้งคู่ก็เลยฆ่าตัวตายด้วยกัน และแม้ทั้งสองคนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เมื่อย้อนไปในสมัยนั้นก็พบว่ามีออกเกลื่อนไปที่แต่งงานกันในหมู่เครือญาติ
“อีกเรื่องหนึ่ง หล่อนจะทำหรือไม่ก็สุดแล้วแต่หล่อน ฉันไม่บังคับ เพราะมันเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวที่คนแก่อย่างฉันอยากจะเข้าไปสอดเอง”
“หากเป็นธุระของท่าน ถ้าทำได้ดิฉันยินดีทำให้ทุกอย่างค่ะ” แก้มแก้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
นายพงษ์ยิ้มอย่างพอใจ แล้วจึงค่อยเอ่ยถึงสิ่งที่ต้องการ
“เรื่องของพจน์กับวาดวลี ฉันอยากให้สองคนนี้แต่งงานกัน”
ชายชราหวังจะได้วาดวลีมาเป็นสะใภ้ ก็เลยออกปากให้หญิงสาวซึ่งสุขภาพไม่แข็งแรงมาพักรักษาตัวที่นี่ แต่จะให้จีบกันเองคงเป็นไปไม่ได้เพราะบุตรชายคนโตของตนนั้นเป็นคนเงียบๆ ไม่แสดงออก ชายชราจึงฝากฝังให้แก้มแก้วช่วยเป็นตัวเชื่อมระหว่างคุณพจน์กับวาดวลีให้ โดยช่วยกันกับคุณพลชอีกแรงหนึ่ง
ตอนนี้คุณพจน์ยังไม่รู้ว่าบิดาหาคู่ดูตัวมาให้ตน ฝ่ายหญิงเองก็เหมือนจะไม่รู้เช่นกัน เรื่องนี้ทางผู้ใหญ่ตกลงกันอย่างลับๆ ให้หนุ่มสาวมาเจอกันก่อน ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร ค่อยจัดการกันอีกที วิธีการบังคับนั้นขอเก็บไว้ใช้เป็นอย่างสุดท้าย มองดูแล้วก็ไม่ต่างจากคลุมถุงชนนักหรอก เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องมีการแต่งงานแน่นอน
“อายุเจ้าพจน์ใกล้ย่างสามสิบห้าแล้ว ฉันอยากให้มันเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ต่อไปจะได้เป็นตาของพลชมันบ้าง คนแก่อย่างฉันไม่หวังอะไรอีกแล้วนอกจากมีโอกาสเห็นหน้าหลาน หล่อนช่วยฉันได้ไหมแก้มแก้ว”
“ดิฉันจะพยายามค่ะ” แก้มแก้วรับปากแล้วก้มหน้าลงมองพื้นอย่างรวดเร็ว
หมดเรื่องแล้วหญิงสาวก็คลานเข่าออกมาจากห้อง ปล่อยให้ชายชรานั่งพักผ่อนเงียบๆ เหมือนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำทุกบ่าย
ไม่รู้ว่าปรางรัตน์คิดไปเองหรือเปล่า แต่สีหน้าของแก้มแก้วตอนเดินออกมาจากห้องดูซีดเซียวอย่างไรชอบกล อาจเพราะหญิงสาวเป็นคนเรียบร้อย เลยลำบากใจที่จะต้องมาเล่นบทกามเทพ
แก้มแก้วหลบมุมมานั่งอยู่ที่ชิงช้าอยู่ในสวนด้านหลัง หญิงสาวมักจะชอบมาหลบมุมอยู่ตรงนี้เป็นประจำเวลาที่ว่าง เวลาผ่านไปสักพัก อิ่มก็วิ่งมาหาแล้วชวนให้ออกไปดูแขกที่มาในวันนี้ด้วยกัน
“คุณพยาบาลไปเร็วค่ะ ไปดูคนสวยกัน”
อิ่มฉุดมือหญิงสาวพลางให้ข้อมูลว่า แขกที่มาเป็นหลานสาวของคุณหญิงเฉิดฉวี เธอจะมาอยู่ที่นี่เพื่อพักผ่อน และสอนเปียโนกับภาษาอังกฤษให้คุณพิมพา
“ไปแอบดูเขาอย่างนั้น ไม่มีนะอิ่ม มันเสียมารยา” แก้มแก้วติง
“แอบดูอะไรกันคะคุณ ออกไปต้อนรับต่างหาก รีบไปเถิดค่ะ ก่อนที่คุณเขาจะเข้าห้องไปเสียก่อน”
แก้มแก้วจึงต้องเดินตามแรงดึงไปอย่างเสียมิได้ หญิงสาวดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะพบกับวาดวลีนัก เพราะแอบหลบมุมดูอยู่ห่างๆ ไม่เข้าไปหา แต่คุณพลชก็ตาไวเห็นเข้าจนได้ ชายหนุ่มหันมาเรียกหญิงสาว แก้มแก้วจึงต้องเดินไปหาอย่างขัดเสียมิได้
“นี่แก้มแก้วครับ เป็นพยาบาลประจำตัวคุณพ่อ” คุณพลชแนะนำ
แก้มแก้วยกมือไหว้อย่างอ้อนน้อม วาดวลีเห็นดังนั้นก็รีบยกมือขึ้นมาไหว้ตอบ
“เราน่าจะอายุพอๆ กัน เรียกฉันว่ารุ้งก็ได้นะ” วาดวลีหันมายิ้มหวานให้ ส่วนแก้มแก้วก็รับคำอย่างสำรวม
ในขณะที่คุณพลชกำลังแนะนำวาดวลีกับบรรดาคนรับใช้ที่พากันมาต้อนรับด้วยความสนอกสนใจ ปรางรัตน์ก็ลอบสังเกตวาดวลีไปด้วย
หญิงสาวมีกรอบหน้ารูปไข่ ริมผีปากอิ่ม ดวงตาดำขยับเป็นประกาย ดูสวยคมตรึงสายตา ผมที่ดัดเป็นลอนยาวประมาณบ่ากับชุดกระโปรงสีสันสดใสทำให้เธอคนนี้ดูปราดเปรียวมีชีวิตชีวา ปรางรัตน์ไม่รู้หรอกว่าแฟชั่นสมัยนั้นเป็นอย่างไร แต่ก็พอเดาได้ว่าการแต่งกายแบบนี้ค่อนข้างทันสมัย เพราะมีแต่คนกระซิบกระซาบชมเรื่องชุดของเธอ มีใครคนหนึ่งบอกด้วยว่าผ้าที่ใช้ตัดชุดนี้แพงมาก
ปรางรัตน์ทอดสายตามองตามวาดวลีที่เดินขึ้นบันไดตามคุณพลชไปด้วยความสงสัย วาดวลีดูไม่เหมือนคนสุขภาพอ่อนแอเลย ออกจะดูกระฉับกระเฉงกว่าคนปกติบางคนในบ้างหลังนี้ด้วยซ้ำ เธอก็เลยเดาว่าอาจจะเป็นพวกภูมิแพ้หรือโรคอื่นที่ไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจน
พอสองหนุ่มสาวหายลับไปจากสายตา ปรางรัตน์ก็หันมาฟังแก้มแก้วคุยกับคนรับใช้ที่ตามมาดูแลวาดวลี
“ฉันชื่อรวยจ้ะ ส่วนนี่แม่ติ๋วหลานฉันเอง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนอายุราวๆ สี่สิบต้นๆ แนะนำตัว “อ้าว! นังติ๋ว มัวทำอะไรอยู่ไหว้คุณพยาบาลกับคุณแม่นมสิ” รวยหันมาเอ็ดหลานสาวที่มัวแต่ชะเง้อชะแง้ดูความโอ่อ่าของสถานที่อย่างตะลึงตะลาน
เด็กสาววัยใกล้เคียงกับอิ่มรีบยกมือขึ้นไหว้แก้มแก้วกับแม่สร้อยด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ แล้วก้มหน้างุดด้วยความอาย
“คุณแม่นมอะไรกัน ฉันมันก็แค่คนใช้เขาเหมือนกันนั่นแหละ” แม่สร้อยโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน แต่ดูจากสีหน้าแล้วท่าทางจะถูกใจชื่อตำแหน่งไม่น้อย
เมื่อทักทายปราศรัยกันแล้ว แม่สร้อยก็สั่งให้อึ่งยกกระเป๋าของวาดวลีไปเก็บ ส่วนตัวเองก็พารวยกับติ๋มไปที่ห้องพัก ซึ่งอยู่ชั้นล่างทางปีกตะวันตก
พวกคนรับใช้ผู้หญิงทั้งหมดจะนอนกันที่นี่ ส่วนพวกผู้ชายนอนกันที่เรือนหลังเล็ก ซึ่งปลูกแยกออกมาต่างหาก ปัจจุบันมันคือบ้านหลังเล็กที่ลุงแก่นกับป้าเลื่อมอาศัยอยู่นั่นเอง
แก้มแก้วเดินตามทุกคนไปด้วย เธอรอให้แยกย้ายกันไปหมดเสียก่อน แล้วจึงค่อยถามรวยกับติ๋มว่าคุณหนูของทั้งคู่นั้นป่วยเป็นโรคอะไร
“เอ่อ…ฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอกจ้ะ แต่เห็นคุณหนูเธอมียาของเธออยู่ เอาไว้กินเวลาปวดหัวจ้ะ”
รวยยังบอกอีกว่าตัวเองกับหลานเพิ่งจะมาจากบ้านนอกไม่นานนี้เอง รับใช้คุณหนูมาได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ด้วยซ้ำ แต่ก็เห็นว่าเธอดูแข็งแรงดีไม่ได้ป่วยไข้
ฟังแล้วทั้งปรางรัตน์ก็นึกโรคที่มีอาการปวดหัวตามไปด้วย เธอนึกถึงโรคไมเกรน ตามมาด้วยมะเร็งกับเนื้องอกที่เป็นโรคร้ายแรง
ปรางรัตน์ภาวนาขอให้ไม่ใช่อย่างหลัง ถึงแม้จะไม่รู้จักกัน แต่เธอก็ไม่อยากให้หญิงสาวต้องจบชีวิตลงอย่างทรมาน
======================================================
สวัสดีค่ะนักอ่านที่น่ารักทุกท่าน แวะมาทักทายค่ะ หลังจากไม่ได้คุยกันเลย
ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้ตอบคอมเมนต์ พอดีโพสหลายทีแล้วงานเร่งมากค่ะ
แต่ตามอ่านทุกความเห็นเสมอ ขอตอบรวบๆ ทีเดียวเลยนะคะ
ใครที่ถามถึงเรื่องตัวกวน ขอดองไว้ก่อนนะคะ คือเหนื่อยใจจะแก้มากๆ
ทรเมากับมันมาสองเดือนแล้วค่ะ เลยตัดสินใจกลับมาทำเรื่องปมรักภูตเสน่หาก่อน
ส่วนใครที่สงสัยว่าสรุปคุณปู่หลอกปรางรัตน์มาเจอกันใครกันแน่ สรุปคุณปู่หลอกมาเจอศิวกรนะคะ
คือว่าปู่พิทักษ์คิดเหมือนทุกคนว่าศิวกรคือพลชกลับชาติมาเกิดค่ะ ไม่รู้ว่าในคฤหาสน์นี้มีวิญญาณพลชอยู่
สุดท้ายคำถามยอดฮิต ถามว่าใครเป็นพระเอก? โฮะๆ ใครที่เคยอ่านเรื่องชายิกาของเจ้าชาย
คงจะทราบคำตอบแล้วนะคะ คำตอบคือ “ไม่เฉลยค่ะ” เรื่องนี้จะให้รักพี่เสียดายน้องกันไปข้างนึงเลย
ทรมานคนอ่านคืองานของเราโฮะๆๆๆ (หัวเราะอย่างนางมารร้าย)
หลังจากวันที่ 1 กค โน้มจะเปลี่ยนมาลงวันเว้นวันนะคะ เพราะว่าสต็อกที่ตุนไว้ใกล้หมดแล้ว T^T
อยากให้อ่านกันอย่างต่อเนื่องค่ะ แล้วก็มีอีกงานแทรกเข้ามาพอดี เลยคิดว่าวันเว้นเป็นเป็นสปีดที่โอเคกว่า
ลงทุกวันมันโหดไปค่ะ โน้มปั่นไม่ทันจริงๆ ไม่ว่ากันนะคะ ^O^
สำหรับนิยายเรื่องปมรักภูตเสน่หานี้ อยากจะบอกมากๆ ค่ะว่าดองเค็มมากว่า 10 ปี
ใช่ค่ะ 10 ปี ทุกท่านฟังไม่ผิด ดังนั้นพล็อตแน่นค่ะ หายห่วงเรื่องเขียนไม่จบเลยเพราะวางทุกอย่างเอาไว้แล้ว
โน้มมีนิสัยชอบดองค่ะ ตอนนี้เลยได้เวลาขุดกรุ เอาของในไหที่รสชาติออกมาเสียที
ใครที่เคยอ่านเรื่องอ่านมธุรัตน์เสน่หา จะรู้ว่าเรื่องนั้นโน้มก็ดองมา 10 ปีเหมือกันกว่าจะได้พิมพ์
แต่เรื่องนี้ดองนานกว่าประมาณครึ่งปีค่ะ จริงๆ ก็พอๆ กับตัวกวนนั่นแหละคะ ดองกันเข้าไป
ขอบคุณทุกคนที่ให้การต้อนรับนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างดีนะคะ อ่านคอมเมนต์แล้วชื่นใจมาก
ได้กำลังใจปั่นงานเกินล้าน ตอนแรกคิดว่าแนวมันทึมๆ ไม่หวานมาก ออกไปทางตามล่าความจริง
ปริศนาจะค่อยๆ เฉลยเรื่อยๆ แล้วเนือยนิดๆ คิดว่าคนคงอ่านไม่เยอะ แต่พอเห็นยอดเมนต์ยอดวิวแล้ว
แฮปปี้อย่างบอกไม่ถูก ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ^O^
ปรางรัตน์นอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด คำเรียก ‘แก้มแก้ว’ ของศิวกรก่อให้เกิดคำถามมากมาย แม้ชื่อของเธอจะแปลตรงตัวว่าแก้มแก้วก็จริง แต่หญิงสาวก็อดคิดมากไม่ได้เมื่อมันไปพ้องกับชื่อคนในความฝัน และท่าทีที่แปลกไปของศิวกรก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมองผ่านกันได้ง่ายๆ
พอมาทบทวนดูแล้วหญิงสาวก็พบว่าศิวกรทำตัวคล้ายกับคุณพลชในความฝันของเธอเหลือเกิน ทั้งยังพบเรื่องที่ชวนให้ฉงนคือถ้าเขาพันผ้าเป็น ทำไมตอนหัวค่ำถึงพันให้เธอผิดวิธี
หรือว่าบางที…คนเมื่อครู่อาจจะไม่ใช่ศิวกรแต่เป็นคุณพลช
ความคิดที่ว่าตัวเองโดนผีหลอกทำให้หญิงสาวกลัวจนดึงผ้าห่มมาคลุมโปง แล้วภาวนาให้เช้าเร็วๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอกับอะไรแปลกๆ อีก
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาฟ้าด้านนอกก็สว่างไสว แสงอาทิตย์ช่วยขับไล่ความกลัวออกไปจากจิตและเปลี่ยนบรรยากาศวังเวงของคฤหาสน์หลังงามให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น ปรางรัตน์จึงค่อยโผล่ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์นอกผ้าห่มอย่างโล่งใจ
ตลอดเวลาที่อยู่ใต้ผ้าห่มเธอคิดอยู่หลายครั้งว่าอยากจะเผ่นหนีออกไปจากที่นี่ แต่ก็ไม่อาจไปได้เพราะยังมีจดหมายที่ต้องตามหา และถึงจะตัดเรื่องจดหมายทิ้งไปตอนนี้สภาพร่างกายของเธอก็ยังไม่พร้อมจะเดินไกลๆ ต้องรออย่างน้อยสองสามวันกว่าจะมีปัญญาเดินลงเขาได้ด้วยตัวเอง
“ทำยังไงดี”
หญิงสาวถามตัวเองแล้วพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย ความที่ไม่ทันระวัง มือเธอก็เลยไปปัดกับหนังสือที่วางเอาไว้บนตัวเตียงจนตกลงมา
ปรางรัตน์หยิบหนังสือกลับไปเก็บไว้ที่เดิม สายตาเลยเหลือบไปเห็นหน้าปกเข้า หนังสือเล่มนี้เธอซื้อมาเพราะคำนำว่าตัวเอกนั้นเป็นคนหลายบุคลิก ตอนนั้นเองที่หญิงสาวเริ่มคิดหาคำตอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นผี ไม่แน่หรอกว่าศิวกรอาจจะเป็นคนสองบุคลิก
แม้เรื่องประหลาดที่เจอมาตลอดหลายวันนี้จะบั่นทอนความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ของเธอไปจนหมด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เห็นจะเป็นเรื่องลึกลับเสมอไป
หญิงสาวพยายามมองทุกอย่างในแง่ดีและเป็นกลางเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นผีหลอก ผีสิง หรือบุคลิกซ้อน เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้วและยังคงหาทางพิสูจน์ไม่ได้ ปรางรัตน์เลยไม่รู้ว่าจะกลุ้มใจหรือคิดมากต่อไปทำไม เพราะต่อให้เครียดหรือกลัวแทบตายยังไง เธอก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าต้องเองต้องอยู่ที่นี่ไปอีกระยะหนึ่ง
พอตั้งสติได้หญิงสาวก็กระโดดเป็นกระต่ายขาเดียวตั้งใจว่าจะไปอาบน้ำ แต่ป้าเลื่อมมาเคาะห้องเสียก่อน พร้อมกับยกอ่างน้ำแข็งสำหรับแช่เท้ามาด้วย
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ แล้วจึงชวนคุย “ป้าเลื่อมรู้ได้ยังไงคะว่าแก้มข้อเท้าพลิก”
“เมื่อคืนป้าได้ยินเสียงคุณกับคุณเล็กค่ะ ก็เลยเดินออกมาดู แต่คุณเล็กไล่ให้ป้ากลับไปนอน บอกว่าพรุ่งจะได้ตื่นมาดูแลคุณแต่เช้า ส่วนเรื่องปฐมพยาบาลคุณเล็กจะจัดการเอง” ป้าเลื่อมเล่าตามความจริง
“คุณเล็กของป้านี่ก็ใจดีนะคะ เสียดายเก๊กมากไปหน่อย” ปรางรัตน์แอบนินทา
“เพิ่งเห็นใจดีก็แต่กับคุณนี่แหละค่ะ”
แม่บ้านสูงวัยรู้สึกแปลกใจมากที่เจ้านายยอมลงทุนดูแลแขกด้วยตัวเอง เธอคิดว่าต้องเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองหนุ่มสาวแน่ แล้วก็มั่นใจว่ามันเป็นเรื่องดีด้วย
ระหว่างที่หญิงสาวแช่เท้ากับน้ำแข็ง ป้าเลื่อมก็กลับลงไปยกอาหารเช้าขึ้นมาให้ ปรางรัตน์จึงเริ่มรู้สถานะตัวเองว่าตอนนี้กลายเป็นคนเจ็บขึ้นมาจริงๆ เพราะถูกห้ามไม่ให้ไปไหน
“ทนเบื่อเอาหน่อยนะคะคุณ บันไดมันชัน เกิดกลิ้งตกลงมามันจะไม่คุ้มกัน” ป้าเลื่อมเตือนด้วยความปรารถนาดี
หญิงสาวยอมรับความปรารถนาดีของอีกฝ่ายเอาไว้ และสัญญาว่าในช่วงสองวันนี้จะไม่เสี่ยงเดินเขย่งขาเดียวลงไปข้างล่าง ทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวเธอเองทั้งนั้น ประเมินอาการดูแล้ว ถ้าอยากจะหายเร็วๆ ก็ต้องงดลงน้ำหนักที่ขาระยะหนึ่ง
เมื่อดูแลปรางรัตน์เรียบร้อยแล้ว ป้าเลื่อมก็ยกอาหารอีกชุดมาวางไว้หน้าห้องของศิวกร แล้วเคาะห้องเรียกเหมือนที่เคยทำเป็นประจำเวลาเอาอาหารมาส่ง ศิวกรเปิดประตูรับแล้วเริ่มรับประทานอาหารเช้าบนโต๊ะเล็กที่ใช้ตั้งคอมพิวเตอร์
ห้องที่เขาอยู่นี้เป็นห้องโล่งยาวเหยียด กินพื้นที่ของปีกตะวันออกเกินครึ่ง ชายหนุ่มทำห้องน้ำแบบไม่มีผนังเอาไว้ที่มุมหนึ่ง อีกมุมเป็นเตียงนอน ส่วนที่เหลือคือพื้นที่สำหรับสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ซึ่งค่อนข้างจะรกเลอะเทอะไร้ระเบียบ แต่ก็อยู่ห่างพอจะแยกออกได้ว่าส่วนไหนเป็นที่กินอยู่หลับนอน ส่วนไหนเป็นห้องทำงาน
กิจวัตรประจำวันของชายหนุ่มไม่เหมือนคนปกติทั่วไป แต่ก็ค่อนข้างจะเป็นเวลา ชายหนุ่มกินอาหารมื้อแรกตอนเช้าตรู่ แล้วจึงค่อยนอนหลับพักผ่อน สักบ่ายสองหรือบ่ายสามก็จะตื่นมาทำงานหรือหาอะไรทำไปตามเรื่อง แล้วค่อยกินอาหารมื้อที่สองในช่วงหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม
ชายหนุ่มมักงีบกลับหลังอาหารเย็นราวครึ่งชั่วโมง ตื่นมาก็จะอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่น แล้วเริ่มลงมืออีกครั้งทำงานจนกระทั่งรุ่งสาง ถ้าเกิดหิวขึ้นมาระหว่างทำงานเขาก็จะลงไปหาอะไรกินที่ครัว แต่ถ้าไม่ก็รอให้ถึงมื้อเช้าเลยทีเดียว
เช้านี้ศิวกรไม่ค่อยง่วงนัก เพราะเมื่อคืนเผลองีบหลับไปตอนช่วงตีสามถึงตีสี่ นอนพลิกตัวไปมาได้ราวสิบนาที ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นมาเปิดเพลงบรรเลงเพื่อกล่อมตัวเอง ไม่นานก็ผล็อยหลับไปโดยที่ไม่เอะใจสักนิดว่าเมื่อคืนมีคนแอบเอาร่างของตัวเองไปใช้
ปรางรัตน์ฉวยโอกาสตอนที่ขาเจ็บขลุกอยู่บนเตียง แล้วนั่งอ่านนวนิยายทั้งวัน หญิงสาวชอบอ่านแบบเก็บรายละเอียด อ่านช้าๆ ไปที่ละหน้า ประโยคไหนไม่เข้าใจหรือจิตนาการไม่ทันก็จะอ่านซ้ำอีกครั้ง ดังนั้นแค่มีหนังสือเล่มหนาพอดีๆ สักเล่ม หญิงสาวก็ใช้เวลาหมดวันไปได้อย่างมีความสุข
พออ่านหนังสือจบเล่มเธอก็เริ่มพักสายตา ตอนนี้ยังหัวค่ำอยู่มากแต่ปรางรัตน์ก็อยากรีบเข้านอน เธอต้องรู้ให้ได้ว่าคู่หมั้นของคุณพลชเป็นใคร แม้จะหวาดกลัวอำนาจลึกลับที่ดลบันดาลให้เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะต้องมีเหตุผลในตัวของมันเอง และเธอจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้
เมื่อปล่อยใจให้หลับใหลภาพความฝันที่รอคอยมาทั้งวันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า หนนี้หญิงสาวไม่ได้ฝันต่อจากเมื่อคืน แต่เป็นเหตุการณ์หลังจากที่คุณพลชมาที่คฤหาสน์หลังนี้แล้วราวสามสี่วัน ที่รู้ก็เพราะได้ยินคุณพิมพาเธอบ่นมาพี่ชายมาแค่สามสี่วันเท่านั้นก็จะกลับออกไปอีกแล้ว
“พี่ยังไม่ได้กลับหรอกครับ แต่จะไปรับคนที่ท่าเรือต่างหาก” ชายหนุ่มย่อตัวลงตอบคำถามน้องสาว แล้วขยี้ผมหยักศกของเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู
ดูเหมือนว่าคุณพลชจะไม่ได้ทำดีเฉพาะแต่กับสาวๆ อย่างแก้มแก้วเท่านั้น แต่ยังอ่อนโยนกับเด็กเล็กและคนชราอย่างแม่สร้อยด้วย เขาทักทายคนรับใช้ทุกคนด้วยรอยยิ้ม ปรางรัตน์เลยจัดคุณพลชให้อยู่กลุ่มพวกมีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ
“ไปรับใครคะ พี่พจน์หรือเปล่า” เด็กหญิงเม้มปากเมื่อถามจบ ท่าทางคุณพิมพาจะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนักเวลาเอ่ยถึงชื่อนี้
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคุณพจน์ค่อนข้างขรึมและเจ้าระเบียบ ไม่แปลกเลยที่คุณพิมพาจะเกรงกลัวพี่ชายใหญ่มากกว่าคนอื่นๆ ในบ้าน บางทีถ้าเด็กหญิงดื้อมากๆ ขู่ว่าจะฟ้องคุณพ่อไม่ได้ผล ก็ต้องขู่ว่าจะฟ้องคุณพี่ นี่นี้ล่ะเงียบกริบเลยทีเดียว
“เดี๋ยวก็รู้” คุณพลชอุบไว้ไม่ยอมบอก ไม่ว่าน้องสาวจะเซ้าซี้อย่างไรก็ยอมแย้มพราย
พอถึงเวลาก็เดินลงจากคฤหาสน์ไปกับพวกคนรับใช้ผู้ชาย ไม่ยอมให้เด็กหญิงตามไปด้วย เพราะกลัวว่าจะวิ่งซนจนตกเขา คุณพิมพาก็เลยสะบัดหน้าใส่งอนๆ พลางสัพยอกว่าคุณพี่ใจร้าย
ช่วงที่ชายหนุ่มไม่อยู่นายพงษ์เรียกหาแก้มแก้วให้ขึ้นไปพบ ตอนไปถึงชายชรากำลังนั่งสูบยาอยู่ที่ริมหน้าต่าง เรื่องสูบยานี้ไม่ว่าใครห้ามก็ไม่ฟัง เนื่องจากผู้สูงวัยอ้างว่าเป็นความสุขของคนกำลังใกล้ตาย ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
“มาแล้วรึแก้มแก้ว รู้ใช่ไหมว่าวันนี้จะมีแขกมา”
แก้มแก้วรับคำแล้วนั่งลงกับพื้น หญิงสาวค่อยๆ คลานเข่าเข้ามาหา แล้วนั่งพับเพียบอยู่เยื้องกับชายชราอย่างรู้มารยาท
“คนที่จะมาพักคือวาดวลี เธอเป็นหลานของคุณหญิง”
คุณหญิงที่พูดถึงคือคุณหญิงเฉิดฉวี ภรรยาเอกของนายพงษ์ ถึงจะไม่เคยเห็นหน้า แต่ดูจากการคำพูดแล้ว ดูเหมือนนายพงษ์จะให้ความเกรงใจภรรยาคนนี้อยู่มาก
“วาดวลีมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ฉันเลยอยากจะฝากเธอให้ช่วยดูแล”
“ได้ค่ะท่าน ดิฉันจะดูแลคุณวาดวลีเป็นอย่างดี”
ฟังแล้วปรางรัตน์ก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีวาดวลีคนนี้อาจจะเป็นคุณหมั้นของคุณพลชก็ได้ ที่เดาอย่างนั้นเพราะป้าเลื่อมบอกว่าคนรักของคุณพลชป่วยด้วยโรคร้าย ทั้งคู่ก็เลยฆ่าตัวตายด้วยกัน และแม้ทั้งสองคนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เมื่อย้อนไปในสมัยนั้นก็พบว่ามีออกเกลื่อนไปที่แต่งงานกันในหมู่เครือญาติ
“อีกเรื่องหนึ่ง หล่อนจะทำหรือไม่ก็สุดแล้วแต่หล่อน ฉันไม่บังคับ เพราะมันเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวที่คนแก่อย่างฉันอยากจะเข้าไปสอดเอง”
“หากเป็นธุระของท่าน ถ้าทำได้ดิฉันยินดีทำให้ทุกอย่างค่ะ” แก้มแก้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
นายพงษ์ยิ้มอย่างพอใจ แล้วจึงค่อยเอ่ยถึงสิ่งที่ต้องการ
“เรื่องของพจน์กับวาดวลี ฉันอยากให้สองคนนี้แต่งงานกัน”
ชายชราหวังจะได้วาดวลีมาเป็นสะใภ้ ก็เลยออกปากให้หญิงสาวซึ่งสุขภาพไม่แข็งแรงมาพักรักษาตัวที่นี่ แต่จะให้จีบกันเองคงเป็นไปไม่ได้เพราะบุตรชายคนโตของตนนั้นเป็นคนเงียบๆ ไม่แสดงออก ชายชราจึงฝากฝังให้แก้มแก้วช่วยเป็นตัวเชื่อมระหว่างคุณพจน์กับวาดวลีให้ โดยช่วยกันกับคุณพลชอีกแรงหนึ่ง
ตอนนี้คุณพจน์ยังไม่รู้ว่าบิดาหาคู่ดูตัวมาให้ตน ฝ่ายหญิงเองก็เหมือนจะไม่รู้เช่นกัน เรื่องนี้ทางผู้ใหญ่ตกลงกันอย่างลับๆ ให้หนุ่มสาวมาเจอกันก่อน ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร ค่อยจัดการกันอีกที วิธีการบังคับนั้นขอเก็บไว้ใช้เป็นอย่างสุดท้าย มองดูแล้วก็ไม่ต่างจากคลุมถุงชนนักหรอก เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องมีการแต่งงานแน่นอน
“อายุเจ้าพจน์ใกล้ย่างสามสิบห้าแล้ว ฉันอยากให้มันเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ต่อไปจะได้เป็นตาของพลชมันบ้าง คนแก่อย่างฉันไม่หวังอะไรอีกแล้วนอกจากมีโอกาสเห็นหน้าหลาน หล่อนช่วยฉันได้ไหมแก้มแก้ว”
“ดิฉันจะพยายามค่ะ” แก้มแก้วรับปากแล้วก้มหน้าลงมองพื้นอย่างรวดเร็ว
หมดเรื่องแล้วหญิงสาวก็คลานเข่าออกมาจากห้อง ปล่อยให้ชายชรานั่งพักผ่อนเงียบๆ เหมือนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำทุกบ่าย
ไม่รู้ว่าปรางรัตน์คิดไปเองหรือเปล่า แต่สีหน้าของแก้มแก้วตอนเดินออกมาจากห้องดูซีดเซียวอย่างไรชอบกล อาจเพราะหญิงสาวเป็นคนเรียบร้อย เลยลำบากใจที่จะต้องมาเล่นบทกามเทพ
แก้มแก้วหลบมุมมานั่งอยู่ที่ชิงช้าอยู่ในสวนด้านหลัง หญิงสาวมักจะชอบมาหลบมุมอยู่ตรงนี้เป็นประจำเวลาที่ว่าง เวลาผ่านไปสักพัก อิ่มก็วิ่งมาหาแล้วชวนให้ออกไปดูแขกที่มาในวันนี้ด้วยกัน
“คุณพยาบาลไปเร็วค่ะ ไปดูคนสวยกัน”
อิ่มฉุดมือหญิงสาวพลางให้ข้อมูลว่า แขกที่มาเป็นหลานสาวของคุณหญิงเฉิดฉวี เธอจะมาอยู่ที่นี่เพื่อพักผ่อน และสอนเปียโนกับภาษาอังกฤษให้คุณพิมพา
“ไปแอบดูเขาอย่างนั้น ไม่มีนะอิ่ม มันเสียมารยา” แก้มแก้วติง
“แอบดูอะไรกันคะคุณ ออกไปต้อนรับต่างหาก รีบไปเถิดค่ะ ก่อนที่คุณเขาจะเข้าห้องไปเสียก่อน”
แก้มแก้วจึงต้องเดินตามแรงดึงไปอย่างเสียมิได้ หญิงสาวดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะพบกับวาดวลีนัก เพราะแอบหลบมุมดูอยู่ห่างๆ ไม่เข้าไปหา แต่คุณพลชก็ตาไวเห็นเข้าจนได้ ชายหนุ่มหันมาเรียกหญิงสาว แก้มแก้วจึงต้องเดินไปหาอย่างขัดเสียมิได้
“นี่แก้มแก้วครับ เป็นพยาบาลประจำตัวคุณพ่อ” คุณพลชแนะนำ
แก้มแก้วยกมือไหว้อย่างอ้อนน้อม วาดวลีเห็นดังนั้นก็รีบยกมือขึ้นมาไหว้ตอบ
“เราน่าจะอายุพอๆ กัน เรียกฉันว่ารุ้งก็ได้นะ” วาดวลีหันมายิ้มหวานให้ ส่วนแก้มแก้วก็รับคำอย่างสำรวม
ในขณะที่คุณพลชกำลังแนะนำวาดวลีกับบรรดาคนรับใช้ที่พากันมาต้อนรับด้วยความสนอกสนใจ ปรางรัตน์ก็ลอบสังเกตวาดวลีไปด้วย
หญิงสาวมีกรอบหน้ารูปไข่ ริมผีปากอิ่ม ดวงตาดำขยับเป็นประกาย ดูสวยคมตรึงสายตา ผมที่ดัดเป็นลอนยาวประมาณบ่ากับชุดกระโปรงสีสันสดใสทำให้เธอคนนี้ดูปราดเปรียวมีชีวิตชีวา ปรางรัตน์ไม่รู้หรอกว่าแฟชั่นสมัยนั้นเป็นอย่างไร แต่ก็พอเดาได้ว่าการแต่งกายแบบนี้ค่อนข้างทันสมัย เพราะมีแต่คนกระซิบกระซาบชมเรื่องชุดของเธอ มีใครคนหนึ่งบอกด้วยว่าผ้าที่ใช้ตัดชุดนี้แพงมาก
ปรางรัตน์ทอดสายตามองตามวาดวลีที่เดินขึ้นบันไดตามคุณพลชไปด้วยความสงสัย วาดวลีดูไม่เหมือนคนสุขภาพอ่อนแอเลย ออกจะดูกระฉับกระเฉงกว่าคนปกติบางคนในบ้างหลังนี้ด้วยซ้ำ เธอก็เลยเดาว่าอาจจะเป็นพวกภูมิแพ้หรือโรคอื่นที่ไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจน
พอสองหนุ่มสาวหายลับไปจากสายตา ปรางรัตน์ก็หันมาฟังแก้มแก้วคุยกับคนรับใช้ที่ตามมาดูแลวาดวลี
“ฉันชื่อรวยจ้ะ ส่วนนี่แม่ติ๋วหลานฉันเอง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนอายุราวๆ สี่สิบต้นๆ แนะนำตัว “อ้าว! นังติ๋ว มัวทำอะไรอยู่ไหว้คุณพยาบาลกับคุณแม่นมสิ” รวยหันมาเอ็ดหลานสาวที่มัวแต่ชะเง้อชะแง้ดูความโอ่อ่าของสถานที่อย่างตะลึงตะลาน
เด็กสาววัยใกล้เคียงกับอิ่มรีบยกมือขึ้นไหว้แก้มแก้วกับแม่สร้อยด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ แล้วก้มหน้างุดด้วยความอาย
“คุณแม่นมอะไรกัน ฉันมันก็แค่คนใช้เขาเหมือนกันนั่นแหละ” แม่สร้อยโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน แต่ดูจากสีหน้าแล้วท่าทางจะถูกใจชื่อตำแหน่งไม่น้อย
เมื่อทักทายปราศรัยกันแล้ว แม่สร้อยก็สั่งให้อึ่งยกกระเป๋าของวาดวลีไปเก็บ ส่วนตัวเองก็พารวยกับติ๋มไปที่ห้องพัก ซึ่งอยู่ชั้นล่างทางปีกตะวันตก
พวกคนรับใช้ผู้หญิงทั้งหมดจะนอนกันที่นี่ ส่วนพวกผู้ชายนอนกันที่เรือนหลังเล็ก ซึ่งปลูกแยกออกมาต่างหาก ปัจจุบันมันคือบ้านหลังเล็กที่ลุงแก่นกับป้าเลื่อมอาศัยอยู่นั่นเอง
แก้มแก้วเดินตามทุกคนไปด้วย เธอรอให้แยกย้ายกันไปหมดเสียก่อน แล้วจึงค่อยถามรวยกับติ๋มว่าคุณหนูของทั้งคู่นั้นป่วยเป็นโรคอะไร
“เอ่อ…ฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอกจ้ะ แต่เห็นคุณหนูเธอมียาของเธออยู่ เอาไว้กินเวลาปวดหัวจ้ะ”
รวยยังบอกอีกว่าตัวเองกับหลานเพิ่งจะมาจากบ้านนอกไม่นานนี้เอง รับใช้คุณหนูมาได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ด้วยซ้ำ แต่ก็เห็นว่าเธอดูแข็งแรงดีไม่ได้ป่วยไข้
ฟังแล้วทั้งปรางรัตน์ก็นึกโรคที่มีอาการปวดหัวตามไปด้วย เธอนึกถึงโรคไมเกรน ตามมาด้วยมะเร็งกับเนื้องอกที่เป็นโรคร้ายแรง
ปรางรัตน์ภาวนาขอให้ไม่ใช่อย่างหลัง ถึงแม้จะไม่รู้จักกัน แต่เธอก็ไม่อยากให้หญิงสาวต้องจบชีวิตลงอย่างทรมาน
======================================================
สวัสดีค่ะนักอ่านที่น่ารักทุกท่าน แวะมาทักทายค่ะ หลังจากไม่ได้คุยกันเลย
ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้ตอบคอมเมนต์ พอดีโพสหลายทีแล้วงานเร่งมากค่ะ
แต่ตามอ่านทุกความเห็นเสมอ ขอตอบรวบๆ ทีเดียวเลยนะคะ
ใครที่ถามถึงเรื่องตัวกวน ขอดองไว้ก่อนนะคะ คือเหนื่อยใจจะแก้มากๆ
ทรเมากับมันมาสองเดือนแล้วค่ะ เลยตัดสินใจกลับมาทำเรื่องปมรักภูตเสน่หาก่อน
ส่วนใครที่สงสัยว่าสรุปคุณปู่หลอกปรางรัตน์มาเจอกันใครกันแน่ สรุปคุณปู่หลอกมาเจอศิวกรนะคะ
คือว่าปู่พิทักษ์คิดเหมือนทุกคนว่าศิวกรคือพลชกลับชาติมาเกิดค่ะ ไม่รู้ว่าในคฤหาสน์นี้มีวิญญาณพลชอยู่
สุดท้ายคำถามยอดฮิต ถามว่าใครเป็นพระเอก? โฮะๆ ใครที่เคยอ่านเรื่องชายิกาของเจ้าชาย
คงจะทราบคำตอบแล้วนะคะ คำตอบคือ “ไม่เฉลยค่ะ” เรื่องนี้จะให้รักพี่เสียดายน้องกันไปข้างนึงเลย
ทรมานคนอ่านคืองานของเราโฮะๆๆๆ (หัวเราะอย่างนางมารร้าย)
หลังจากวันที่ 1 กค โน้มจะเปลี่ยนมาลงวันเว้นวันนะคะ เพราะว่าสต็อกที่ตุนไว้ใกล้หมดแล้ว T^T
อยากให้อ่านกันอย่างต่อเนื่องค่ะ แล้วก็มีอีกงานแทรกเข้ามาพอดี เลยคิดว่าวันเว้นเป็นเป็นสปีดที่โอเคกว่า
ลงทุกวันมันโหดไปค่ะ โน้มปั่นไม่ทันจริงๆ ไม่ว่ากันนะคะ ^O^
สำหรับนิยายเรื่องปมรักภูตเสน่หานี้ อยากจะบอกมากๆ ค่ะว่าดองเค็มมากว่า 10 ปี
ใช่ค่ะ 10 ปี ทุกท่านฟังไม่ผิด ดังนั้นพล็อตแน่นค่ะ หายห่วงเรื่องเขียนไม่จบเลยเพราะวางทุกอย่างเอาไว้แล้ว
โน้มมีนิสัยชอบดองค่ะ ตอนนี้เลยได้เวลาขุดกรุ เอาของในไหที่รสชาติออกมาเสียที
ใครที่เคยอ่านเรื่องอ่านมธุรัตน์เสน่หา จะรู้ว่าเรื่องนั้นโน้มก็ดองมา 10 ปีเหมือกันกว่าจะได้พิมพ์
แต่เรื่องนี้ดองนานกว่าประมาณครึ่งปีค่ะ จริงๆ ก็พอๆ กับตัวกวนนั่นแหละคะ ดองกันเข้าไป
ขอบคุณทุกคนที่ให้การต้อนรับนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างดีนะคะ อ่านคอมเมนต์แล้วชื่นใจมาก
ได้กำลังใจปั่นงานเกินล้าน ตอนแรกคิดว่าแนวมันทึมๆ ไม่หวานมาก ออกไปทางตามล่าความจริง
ปริศนาจะค่อยๆ เฉลยเรื่อยๆ แล้วเนือยนิดๆ คิดว่าคนคงอ่านไม่เยอะ แต่พอเห็นยอดเมนต์ยอดวิวแล้ว
แฮปปี้อย่างบอกไม่ถูก ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ^O^
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ก.ค. 2555, 13:22:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2555, 13:22:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 2031
<< บทที่ 8 คุณพลช | บทที่ 10 รักสามเส้า >> |
หนอนฮับ 31 ก.ค. 2555, 17:18:08 น.
มาตั้งตารอตอนต่อไป อิอิ
มาตั้งตารอตอนต่อไป อิอิ
goldensun 31 ก.ค. 2555, 20:03:00 น.
รู้สึกอลเวงพิกล ทำไมแก้มแก้วถึงสีหน้าไม่ดีตอนที่รู้ว่า ผู้ใหญ่อยากให้รุ้งกับพจน์แต่งงานกัน หรือคิดอะไรกับพจน์ แล้วพลชจะเข้าไปเกี่ยวข้องตรงไหน สงสัยอาการป่วยของรุ้งเหมือนกันค่ะ รอลุ้นต่อ
รู้สึกอลเวงพิกล ทำไมแก้มแก้วถึงสีหน้าไม่ดีตอนที่รู้ว่า ผู้ใหญ่อยากให้รุ้งกับพจน์แต่งงานกัน หรือคิดอะไรกับพจน์ แล้วพลชจะเข้าไปเกี่ยวข้องตรงไหน สงสัยอาการป่วยของรุ้งเหมือนกันค่ะ รอลุ้นต่อ
Zephyr 31 ก.ค. 2555, 20:46:50 น.
อืม ชี(นางงงงรุ้ง) เธอจะเป็นโรค...สำออย...ป่ะนะ ชักสงสัย
หรือชีจะเป็น ไฮเปอร์เวนซินโดรม อืม น่าคิดๆ สมัยนั้นมีมั้ยเนี่ย ไฮเปอร์เวนนน
เอ๊ะ หรือแก้มแก้ว จะแอบรัก คุณพจน์ โอ้ ท่านชายของปริศนา เอ้ยยย ผิดเรื่อง
เพิ่งรู้ว่า ปราง = แก้ม รัตน์ = แก้ว ฮ่าๆๆๆๆ เค้าอ่านเป็น แกมแก้ว ตลอดเลยโน้มจัง อิอิ
แปลตรงสุดๆ หืมมม ดองเค็ม อืมม นะ สิบปี ป่นเป็นผงหมดแล้วม้างงง โน้มจัง อิอิ หุหุ
รสชาติคงแซ่บมาก เพราะมันซึมลึก
อืม ชี(นางงงงรุ้ง) เธอจะเป็นโรค...สำออย...ป่ะนะ ชักสงสัย
หรือชีจะเป็น ไฮเปอร์เวนซินโดรม อืม น่าคิดๆ สมัยนั้นมีมั้ยเนี่ย ไฮเปอร์เวนนน
เอ๊ะ หรือแก้มแก้ว จะแอบรัก คุณพจน์ โอ้ ท่านชายของปริศนา เอ้ยยย ผิดเรื่อง
เพิ่งรู้ว่า ปราง = แก้ม รัตน์ = แก้ว ฮ่าๆๆๆๆ เค้าอ่านเป็น แกมแก้ว ตลอดเลยโน้มจัง อิอิ
แปลตรงสุดๆ หืมมม ดองเค็ม อืมม นะ สิบปี ป่นเป็นผงหมดแล้วม้างงง โน้มจัง อิอิ หุหุ
รสชาติคงแซ่บมาก เพราะมันซึมลึก
konhin 1 ส.ค. 2555, 01:40:35 น.
ใครรักใครกันแน่ น่าสนใจก็ตรงเดาใจคนเขียนไม่ออกเนี่ยแหล่ะ
ใครรักใครกันแน่ น่าสนใจก็ตรงเดาใจคนเขียนไม่ออกเนี่ยแหล่ะ
ameerahTaec 1 ส.ค. 2555, 09:56:43 น.
รอลุ้นกันต่อไป
รอลุ้นกันต่อไป
นิชาภา 1 ส.ค. 2555, 12:46:36 น.
คุณหนอนฮับ ตอนใหม่มาแล้วค่า หุๆๆ ตอนสิบคุณพลชหวานเบาๆ
คุณ goldensun ความรักของคนบ้านนี้มันอิรุงตุงนังค่ะ วุ่นวายพอสมควร 555
เฟอร์จัง ตัวเองเดาถูกแหละว่าแก้มแก้วแอบรักคุณพจน์ เฉลยอยู่ที่ตอนหน้าแล้วจ้ะ อ่านดูแล้วจะสกรีมเบาๆ หุๆๆ
ความสามารถพิเศษของเราคือการดองอย่างอลังการไง 5555 ไม่คิดเหมือนกันว่าจะดองได้นานขนาดนี้แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว นี่แหละคติสอนใจ "ตามอ่านนิยายโน้มต้องอดทน"
คุณ konhin ความรักของคนบ้านนี้ค่อนข้างวุ่นวายค่ะ แต่ก็ไม่ยากเกินจะเดาสถานะ ตอนหน้าเฉลยแล้วค่ะว่าใครชอบใคร หุๆๆ
คุณ ameerah taec ตอนใหม่มาแล้วนะคะ มีเรื่องให้ได้อยากรู้อีกเรื่อยๆ หุๆ
คุณหนอนฮับ ตอนใหม่มาแล้วค่า หุๆๆ ตอนสิบคุณพลชหวานเบาๆ
คุณ goldensun ความรักของคนบ้านนี้มันอิรุงตุงนังค่ะ วุ่นวายพอสมควร 555
เฟอร์จัง ตัวเองเดาถูกแหละว่าแก้มแก้วแอบรักคุณพจน์ เฉลยอยู่ที่ตอนหน้าแล้วจ้ะ อ่านดูแล้วจะสกรีมเบาๆ หุๆๆ
ความสามารถพิเศษของเราคือการดองอย่างอลังการไง 5555 ไม่คิดเหมือนกันว่าจะดองได้นานขนาดนี้แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว นี่แหละคติสอนใจ "ตามอ่านนิยายโน้มต้องอดทน"
คุณ konhin ความรักของคนบ้านนี้ค่อนข้างวุ่นวายค่ะ แต่ก็ไม่ยากเกินจะเดาสถานะ ตอนหน้าเฉลยแล้วค่ะว่าใครชอบใคร หุๆๆ
คุณ ameerah taec ตอนใหม่มาแล้วนะคะ มีเรื่องให้ได้อยากรู้อีกเรื่อยๆ หุๆ
ป้าภา 16 ส.ค. 2555, 15:11:46 น.
นิสัยการอ่านนิยายของหนูปราง เหมือนป้าเลย
นิสัยการอ่านนิยายของหนูปราง เหมือนป้าเลย