ธารปรารถนา
เพราะที่ดินฮวงจุ้ยเยี่ยม (หลังติดเขา หน้ามีน้ำ) ของยายแท้ๆ ที่พาปราณมาพบกับตอง หรือจะจริงอย่างที่ยายบอกว่าที่ดินผืนนี้เป็นมงคล จะนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ จึงทำให้ตองได้พบคนดีๆ อย่างปราณ

แต่ทำไมการได้พบและคบหาคนดีๆ สักคนหนึ่งจึงได้ลากพาตองลงไปในกระแสธารแห่งความปรารถนาอันเชี่ยวกรากของใครต่อใครอีกหลายคน เรื่องชุลมุนวุ่นวายที่ไม่เคยประสบพบเจอก็ต้องมาเกิดขึ้นกับตัว

ตกลงที่ดินของยายเป็นมงคลหรืออัปมงคลกันแน่เนี่ย

แล้วตองจะป่ายปีนขึ้นจากธารปรารถนาร้อนร้ายสายนี้ได้ไหม ต้องไปติดตามพร้อมๆ กันค่ะ
Tags: รักอารมณ์ดี

ตอน: ตอนที่ ๕

ปราณกลับไปนานแล้ว แต่เหมือนเรื่องของเขายังค้างคาอยู่ในหัวใจพวงแสดไม่คลาย ดังนั้น เมื่อสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว นางจึงค่อยเดินลงบันไดมาอย่างระมัดระวัง ตั้งใจจะไปเคาะห้องหลานสาวแล้วระบายให้ฟังเหมือนทุกคราวที่ไม่สบายใจ แต่พบเจ้าตัวง่วนกับงานใหม่อยู่ตรงโถงกลางบ้านซึ่งเวลานี้มีโต๊ะกว้างซึ่งเคยอยู่ใต้บันไดถูกเข็นออกมาสิงสถิตใช้เป็นโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งไม้บรรทัดโค้ง ไม้บรรทัดใสขนาด ๒๔ นิ้ว สายวัด ดินสอ ยางลบ ที่กลิ้งผ้า กระดาษคาร์บอน เห็นเท่านี้พวงแสดก็พอเดาได้ว่าหลานสาวกำลังจะทำอะไร

"นี่ตั้งใจจะเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้ารึ" หญิงชราถามยิ้มๆ ก้มหยิบผ้าในถุงข้างโต๊ะขึ้นมาพินิจก่อนพยักหน้าเนิบๆ "สีสวยดี"

"ถ้ายายชอบตองจะตัดให้ชุดนึง" คนที่เมื่อครู่ลากเส้นปราดๆ บนกระดาษสร้างแบบ ตองตัดเย็บเสื้อผ้าเป็น สร้างแพทเทิร์นได้เพราะสนใจจึงเรียนรู้จากอินเทอร์เน็ต ลองผิดลองถูกมาเยอะกว่าจะชำนาญ พวงแสดเคยบอกว่าเธอมีความสามรถเหมือนแม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอภาคภูมิใจไม่น้อย

"เอ แล้วยายจะใส่ไปไหนดีล่ะ" พวงแสดเล่นด้วย

"ไปแว้นกับตองไง ยายเป็นสกอยส์" ตองพูดกลั้วหัวเราะ แล้ววางมือ วิ่งปรู๊ดไปลากเก้าอี้ล้อเลื่อนในห้องนอนมาให้พวงแสดนั่งใกล้ๆ

"ไม่ไหวละ บอกแล้วไงว่าตอนนี้เข็ดมอเตอร์ไซค์...แล้วนี่จะตัดแบบไหนล่ะ"

"ตัดแบบที่ตองใส่นี่ไง เสื้อกล้ามคล้ายๆ คอกระเช้า แล้วเราก็แต่งด้วยกระดุมบ้าง ปักลายบ้าง หรือตัดผ้ามาเย็บเป็นดอกเป็นดวงอะไรก็ทำไปเถอะ ถ้าขายไม่ดีค่อยเปลี่ยนแนว" คนเล่าดูมีความสุขสนุกสนานกับงานชิ้นนี้มาก

พวงแสดปล่อยให้ตองทำงานเงียบๆ เพราะไม่อยากให้เรื่องที่คั่งค้างในใจตนไปทำลายสมาธิของเธอ หากคนที่ทนไม่ไหวกลับเป็นสาวแว่นโต

"ยาย มีอะไรจะคุยกับตองหรือเปล่า ตายายมีเลศนัยนะ"

"ยายอาจคิดมากไปเอง จริงๆ อาจไม่มีอะไรก็ได้ อย่าสนใจเลย คนแก่ก็คิดมากแบบนี้แหละ" พูดแล้วพวงแสดก็ลุกยืนทำท่าจะขึ้นไปนอน

"อะไรกันยาย เกริ่นกระตุ้นต่อมอยากรู้แบบนี้แล้วจะหนีง่ายๆ รึไง" เธอคว้าแขนพวงแสดฉุดให้นั่งลง "เล่ามาเสียดีๆ ไม่งั้นตองจี้เอวยายจริงๆ ด้วย" นิ้วเรียวเล็กจ่อใกล้เอวรอท่าอยู่แล้ว หญิงชราจึงยอมนั่งลง เล่าเนิบช้า แววตาครุ่นคิด

"ยายก็แค่สงสัย...ว่าการที่เราได้พบคุณปราณถึงสองครั้งสองคราวติดๆ กันนี่ เป็นเรื่องบังเอิญหรือเขาจงใจกันแน่"

"เขาจงใจหรือเปล่าตองไม่รู้นะ แต่เขาให้ความช่วยเหลือเรา เราก็ต้องขอบคุณในน้ำใจที่เขามีให้...ตองเห็นยายพูดจาอึมครึมใส่เขาเมื่อตอนเย็น เหมือนกับรู้ว่าเขาจะนำเรื่องร้ายๆ มาให้ ตองนึกว่ายายรู้อะไรดีๆ จะมาเล่าให้ฟังซะอีก" ตองแกล้งบ่นเหมือนขัดใจ

"ยายก็พูดดักคอเขาไปอย่างนั้นแหละ" พวงแสดสารภาพทั้งรอยยิ้ม ตองขยับขาแว่น ชะโงกเข้ามาสบตาหญิงชราในระยะใกล้

"ยายกำลังกลัวว่าคุณปราณจะอยากได้ที่ดินของยายอีกคนใช่ไหม"

พวงแสดนิ่งคิด คราแรกนางก็คิดแบบที่ตองว่านั่นแหละ แต่เมื่อเห็นแววตายามชายหนุ่มแปลกหน้ามองตอง พวงแสดกลับไม่รู้สึกห่วงที่ดินมรดกผืนงามของนาง แต่ห่วงหลานสาวซึ่งมีค่าสำหรับนางยิ่งกว่าที่ดินผืนนั้นเป็นไหนๆ

"ยายไม่ต้องกลัวหรอก เรื่องนั้นน่ะ สมบัติของเรา เราไม่ขายซะอย่างใครจะทำไม"

"ยายไม่ห่วงหรอก สมบัติมันไม่มีชีวิตจิตใจ ยายควบคุมได้"

นางห่วงแต่คนซึ่งมีชีวิตจิตใจ และนางมิอาจปกป้องดูแลใจดวงนั้นได้ต่างหาก คนที่จะดูแลได้ดีที่สุด ก็ต้องเป็นเจ้าของใจดวงนั้นนั่นละ




เหมือนค่ำคืนนี้ คนที่ครุ่นคิดถึงเรื่องการปรากฏตัวของปราณจะไม่ได้มีแต่ตองกับพวงแสดเท่านั้น สาวร่างใหญ่ในชุดนอนกรุยกรายเดินกอดอกวนไปมาอยู่หน้าเตียงกว้าง คิ้วที่วาดไว้เรียวสวยแม้กระทั่งยามค่ำคืนขมวดเข้าหากัน ดวงตาชั้นเดียวซึ่งประดับด้วยขนตาปลอมงอนงามเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกังวล

หล่อนคงไม่ต้องมาเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่แบบนี้ ถ้าเมื่อบ่ายนี้ไม่บังเอิญไปพบภาพนั้นเข้า...ภาพความสนิทสนมระหว่างหนุ่มสาวที่หน้าตลาดซึ่งกำลังหน่วงหัวใจหล่อนจนหนักอึ้ง...เพราะหล่อนจำได้แม่นยำ ผู้ชายที่เดินหิ้วของให้ตองวันนี้เป็นคนเดียวกับที่นั่งกินข้าวกับเภสัชกรสาวสวยที่ศูนย์อาหารของโรงพยาบาลเมื่อวาน และที่จำได้แม่นยำยิ่งกว่าคือชายหนุ่มร่างสูงผึ่งผาย ผิวขาวสะอาดสะอ้าน หน้าตาคมคายซึ่งหล่อนได้พบถึงสองวันติดเป็นลูกชายคนเดียวของปทุมวรรณ...คนที่หล่อนชังน้ำหน้าที่สุดในโลกก็ว่าได้

ลูกชายของปทุมวรรณมาทำอะไรที่นี่ หรือฝ่ายนั้นส่งมาตีสนิทกับคนบ้านนั้นเพราะอยากได้ที่ดินผืนงามเช่นกัน...เหมือนที่ดินที่เขาใหญ่ซึ่งหล่อนเคยอยากได้ แค่ข่าวถึงหู ปทุมวรรณก็จัดการปาดหน้าเค้ก ชิงซื้อตัดหน้าไปก่อนด้วยราคาแพงลิบ แต่แพงอย่างไรก็ไม่น่าเสียดายเพราะคนกรุงเทพฯ กำลังหวาดหวั่นเรื่องภัยน้ำท่วม และแห่ไปจับจองพื้นที่ราบสูงไว้สำหรับอพยพ ในอนาคตข้างหน้าราคาที่ดินแถบนั้นคงพุ่งสูงลิ่วกว่าทุกวันนี้ที่แพงระยับอยู่แล้ว

ทำไมนะ...ทำไม...เมื่อฟ้าส่งเพลินฤดีมาเกิดแล้ว ยังต้องส่งปทุมวรรณมาขัดขวางความสุขในชีวิตของหล่อนด้วยเล่า ผู้หญิงคนนั้นเกิดมาเพื่อแย่งชิงทุกสิ่งไปจากหล่อนโดยแท้ แม้แต่คนที่หล่อนรักอย่างประวิทย์ ปทุมวรรณก็ได้ไปครอบครองทั้งตัวและหัวใจ

คิดมาถึงตรงนี้มือที่กอดอกแน่นก็ถูกทิ้งลงข้างกาย นิ้วเรียวขาวกำแน่นอย่างแค้นเคือง

ประวิทย์เป็นเพื่อนสนิทของประพจน์พี่ชายหล่อนมาตั้งแต่เรียนมัธยม ทั้งคู่เรียนโรงเรียนชายล้วนด้วยกัน พี่ชายหล่อนเคยพาเขามาเที่ยวบ้านบ่อยๆ ในช่วงปิดเทอม และหล่อนก็หลงรักเขาเต็มหัวใจ เมื่อเขาเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อย เขาก็ยังขึ้นมาพักหาประพจน์อยู่เนืองๆ

และโดยที่ประพจน์ไม่รู้ เขาและหล่อนแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน หล่อนเฝ้ารอให้ถึงวันที่ตัวเองเรียนจบมหาวิทยาลัย เฝ้าฝันถึงวันแต่งงานซึ่งจะทำให้หล่อนกับเขาอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนที่ผ่านมา

แต่ที่ไหนได้ เมื่อถึงเวลาที่เขาจะมีครอบครัว ประวิทย์กลับเลือกแต่งงานกับปทุมวรรณ นักสังคมสงเคราะห์หน้าตาใสซื่อซึ่งอายุมากกว่าหล่อนตั้งสี่ห้าปี เพราะหน้าที่การงานแท้ๆ ที่ทำให้คนสองคนซึ่งมีสถานะเพียง ‘คนรู้จัก’ ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน และพัฒนาเป็น ‘คนรู้ใจ’ ในที่สุด

หล่อนคงไม่เจ็บแค้นมากมายเท่านี้ หากปทุมวรรณจะไม่ใช่แฟนเก่าประพจน์ที่หล่อนไม่ชอบหน้า และทำตัวเป็นนางร้ายเต็มขั้นด้วยการกีดกันสุดชีวิต จนปทุมวรรณทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกไปในที่สุด เป็นเวรกรรมหรือไรก็ไม่รู้กระทั่งทุกวันนี้ ทั้งหล่อนและประพจน์ยังคงครองตัวเป็นโสดด้วยกันทั้งคู่...โสดที่หมายถึงไม่ได้แต่งงาน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใคร

แม้ยังไม่มีอะไรยืนยันว่าสิ่งที่เพลินฤดีคาดการณ์ฟุ้งซ่านอยู่นี้จะเป็นจริง ทว่าเพียงแค่คิดถึงเรื่องราวโยงใยระหว่างหล่อนกับปทุมวรรณในอดีต ไฟโทสะก็คุโชนในใจ

ลำพังแค่อยากครอบครองที่ดินของพวงแสดก็ทำให้เพลินฤดีอยู่ไม่ค่อยเป็นสุขแล้ว นี่ยังจะมีคู่แข่งอย่างปทุมวรรณเพิ่มเข้ามา ทำให้ความอยากได้อยากมีในใจหล่อนถูกหลอมรวมเข้ากับความชิงชังริษยาซึ่งมีอยู่เป็นทุนเดิม และทั้งหมดนี้ผลักดันให้หล่อนกระหายชัยชนะ

“คราวนี้ฉันไม่ยอมแกง่ายๆ หรอก” เพลินฤดีเค้นเสียงลอดไรฟัน ทำให้ร่างสูงที่เพิ่งก้าวออกจากห้องน้ำชะงัก เขาใช้ผ้าขนหนูที่พาดไหล่เช็ดลวกๆ บนผิวกายสีแทนซึ่งมีหยาดน้ำเกาะพราว และเดินมาคว้าเสื้อยืดที่ถอดพาดไว้กับขอบเตียงขึ้นมาสวมเงียบๆ

“นี่...จะไปไหน” เพลินฤดีไม่ใช่แค่กระชากเสียงถาม ยังกระชากเสื้อยืดตัวนั้นออกจากมือชายหนุ่มด้วย คิ้วเข้มหนาเป็นปื้นของเขาขมวดเข้าหากัน

“ก็คุณเพลินบอกว่าวันนี้จะไม่ยอมผมง่ายๆ ผมก็คงต้องกลับ” เสียงห้าวสมชายชาตรีนั้นแสนซื่อ ช่างขัดกับดวงตาสีนิลซึ่งฉายแววฉลาดเฉลียวเสียนี่กระไร แต่เพลินฤดีซึ่งกำลังโมโหโกรธากับเรื่องราวที่ตนปรุงแต่งขึ้นกลับไม่ได้สังเกตเห็น หล่อนตวาดใส่อย่างฉุนเฉียวราวกับหนุ่มร่างใหญ่ที่ยืนค้ำหัวอยู่ขณะนี้เป็นกระโถนที่จะสำรากใส่อย่างไรก็ได้

“โง่...แกนี่มันโง่เง่า ชีวิตมันถึงได้เป็นแค่คนขับรถส่งของแบบนี้ยังไงล่ะ”

ไฟโทสะจุดพรึ่บขึ้นในดวงตาใต้คิ้วเข้ม ก่อนจะวูบวับดับหายไปอย่างรวดเร็วราวกับปิดสวิตซ์ เหลือเพียงความว่างเปล่าเฉยชา เขายืนก้มหน้านิ่งราวกับรูปปั้นที่ไร้ชีวิตจิตใจ

“กร...” เพลินฤดีทอดเสียงอ่อนงอนง้อ เมื่อรู้ว่าตนพลาดทำลายบรรยากาศดีๆ ลงไปต่อหน้าต่อตา หล่อนขยับเข้าไปยืนแนบชิด นิ้วเรียวขาวผ่องไล้แผ่นอกแข็งแกร่งแผ่วเบา คำพูดต่อมากระซิบกระซาบแว่วหวาน “เธอคิดว่าฉันเรียกเธอมาเพียงเพื่อให้อาบน้ำ...เสร็จแล้วก็ปล่อยกลับไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ...เธอน่าจะรู้ดีนะกรว่าฉันไม่มีทางปล่อยเธอง่ายๆ”

ใช่...กรรู้ดีว่าเพลินฤดีไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ เขาต้องทนอยู่ในสภาพนี้มาสามปีแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพลินฤดีเริ่มขึ้นในคืนข้ามปีเมื่อสามปีก่อน ที่โรงงานเฮียประพจน์ได้จัดงานปีใหม่ และเพลินฤดีซึ่งไปร่วมงานด้วยกินเหล้าจนเมามายจนขับรถกลับไม่ไหว เขาเลยต้องขับรถมาส่งที่บ้านหล่อนซึ่งอยู่ห่างจากโรงงานราวๆ ห้ากิโลเมตร เมื่อมาถึงบ้านทั้งหลังเงียบสนิทเพราะเพลินฤดีจ้างคนมาทำงานบ้านแบบเช้าไปเย็นกลับ หล่อนเองก็เมาหมดสภาพเดินไม่ไหวจนเขาต้องประคับประคองพาเข้าไปส่ง...เปล่านะ เขาไม่ได้เข้าไปส่งถึงห้องนอนหรอก ยังไม่ได้ล่วงล้ำเข้าไปในบ้านด้วยซ้ำ เพลินฤดีทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ยาวสำหรับพักผ่อนตรงเทอเรส พลอยให้เขาต้องทรุดนั่งตามไปด้วย และวินาทีต่อมาหล่อนก็ทอดกายลงหนุนตักเขาดื้อๆ

เขารู้ว่าไม่ควร...ไม่ควรเลยที่จะตะลึงตะลานกับทรวดทรงอวบอิ่มของหล่อนที่ล้นเอ่อล้นเสื้อคอกว้าง กระโปรงบานพลิ้วเลิกขึ้นถึงโคนขายามเจ้าตัวชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น ผิวขาวผุดผ่องต้องแสงจันทร์นวลตรึงสายตาเขาไว้มั่น เหมือนเพลินฤดีรู้ตัวว่าถูกจับจ้อง หล่อนปรือตาขึ้นมองและหัวเราะชอบใจจนอกกระเพื่อม นั่นก็นับว่าสั่นคลอนความเข้มแข็งของเขามากพอแล้ว ริมฝีปากอวบอิ่มซึ่งเคลือบสีชมพูอ่อนหวานราวกลีบกุหลาบยังแย้มเผยอ เอ่ยเสียงอ้อแอ้ผะแผ่ว

‘อยู่กับฉันนะ’

คนเมาไม่พูดเปล่ายังลากมือร้อนรุ่มของเขาไปวางไว้บนเนินอกสล้างซึ่งกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจ กรใจเต้นแรง แขนขาเครียดเกร็งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาคิดว่าตัวเองควรชักมือกลับ เอ่ยปฏิเสธแล้วรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด แต่มือเจ้ากรรมมันกลับทำตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง มันขยับลูบไล้ไปตามแรงอารมณ์ ดวงตาฉ่ำปรือของคนบนตักฉายแววพึงพอใจ หล่อนยิ้มเชิญชวน นิ้วอุ่นของหล่อนทาบลงบนแก้มสากก่อนจะเลื่อนช้าๆ ไปตรงท้ายทอย และแค่ออกแรงกดเบาๆ ศีรษะเขาก็โน้มลงไปใกล้ริมฝีปากสีระเรื่อ...เส้นด้ายแห่งศีลธรรมถูกความปรารถนาเร้นลึกฉีกทึ้งจนขาดแล่งไม่เหลือชิ้นดีในวินาทีนั้นเอง

จากนั้นอวัยวะทุกส่วนเคลื่อนไหวไปตามครรลอง...ตักตวงความรู้สึกสุขสมเร้นลับอันยากบรรยายจากร่างกายของกันและกัน...ตักตวงอย่างหิวกระหายโดยไร้ซึ่งความรัก...ต่อเนื่องยาวนานราวเหมือนการเดินทางที่ยังไม่พบจุดหมาย

จวบจนรุ่งสาง กรจึงก้าวออกมาจากจุดเกิดเหตุด้วยใบหน้าอิ่มเอม เขาติดอกติดใจในเพศรสครั้งนี้ราวกับยาเสพติดชนิดใหม่ที่เพิ่งได้ลิ้มลอง แต่ในใจกลับหนักหน่วงคล้ายมีภูเขาลูกใหญ่เคลื่อนเข้ามาถมทับ

‘คืนนี้มาอีกนะ ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว...เหงา’ ร่างอวบอิ่มเกือบเปลือยลุกขึ้นมาโอบกอดเขาไว้จากด้านหลัง พร้อมออดอ้อนเสียงหวาน

‘ไม่ดีหรอกครับคุณเพลิน ถ้าเฮียรู้...’

‘ถ้าเธอมา เฮียจะไม่มีวันรู้ แต่ถ้าเธอไม่มา เฮียรู้แน่’ เพลินฤดีกำลังขู่เขาหรือไร กรคิด และหล่อนก็ไม่ปล่อยให้เขาสงสัยอยู่นาน ‘เธอมาหาฉัน มีแต่ได้กับได้ แต่ถ้าเธอไม่มา’ หล่อนเว้นจังหวะให้เขาหนาวๆ ร้อนๆ ‘เธอจะสูญเสียทุกอย่าง ฉันจะบอกเฮียว่าเธอข่มขืนฉัน เฮียต้องไล่เธอออกจากงาน...หรือว่า...’ ปลายเล็บยาวลากไล้จากแผ่นหลังมาถึงท้ายทอยลามเรื่อยมาถึงเหลี่ยมคาง ‘อาจทำมากกว่านั้น’

พลันที่จบประโยคสุดท้าย นิ้วชี้เรียวยาวก็ตวัดปาดลำคอเบาๆ กรกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ...อะไรล่ะที่มากกว่าไล่ออกจากงาน ถูกแจ้งจับข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา หรือว่า...หายตัวไปเฉยๆ โดยไร้ร่อยรอย...เขารู้ว่าคนอย่างเฮียประพจน์สามารถทำได้ ไม่ว่าจะแบบไหนกรก็ไม่ปรารถนาทั้งนั้น...และถ้านี่คือหนทางที่จะปิดบังเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้เป็นความลับได้ เขาก็ไม่ควรลังเล วันหนึ่งเมื่อเพลินฤดีพบของเล่นชิ้นใหม่ หล่อนก็คงปล่อยเขาเป็นอิสระเอง เขาไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้วนี่นา

นี่แหละ...คนเรากล้าทำผิดเพราะคิดว่าคนอื่นไม่มีวันรู้ และลำพองว่าตัวเองสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ด้วยเหตุนี้เอง กรจึงรับเงื่อนไขของเพลินฤดี ยอมกระโดดลงเกลือกลั้วบ่อน้ำหวานฉ่ำรสภายในกรงโลกีย์ที่เพลินฤดีสร้างขึ้นอย่างง่ายดาย...ทั้งที่รู้ว่าน้ำหวานในบ่อนั้นมีพิษแต่ก็ยังดื่มกินด้วยความยินดีเรื่อยมา

จนวันหนึ่งพิษนั้นก็เริ่มสำแดง มันไม่ได้มีผลกับร่างกาย แต่มีผลต่อจิตใจโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่มีคนทำผิดคนใดจะอยู่โดยปราศจากความหวาดระแวง ก่อนหน้านี้เขาระแวงกลัวเฮียประพจน์รู้เรื่องความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างเขากับเพลินฤดี ทว่าเมื่อความสัมพันธ์ต่อเนื่องยาวนานและไม่รู้จะสิ้นสุดลงวันใด ความระแวงระวังในใจเขาก็เติบโตตามไปด้วย เขากลัวว่าตองจะรู้พฤติกรรมอันน่าละอายนี้เข้า ถ้ารู้ ตองคงชังน้ำหน้าเขาไปตลอดชีวิต


ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจแผ่วเบาก่อนก้มมองรอยยิ้มยั่วของเพลินฤดี รอยยิ้มแบบนี้เคยทำให้เขาหายใจสะดุด หัวใจเต้นแรง เลือดในกายฉีดพล่านมาแล้ว ทว่าคำพูดดูแคลนของหล่อนเมื่อครู่ กดข่มทุกความกระสันรัญจวนที่ควรจะเกิดขึ้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนพูดจาตอกย้ำความต่ำต้อย ด้อยเกียรติ ไร้ศักดิ์ศรีของเขา แต่เป็นครั้งที่เท่าไรก็คร้านจะนับ

“วันนี้ฉันเครียดมาก...ช่วยทำให้ฉันหายเครียดหน่อยสิ”

สองแขนกลมกลึงคล้องคอเขาไว้หลวมๆ กรหลับตานิ่ง ปิดกั้นสายตาจากร่างอวบอิ่มที่ยืนแนบชิด ภาพริมฝีปากจิ้มลิ้มเหมือนริมฝีปากตุ๊กตาบลายด์ปรากฏแจ่มชัดในจินตนาการ จมูกแหลมเล็กรับกับดวงตากลมโตฉายแววสดใส แก้มใสเนียนละเอียดน่าสัมผัส เลือดในกายเขาเริ่มฉีดแรง จมูกปากเคล้าเคลียดวงหน้าคนในอ้อมแขนอย่างสุดแสนเสน่หา ความต้องการเร้นลึกในหัวใจถูกระบัดระบายใส่เพลินฤดี ทั้งหนักหน่วงและนุ่มนวลสลับกันไปตามแรงอารมณ์

คลื่นลมร้อนแรงแห่งปรารถนาโหมกระหน่ำตั้งแต่หัวค่ำจวบจนดึกสงัดจึงสร่างซา สองร่างทิ้งกายลงก่ายกอดกันบนเตียงกว้าง เหลือเพียงลมหายใจหอบหนักที่ยังคงดังประสานกันในม่านความมืด ครู่ใหญ่นั่นละทุกอย่างจึงสงบ

“กร...” เพลินฤดีเรียกเบาๆ พร้อมกับลูบท่อนแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเบาๆ

“หือ” เขาส่งเสียงในลำคอทั้งที่ยังหลับตา

“วันนี้ฉันเจอตองที่ตลาด ไปกับผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางสนิทสนมเชียวละ” เพลินฤดีลองจุดไฟ และได้ผล กรหันขวับมาหาหล่อน ดวงตาเขาแวววาวอยู่ในความมืด หล่อนอมยิ้มกระหยิ่มใจ

“เขาเป็นลูกชายของเพื่อนเฮีย ทุกวันนี้เฮียไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนคนนี้แล้ว เพราะเขาแย่งแฟนเฮียไป ก็แม่ของนายปราณนั่นแหละ”

“ปราณหรือ” กรทวนคำเสียงหนักพลางครุ่นคิด ใช่คนเดียวกับที่เขาพบเมื่อวานหรือเปล่า คนที่พาตองกับพวงแสดไปหาหมอ

“ใช่...ปราณ เมื่อวานฉันเห็นเขานั่งกินข้าวกับเภสัชกรสาวสวยอยู่ที่ศูนย์อาหารในโรงพยาบาล”

ชัด...อย่างนี้ชัดเลย ใช่คนเดียวกันแน่ แต่มันไปสนิทสนมกับตองตั้งแต่เมื่อไรกัน

“แต่วันนี้มาเดินกับตอง พาไปส่งบ้านด้วยมั้ง...แต่ฉันกำลังสงสัย” เมื่อเพลินฤดีเห็นว่าไฟที่จุดไว้เริ่มลุก หล่อนก็เติมเชื้อเข้าไปอีก “แม่ของนายปราณเนี่ยหน้าฉากก็เป็นนักสังคมสงเคราะห์ แต่หลังฉากใครๆ ก็รู้ว่าหล่อนทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ บางที หล่อนอาจส่งลูกชายมาตีสนิทกับตองเพื่อหวังอะไรก็ได้มั้ง”

“ก็อาจหวังเหมือนคุณ” กรย้อนทันควัน เพลินฤดีไม่สะทกสะท้าน กลับหัวเราะขำ

“แต่ฉันก็ไม่ได้ใช้เธอเป็นนกต่อไม่ใช่หรือ” หล่อนชม้ายตามองสีหน้าเรียบขรึมของกรนิดหนึ่ง ก่อนจะสุมเชื้อไฟลงไปอีก “ฉันก็เตือนไว้ ถ้าไม่อยากให้คนที่เธอรักเสียใจ เธอก็ควรทำอะไรสักอย่าง”

กรขบกรามแน่น ผู้ชายคนนั้นท่าทางไม่เลว ดูเหนือกว่าเขาในทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือฐานะ และน่าจะเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ใฝ่ฝัน

เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างจริงๆ อย่างที่เพลินฤดีบอกนั่นแหละ...กรไม่กลัวตองถูกหลอก เพราะตองเป็นคนฉลาด ทางเดียวที่ปราณจะหลอกตองได้คือเธอต้องมีใจให้ปราณไม่มากก็น้อย แล้วความรักจะทำให้คนหน้ามืดตาบอดจนมองไม่เห็นความจริง...หากเป็นเช่นนั้น เขานั่นแหละที่จะต้องเสียใจ...เสียใจที่ตองรักคนอื่น



โปรดติดตามตอนต่อไป



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ส.ค. 2555, 21:01:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ส.ค. 2555, 09:56:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1469





<< ตอนที่ ๔   ตอนที่ ๕ (ต่อจนจบ) >>
ภาวิน 23 ส.ค. 2555, 22:23:28 น.
สวัสดีค่ะ มาโพสต์เพิ่มอีกตอนแล้วนะคะ มาอ่านมาไลค์กันได้ตามอัธยาศัยเลนะคะ
สัปดาห์หน้าคนเขียนมีเหตุให้ต้องออกต่างจังหวัดสิบกว่าวัน ไม่แน่ใจว่าก่อนออกเดินทางจะเบ่งนิยายมาโพสต์ได้หรือเปล่านะคะ

คนเขียนหายไปสักพัก ไม่นานก็กลับมา แต่คนอ่านอย่าเพิ่งไปไหนน้า

คุณ Sweetbutter ยังตามอ่านกันอยู่ ขอบคุณมากๆ ค่ะ ติได้ชมได้นะคะ สงสัยก็ถามได้เหมือนกัน

คุณ barby คุณปราณจะน่าต้อนรับหรือเปล่า ต้องตามอ่านไปเรื่อยๆ ค่ะ ใครจะรู้ ในที่สุด ตองอาจตีหัวลากเข้าบ้านก็ได้

คุณปาป้า ก้อยากให้อ่านแบบรวดเดียวจบเหมือนกันนะ แต่คนเขียนยังไม่เขียนไม่จบง่ะ เขียนไป อ่านไป เป็นเพื่อนกันแบบนี้แหละเนอะ ลุ้นไปด้วยกัน

คุณอสิตา ยายแกฟอร์มจัดค่ะ แอ๊บฉลาดไปงั้น

คุณ nunoi นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว คนเขียนรอคอย ^_^ และยินดีต้อนรับเสมอค่ะ


ตรีจิตร 24 ส.ค. 2555, 16:36:06 น.
รอตามอย่างห่างๆ เพราะมีห่วง(งาน)เพียบเลยค่ะ อ่านรวดเดียวเลย


Barby 24 ส.ค. 2555, 19:45:26 น.
เรื่องชักมีเงื่อนงำแล้วสิ


nunoi 25 ส.ค. 2555, 14:35:21 น.
โอ้ววว เกี่ยวพันกันไปหมด


อสิตา 11 ก.ย. 2555, 21:25:09 น.
เอาแล้วไงนายกร


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account