ภูตคราม
ภูธรา ภูตป่าที่ดำรงเผ่าพันธุ์และยังชีพด้วยการสูบพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิต
มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายหรือแม้แต่พืชพรรณไม้นานา
การปรากฏตัวของพิมมาดา หญิงสาวผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์
รักแรกพบจึงเกิดขึ้น
ความรักของทั้งสองจะเป็นเช่นไรเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งไร้ตัวตน
พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครองคู่กัน


Tags: ภูต

ตอน: ภูตคราม บทที่ 8 ผู้เฝ้ามอง

บทที่ 8 ผู้เฝ้ามอง

‘แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ภูตครามไม่เคยปล่อยเหยื่อให้หลุดมือเป็นครั้งที่สอง’

คำพูดของลุงแคล้วสะท้อนก้องอยู่ในหัว พิมมาดามองภูตที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เท้าทั้งสองเตรียมขยับจะวิ่งขณะที่ดวงตาสอดส่ายหาทางหนี แต่ดูเหมือนภูตหนุ่มจะคาดเดาความคิดของเธอได้ เขาจึงเผยยิ้มน้อยๆพร้อมกับพูด

“เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก”

หญิงสาวชะงักกึก เธอกำมือและกัดริมฝีปากของตัวเองเพื่อข่มความกลัวก่อนตัดสินใจถาม

“ท่านจะฆ่าฉันใช่ไหม”

“ทำไมข้าต้องฆ่า”

พิมมาดากลั้นใจกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตอบคำถามที่ย้อนกลับมา

“ฉันเคยได้ยินมาว่าภูตครามไม่เคยปล่อยให้เหยื่อมีชีวิตรอด”

หากเป็นมนุษย์ ภูธราคงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน แต่การเป็นภูตครามซึ่งไม่เคยมีความรู้สึกในด้านอารมณ์เช่นมนุษย์จึงทำได้เพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“เจ้าจึงคิดว่าข้าจะตามมาสูบวิญญาณ เข้าใจผิดแล้ว ข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลอื่น” เขาเลื่อนตัวเข้าไปหาหญิงสาว เธอรีบถอยหลังหนีพร้อมกับถาม

“งั้นท่านมาที่นี่ทำไม”

“เพราะเจ้า”ภูธราตอบพลางยื่นมือไปข้างหน้าคล้ายต้องการจะสัมผัสพวงแก้มเปล่งปลั่งของพิมมาดา แต่เมื่ออยู่ในระยะห่างเพียงแค่กลั้นใจเขาก็หยุดชะงักไว้แค่นั้นก่อนจะลดมือลง หญิงสาวมองเขาด้วยความหวาดกลัวระคนแปลกใจ

“เพราะฉันหรือ” เธอมองหน้าภูตหนุ่ม ประกายบางอย่างที่ออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลทองคู่สวยสาดส่องให้เธอเห็นสร้างความประหลาดใจให้กับหญิงสาวเป็นอย่างมาก มันมิได้แสดงความหิวกระหายหรือโหดร้ายเย็นชาเช่นสัตว์ป่า แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นน่าประทับใจ การมองที่อ่อนโยนนุ่มนวลของเขาทำให้พิมมาดาลดความหวาดกลัวลง เธอหยุดความคิดที่จะมองหาทางหนีและถามด้วยความสงสัย

“ทำไม”

“ข้าอยากเห็นหน้าเจ้า” ภูตหนุ่มตอบสั้นๆเพียงแค่นั้น แต่สร้างความประหลาดใจให้กับ
พิมมาดาเป็นอย่างมาก

“ทำไม”

“เจ้าพูดคำอื่นไม่เป็นหรือ”ภูธราถามและยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นพวงแก้มของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ เธอเมินมองไปทางอื่นเขาจึงพูดต่อ“ไม่กลัวข้าแล้วใช่ไหม”

“กลัวสิ กลัวแทบตายเลยล่ะ” หญิงสาวหันมาตอบทันควัน ภูตหนุ่มจึงถอยห่างจากเธอ

“ข้าขอโทษ” เขามองหญิงสาวซึ่งยังคงมีท่าทางหวาดระแวงแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย”หากการมาในครั้งนี้สร้างความหวาดหวั่นให้กับเจ้า ข้าก็จะออกไปอยู่ข้างนอก”

“ถ้าเป็นไปได้รีบกลับไปที่ป่าของท่านเลยจะดีกว่า”

พิมมาดาต่อประโยคด้วยเสียงกระด้าง ภูธรายิ้มพร้อมกับส่ายหน้า

“คงไม่ได้เพราะตอนนี้ใจของข้าปรารถนาที่จะอยู่ที่นี่” เขามองหญิงสาวด้วยดวงตาที่แสดงความหมายบางอย่างออกมา แม้จะเดาไม่ออกว่าคืออะไรแต่พิมมาดาก็ยังรับรู้ถึงความอ่อนโยนที่แฝงเอาไว้ได้อย่างชัดเจน

“ดึกมากแล้วเจ้าทำงานมาเหนื่อยคงง่วง”ภูตหนุ่มพูดขึ้นพลางเลื่อนกายถอยไปที่ประตู “นิทราสวัสดิ์ ขอให้เจ้านอนหลับฝันดี ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอันตราย ข้าจะคอยเฝ้าดูเจ้าอยู่ตลอดเวลา”

ร่างของภูธราเลือนหายไปทันทีที่พูดจบ พิมมาดากวาดสายตามองรอบตัวจนแน่ใจว่าภูตหนุ่มไม่ได้อยู่ภายในบ้านแล้วเธอจึงรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้องและปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาจากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง

“จะทำยังไงดี”เธอพึมพำด้วยความรู้สึกทั้งหวาดกลัวและกลัดกลุ้มพลางคว้าหมอนมากอดแน่นและมองไปที่หน้าต่างซึ่งยังคงเปิดกว้าง สายลมยามดึกนำพาความเย็นเข้ามาในห้องแต่ก็ไม่อาจดับความร้อนรุ่มภายในใจของหญิงสาวให้ดับลงได้ พิมมาดากวาดตามองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงว่าภูตหนุ่มจะตามเข้ามาแต่ดูเหมือนภูธราจะรักษาคำพูดเพราะเขาไม่ปรากฏกายให้เธอเห็นอีกเลย แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันแต่ความกังวลทำให้หญิงสาวไม่อาจข่มตาให้หลับลงไปได้ หลังจากตาแข็งไปได้สักพักกลิ่นหอมเย็นของดอกมณฑาก็รวยรินเข้ามาในห้อง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจแต่หญิงสาวก็อดที่สูดลมหายใจดมกลิ่นของมันไม่ได้ ลมอันแสนอบอุ่นพัดโชยเข้ามาภายในห้องและหมุนวนรอบตัวเธออย่างอ่อนละมุนปรากฏความรู้สึกเหมือนเธอกำลังถูกโอบกอดด้วยความอ่อนโยน เสียงกระซิบแผ่วดังแว่วอยู่ริมหู แม้จะฟังไม่ถนัดว่ามันกำลังกล่าวถึงสิ่งใดแต่ความไพเราะนุ่มนวลที่เจืออยู่ในน้ำเสียงสะกดให้หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์อันแสนสุข ดวงตาที่แข็งค้างเริ่มหรี่ปรือลง พิมมาดาเอนตัวลงนอนและหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เสียงนกกระจอกที่กำลังทะเลาะกันดังเจี๊ยวจ๊าวปลุกพิมมาดาให้ตื่นขึ้น เธอบ่นงึมงำออกมาสองสามคำก่อนจะลุกขึ้นเก็บที่นอน ขณะสะบัดผ้าห่มเพื่อจะพับเก็บให้เรียบร้อยหญิงสาวก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นมณฑาดอกหนึ่งตกลงมาบนพื้น หญิงสาวหยิบมันขึ้นมามอง ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนนี้ตนได้พบกับภูตคราม หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง หญิงสาวหันมองรอบตัวก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อไม่พบภูตหนุ่มผู้มีนามว่าภูธรา แต่ความรู้สึกที่ว่าก็อยู่ได้ไม่นานนักเมื่อเสียงทุ้มดังมาจากทางหน้าต่าง

“อรุณสวัสดิ์”

พิมมาดาหันขวับไปมองทันทีเธอหลุดเสียงอุทานออกมาพร้อมกับดีดตัวขึ้นไปนั่งอยู่บนเตียง

“ภูตคราม”

“ข้าชื่อภูธรา” อีกฝ่ายตอบพลางมองดอกมณฑาที่ถูกทิ้งอยู่ข้างเตียง”ทิ้งดอกไม้ทำไม”

คำถามทำให้หญิงสาวรีบก้มลงมองที่พื้น คิ้วสวยขมวดเข้าหากันขณะย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งกลิ่นดอกไม้ที่ถูกทดแทนกลิ่นอับบนรถแท็กซี่หรือกลิ่นหอมรวยรินที่เธอสูดดมอย่างชื่นใจทุกคืนก่อนนอน มือยื่นลงไปเก็บดอกไม้สีเหลืองอ่อนที่ตกอยู่ข้างเตียงมาวางไว้บนหมอนก่อนตัดสินใจถาม

“ท่านทำหรือ”

“อะไรรึ” อีกฝ่ายถาม พิมมาดามองหน้าเขา

“ก็กลิ่นดอกไม้ในรถแท็กซี่เมื่อวานนี้กับดอกมณฑาที่วางอยู่บนหมอนในตอนเช้า”

“เมื่อวานนี้ข้ากลัวเจ้าทรมาน ส่วนตอนกลางคืนเจ้านอนไม่หลับข้าเลยอยากช่วยผ่อนคลาย”

ภูตหนุ่มตอบน้ำเสียงราบเรียบ พิมมาดาเม้มปากตนเองแน่นความแปลกใจในความหวังดีของภูตครามเพราะเท่าที่ได้ยินเรื่องราวของภูตชนิดนี้จากลุงแคล้ว ไม่เคยมีประโยคไหนบ่งบอกว่าพวกเขาเคยมอบความเมตตาหรือเห็นใจต่อสิ่งมีชีวิตอื่นเลยสักครั้ง

“ทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่”

เธอถามทั้งที่ใจยังประหวั่นในคำตอบ ภูธราเอียงหน้าเล็กน้อยขณะมองหญิงสาวและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจัง

“เคยบอกไปแล้วมิใช่หรือว่าข้าไม่ต้องการอะไร ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อให้เจ้ามีความสุข” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นพิมมาดาจ้องมองเขาด้วยดวงตาฉายแววประหลาดใจ

“หมายความว่ายังไง”

ภูธราพยักหน้าไปทางดอกมณฑา

“ข้าเห็นเวลาที่เจ้าเหงาหรือไม่สบายใจ เจ้ามักจะไปยืนที่ใต้ต้นมณฑานี่ทุกครั้งและเมื่อเจ้าชื่นชมกลิ่นหอมของดอกมณฑาจนพอใจแล้วเจ้าก็จะกลับเข้าบ้านด้วยดวงหน้าที่เป็นสุข”

“ก็ตรงนั้นเป็นทางลมผ่าน ไปยืนแล้วเย็นสบายดี อีกอย่างกลิ่นดอกมณฑาน่ะหอมอ่อนๆเมื่อได้กลิ่นแล้วให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง แต่ฉันชอบดูดอกของมันตอนอยู่บนต้นมากกว่า เพราะฉะนั้นเลิกเด็ดดอกไม้นี่ได้แล้ว”

“ทำไม”

“ถึงแค่วันละดอก แต่ถ้าเด็ดทุกวันแบบนี้ไม่นานก็หมดต้น แล้วทีนี้ฉันจะไปหาดอกมณฑาที่ไหนดมได้”

หญิงสาวบอกเสียงห้วน ภูธรามองต้นมณฑาขนาดใหญ่ที่ยืนต้นสูงตระหง่านอยู่ข้างห้องนอนก่อนจะยิ้มออกมา

“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าสามารถทำให้ต้นไม้ทุกต้นผลิดอกออกผลได้ตามต้องการ”

“ว่าไงนะ ท่านสามารถเร่งต้นไม้ให้ออกดอกออกผลได้ด้วยเหรอนี่ มันจะเป็นไปได้ยังไง”

หญิงสาวถามด้วยความประหลาดใจ อีกฝ่ายยื่นมือออกไปนอกหน้าต่าง ต้นอัญชันที่เธอ
ปลูกไว้ในกระถางด้านล่างยืดยอดของมันขึ้นมาตวัดพันแขนข้างนั้นเอาไว้ราวกับมีชีวิต

“ข้าเป็นภูตคราม”

เขาตอบสั้นๆ เถาอัญชันคลายตัวออกและลดกลับลงไปพันรอบต้นมะยมที่ขึ้นอยู่ใกล้กันแทน สิ่งที่เกิดขึ้นแม้จะทำให้พิมมาดาต้องตระหนก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับหวาดกลัวเหมือนตอนที่เจอ
ภูธราในครั้งแรก

“ไม่เห็นลุงแคล้วบอกเลยว่าภูตครามทำแบบนี้ได้ด้วย” เธอพึมพำคนเดียวเบาๆก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นภูธราขยับเข้ามาใกล้”จะทำอะไร”

“ข้าเพียงอยากรู้ว่าวันนี้เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือไม่”

คำถามทำให้หญิงสาวหันไปมองนาฬิกา เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขเก้า พิมมาดาร้องเสียงดังลั่น

“สายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”

เธอกระโดดผลุงลงจากเตียงไปคว้าผ้าเช็ดตัวและวิ่งเข้าห้องน้ำไปโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีการอาบน้ำแบบเร่งด่วนจึงเสร็จ จากนั้นหญิงสาวจึงรีบแต่งตัวด้วยความเร็วชนิดทำลายสถิติโดยลืมไปว่าภูธรายืนมองการกระทำทุกอย่างอยู่ภายในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเธอจึงหันไปมองเขาอย่างนึกขึ้นได้

“ทำไมท่านยังยืนอยู่ตรงนี้อีกล่ะ”

“ข้ารอไปพร้อมเจ้า” ภูตหนุ่มตอบ พิมมาดานิ่วหน้าพลันเธอก็นึกถึงความรู้สึกที่เหมือนถูกเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวจึงถามเขาเสียงห้วน

“ท่านตามฉันตลอดเวลาเลยหรือ”

“ใช่”

หญิงสาวกำมือแน่นด้วยความกลัว พิมมาดาหลุดปากพูดเสียงดัง

“เลิกตามฉันเสียทีแล้วกลับไปที่ป่าของท่านซะ” ประโยคสุดท้ายเกือบจะเป็นการตะโกน
”ท่านทำให้ฉันกลัวมากนะ”

หญิงสาวคว้ากระเป๋าก้าวออกจากบ้านทันทีที่พูดจบ ภูธรามองตามหลังเธอแล้วยิ้มออกมาร่างสูงสง่าเลื่อนลงมายังด้านล่างจากนั้นจึงเลือนหายไป

นิลเนตรชะงักมือที่กำลังเรียงเอกสารมองพิมมาดาเดินผ่านเธอไปยังห้องทำงานโดยไม่มีการหยอกเย้าเหมือนที่เคยทำ เธอคิดว่าเพื่อนสาวอาจกำลังตกภวังค์ของการใช้ความคิดจึงไม่เอ่ยทักทาย แต่เมื่อเธอเตรียมจะทำงานต่อก็ต้องหยุดอีกครั้งเมื่อเห็นเพื่อนเดินถือถ้วยกาแฟออกมาอีกรอบ หลังจากรอจนอีกฝ่ายชงกาแฟเสร็จเรียบร้อยแล้วนิลเนตรจึงเอ่ยปากทัก

“เป็นอะไรเหรอยายพิม”

พิมมาดาสะดุ้งเล็กน้อยและหันกลับมามอง

“เธอว่าไงนะ”

“ฉันถามว่าเธอเป็นอะไร” นิลเนตรพูดประโยคเดิมแต่ย้ำน้ำเสียงหนักขึ้น อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“เปล่านี่”

“จะเปล่าได้ยังไง วันนี้พอมาถึงที่ทำงานเธอก็เดินเข้าห้องโดยไม่ทักฉันซักคำแถมยังนั่นอีก”เธอบุ้ยใบ้ไปที่ถ้วยกาแฟในมือ”จำได้หรือเปล่าว่าเธอชงไปกี่รอบ”

“สองหรือสามมั้งฉันไม่ได้นับ”

“หก” นิลเนตรพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปหาเพื่อน “เธอไม่เคยดื่มกาแฟจัดขนาดนี้ เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ตอนแรกพิมมาดาคิดจะปฏิเสธแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังแสดงความห่วงใยของเพื่อนแล้วเธอจึงเปลี่ยนใจ

“เมื่อคืนฉันเจอกับเขาแล้ว”

“ใคร”

“ภูตคราม”พิมมาดาตอบสั้นๆ นิลเนตรเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“มันคืออะไร”

“ผีที่เธอเจอวันนั้นไง”พิมมาดาตอบ อีกฝ่ายอ้าปากค้างและหันมองรอบตัวก่อนจะคว้าแขนเพื่อนมานั่งด้วยกัน

“แน่ใจเหรอว่ามันเป็นผีตัวเดียวกัน แล้วทำไมเธอถึงเรียกว่าภูตครามล่ะ”

พิมมาดาผงกศีรษะและใช้สายตากวาดมองไปโดยรอบเหมือนต้องการจะมองหาใครบางคน เมื่อไม่เห็นเธอจึงหันกลับมาที่เพื่อนอีกครั้ง

“เธอจำตอนที่ฉันหลงป่าได้ไหม”

“จำได้ ทำไมเหรอ”

“ภูตตนนี้ตามฉันมาจากที่นั่น” พิมมาดาตอบและทำท่าจะเล่าเหตุการณ์ประหลาดที่เธอพบตอนหลงป่ารวมถึงเรื่องของภูตครามที่ได้ฟังจากลุงแคล้วให้เพื่อนรักฟังแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ทั้งคู่กำลังอยู่ในที่ทำงานหญิงสาวจึงหยุดชะงัก นิลเนตรขมมวดคิ้วแต่เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของเพื่อนแล้วเธอจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ไว้เล่าให้ฟังวันหลังก็ได้ แต่เจ้าภูตครามที่พูดถึงมันตามเธอมาที่นี่ทำไม”

“ฉันไม่รู้” พิมมาดาตอบมือกระชับถ้วยกาแฟในมือแน่น”เขาตามฉันตลอดเวลาไล่ยังไงก็ไม่ไป”

“บางทีอาจต้องใช้น้ำมนต์หรือไม่ก็ข้าวสารเสกเข้าช่วย”

นิลเนตรออกความเห็น อีกฝ่ายสั่นศีรษะและทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“ฉันลองมาหมดแล้ว เขาไม่กลัวเลยสักนิด” พิมมาดาพูดเสียงแผ่วและถอนใจค่อนข้างแรง “ทำยังไงดีนิลตอนนี้ฉันกลัวจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว”

ช่วงที่กำลังบ่นอย่างกลัดกลุ้มนั่นเองหางตาของพิมมาดาก็เห็นเงาของใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้อง เธอเงยหน้าขึ้นมองและขมวดคิ้วเมื่อพบว่าคนผู้นั้นคือนงนภัส หญิงสาวลุกพรวดขึ้นและก้าวเข้าไปถามเสียงดัง

“คุณเข้ามาทำไม”

มือที่กำลังเปิดแฟ้มอย่างถือวิสาสะหยุดชะงัก นงนภัสปรายตามองอีกฝ่ายอย่างยะโส

“เข้ามานั่งเล่นนิดหน่อยไม่ได้หรือไงยะ”

“ไม่ได้!” พิมมาดาพูดเสียงเข้มขึ้น นงนภัสมองเธออย่างไม่พอใจ

“ฉันเป็นคนของคุณองอาจมีสิทธิ์ที่จะนั่งตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองขณะที่ตัวคนพูดเปิดแฟ้มและพลิกหน้าเอกสารตามชอบใจแบบไร้สาระ พิมมาดาพยายามระงับความโกรธ หญิงสาวกำมือแน่นจนสั่นระริก

“ที่นี่เป็นห้องการเงิน เอกสารทุกอย่างถือเป็นความลับ กรุณาออกไปจากห้องของฉันด้วยคุณนงนภัส”

น้ำเสียงเข้มเจือไปด้วยความโกรธทำให้พนักงานบริษัททุกคนหันมามองทางห้องของเธอด้วยความแปลกใจ เพราะปรกติแล้วพิมมาดาได้ชื่อว่าเป็นคนใจเย็นและพูดจานุ่มนวลที่สุด การที่เห็นเธอแสดงอารมณ์ขุ่นเคืองออกมาได้ขนาดนี้แสดงว่าเหลือทนกับการกระทำอันจาบจ้วงของนงนภัสแล้ว ฝ่ายภรรยาน้อยนายองอาจนั้นยืนอึ้ง เพราะถ้าเป็นคู่ปรับอย่างนิลเนตรเธอก็คงจะย้อนกลับด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อนแสบสันแต่พอเป็นพิมมาดาเธอกลับหือไม่ขึ้นด้วยนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าขึ้นเสียงอย่างไม่เกรงใจ หญิงสาวยืนทำท่าฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งจึงหลุดปากโพล่งออกมา

“ฉันจะไปฟ้องคุณองอาจ”

พูดจบก็สะบัดหน้าเดินก้าวฉับๆออกไป เมื่อตัวร้ายประจำบริษัทพ้นไปจากห้องแล้วพนักงานทุกคนทำหน้าสะใจ บางคนยกนิ้วให้กับพิมมาดา ฤทธิ์เป่าปากเฟี้ยวฟ้าวพร้อมกับพูดอย่างชอบอกชอบใจ

“ชนะเลิศเลยครับคุณพิม”

ขณะที่คนอื่นกำลังชื่นชมพิมมาดาอยู่นั้น นิลเนตรกลับขมวดคิ้วอย่างกังวลเพราะรู้นิสัยเพื่อนของตัวเองดีว่าต่อให้ถูกกดดันหนักขนาดไหนก็จะไม่มีวันแสดงอารมณ์โกรธออกมา

“เธอเครียดมากขนาดนี้เลยเหรอพิม”

นิลเนตรพึมพำและมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

โชคดีที่วันนี้นายองอาจต้องไปเข้าร่วมประชุมกับบริษัทผู้ค้าเพื่อศึกษาเรื่องเกี่ยวกับสารต้องห้ามบางตัวที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในเวลานี้ทำให้เขาไม่มีเวลาเข้ามาตรวจงานในบริษัท แต่พนักงานทุกคนก็รู้ดีว่ายังไงเสียนงนภัสก็คงหาทางนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปนำเสนอเขาอยู่ดี พนักงานบางคนเตือนพิมมาดาให้คอยระวังตัวแต่หญิงสาวไม่ใส่ใจมากนักเพราะมั่นใจว่าเจ้านายของเธอไม่ใช่คนหูเบา

เมื่อจัดการงานชิ้นสุดท้ายเสร็จพิมมาดาจึงเก็บข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อยจากนั้นก็คว้ากระเป๋าถือเพื่อจะกลับบ้าน ขณะที่กำลังก้าวลงบันไดหญิงสาวก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นนิลเนตรนั่งรออยู่ด้านล่าง

“เลยเวลางานไปตั้งนานแล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน”

“ฉันรอเธออยู่น่ะสิ” นิลเนตรตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหา พิมมาดานิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ

“รอฉันทำไม”

“ยังจะมาถาม ฉันเป็นห่วงเธอน่ะสิ รู้หรือเปล่าว่าวันนี้เธอโชว์ลีลาอะไรไว้บ้าง”

นิลเนตรย้อนถาม พิมมาดาทำหน้างง

“ฉันทำอะไรเหรอ”

คราวนี้อีกฝ่ายถึงกับส่ายหน้า

“ก็ที่เธอว้ากใส่ยายนงนภัสไง”

พิมมาดาทำท่าเหมือนจะนึกขึ้นได้ เธอผงกศีรษะพร้อมกับพูด

“อ๋อ ก็แค่เตือนไม่ให้เข้าไปยุ่งกับเอกสารการเงินเท่านั้น เธอก็รู้นี่นาว่าทุกอย่างเป็นความลับ”

“ที่เธอทำน่ะไม่ใช่แค่เตือน แต่อาละวาดใส่เลยต่างหาก” นิลเนตรพูดและถอนใจ”ที่ถามไม่ใช่เพราะห่วงยายนงนภัสหรอกเพราะต่อให้แม่นั่นคาบไปนอนฟ้องคุณองอาจเขาก็ไม่มีทางทำโทษพวกเรา แต่ที่กังวลก็คือพฤติกรรมของเธอในวันนี้ต่างหาก”

หญิงสาวมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

“ภูตตัวนั้นน่ากลัวมากเลยเหรอ”

“มากอย่างที่เธอนึกไม่ถึงเลยล่ะ”พิมมาดาตอบสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น นิลเนตรจึงดึงเธอไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก

“แล้วภูตที่ว่านี่ตามเธอมาได้ยังไง”

“ฉันไม่รู้ แต่ลุงแคล้วเคยบอกว่าภูตครามไม่เคยปล่อยเหยื่อให้มีชีวิตรอด ฉันเลยคิดว่าเขาคงเจ็บใจที่ปล่อยให้ฉันหลุดมือเลยตามมาถึงที่นี่”

“หมายความว่ายังไง ตกลงภูตครามคืออะไรกันแน่” นิลเนตรถามด้วยความสงสัย พิมมาดาจึงถอนใจก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เธอประสบในป่าตั้งแต่เสียงประหลาดที่ดังก้องไปทั่วกระทั่งถึงตอนที่ถูกลมประหลาดลูบไล้ไปทั่วร่างและเรื่องของภูตครามที่ได้ฟังมาจากลุงแคล้ว เมื่อเธอเล่าจบลง นิลเนตรถึงกับหน้าถอดสี

“สรุปก็คือภูตครามเป็นผีกินคนและเขาตามมาที่นี่ก็เพื่อจัดการกับเธอ”

“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น แต่พอถามไปตามตรงเขากลับปฏิเสธ”

คำพูดของพิมมาดาทำให้อีกฝ่ายต้องเลิกคิ้ว

“อ้าว ในเมื่อไม่คิดจะกินแล้วมันตามเธอมาทำไม”

“เขาบอกแค่ว่า อยากเห็นหน้าฉันเท่านั้นเอง”พิมมาดาตอบพร้อมกับระบายลมหายใจออกมาค่อนข้างหนักเธอมองนิลเนตรที่กำลังมีสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่”พอคิดว่าจะต้องอยู่กับเขาตามลำพังฉันก็กลัวจนแทบไม่อยากกลับบ้าน”

“งั้นไปค้างบ้านฉันก็ได้”นิลเนตรพูดแต่พิมมาดากลับส่ายหน้า

“จะหนีไปไหนเขาก็ตามไปได้อยู่ดี ถึงตอนนี้ก็เถอะ”เธอพูดพลางหันมองรอบตัว”แม้จะมองไม่เห็นแต่ฉันก็รู้ดีว่าเขาอยู่ในห้องและกำลังดูเราสองคนอยู่ตลอดเวลา”

พอได้ยินแบบนี้นิลเนตรถึงกับขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว เธอมองซ้ายมองขวาอย่างระแวงและลดเสียงลงจนเกือบจะกลายเป็นกระซิบ

“หมายความว่าภูตตัวนั้นตามติดเธอตลอด”

พิมมาดาผงกศีรษะ

“ไม่ใช่แค่ตาม เขายังทำอะไรหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นส่งเสียงเตือนตอนถูกล้วงกระเป๋าหรือใช้กลิ่นดอกไม้ไล่กลิ่นบุหรี่ออกจากรถแท็กซี่ บางทีที่โจรกระชากกระเป๋าสองคนนั่นตายก็อาจจะเป็นฝีมือของเขาด้วย”

“ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ฉันว่าเหมือนเขาคอยปกป้องเธอมากกว่า” นิลเนตรพูดแต่พิมมาดากลับสั่นศีรษะ

“ถึงจะอย่างงั้นก็เถอะ แต่เขาเป็นภูตกินคน ต่อให้คุ้มครองดีแค่ไหนก็ยังน่ากลัว”

“ที่ว่าภูตกินคนเพราะเธอได้ยินมาแบบนั้น บางทีเขาอาจเป็นแค่ผีป่าธรรมดาก็ได้”

พิมมาดาขมวดคิ้วมองหน้าเพื่อน

“เธอเข้าข้างภูตตัวนั้น”

“ฉันแค่ไม่อยากให้เธอกลัวจนประสาทเสียเท่านั้นเอง”นิลเนตรรีบอธิบายพร้อมกับถอนใจ ”เอาอย่างนี้ ฉันจะลองไปค้นเรื่องราวเกี่ยวกับภูตครามดูเผื่อเจอหมอผีเก่งๆจะได้จับเขายัดใส่หม้อถ่วงทะเลไปเลย”

“กลัวว่าจะไม่มีคนปราบเขาได้มากกว่า”พิมมาดาพูดอย่างอ่อนใจและคว้ากระเป๋าลุกขึ้น นิลเนตรรีบเดินตาม

“จะไปไหนน่ะยายพิม”

“กลับบ้าน”เธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้”ถึงจะกลัวแค่ไหนก็ต้องเจอเขาอยู่ดี สู้ทำใจกล้าเผชิญหน้ากับเขาไปเลยดีกว่า”

“พิม”นิลเนตรเรียกด้วยความเป็นห่วงแต่พิมมาดากลับโบกมือ

“เย็นมากแล้วเธอรีบกลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้เจอกัน” พูดจบหญิงสาวก็วิ่งขึ้นรถประจำทางที่วิ่งเข้ามาจอดพอดี นิลเนตรมองตามด้วยความเป็นห่วงจนเมื่อรถเคลื่อนออกจากป้ายแล้วเธอจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและกล่าวพึมพำ

“ขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยดลบันดาลอย่าให้ภูตตนนั้นทำอะไรเธอเลย”

การจราจรที่คับคั่งแต่ไม่ถึงกับติดขัดทำให้พิมมาดากลับถึงบ้านเร็วกว่าทุกวัน แต่แทนที่เธอจะรีบเปิดประตูรั้วเพื่อเข้าไปด้านในหญิงสาวกลับยืนนิ่งหน้าประตูอยู่นาน จนเมื่อตัดสินใจได้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอจะเผชิญหน้ากับภูตตนนั้นและขอร้องให้เขากลับไปยังป่าแต่โดยดี หากคราวนี้เขายังไม่ยอม เธอก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่สนใจเขาอีกแล้ว

เมื่อคิดได้แล้วพิมมาดาจึงไขกุญแจก้าวเข้าไปด้านใน สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับเธอมากที่สุดก็คือพุ่มกระดังงาที่ออกดอกเหลืองอร่ามเต็มต้นส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าบรรดาไม้ดอกที่ปลูกไว้รอบบ้านต่างพากันผลิบานเต็มต้นไม่ว่าจะเป็นกระทุ่ม ราตรี ปีบ จำปีหรือแม้กระทั่งต้นจำปูนซึ่งมีดอกยากที่สุด แต่ละชนิดล้วนมีกลิ่นหอมชวนดมแต่พอมันบานพร้อมกัน กลิ่นที่เคยหอมจรุงใจกลับกลายเป็นฉุนจัดจนถึงกับเวียนหัว คิ้วสวยของหญิงสาวขมวดเข้าหากัน เธอหันมองไปโดยรอบเหมือนต้องการจะหาต้นเรื่องแต่เมื่อไม่พบจึงตัดสินใจหันไปทางต้นมณฑา

“ทำอะไรลงไปน่ะ”

หญิงสาวถามเสียงห้วนพร้อมกับจ้องโคนต้นเขม็งเหมือนจะรู้ว่าตัวต้นเหตุอยู่ตรงนั้นซึ่งก็ไม่ผิดนักเพราะทันทีที่เธอพูดจบเปลือกไม้ก็ขยับไหวราวกับมีชีวิต ร่างสูงกำยำของภูธราก้าวออกมา เขากวาดตามองดอกไม้ที่บานสะพรั่งเต็มต้นพร้อมกับพูด

“ข้าเห็นเจ้าเหนื่อยเลยอยากจะทำอะไรให้สบายใจ”

“ด้วยการทำให้ดอกไม้พวกนี้บาน”พิมมาดาต่อประโยคด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ภูตหนุ่มมองเธออย่างงงงัน

“คิดว่าเจ้าชอบ”

“ถ้าแค่ต้นสองต้นอาจจะใช่ แต่เล่นให้บานทั้งหมดแบบนี้กลิ่นของมันก็ตีกันจนแยกไม่ออกว่าเป็นดอกอะไร”พูดพลางใช้มือขยี้จมูกตัวเอง”อีกอย่างสารพัดกลิ่นแบบนี้ขืนดมไปนานๆมีหวังฉันเป็นลมตายไปก่อนแน่”

“ข้าขอโทษ”ภูธราพูดด้วยสีหน้าสลดลงเล็กน้อย ยังไม่ทันที่พิมมาดาจะกล่าวอะไรโต้ตอบจู่ๆก็มีสายลมเย็นฉ่ำพัดเข้ามาภายในสวนนำพากลิ่นดอกไม้ทั้งหมดออกไป ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาดอกที่บานสะพรั่งเต็มต้นก็ร่วงพรูลงพร้อมกัน มีเพียงต้นจำปีและดอกมณฑาเท่านั้นที่ยังคงมีดอกเช่นเดิม หญิงสาวยืนตกตะลึงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนเมื่อลมกลุ่มสุดท้ายหอบกลิ่นดอกไม้ออกไปจนหมดสิ้นแล้วเธอจึงหลุดปากถาม

“เกิดอะไรขึ้น”

“เจ้าบอกว่าเวียนหัว”ภูธราตอบพลางก้าวเข้ามาหา พิมมาดารีบถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับร้อง

“อย่าเข้ามานะ”

ภูตหนุ่มหยุดทันที เขามองหญิงสาวด้วยดวงตาที่อ่อนโยน

“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”

“เชื่อได้หรือในเมื่อท่านเป็นภูตกินคน”

พูดพลางถอยหลังกรูดไปจนชิดประตูบ้าน ภูธราส่ายหน้าช้าๆ

“ดูเหมือนทั้งเจ้ากับเพื่อนจะเข้าใจอะไรผิด ข้าเป็นภูตที่ดูดกลืนวิญญาณของสัตว์เป็นอาหาร หากเป็นไปได้พวกเราก็ไม่อยากกินมนุษย์เพราะพลังชีวิตของพวกมันมีแต่ความโสมมต่างจากสัตว์ป่าซึ่งเต็มไปด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน”

“งั้นที่มานี่ก็ไม่ได้เพื่อจะมากินฉัน”

“ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้ว”ภูตหนุ่มตอบอย่างอ่อนใจและมองหญิงสาวซึ่งแม้จะยืนนิ่ง แต่สีหน้าของเธอนั้นเหมือนจะคลายความหวาดกลัวลงไปบ้าง

“มีอีกเรื่องที่ข้าอยากจะฝากให้เจ้าไปบอกกับเพื่อนของเจ้า ข้าเป็นภูตไม่ใช่ผี ดังนั้นเลิกคิดเรื่องจับลงหม้อถ่วงน้ำไปได้เลย”

พิมมาดาอ้าปากจะพูดก็กลับหยุดลงก่อนจะถามขึ้นใหม่

“ท่านรู้ได้ยังไง”

“ข้าอยู่กับเจ้าตลอดเวลา”ภูธราตอบพลางเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอกและจ้องเหล่าพฤกษาที่ถูกแสงตะวันยามเย็นย้อมจนกลายเป็นสีส้ม จั๊กจั่นที่เกาะอยู่ตามโคนต้นไม้เริ่มกรีดปีกร้องระงม มันเป็นดนตรีที่ไพเราะยิ่งในความรู้สึกของภูตคราม

“เย็นมากแล้วเจ้าคงอยากพัก”เขาหันหน้ากลับมาทางหญิงสาว”อาบน้ำกินข้าวให้สบาย ข้าสัญญาว่าระหว่างนั้นจะไม่เข้ามารบกวนเจ้าอย่างเด็ดขาด”

“ถ้าจะให้ดีกลับป่าไปเลยก็ดีนะท่าน”

พิมมาดาพูดเสียงห้วน อีกฝ่ายส่ายหน้าแต่ไม่พูดอะไร ร่างสูงสง่าค่อยๆเลือนหายไปอย่างเงียบงัน แม้จะเห็นว่าภูตหนุ่มหายไปแล้วแต่หญิงสาวก็ยังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่อีกครู่ใหญ่ กระทั่งแน่ใจว่าภูธราไม่อยู่ในห้องนั้นแล้วเธอจึงเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อเตรียมตัวเข้าห้องน้ำ ระหว่างอาบน้ำพิมมาดาก็ยังอดเหลียวมองรอบตัวด้วยความหวาดระแวงไม่ได้ หลังจากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหญิงสาวจึงเปิดโทรทัศน์โดยหวังจะอาศัยเสียงเป็นเพื่อน แต่ภูธราก็รักษาสัญญาเพราะเขาไม่มาปรากฏตัวให้เธอเห็นแม้แต่เงา

“สงสัยจะไปแล้ว”

หญิงสาวพูดพร้อมกับระบายลมหายใจออกมา แม้จะไม่โล่งใจนักแต่ก็รู้สึกอึดอัดน้อยลงกว่าตอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าภูตครามเป็นอย่างมาก ตอนแรกเธอคิดจะเข้านอนเลยแต่ท้องที่ลั่นโครกครากเหมือนกำลังร้องอุทรณ์ทำให้หญิงสาวต้องยิ้มออกมา

“พอหายเครียดก็หิวเลยนะยายพิม”

เธอพูดกับตัวเองอย่างติดตลกก่อนจะลุกเข้าครัวและจัดแจงตักข้าวใส่จาน เมื่อจัดการกับมื้อค่ำเรียบร้อยแล้วพิมมาดาจึงเดินกลับมานั่งที่หน้าโทรทัศน์อีกครั้งเพื่อชมภาพยนต์ชุดจากต่างประเทศที่เธอโปรดปรานจนจบ เมื่อไม่มีอะไรดูแล้วหญิงสาวจึงปิดโทรทัศน์และไล่สำรวจประตูหน้าต่างทุกบานจนแน่ใจว่าปิดเรียบร้อยจึงขึ้นนอน แต่ก่อนที่จะดึงผ้าห่มคลุมตัวเธอก็นึกได้ว่าหน้าต่างห้องพระยังคงเปิดอยู่ หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเองสองสามคำก่อนจะเดินไปปิด ระหว่างที่กำลังจะยื่นมือออกไปดึงบานหน้าต่างนั้นเองหูก็ได้ยินเสียงแสกสากคล้ายคนกำลังแหวกพุ่มไม้ ตอนแรกเธอคิดว่าคงจะเป็นภูธราแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นภูตที่ไม่มีร่างเนื้อเป็นตัวตน คิ้วของหญิงสาวก็ขมวดเข้าหากันทันที

“หรือว่าจะเป็นแมวตัวเมื่อวาน”

คิดพลางโน้มตัวไปข้างหน้ามองหาเพื่อให้หายข้องใจ แต่เงาตะคุ่มที่ปรากฏอยู่ในกอดอกดาหลาทำให้เธอหยุดชะงักและรีบหดตัวกลับ ตอนนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงคนคุยกันอย่างแผ่วเบา

“แน่ใจเหรอว่ามีเจ้าของบ้านอยู่คนเดียว” เสียงหนึ่งถาม อีกเสียงรีบตอบ

“แน่ใจสิวะ แถมยังเป็นผู้หญิงสวยซะด้วย งานนี้นอกจากจะได้ของแล้วเรายังมีโบนัสอีกต่างหาก”

พูดพลางปาดปากอย่างกระหาย คนที่มาด้วยเงยหน้าขึ้นมองห้องพระ

“หน้าต่างยังไม่ได้ปิด เราเข้าไปทางนั้นดีกว่า”

“เฮ่ยฉันสำรวจมาแล้ว เข้าทางห้องครัวง่ายที่สุด” ไม่พูดเปล่า ชายคนนั้นยังจรดปลายเท้าย่องไปทางด้านหลัง เสียงกุกกักที่ดังขึ้นไปถึงชั้นบนทำให้พิมมาดาค่อยๆถอยกลับเข้าห้องและปิดประตูลงกลอนด้วยความกลัว

“เอาไงดี” เธอคิดและพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ลนลานจนเกินเหตุ”ต้องแจ้งตำรวจ”

หญิงสาวหันไปที่โต๊ะหัวเตียงซึ่งมักจะวางโทรศัพท์มือถือไว้เป็นประจำ แต่ต้องใจหายวาบเมื่อนึกได้ว่ามันยังคงอยู่ในกระเป๋าซึ่งวางอยู่ชั้นล่าง เสียงแกรกที่ดังชัดเจนกว่าทุกครั้งทำให้เธอรีบหันไปมองประตูและเริ่มคิดหาทางป้องกันตัวเอง

ตอนที่กำลังว้าวุ่นอยู่กับความคิดพิมมาดาก็ได้ยินเสียงตะโกนเอะอะตามมาด้วยเสียงเหมือนอะไรตกกระทบพื้นดังโครมใหญ่ หนึ่งในนั้นถามว่าใครวะจากนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวดังลั่น

“ผีหลอก!”

เสียงฝีเท้าวิ่งตรงไปที่รั้ว หญิงสาวรีบไปแอบดูที่หน้าต่างจึงเห็นเงาตะคุ่มของคนสองคนกำลังกระโดดลงจากกำแพงบ้านของเธอและวิ่งหนีหายไป แม้จะงุนงงต่อเหตุการณ์อยู่บ้างแต่จากท่าทางของโจรทั้งสองทำให้เธอพอจะเดาออกได้ว่าพวกเขากลัวอะไร

“ภูธรา”

ลมเย็นพัดวูบปะทะแผ่นหลัง พิมมาดาหมุนตัวหันกลับไปมองและยืนตัวแข็งไม่กล้าขยับเมื่อเห็นภูตหนุ่มยืนอยู่กลางห้องไม่ห่างจากเธอเท่าไหร่นัก ตอนแรกหญิงสาวตั้งใจจะไม่พูดอะไรกับเขาแต่เมื่อเห็นดวงตาที่กำลังจ้องมองมาอย่างอ่อนโยน ความหวาดกลัวที่มีอยู่จึงลดลง เธอสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อรวบรวมความกล้าและเอ่ยปากถาม

“ฝีมือท่านใช่ไหม”

อีกฝ่ายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจและย้อนคำถามกลับมา

“น้ำเสียงเจ้าเปลี่ยนไป”

“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสังเกตสุ้มเสียง ฉันถามว่านายเป็นคนไล่โจรสองคนนั่นไปใช่ไหม”

ภูตหนุ่มพยักหน้ารับ พิมมาดาเม้มปากพลางสั่นศีรษะเบาๆ

“ฉันไม่เข้าใจ นายเป็นภูต ทำไมถึง”

“ข้าทำเพื่อเจ้า” ภูธราพูดขัดขึ้น”อีกอย่างการปกป้องไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”

เขามองหญิงสาวที่ยังคงยืนนิ่ง ภูตหนุ่มจึงยื่นมือไปข้างหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

“ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร โจรสองคนนั่นไม่มีวันได้กลับมาทำร้ายเจ้าอีกข้าขอรับรอง”

กระแสลมที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเคลื่อนออกจากปลายนิ้วไปสัมผัสกับพวงแก้มของพิมมาดา เธอรู้สึกเหมือนอุ้งมือของภูตหนุ่มกำลังไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน แม้พยายามจะเบือนหนีแต่ร่างกายของเธอกลับไม่ยอมขยับ หญิงสาวยืนนิ่งปล่อยให้ลมลูบไล้อยู่เช่นนั้นจนกระทั่งกลิ่นหอมละมุนของดอกมณฑาฟุ้งกระจายเข้ามาในห้อง กลิ่นของมันทำให้พิมมาดาตกอยู่ในภวังค์ง่วงงุนเมื่อเห็นดวงตาของหญิงสาวหรี่ปรือลงลมอีกกลุ่มที่พัดมาจากร่างของภูธราก็หมุนวนรอบตัวโอบอุ้มร่างของเธอเอาไว้ดุจเป็นการประคอง หญิงสาวค่อยๆก้าวเดินดั่งคนละเมอไปจนกระทั่งถึงเตียงนอน

“หลับให้สบายเถิดพิมมาดา”

เสียงทุ้มน่าฟังกระซิบข้างหู แม้จะตกอยู่ในความง่วงอย่างหนักแต่พิมมาดาก็ยังฝืนพยายามเปิดเปลือกตาขึ้น

“ภูธรา”เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาจนเกือบจะชิด หญิงสาวจึงพูดเสียงแผ่ว

“ขอบคุณ”

รอยยิ้มแห่งความยินดีพาดผ่านใบหน้าคมสันและละลายหายไปทันทีเมื่อหญิงสาวเข้าสู่นิทรา ภูธรายืดตัวขึ้นและหันไปทางที่โจรทั้งสองวิ่งหนี ดวงตาที่ฉายความอ่อนโยนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นประกายกล้าแห่งความดุร้าย ดุจดวงตาของนักล่ายามราตรี สายลมยามดึกพัดกรรโชกผ่านยอดไม้จนเกิดเสียงซู่ซ่า ร่างของภูธราก็เลือนหายไป

สิ่งสุดท้ายที่ผู้คนในแถบนั้นได้ยินก็คือ เสียงร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัว แต่ก็เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น เพราะพอทุกคนเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงที่ลอยมาตามลมก็มีเพียงจิ้งหรีดและเสียงแหลมเล็กของค้างคาว

*/*/*/*/*/*











มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2555, 21:16:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2555, 21:16:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1292





<< บทที่ 7 การพบกันอีกครั้ง   บทที่ 9 ภูตร้ายหรือองครักษ์ >>
อสิตา 22 ก.ย. 2555, 08:39:44 น.
หึหึ อยากเห็นหน้าเจ้า... อยากมีคนหล่อมาตามบ้างจัง


ดารานิล 22 ก.ย. 2555, 22:20:19 น.
นั่นดิคุณพี่ ติดใจประโยคนี้เหมือนกัน อร๊างงงงงงงงงงงงง ><


pulala 27 ก.ย. 2555, 10:15:57 น.
งิงิ้วววว น่าร้ากกก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account