Knight At Night ... สงครามรัตติกาล
กาลเวลาพลิกกลับอีกครั้ง...ทุกอย่างกำลังจะได้เวลาเริ่มต้นใหม่ หรือว่าความจริงแล้ว...เพียงแค่ซ้ำรอยเดิมเท่านั้นกัน ? นับพันปีที่ผ่านไป ที่รอคอยคือเธอ หรือว่า..?



เขาส่งเสียงคำรามในลำคอ เสียงกึกก้องคล้ายเสียงสัตว์บาดเจ็บ ...ร้าวราน หากก็มากพอที่จะทำให้หักใจผละจากริมฝีปากหวานล้ำมาเคล้าเคลียพวงแก้มเนียนที่เย็นเฉียบนั่นพร้อมพร่ำกระซิบคำข้างหู

“แต่ถึงอย่างนั้น... ผมก็ยัง...” เขาอ้าปาก งับลงบนติ่งหูก่อนเลื่อนมือข้างหนึ่งไปด้านหลัง ดึงผมที่ท้ายทอยให้วงหน้างามดวงตาสีนิลจับจ้องฟากฟ้าแทน

“ต้องการเธอ”

“ต้องการ...”

".......เธอ"

"........."

"พลังของเธอ!"


Tags: สงคราม, แฟนตาซี, ไซไฟ, รัตติกาล, ปีศาจ, วิวัฒนาการ, อารยธรรม, รัก, โรแมนติก

ตอน: Ch.0

0/0


“แอเรียที่ 3 ประจำภูมิภาคบูรพา
ปี 2211 เดือน 7 วันที่ 21


วันนี้น่าตื่นเต้นมากๆ ฉันแทบจะทำอะไรไม่ถูกจริงๆ มันแทบไม่น่าเชื่อว่าเราจะทำได้สำเร็จ อา...ฉันไม่ควรพูดแบบนั้น เพราะความจริงฉันรู้สึกได้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว !


เบาะแสที่เราได้รับมาฟังดูเลื่อนลอยมาก ฉันไม่ค่อยเชื่อข้อสมมติฐานที่ได้ยินในทีแรกนัก ใครมันจะไปเชื่อลงกันล่ะ ?


แต่ตอนนี้ แค่วันที่ 3 วันที่ 3 ที่เรามาถึงป่าลึกแห่งนี้ ก็เริ่มมีสัญญาณแล้ว....


ฉันรู้สึกว่า บางทีส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะความคิดของเขาก็ได้ สิ่งนั้น...”


“แอริน ซอน!”


เสียงแหวที่ไม่ได้มาเปล่าๆ แต่ยังตามติดมาด้วยฝ่ามือซึ่งซ่อนอยู่ในเนื้อผ้าหนาสีน้ำตาลเลอะคราบโคลน ตวัดวูบเข้าใส่ จนเจ้าของชื่อและเป็นเจ้าของบันทึกแทบร้องกรี๊ดลั่น กระโดดโหยงหลบเกือบไม่ทัน


ไม่นับที่ว่าหล่อนต้องรีบเก็บอุปกรณ์บันทึกอิเล็กทรอนิกส์ของหล่อนที่เกือบไม่รอดเงื้อมมือมารอีก


“ทำอะไรของเธอ” แอรินถามด้วยความหงุดหงิด กดเซฟบันทึกด้วยความว่องไว ขณะเงยหน้าจ้องอีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด “ฉันกำลังเขียนบันทึกอยู่นะ ระวังบ้างสิ จิงเมิ่ง”


จิงเมิ่ง โหยวยักไหล่ ท่าทางไม่อนาทรร้อนใจต่อสายตาที่จ้องมองมา หนำซ้ำยังเลิกคิ้วยียวนเข้าใส่อีกต่างหาก “ฉันว่าเธอน่าจะถามตัวเองมากกว่านะ ว่าคิดจะทำอะไร หรือว่าคิดจะเขียนผลของการสำรวจที่เป็นความลับห้ามจดบันทึกที่ไหนลงไปในไอ้บันทึกความเพ้อของเธอน่ะ”


คำพูดคำจาอันแฝงความความกวนโทสะอย่างจงใจที่ไม่ได้มีเพียงแค่ในสีหน้าแววตา แต่ยังบวกรวมไปถึงน้ำเสียง ทำให้เจ้าของบันทึกซึ่งถูกตั้งฉายาเอาเองตามอำเภอใจได้แต่เม้มปากด้วยความขุ่นเคือง วงหน้าสวยหวานตามแบบฉบับของชนชาติเครียดขึ้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนเชิดหน้าขึ้นสู้สายตาอีกฝ่ายที่จ้องมองมา


“นี่เป็นบันทึกส่วนตัวของฉัน” หล่อนยืนยัน “ไม่เกี่ยวกับรายงานการสำรวจค้นคว้า ดังนั้น ฉันย่อมมีสิทธิ์ที่จะเขียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของฉันลงไปได้ อย่าว่าแต่เธอกำลังเสียมารยาทอยู่อย่างมากนะ คุณโหยว ที่แอบดูบันทึกของฉัน ฉันสามารถแจ้งเรื่องนี้ได้ในฐานที่คุณละเมิดความเป็นส่วนตัวของฉัน !”


คนกำลังจะถูกแจ้งความผิดกลับหัวเราะเสียงใส พลางโบกไม้โบกมือไปมาคล้ายยั่วโทสะ
“ลองดูก็ได้นี่นา แอริน ว่าฉันไปเห็นบันทึกอะไรของเธอเข้า แล้วหลังจากนั้น อะไรก็ตามที่จะแพร่กระจายจากบันทึกของเธอไปนั่น เธออยากเสี่ยงจะรับโทษดูก็ตามใจ เพราะยังไงๆ โทษของฉันก็ไม่เกินกว่ากำหนดพักงานอยู่แล้ว ว่าไหมล่ะ”


ท้ายประโยค คนพูดกระดิกปลายนิ้วไปมา ให้ผู้ฟังได้แต่กัดฟันกรอดแล้วตั้งท่าจะสะบัดหน้าไปทางอื่น โดยไม่วายมีเสียงเตือนไล่หลัง


“อย่าใส่อะไรเกี่ยวกับการสำรวจลงไปอีก ส่วนเธอจะเพ้อหาเทพบุตรของเธอแค่ไหน ก็ตามสบาย เข้าใจไหม แอริน”


ไม่มีเสียงตอบ แต่แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะให้จิงเมิ่ง โหยว ยักไหล่ และกลับไปทำงานของหล่อนต่อตามปกติ








0/0 P.2


“แอเรียที่ 3 ประจำภูมิภาคบูรพา
วันที่ 23 เดือน 7 ปี 2211


บันทึกการกำหนดโทษ
จิงเมิ่ง โหยว – ต้องตระเวนยามนับตั้งแต่วันนี้ไปเป็นเวลา 3 วัน โดยไม่มีสิทธิ์พักผ่อน
แอริน ซอน – ถูกริบบันทึกและอุปกรณ์การบันทึกทุกประเภท อนุญาตให้จดบันทึกได้เพียงแค่ขณะเขียนผลการสำรวจ โดยมีพยานลงนามรับรู้มากกว่า 2 คน จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น”


แผ่นกระดาษที่ประทับตรารับรองถูกโบกหราไปมาหน้าคนถูกกำหนดโทษให้เดินยาม ซึ่งบัดนี้นอนไกวเปลถักของตนเองที่ผูกระหว่างต้นไม้คล้ายไม่อนาทรร้อนใจ


“เธอหาเรื่อง” คนโบกว่า “อยู่ดีไม่ว่าดีไปป่วนจนแอรินจิตหลุดวิ่งโร่ไปฟ้องจนได้”


จิงเมิ่งยักไหล่ อันเป็นท่าทางประจำของหล่อนที่คนรอบข้างรู้ดีว่ามันหมายถึงหญิงสาวไม่แยแสกับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดเท่าไรนัก แม้ว่านั่นจะเป็นโทษของหล่อนเองก็ตามที


“นายลองเทียบดู” หล่อนผงกหัวขึ้น บ่งให้รู้ว่าคราวนี้เธออารมณ์ดีมากพอที่จะอธิบายให้คนอื่นฟัง “ระหว่างการที่ฉันต้องไปป่วนยัยแอรินและตระเวนคอยดูไม่ให้ยัยนั่นเขียนอะไรบ้าๆในบันทึกเพ้อเจ้อ สู้ฉันทุ่มเทกวนประสาทยัยนั่นสักหน่อย เห็นไหมล่ะ แค่ 3 วันเท่านั้นยัยนั่นก็ทนไม่ไหวต้องวิ่งไปฟ้องโดยลืมไปสนิทว่าตัวเองต้องไม่รอดไปด้วยแน่ๆ”


ท้ายประโยคเจือเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กที่คู่สนทนาได้แต่ส่ายหน้า


“เธอลงทุนมาก ยัยหนู” เขาว่า ขณะมือใหญ่โตสีคล้ำผลักเปลที่หล่อนนอนไปมา “อดนอนสามวันไม่ใช่เรื่องดีสักนิด ยิ่งตอนนี้เรากำลังถูกเร่งทำงาน”


จิงเมิ่งส่งเสียงบางอย่างด้วยความพอใจกับจังหวะเปลที่ที่ทำให้สายลมโอบล้อมทั้งร่างหล่อนอย่างสะดวกสบาย ขณะตอบคำ


“ฉันเคยโดนมากกว่านั้น หยาง”


หยาง กุลนววงศ์ส่ายหน้า..เสี้ยวหน้าที่คมเข้มด้วยผิวสีแทน กับดวงตาคมกริบตามแบบเชื้อชาติฟากบิดาของเขา ผิดกับเค้าของความอ่อนโยนจากสายเลือดอีกส่วนของผู้เป็นมารดา สอดประสานกันเป็นบุรุษเพศอันน่ามองไม่เลวทีเดียว


ทว่าความน่ามองของชายหนุ่มก็กลายเป็นความแปลกตาไปได้ เมื่อมีการเปรียบเทียบ


เมื่ออีกบุรุษปรากฏตัว


จิงเมิ่งทำเสียงบางอย่างในลำคอ เมื่อเจ้าหน้าที่ในคณะสำรวจหลายคนเริ่มเคลื่อนไหวรับการมาเยือนของนายทุนรายใหญ่


หยางเกือบกระโดดหลบไม่พ้นร่างปราดเปรียวที่ตวัดกายโดดลงจากเปล และหยัดยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ขณะเขาที่ยืนอยู่ก่อนเสียอีกยังที่เป็นฝ่ายเซไปเล็กน้อยเพราะไหวตัวไม่ทันกับการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย


หญิงสาวสะบัดผมยาวที่ปล่อยสยาย เพื่อนอนเอนเขนกก่อนหน้านี้อย่างหงุดหงิด แต่คร้านเกินกว่าจะจับมันรวบอีกครั้ง เพราะอีกไม่นานก็จวนจะได้เวลาอาบน้ำของฝ่ายหล่อนแล้ว


ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ของจิงเมิ่งจึงเป็นการสาวเท้าเดินตรงไปยังทางลงหลุมสำรวจของหล่อน ท่ามกลางเสียงทักท้วงของคู่สนทนา


“เฮ้... เธอควร..”


“อีกนิด” หล่อนตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา หากชูใบคำสั่งลงโทษโบกไปมา “ฉันจะไปเตรียมตัวเพื่อการเดินยามคืนนี้ไงล่ะ ดังนั้นการต้อนรับและรายงานผลการสำรวจแก่ผู้อุปถัมภ์เป็นของนาย อย่าปล่อยให้แอรินบ้าผู้ชายจนเสียเรื่องเด็ดขาดเชียว”


นั่นเป็นประโยคสุดท้าย ที่หยาง กุลนววงศ์ได้แต่ทอดถอนใจ แล้วหันไปทำตามหน้าที่ของตน






0/0 P.2.5


หยาง กุลนววงศ์สืบเท้าไปด้านหน้า เป้าหมายของเขาหาไม่ยากสักนิด เมื่อผู้คนต่างไปยืนรอกันที่บริเวณนั้นแล้ว และต้องยอมรับว่า แอริน ซอนดูสวยสะดุดตาไม่ใช่น้อย


ใครให้เจ้าหล่อนใส่เสื้อโค้ทสีแดงกลางป่ากลางเขากันล่ะ


แต่ถึงอย่างนั้น หยางก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีใครโดดเด่นได้เท่าเขาจริงๆ


ชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏกายผู้นั้น...


ผู้อุปถัมภ์ทั้งด้านการเงิน อุปกรณ์ หรือตลอดจนบุคลากรหลายคนของโครงการขุดค้นทางโบราณคดีครั้งนี้


เอเลียต หลี่








0/0 P.3


เอเลียตไม่สนใจใครทั้งสิ้น เรือนผมสีดำแกมน้ำตาลของเขาปลิวเล็กน้อยเมื่อสายลมพัดโบกวูบ เรียกให้เขาหันสายตาไปที่นั่น...


ที่ๆเขารอมานานแสนนาน


“การขุดค้นอยู่ในระดับ 7 แล้วครับ” ชายหนุ่มผิวคล้ำคนหนึ่งก้าวเข้ามาคล้ายอธิบาย และเอเลียตก็พยักหน้าลงแทนการรับฟัง


แม้ความจริงเขาอยากจะลงไปที่นั่นใจแทบขาดก็ตาม


“จากการดูปฏิกิริยาและภาพถ่ายจำลอง เราน่าจะสามารถนำโบราณวัตถุชิ้นนั้นขึ้นมาได้ภายในเวลา 3-5 วัน”


“ทำไม...?” เอเลียตถามกลับเป็นคำแรก แม้สายตาจะยังจับจ้องอยู่ที่เดิม แต่แววตาเริ่มฉายแววไตร่ตรองกับข้อมูลที่ได้รับ


ถ้าการขุดค้นดำเนินไประดับ 7 จริง มันควรจะเสร็จสิ้นในอีกไม่เกิน 2 วัน อย่าว่าแต่ระยะจำนวนที่เขาประเมินเอาไว้ ยังมีช่องว่างเว้นไว้เผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากเกินไปด้วยซ้ำ


“สภาพอากาศไม่แน่นอนค่ะ คุณหลี่” เสียงหวานดังขึ้น เมื่อหญิงสาวอีกคนที่สวมเสื้อโค้ทสีแดงก้าวเข้ามา “พื้นดินแถวนี้มีปฏิกิริยาต่อสภาพอากาศมากๆ เมื่อวานนี้เราพบว่ามีหมอกมากผิดปกติจนเสียเวลาไปเกือบครึ่งวันกว่าจะได้เริ่มทำงานกัน แต่พอเราเริ่มการดำเนินงาน....ดูเหมือนว่าอากาศแบบที่ว่าจะทำให้ระดับการทำงานของเราถอยจากระดับ 6 ไปอยู่ที่ระดับ 4 ค่ะ”


“ผมไม่ได้รับรายงานเรื่องหมอกเมื่อวาน” เขาเน้นเสียงลงหนัก บอกให้รู้ถึงความไม่พอใจ ดุจเดียวกับแววที่วาวโรจน์ขึ้นในดวงตาสีแดงสวยราวแก้วผลึก


“นั่นยังเป็นเพียงสมมติฐานครับ” ชายที่เอ่ยรายงานคนแรกรับหน้าที่อีกครั้ง “เรายังไม่มีความแน่ใจในข้อนั้น เพราะวันนี้อากาศพลิกกลับมาเป็นร้อนมากแทน และเพิ่งจะมีความชื้นสูงในตอนเย็นนี้เอง ทุกอย่างจึงเป็นข้อสันนิฐานที่รอการพิสูจน์อย่างระมัดระวังเท่านั้น”


ดวงตาคมหรี่ลง คล้ายงำแววบางอย่างไว้ ก่อนที่เขาจะผ่อนลมหายใจบางเบาแล้วพยักหน้า


“ผมอยากไปดูที่หลุมขุดค้น”


ฝ่ายปฏิบัติงานไม่มีข้อคัดค้านเช่นกัน และหญิงสาวสวยจัดที่โดดเด่นก็ก้าวเท้านำพร้อมเสียงหวานหูทันที
“เชิญทางนี้เลยค่ะ คุณหลี่”








0/0 P.4


จิงเมิ่ง โหยงก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง เครื่องมือประจำตัวกำลังเตือนว่าหล่อนไม่ควรก้าวไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นปริมาณของออกซิเจนอาจน้อยเกินไปจนเข้าขั้นเฝ้าระวังได้ หญิงสาวจึงหยุดเท้าแค่นี้


ก่อนเปิดเครื่องสแกนขนาดเล็กให้ทำงาน


ใช้เวลาไม่นานสักนิด รูปทรงของชิ้นงานที่ทำให้พวกหล่อนมาอยู่ที่นี่ก็ปรากฏ มันมีลักษณะคล้ายแคปซูล แต่ด้านบนและส่วนปลายมีทรงรีกว่า อันเป็นรูปทรงที่โดดเด่นของช่วงปลายอารยธรรมยุคก่อน


ก่อนหน้าที่โลกจะล่มสลายลง


อารยธรรมไม่ได้จบลงตาม เทคโนโลยีมากมายหลงเหลือไว้พร้อมบันทึก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีสิ่งที่สูญหาย


บางอย่างได้หายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอย


หรือไม่...คนที่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่ก็พากันเก็บงำเงียบ


นี่เป็นเบาะแสอย่างเดียวที่จิงเมิ่งตามมาได้ หล่อนถึงได้พยายามอย่างหนักที่จะเข้าร่วมกับคณะสำรวจนี้


เพราะข้อมูลที่แลกมาด้วยราคาแพงถึงโบราณวัตถุชิ้นนั้น


หรือควรเรียกว่า “คน” นี้


ผู้ที่นอนหลับใหลอยู่ในแคปซูล...มันไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์หรือบันทึกวิทยาการอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง


หรืออย่างน้อย..... นี่ก็เป็นคำเดียวที่เหลืออยู่ ที่จะนิยาม “สิ่งมีชีวิตอันมีรูปลักษณ์สัณฐาน” เดียวกับหล่อน...






0/0 P.4.5


เอเลียตชะงักเท้า เมื่อลมรำเพยอีกครั้ง และเขารับรู้ถึงบางสิ่งที่มาพร้อมกันกับสายลม


สิ่งที่ทำให้เขาหยุดยืน ขณะที่เสียงกรีดร้องกึกก้องไปทั่วทันที !


หยาดโลหิตที่กระเซ็นย้อมพื้นดินให้แดงฉานตรึงสายตาของทุกผู้ที่หันไปมองตาม รวมถึงร่างของผู้ร่วมคณะ ที่บัดนี้กลายเป็นเศษซากอาหารอันโอชาของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น


สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีใครรู้จักอีกแล้ว....เพราะบันทึกถึงพวกมัน ได้ถูกเก็บไปพร้อมอารยธรรมเก่า


และเวลา 2 พันกว่าปี นับแต่ระบบต่างๆถูก “รีเซ็ต” ก็มากพอที่พวกมันจะปรากฏตัวแล้ว


“นั่นมัน.....?”


เขาได้ยินชัดเจน ถึงคำถามที่เปี่ยมด้วยความประหลาดใจ สงสัย และหวาดหวั่นของผู้คนรอบกาย


แม้เทคโนโลยีจะตกทอดมา แต่สุดท้ายแล้ว มนุษย์ในยุคเริ่มต้นแห่งอารยธรรมก็ยังต้องเผชิญกับสิ่งหนึ่งอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงอยู่ดี


สิ่งที่เรียกว่า ความหวาดกลัวต่อเผ่าพันธุ์อื่น !


เอเลียตไม่คิดหยุดรอ เขาก้าวเท้าไปต่อทันที ขณะที่เสียงกรีดร้องเริ่มแผ่ลามไปทั่ว เมื่อสิ่งอันแปลกประหลาดไล่จู่โจม แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ


เขารู้อยู่แล้วว่าพวกมันจะมา เพราะ ‘หล่อน’ อยู่ที่นี่


และเขาจะปล่อยให้ใครยื่นมือไปแตะต้องก่อนไม่ได้เด็ดขาด


การจู่โจมพุ่งเข้ามาหาเขาบ้าง หากความรีบร้อนและสถานการณ์ทำให้เอเลียตไม่คิดมาอีกต่อไป เขากางมือ สะบัดกลายเป็นกรงเล็บและบั่นศีรษะมนุษย์ออกจากร่างที่เป็นสิงโตนั่นอย่างง่ายดาย


สฟิงซ์[1]ไม่ใช่คู่มือของเขา...


แต่เอเลียตรู้ว่าไม่ได้มีแค่พวกมัน สายลมโชยอีกกลิ่นมาไกลกว่า และไม่นาน กองทัพนกเรเวน[2]จะมาเยือนที่นี่


เขาสู้สฟิงซ์ได้ แต่ยังไม่ถึงเวลาปะทะกับนกสีดำแห่งความตาย


ชายหนุ่มเคลื่อนที่ด้วยความเร็วของเผ่าพันธุ์ตนบ้าง ขณะข่มความกระหายที่คาวโลหิตเชื้อเชิญพร้อมกัดฟันกรอดปิดบังคมเขี้ยวที่เริ่มงอกยาว


เขาต้องทำภารกิจให้สำเร็จ... แม้จะต้องทอดทิ้งพวกมนุษย์ที่ได้กรีดร้องเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าตัวประหลาดที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ตาม


ปากหลุมสำรวจอยู่ตรงหน้า และเอเลียตกำลังจะก้าวเท้าลงไป แสงสว่างเจิดจ้าก็ปรากฏจนนัยน์ตาพร่าพราย


เอเลียตมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่แสง แต่เป็นความเจ็บปวดต่างหาก


ความเจ็บปวดเมื่อหัวใจถูกกระชากออกจากร่างด้วยจะงอยปากของอีกาแห่งความตายผู้เป็นบริวารเอกของพญาเรเวน


ก่อนวินาทีสุดท้าย... เอเลียตกู่ร้อง ปิดผนึกหลุมขุดค้น...


ถ้าทำไม่สำเร็จ คนอื่นก็ห้ามแตะต้องเช่นกัน


นั่นเป็นคำสั่งสุดท้ายที่เขาจะทำได้


...ก่อนสลายกลายเป็นเถ้า.....





----------

[1] สฟิงซ์ Sphinx คือคำเรียกสัตว์ในเทพนิยายปรัมปรา หรือความเชื่อโบราณ โดยมากมักเป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมหลายชนิดอยู่รวมกัน โดยสฟิงซ์ที่ขึ้นชื่อเป็นที่รู้จักมีคือ สฟิงซ์ของกรีก ที่มีท่องล่างเป็นสิงโต ใบหน้าและทรวงอกเป็นหญิงสาว มีปีกเหมือนนกอินทรี กับสฟิงซ์ของอียิปต์ซึ่งมีลักษณะผสมระหว่างมนุษย์และสิงโต และถือเป็นผู้พิทักษ์แห่งทะเลทราย


[2] นกเรเวน Raven เป็นนกที่มีลักษณะคล้ายอีกามาก เป็นสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับความตายตามความเชื่อของอังกฤษ นอกจากนี้ยังเกี่ยวพันกับความเชื่อของชาวเชอโรกี ชนพื้นเมืองโบราณของอเมริกา ที่เป็นที่รู้จักในนาม เรเวน ม็อกเกอร์ Raven Mocker อันเป็นจิตวิญญาณแห่งความชั่วร้ายอันโบร่ำโบราณ




+ + + + + +



แปะเงียบๆแม้จะไม่มีคนอ่าน
//คลานกลับซอกมุม



อมราวตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ย. 2555, 00:44:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 พ.ย. 2555, 00:44:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1027





<< นำเรื่อง   Ch.1 >>
รอให้เป็นเล่ม 14 พ.ย. 2555, 08:13:03 น.
มีคนนี้อ่านอยู่ค่ะ


สร้อยดอกหมาก 14 พ.ย. 2555, 11:54:23 น.
แว้กกกกก ยินดีต้อนรับ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account