เพียงกลีบดอกไม้ล่องลอยไปในสายลม
..........
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 10 : แววตาที่คุณมองผมและเซ็กส์ของเรามีความหมายกับผมมากกว่าสิ่งที่คุณกำลังพูดและกำลังทำ (เต็มตอนแล้วค่า)

<อะแฮ่ม ก่อนจะอ่านตอนนี้ ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 9 ครึ่งหลังก่อนนะคะเพราะสร้อยเปลี่ยนใหม่ ส่วนเรื่องที่จะลองเล่าในมุมมองของเมธวัชร์นั้น มันล่มจมไปแล้วค่ะ หลังจากทดลองเขียนได้ยี่สิบหน้าก็ปรากฏว่าสร้อยไม่เข้าใจผู้ชายเขาจริงๆ Y^Y ปล่อยให้เพชรลดาเล่าเรื่องต่อไปเถอะ>



ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะเริ่มต้นอย่างไร หรือมีอายุยาวนานสักเพียงใด แต่เมื่อมันต้องจบ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เป็นนิจนิรันดร์ ไม่มีสิ่งใดที่มั่นคงถาวร ยิ่งมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง สิ่งใหม่เกิดขึ้นแทนสิ่งเก่าและคลื่นลูกใหม่ไล่ทับคลื่นลูกเก่าด้วยระยะเวลาไม่ถึงชั่วอึดใจ หลายสิ่งล้มตายสูญสลายไปในห้วงมหาสมุทรแห่งกาลเวลาทั้งที่พวกมันเหล่านั้นเพิ่งลืมตาขึ้นมาดูโลกด้วยซ้ำ

วิรงรองเคยบอกฉันไว้ ความรักก็เปรียบเหมือนกลีบดอกไม้ล่องลอยไปในสายลม ถึงแม้ว่ามันจะโบยบินไปในทิศทางเดียวที่ลมโบกพัดแต่ก็ยากที่จะบอกได้ชัดว่ามันจะลอยไปไหน ยากนักที่จะไล่ไขว่คว้าและยากนักที่จะกอบกุมมันไว้ในอุ้งมือ ความรักเป็นอิสระเกินกว่ามนุษย์จะครอบครอง เข้าใจหรือแม้กระทั่งจะแตะต้องมัน

“ความรักเหมือนกับกลีบดอกไม้พวกนั้น ดูเด็กๆพวกนั้นสิ พวกเขาไล่คว้ากลีบดอกไม้ ล้มลุกคลุกคลานแต่กลีบดอกไม้ที่พวกเขาไล่คว้าก็คลาดไปแค่ปลายนิ้ว อีกนิดเดียว! อีกนิดเดียว! อีกนิดเดียว!” มันร้องตะโกนเชียร์เด็กพวกนั้นแล้วหัวเราะ “นี่..มันน่าตลกไหมล่ะ เพชรลดา แกไม่ได้ลงไปไล่คว้าอย่างพวกนั้น แต่มีกลีบดอกไม้ลอยมาติดผมแกกลีบหนึ่ง”

ฉันลูบผมของตัวเอง ได้กลีบดอกไม้สีชมพูมากลีบหนึ่งจริงๆอย่างที่เพื่อนฉันว่า แต่มันอยู่ในอุ้งมือของฉันแค่สามวินาที สายลมก็พัดพามันไป

“ความรักสำคัญกับมนุษย์มากไหม”

“ทฤษฎีของมาสโลว์จัดความรักเป็นความต้องการของมนุษย์ในลำดับขั้นที่สามถัดจากปัจจัยสี่และความปลอดภัย แต่ในความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่าแม้มนุษย์จะมีความต้องการตามที่มาสโลว์คิดไว้ แต่มันไม่เคยเรียงตามลำดับขั้นเหมือนที่เขาว่าไว้หรอก”

“แล้วแกคิดยังไง”

วิรงรองนิ่งเงียบไประยะหนึ่งก่อนจะตอบว่า

“ไม่ว่าจะเป็นความรักจากใคร พ่อแม่ เพื่อนหรือผู้ชาย มันก็ล้วนเป็นทั้งความรักที่แสนหวานและแสนปวดร้าวพอกัน แต่ถึงอย่างไรมันก็ทำให้ฉันเติบโตขึ้นและนั่นแหละคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉัน ฉันอยากจะเติบโตขึ้นจนถึงหนึ่งที่ไม่ว่าความรู้สึกใดๆก็ไม่อาจฆ่าฉันได้”

ฉันไม่รู้ว่าวิรงรองเติบโตขึ้นบ้างหรือไม่ เพื่อนของฉันคนนี้ดูมีความสุขดีกับทุกเส้นทางที่ตัวเองเลือก ทั้งที่มันไม่เคยเชื่อว่ามีความสัมพันธ์ใดที่มั่นคงแน่นอน มันสามารถอยู่กับความไม่มั่นคงนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงวันที่ความสัมพันธ์ทั้งหมดจบสิ้นลง

“จะไม่มีคำว่าเสียใจในวันนั้นเพราะที่ผ่านมา เราก็มีความสุขกันมากพอแล้ว จะมาโหยหาอะไรกับมันอีก เดินไปข้างหน้าสิ เดินไปข้างหน้า” มันเคยพูดเอาไว้อย่างนั้น

ส่วนฉัน แม้จะเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอนและไม่มีความสัมพันธ์ใดมั่นคงถาวรเช่นเดียวกับที่วิรงรองเชื่อ แต่ฉันกลับไม่แน่ใจว่าถ้ามีวันที่ความสัมพันธ์จบสิ้นลง ฉันจะสามารถกลับมาสู่โลกที่เป็นปกติและ ‘ไม่มีคำว่าเสียใจ’ ได้หรือไม่

การล่มสลายของความรักทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงไป ฉันรู้ตัวว่าตัวเองไม่ใช่คนเดิมทุกครั้งที่หันหลังเดินจากผู้ชายมา และฉันไม่เคย ‘ไม่เสียใจ’ สักครั้งหลังจากยุติความสัมพันธ์กับผู้ชายที่ฉันเคยรัก ผู้ชายที่ฉันเคยหวังว่าเขาจะเข้ามาเติมเต็มชีวิตของฉันแต่แล้วพวกเขาก็กลับออกไปพร้อมกับชิ้นส่วนชีวิตของฉันติดตัวพวกเขาไปด้วย

ฉันไม่โทษว่าใครทำให้ชีวิตของฉัน ‘พร่อง’ ลงเพราะเมื่อพินิจพิเคราะห์เรื่องราวและเหตุผล ฉันไม่อาจโทษว่ามันเป็นความผิดของใครได้เลย ทุกคนล้วนมีที่มาที่ไป ทุกคนล้วนมีเหตุผลของตัวเอง

ฉันไม่หวังว่าเมธวัชร์จะเข้าใจเหตุผลที่ฉันบอกเลิกเขา เพราะอันที่จริงมันก็ไม่มีเหตุผล

“โดยปกติแล้ว ถ้าคุณเลิกกับผู้ชายคนไหน คุณจะยังคุยหรือยังติดต่อกับเขาหรือเปล่า”

เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“โดยปกติ พยายามจะไม่ติดต่อกัน” ฉันตอบไปว่าอย่างนั้น

“ยกเว้นให้ผมเป็นกรณีพิเศษ เพราะผมเป็นสามีโดยพฤตินัยของคุณ ไม่เหมือนแฟนเก่าของคุณที่อย่างมากก็ได้แต่แตะต้องตัวคุณเท่านั้น”

สามีโดยพฤตินัย..เขาพูดอะไรออกมานะ

“เวลาที่คุณนอนกับผู้หญิงคนไหน คุณจะอ้างว่าเป็นสามีโดยพฤตินัยของพวกเธอทุกคนหรือเปล่า”

“ไม่อ้างกับโสเภณีกับผู้หญิงที่มีสามีตามกฎหมาย”

ผู้หญิงคนล่าสุดของเมธวัชร์ กฤติกาลักษณ์อย่างอองรี มากาเร็ตเต้เป็นโสเภณี เพราะขนบธรรมเนียมการจ่ายค่าตัวของโสเภณีชั้นสูงของตะวันตก นอกจากจะจ่ายเป็นตัวเงินแล้ว ฝ่ายชายอาจต้องซื้อเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับอย่างหรูหรามาเอาใจเธออีกด้วย ฉันไม่แปลกใจที่ชายโสดจะนอนกับโสเภณีในบางครั้งบางคราและไม่ถือสาถ้าผู้ชายจะจ่ายเงินเพื่อซื้อเซ็กส์ในกรณีนั้น แต่สำหรับ ‘ผู้หญิงที่มีสามีตามกฎหมาย’ ฉันยอมรับว่าฉันยังไม่เข้าใจแต่ในความรู้สึกก็ยังไม่สนิทใจมากพอที่จะปรักปรำเขาว่า..เขาชอบเป็นชายชู้

เหมือนฉันเพิ่งรู้ตัวว่าฉันยังไม่รู้จักเขาดีพอที่จะตัดสินใจอะไรได้ ทั้งที่ฉันนอนกับเขาแล้ว ฉันเลิกกับเขาแล้ว

“ถ้าหักลบโสเภณีกับผู้หญิงที่มีสามีตามกฎหมาย คุณยังมีผู้หญิงอีกกี่คน”

“คุณไม่ใช่ผู้หญิงของผมแล้ว คุณจะรู้ไปทำไม”

เมธวัชร์พูดถูก ถ้าฉันตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับเขาแล้ว ฉันก็ไม่ควรรู้เรื่องของเขาอีก

“ฉันจะออกไปจากบ้านหลังนี้”

ฉันรวบรวมความกล้าหาญพูดออกไปอย่างนั้นทั้งที่ยังจำได้ว่าเมธวัชร์ได้ฉันมาอย่างไร เขาขู่ว่าจะทำร้ายคนที่ฉันรู้จัก โดยเฉพาะพ่อแม่กับเพื่อนของฉันถ้าฉันไม่นอนกับเขา

“ถ้าคุณโกรธที่ฉันทำอย่างนี้ คุณก็ควรที่จะทำร้ายฉันมากกว่าใคร”

เขาดึงฉันขึ้นมาจากน้ำ มาวางไว้บนตักของตัวเองแล้วกระซิบถาม

“เพชรลดา คุณหายปวดท้องหรือยัง”

“ยังค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ไม่ใจร้ายจะไล่คุณออกจากบ้านทั้งที่คุณกำลังปวดท้องอยู่”

“คุณไม่เคยใจร้ายกับฉัน” ฉันหลุดปากออกไปตามที่ใจคิด “ถึงแม้ว่าคุณจะขู่หรือคุณจะเอาแต่ใจ แต่คุณก็ไม่เคยทำร้ายฉันสักครั้ง”

ปลายนิ้วของเขาช้อนคางของฉัน แล้วริมฝีปากของเขาก็ทาบลงบนริมฝีปากของฉัน มันเป็นจูบที่ผ่าวร้อนแต่เจือด้วยความขมขื่นอย่างแปลกประหลาด หัวใจของฉันเต้นสะท้อนด้วยความโศกเศร้าอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ และฉันก็หวาดกลัวความรู้สึกนั้น มันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ฉันปรารถนาจะควบคุมมันไว้เพราะที่แล้วมา ฉันไม่เคยควบคุมมันได้ ฉันไม่อาจกำหนดจุดเริ่มหรือจุดจบของมัน และเมื่อมันจบลงโดยที่ฉันยังแหวกว่ายในห้วงสุข ฉันก็เหมือนกับนกที่ตกลงมากระแทกดิน เจ็บปวดสาหัสนัก

ฉันไม่อยากมีวันนั้นอีก แต่จูบของเขากลับไม่หวานน้อยลงเลย

“ผมต้องไปกรุงเทพฯวันนี้ และอาจต้องอยู่ที่นั่นเป็นเดือน ถ้าคุณอยากออกไปจากบ้านหลังนี้ ผมก็จะไม่ห้าม แต่พักอยู่ที่นี่สักสี่ห้าวันจนกว่าอาการของคุณจะหายขาด แล้วค่อยไป..ผมจะบอกให้คนไปส่งคุณ”







หลังจากเมธวัชร์หลังจากเขาไปกรุงเทพฯได้สามวัน ฉันก็ออกจากบ้านของเขารวมทั้งปฏิเสธห้องชุดสุดหรูที่ลูกน้องของเขาหามาให้เพราะฉันไม่มีทางจ่ายในราคานั้นได้ ฉันออกมาหาห้องเช่าและในที่สุดก็พบห้องที่ถูกใจ ราคาที่ทำใจจ่ายได้

“ห้องเดียวที่เหลือค่ะ แย่ที่ว่าไม่ได้ติดเหล็กดัดหรือว่ามุ้งลวดเอาไว้ เพราะหน้าต่างมีขนาดใหญ่มาก”

ห้องนี้เป็นสไตล์มินิมอลลิสต์แบบจีน หน้าต่างสามบานติดกันและมีสองด้านรวมเป็นหกบาน แต่ละบานทั้งสูงและกว้างใกล้ๆขนาดประตู กรอบหน้าต่างเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนกับสีของประตูและเฟอร์นิเจอร์ไม้ทุกชิ้นในห้อง เข้ากันได้ดีกับผนังสีเหลืองจาง เป็นการเล่นสีในโทนร้อนไม่ใช่โทนเย็น

ฉันมองเตียงไม้ หัวเตียงไม่มีอะไรหรูหรา เป็นแค่ลายซี่ไม้ตั้งเรียงในแนวดิ่ง

เรียบง่ายในสไตล์วินเทจ

“ฉันชอบห้องนี้ค่ะ”

“ตกลงเช่านะคะ”

“ค่ะ”

เจ้าของตึกยิ้มกว้าง “ดิฉันไม่อยากเอาเปรียบลูกค้า อันที่จริงห้องนี้ ตั้งแต่ดิฉันได้ตึกนี้มาไม่เคยมีใครเช่าค่ะ เพราะไม่มีเหล็กดัด ไม่มีมุ้งลวด ไม่สามารถเปิดหน้าต่างตอนกลางคืนได้เพราะยุงอาจจะเข้ามารบกวน แต่ถ้าเปิดตอนกลางวันอย่างนี้ คุณจะเห็นว่าวิวที่มองเห็นสวนพักผ่อนในตอนกลางวันนั้นสวยมาก มันเป็นสาเหตุที่ดิฉันไม่อยากติดมุ้งลวดหรือเหล็กดัดจนบดบังวิวสวยๆแบบนี้”

“ฉันก็ชอบมันเพราะเหตุนี้แหละค่ะ”

“เยี่ยมเลยค่ะ เอ่อ..คุณเพชรลดาจะสั่งให้ติดแอร์ฯไหมคะ เรื่องนี้นี้ดิฉันคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรและจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้ค่ะ”

สามเดือนข้างหน้ายังไม่ถึงหน้าร้อน ฉันจึงสั่งในระงับโครงการนี้ไว้ก่อน

หลังจากทำสัญญาเช่าเสร็จสิ้น ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ นึกถึงสายตาของเจ้าของตึกที่มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าหลังจากที่ฉันมายืนหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับแขก ฉันอยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวกระโปรงบานคลุมเข่าสีน้ำเงินลายดอกคาเมเลียสีขาว สวมรองเท้าพัมพ์สีดำส้นสูง ความชอบในแฟชั่นคลาสสิกวินเทจของฉันอันเป็นรสนิยมที่อาจเชยเหลือหลายสำหรับผู้หญิงหลายคนในยุคนี้ทำให้เจ้าของตึกรีบพาฉันมาดูห้องเพราะคิดว่าฉันต้องชอบห้องนี้แน่ๆ

เขาคิดถูก ฉันชอบห้องนี้จริงๆ

“มันอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ดิฉันเห็นอย่างนี้แล้วไม่สงสัยแล้วว่าทำไมคุณเพชรลดาตกลงเช่าห้องนี้ คุณเหมาะสมกับห้องนี้จริงๆค่ะ”

ขนาดหนึ่งในสาวใช้จากบ้านของเมธวัชร์ที่ลากกระเป๋าเดินทางของฉันขึ้นมายังพูดอย่างนั้น พวกเธอช่วยกันนำเสื้อผ้าในกระเป๋าไปแขวนไว้ในตู้และนำกล่องเครื่องสำอางใบเล็กและกระเป๋าที่ฉันใช้ใส่สกินแคร์กับน้ำหอมไปวางไว้บนโต๊ะริมหน้าต่างด้านหนึ่งเพราะในห้องนี้ไม่มีโต๊ะเครื่องแป้งและฉันก็ไม่จำเป็นต้องใช้มัน

“คุณเพชรลดา ไม่ปวดท้องแล้วนะคะ”

สาวใช้ถามไถ่เพราะเมธวัชร์สั่งให้ฉันพักอยู่ที่บ้านของเขาห้าวัน แต่ฉันดื้อรั้นออกมาในวันที่สาม ปฏิเสธห้องชุดในคอนโดฯที่เขาพร้อมจะจ่ายเงินซื้อให้แล้วออกมาตระเวนหาห้องเช่าด้วยตัวเอง โชคดีที่ฉันเจอห้องถูกใจตั้งแต่ที่แรก

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”

หลังจากคนจากบ้านหลังนั้นกลับไป ฉันก็เดียวดายอยู่ในห้อง เดียวดายอยู่บนเก้าอี้ทั้งที่ยังมีอะไรทำเพราะในตู้เย็นขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในครัวไม้ขนาดจิ๋วยังไม่มีเครื่องดื่มอะไร เตียงยังไม่มีผ้าปูที่นอน หมอนยังไม่มีปลอก เคาน์เตอร์ยังไม่มีชุดถ้วยกาแฟ จานชาม ช้อนหรือชาสักห่อทั้งที่เจ้าของตึกบอกว่าฉันสามารถทำอาหารทานเองได้เพราะมีเตาไฟฟ้า หม้อเคลือบ กระทะเทฟรอนและเครื่องครัวอื่นๆเตรียมไว้แล้ว

ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา โทร.หาบก. ถามว่าหนังสือของฉันเป็นอย่างไรบ้าง เธอบอกว่าหนังสือของฉันจะวางแผนในเดือนหน้า และฉันจะได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์ในเดือนถัดไป ฉันบอกเธอไปแล้วว่าฉันไม่ต้องการงานเปิดตัวหนังสือ หลังจากพยายามอิดออดไปพักใหญ่ ฉันก็ตกปากรับคำไปว่าฉันจะไปร่วมงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติช่วงต้นปีหน้า

จากนั้นความเงียบงันก็กลับมาเยือนอีก

อันที่จริง การอยู่คนเดียวนั้นมีเรื่องให้ทำมากมายแต่กลับไม่มีกะจิตกะใจจะทำจนฉันต้องบังคับตัวเองให้เขียนข้าวของที่ต้องการอย่างผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน แก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ จาน ชาม ฯลฯลงบนหลังบิลค่าเช่าห้องที่จ่ายล่วงหน้าทีเดียวสามเดือน ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายและก้าวออกไปจากห้อง

ระหว่างลงบันได ฉันได้รับโทรศัพท์อีกครั้งหนึ่ง

เมธวัชร์โทร.มา

“ฝากซื้อของเผื่อผมด้วยนะ ถ้วยกาแฟ จาน ชาม ช้อน เพราะผมก็เบื่อบ้านผมเต็มทนแล้วเหมือนกัน”

เขาโทร.มาแค่นั้น ไม่ถึงหนึ่งนาทีแล้วก็รีบวางสายหนีฉันไป ฉันถอนหายใจก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาแก้ไขรายการแก้วน้ำ ชุดถ้วยกาแฟและชุดช้อนส้อมจากหนึ่งชุดเป็นสองชุดทั้งหมด







วิรงรองโทร.หาฉันหลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ในขณะที่ฉันกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง คิดถึงนวนิยายในอนาคตที่จะต้องสอยลงมาอยู่ในปัจจุบันอีกไม่นานไม่ช้าของตนเองและนั่งฟังเพลงรักที่หลุดลอยของนันทรักษ์ กุลพงษ์วดี เพลงที่ฉันเคยคิดว่ามันน่ากลัวแต่ที่จริง ฉันฟังตอนนี้มันก็ซึ้งดีเหมือนกัน

วิรงรองโทร.มา ไม่มีอะไร ไม่ถามอะไรเกี่ยวกับชีวิตหรือการงานของฉัน นอกจากจะนัดแนะว่าจะไปทานข้าวหรือไปเข้าผับกับเธอหรือเปล่าซึ่งฉันก็ปฏิเสธไป เพราะเวลาที่ฉันปรารถนาจะอยู่กับงานของตัวเอง ฉันก็ไม่อยากอยู่กับใครเหมือนกันซึ่งคงมีแค่วิรงรองเท่านั้นที่เข้าใจฉันในเรื่องนี้

ฉันมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง ตั้งแต่เด็กจนโต มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของชะตาฟ้าลิขิตที่ครอบครัวของฉันไม่ได้มีสภาพเหมือนครอบครัวในฝันที่พ่อแม่พบปะอยู่กันพร้อมหน้า อยู่ร่วมกันด้วยความรักและความอบอุ่น ฉันจึงเติบโตขึ้นมาอย่างมีอิสระเพราะพ่อแม่ไม่เคยแตะต้องชีวิตของฉัน ไม่มีคำปลอบในวันที่ฉันร้องไห้ และไม่มีคำชื่นชมในวันที่ฉันประสบความสำเร็จ ทุกวันเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบเชียบและหลายครั้งที่รู้สึกว่าทุกอย่างถูกปิดบังซ่อนเร้นอยู่แต่ไม่มีใครกล้าพูดมันออกมา หากตอนนี้ฉันยังอยู่บ้าน คงกำลังวิ่งเสิร์ฟทุกอย่างให้แขกในร้าน ในขณะที่แม่ทำอาหารและพ่อทำเครื่องดื่ม

หลังจากปิดร้าน พวกเราก็จะทานอาหารอย่างเงียบเชียบ หากจะคุยก็จะเป็นเรื่องคุยเกี่ยวกับงานของฉันกับงานของพ่อ จากนั้นพ่อก็จะหันหน้าเข้าหาผ้าใบพร้อมแม่ที่เป็นผู้ช่วย ส่วนฉันก็กลับเข้าไปในห้องและเริ่มเขียนนวนิยาย

บางทีการที่ฉันเริ่มเขียนนวนิยาย อาจเป็นเพราะฉันต้องการใครสักคนไว้คุยด้วย คุยเรื่องความรัก ชีวิต สังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ การมีอยู่หรือเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น ฉันเขียนทั้งนวนิยาย บทความ บทกวีและสมุดไดอารี่ อาจเป็นเพราะฉันเหงามากเกินไป ถึงแม้ว่าฉันจะมีพ่อแม่ที่เข้าใจและมีเพื่อนหรืออาจจะมีคนรักในบางเวลา แต่ก็เหมือนมีกำแพงบางๆที่กั้นกลางระหว่างพวกเขากับฉันไว้ตลอด ฉันเป็นตัวของตัวเอง รับผิดชอบความรู้สึกของตัวเองและอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกใบเดียวกันกับคนทั้งโลกแต่ก็เหมือนโลกคนละใบ

ฉันเคยหาคำตอบให้กับความรู้สึกนั้น และก็เหมือนได้คำตอบ คำตอบที่เหมือนคำสาปจากฟ้า หลายครั้งฉันแสลงใจกับสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ‘พรสวรรค์’ และรู้สึกเงียบเหงาขึ้นมาทันทีที่มีคนถามว่า ‘ทำอย่างไรถึงจะเป็นนักเขียนที่เขียนงานได้ประทับใจและฝังลึกอยู่ในความทรงจำของผู้คนหรือเป็นศิลปินที่สามารถสร้างงานศิลปะได้อย่างยอดเยี่ยม’ ฉันนึกถึงตัวเอง นึกถึงพ่อแม่ของฉันซึ่งพวกท่านล้วนมี ‘พรสวรรค์’ทั้งคู่ แต่ฉันไม่เคยตอบคำถามนั้นได้ อาจเป็นเพราะฉันยังเยาว์วัยมากเกินไป ยังไม่ได้รับคำตอบที่แท้จริงจากชีวิตหรือยังไม่ตอบไปตามที่ใจตัวเองคิด ‘ถ้าคุณอยากครอบครองพรสวรรค์ขนาดนั้น คุณกล้าขายวิญญาณให้ซาตานไหม’

ครั้งหนึ่ง ฉันเคยนั่งนิ่งๆ มองแผ่นหลังของพ่อที่กำลังร่ายลายเส้นและลายสีจากฝีแปรงลงบนผ้าใบ และแผ่นหลังของแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ สิ่งหนึ่งที่รู้ว่าพวกเขาทำงานโดยที่ ‘ไม่มีฉันอยู่ตรงนั้น’ เลย ฉันจึงเข้าใจว่าคนที่จะเป็นเหมือนพ่อแม่ของฉันได้อาจต้องเป็นคนที่พระเจ้าเลือก หากมนุษย์ทั่วไปมีโลกอยู่เพียงโลกเดียวคือโลกใบนี้ โลกที่ตัวเองมีปฏิสัมพันธ์อยู่ คนที่เกิดมาเป็นศิลปินจะมีโลกอยู่สองโลก โลกใบนี้และโลกส่วนตัวที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง ทั้งความเป็นตัวของตัวเอง ความคิดสร้างสรรค์และงานศิลป์จะเติบโตอยู่ในโลกลึกลับใบนั้น ในขณะที่โลกใบนี้เป็นตัวชี้วัดความแตกต่างระหว่างตัวตนของเขากับคนทั่วไป เป็นดินแดนที่อัตตาอาจเติบโตหรือล่มสลายเพราะความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับ

สำหรับฉันแล้ว จิตใจของศิลปินมีโครงสร้างเหมือนกับคนวิกลจริต อันที่จริงการมีชีวิตของศิลปินก็คือการรู้ซึ้งและต่อสู้กับความวิกลจริตของตนเอง มีโลกอยู่สองใบ หากสามารถเชื่อมโยงและค้นหาเส้นทางติดต่อกับโลกทั้งสองใบเข้าด้วยกันได้ เขาจะกลายเป็นศิลปินที่ผู้คนเข้าใจในเนื้องานของเขาและเขาก็จะได้รับการยอมรับ แต่ถ้าทำไม่ได้ วิญญาณของเขาก็จะถูกขังอยู่ในโลกของตัวเอง โดดเดี่ยว โศกเศร้า คร่ำครวญอยู่ในนั้นจนชั่วนิรันดร์และจะไม่มีใครในโลกใบนี้สามารถรับรู้และเข้าใจความเจ็บปวดนั้นได้เลย







ฉันนั่งมองวิวนอกหน้าต่าง หมุนปากกาหมึกซึมสีดำในมือเล่นก่อนจะวางลง หยิบเอาเอกสารที่ปริ้นต์ข้อมูลมาจากอินเตอร์เนตมาอ่าน ข้อมูลเรื่องประวัติศาสตร์และบทแปลจารึกของศาสนาโบราณ เป็นเรื่องที่ฉันขำตัวเองว่าการที่ฉันเติบโตมาพร้อมกับหนังสือและความเงียบของตัวเองก็ทำให้ฉันเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อย ชอบสงสัยและไม่ใคร่จะเชื่ออะไรใครง่ายๆ และบางครั้งมันก็สงสัยจนลุกลามกันเป็นเรื่องเป็นราวและเพราะฉันไม่มีโอกาสที่จะเล่าให้ใครฟัง ฉันก็เลยเขียนและเขียน

การเขียนนวนิยายที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์เป็นงานยากอย่างสาหัสก็จริง แต่เพราะความที่มันเป็นเรื่องของชาวบ้านและมีโครงเรื่องคร่าวๆอยู่แล้ว มันจึงช่วยให้ฉันไม่สูญแรงไปกับการคิดมากเท่าการเขียนนวนิยายร่วมสมัยและนวนิยายแฟนตาซี และทำให้ฉันไม่มีเวลานั่งฟุ้งซ่านเพราะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ตนเองจะเขียนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้นฉันจึงชอบเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ หรือไม่ก็อิงเรื่องยากๆอย่างการตีความเทวปกรณัม ก็ตอนที่..ไม่อยากจะสนใจชีวิตของตัวเองหรือสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกในยุคปัจจุบันนัก

อะไรคือเหตุผลที่ฉันอยากจะลืม ฉันไม่อยากคิดถึงมัน แต่ระหว่างที่ฉันกำลังอ่านข้อมูลประวัติศาสตร์เพื่อหาไอเดียในการเขียน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา ฉันจึงเดินไปเปิดประตู

เมธวัชร์สวมเสื้อคอเต่าสีดำแขนยาวและกางเกงยีนส์ขายาวสีเดียวกันยืนอยู่ตรงหน้า ฉันไม่เคยเห็นเขาแต่งตัวแบบนี้แต่เขาลดอายุตัวเองได้สิบปีเลยทีเดียวเมื่อสวมชุดนี้

“ผมหนีมาและผมคิดว่าผมควรหนีมาหาคุณก่อนที่ผมจะเป็นบ้าไปเสียก่อน”

“มีคนรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่นะคะ เขาอาจจะเดาได้ว่าคุณมา”

“ถ้าเป็นคนของผม ผมสั่งไว้แล้วว่าอย่าให้พวกฤติกาลักษณ์รู้แม้แต่คำเดียว แล้วนี่..ของฝาก”

เขายื่นกล่องคุกกี้สิงคโปร์ให้ฉัน

“แวะซื้อมาจากสนามบิน คิดว่ามาขอกาแฟของคุณกิน ถ้าไม่มีอะไรติดมือมาเลย กลัวว่าคุณจะปิดประตูใส่หน้าผม”

“ฉันจะบอกว่าไม่ไกลจากที่นี่มีร้านกาแฟค่ะ”

ฉันรับกล่องคุกกี้จากมือเขา ปล่อยให้เขาลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาและปิดประตูเอง

เขายืนอยู่ตรงหน้าต่างแล้วพูดว่า “วิวสวย”

ฉันเปิดตู้เก็บของและหยิบถ้วยกาแฟที่ซื้อมาอีกชุดหนึ่งมารินกาแฟจากกาให้เขา

“คุณทำอะไรอยู่ เพชรลดา”

“กำลังหาพล็อตนิยายเรื่องใหม่อยู่ค่ะ นิยายอิงประวัติศาสตร์”

“ผมเคยอ่านหนังสือของคุณแล้ว และคิดว่าคุณจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนโลกได้ด้วยตัวอักษร”

ฉันยกกาแฟพร้อมกับจานใส่คุกกี้มาให้เขา มองผู้ชายตรงหน้าอีกครั้งและถึงแม้ว่าเขากับเมธวัชร์ กฤติกาลักษณ์จะหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่ดูเหมือนไม่ใช่เมธวัชร์คนเดิม

“ในความคิดของคุณ ฉันเป็นผู้หญิงหัวรั้นหรือคะ”

“มากพอมีเสน่ห์ ผมไม่ชอบผู้หญิงหัวอ่อน”

เขามองฉัน จิบกาแฟแล้วยิ้ม และรอยยิ้มในแสงตะวันของเขานั้น..ใสกระจ่างน่าประทับใจเกินรอยยิ้มใด

“คุณจำได้ว่าผมชอบกาแฟดำ”

“คุณดื่มกาแฟต่อหน้าฉันสองครั้งแล้วค่ะ”

“ไปเที่ยวกันไหม ผมอยากไปเที่ยวทะเล”

“ฉันไม่แน่ใจว่าคุณจะมีเวลาพาฉันไปเที่ยวทะเล”

“ผมจะปล่อยให้พวกเขาปั่นป่วนสักสองสัปดาห์ และนั่นเป็นเวลาเที่ยวของผม”

ฉันถอนหายใจ นอกจากเขาจะลดภาพลักษณ์ลงไปสักสิบปี เขาลดนิสัยของตัวเองลงไปสิบปีหรืออาจจะยี่สิบปีด้วย

“ไปพัทยากันไหม”

“คุณขึ้นมาถึงเชียงใหม่เพื่อมาชวนฉันไปเที่ยวพัทยาหรือคะ”

“ถ้าเข้าท่า ผมจะใช้มันเป็นข้ออ้างที่อุตส่าห์ขึ้นเครื่องบินมาพบหน้าคุณ”

หลังจากกาแฟหมดถ้วยและคุกกี้พร่องไปกว่าครึ่ง เมธวัชร์ก็เดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงของฉัน ซบหน้าลงกับหมอนและหลับสนิทอยู่ในชุดนั้น ฉันนั่งอ่านประวัติศาสตร์และบันทึกข้อมูลส่วนสำคัญใส่สมุดเล่มเล็กไว้ หันไปมองเขาที่กำลังหลับอยู่ครั้งหนึ่งและก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำอย่างนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง พยายามหันกลับมาทำงานของตัวเอง พยายามไม่คิดเรื่องของเขา ไม่คิดว่าเขากลับมาเพื่ออะไร ไม่คิดว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนแปลงไป ไม่คิดว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้

หลังจากอ่านปึกใหญ่ที่สุดจบ ก็เป็นเวลาใกล้เย็น ฉันปิดหน้าต่างตรงหน้าและเว้นอีกด้านไว้ก่อนเพราะยังต้องการแสงสว่างอยู่

เขาตื่นขึ้นมางัวเงียถาม

“ออกไปกินข้าวเย็นข้างนอกกันไหม”

“ฉันจะทำอาหาร คุณล่ะ”

“กินที่คุณทำ”

เมธวัชร์เปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบเสื้อผ้าออกมาชุดหนึ่งและเดินเข้าห้องน้ำ ฉันเข้าครัว ทำก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ้วและนำกล่องใส่ของหวานอย่างเต้าหู้นมสด ใส่ลูกชิดและวุ้นมะพร้าวออกมาจากตู้เย็นมาตักใส่ถ้วยเล็กๆ

“ไปเที่ยวผับที่นิมมานเหมินทร์กันไหม”

ฉันส่งเครื่องปรุงให้เขาพลางส่ายหน้า

“คุณหนีมาเที่ยวจริงๆเลยใช่ไหม”

“เที่ยวอย่างจริงจัง เพราะผมเครียดกับงานอย่างจริงจังมานานพอแล้ว ภาณุภัทรหมักงานไว้เป็นโหล ผมไปถึงกรุงเทพฯ หยิบปากกาขึ้นมายังไม่รู้ว่าจะเซ็นแผ่นไหนก่อน ทุกอย่างเร่งด่วนไปหมด”

ฉันเงียบมองเขาที่กำลังกินก๋วยเตี๋ยวผัด จนเขาพูด

“เป็นอะไรไป”

“ฉันไม่นึกว่าคุณจะขี้บ่น”

เขาส่ายหน้ายิ้มๆ

“ถ้าผมบ่นให้คุณฟังคนเดียวจะเรียกว่าขี้บ่นไหม”

“ถ้าอย่างนั้น..ก็ไม่ค่ะ”

“ขอบคุณ เพราะคำพูดที่ผมอยากพูดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ผมพูดกับใครไม่ได้”

ฉันไม่แปลกใจเรื่องนั้น เมธวัชร์พูดกับคนอื่น ลูกน้องของเขา ผู้หญิงคนอื่นซึ่งอาจจะรวมฉันด้วยเมื่อก่อนหน้านี้..เท่ากับสิบเปอร์เซ็นต์ของคนทั่วไปจริงๆ

“คุณเปลี่ยนไปเยอะนะคะ”

เขาเงยหน้าขึ้นมา มองฉัน

“แล้วคุณชอบหรือเปล่า”

อันที่จริงทั้งดวงหน้าและแววตาของเมธวัชร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนับจากวันแรกที่ฉันเจอเขา เขามีดวงหน้าของเทวดา มีแววตาของงูและจิตใจของมฤตยูในบางครั้ง แต่ฉันไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไร แม้เกือบจะหลุดปากออกไปว่าฉันชอบคุณอย่างที่คุณเป็น แต่ใจก็ย้อนแย้งขึ้นมาทันควันว่าฉันชอบเขาหรือ..ฉันชอบผู้ชายคนนี้จริงๆหรือ

“ฉันเลิกกับคุณแล้ว”

“ถ้าเป็นนักฟุตบอล ถึงเขาจะถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม แต่ก็ใช่ว่าเกมส์ต่อไป เขาจะลงเล่นไม่ได้นี่”

ฉันวางช้อนในมือและคิดว่าตัวเองคงกินไม่ลง

“คุณเมธวัชร์ คุณต้องการอะไร หรือคุณโกรธที่ฉันบอกเลิกคุณ”

“ผมไม่ได้โกรธและจะไม่คิดว่าจะเข้าใจคุณด้วย แต่สิ่งที่ผมอดคิดและท้ายที่สุดก็อดแน่ใจไม่ได้ที่คุณทำอย่างนั้นก็เพราะว่าคุณรักผม”

“คุณคิดเข้าข้างตัวเองมากไป”

คำพูดหลุดออกจากฉันทันควันราวกับถูกเตรียมการเอาไว้ อันที่จริงมันก็ถูก..คำพูดนั้นถูกเตรียมเอาไว้นานแล้ว..ในใจฉัน..หากว่าวันหนึ่งเขาเข้าใจว่าหรือเขาพูดออกมาว่า ‘ฉันรักเขา’ ฉันจะไม่ฟัง ไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรและจะสวนกลับไปด้วยประโยคนี้

“ผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง แต่มันมีเหตุผลที่ทำให้ผมคิดอย่างนั้น เพชรลดา แววตาที่คุณมองผมและเซ็กส์ของเรามีความหมายกับผมมากกว่าสิ่งที่คุณกำลังพูดและกำลังทำ”

“เซ็กส์ก็คือเซ็กส์” ฉันพูด

“เซ็กส์ไม่เคยเป็นแค่เซ็กส์” เขาพูด

ฉันไม่อยากเชื่อว่าผู้ชายอย่างเขาจะพูดอย่างนั้นออกมาได้ ก็พวกผู้ชายไม่ใช่หรือที่บอกออกมาเองว่าเซ็กส์เป็นแค่เซ็กส์ ร่างกายกับจิตใจของพวกเขาถูกแยกออกจากกัน เขานอนกับผู้หญิงทั้งที่ไม่ได้รักได้

เขาวางช้อนกับส้อมลงบนจานที่ว่างเปล่า ดื่มน้ำและถอนหายใจยาว

“คุณคิดว่าคุณรู้จักผู้ชายดีแค่ไหน”

ฉันไม่คิด

“แล้วคุณเมธวัชร์ คุณคิดว่าคุณรู้จักผู้หญิงดีแค่ไหน”

“พวกเธอมีหน้าอกนุ่มๆที่ผมไม่มี แล้วก็..” เขาเลื่อนถ้วยขนมหวานมากิน “มีกายภาพที่แตกต่างจากผู้ชาย บ้างก็ผอมบาง บ้างก็อวบอัด เต็มไม้เต็มมือเหมือนคุณ”

“แค่นั้นหรือคะ”

“แค่นั้น”

แล้วเขาก็สนอกสนใจกับขนมหวานจนหมดถ้วย

ฉันนั่งมองอาหารที่ยังเหลืออยู่ในจาน บางอย่างในความรู้สึกทำให้ฉันหัวเราะออกมา อาจเป็นความสงสารหรือสมเพชตัวเองก็ได้ แต่แปลกใจเหลือเกินความสมเพชนั้นไม่ได้ทำให้ฉันอยากร้องไห้ ฉันอยากหัวเราะมากกว่า

ฉันรู้จักผู้ชายดีแค่ไหน

ฉันคิดว่าฉันรู้จักผู้ชายดีแค่ไหน

“ฉันคิดว่าฉันคงรู้จักผู้ชายเท่าที่คุณรู้จักผู้หญิง”

“จริงๆแล้ว ผมไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชายที่รู้จักผู้หญิงดี เพราะผู้หญิงที่ผมอยากจะรู้จักมีแค่คุณ ผมไม่อยากรู้จักผู้หญิงที่ผมไม่ได้สนใจ” เขาดื่มน้ำอีกครั้งและวางแก้วเปล่าลง

“และคำถาม ตอนนี้ ผมมายืนตรงหน้าคุณแล้ว คุณจะหลบอยู่ ‘ในนั้น’อีกนานไหม”

ฉันไม่ตอบ และลุกขึ้นเก็บจานชามช้อน ถ้วยและแก้วน้ำไปล้าง เขาตามมา

“ไปเที่ยวผับกับผมไหม ผมไม่อยากไปคนเดียว”

ฉันพยักหน้ารับ “ค่ะ”

ฉันอาบน้ำและใส่ชุดเดรสสั้นสีดำตามที่เขาเลือกให้ ด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมจะพาคุณไปฟังเปียโนที่ผับ ใส่ชุดนี้ไปดีกว่า”

ฉันเปลี่ยนชุดและออกมาแต่งหน้า เมธวัชร์นอนอยู่บนเตียง โทรศัพท์มือถือทาบอยู่กับหูและเขาฟังอย่างเดียวก่อนจะพูดว่า “อืม รู้แล้ว” แล้วกดวางสาย

ฉันเริ่มแต้มเบสเมคอัพลงบนใบหน้า แม้ใจหนึ่งอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรกับเขา แต่มันอาจไม่ใช่เรื่องดีที่จะถามออกไป

เขาพาฉันไปนั่งแท็กซี่ไปยังผับชื่อดังบนถนนนิมมานเหมินทร์ ระหว่างนั้นเขากระซิบบอกฉันว่า

“หลังจากที่ผมมาบ้านในคืนนั้น ถ้าคุณไม่กินยานอนหลับ ตอนเช้า..คุณไม่เป็นอย่างนั้นและไม่มีเรื่องด่วนที่พวกบ้านั่นเอามาสุมหัวผมก่อน ผมวางแผนแล้วว่าจะกลับมาเมคเลิฟกับคุณติดต่อกันสักห้าหกวัน”

ฉันอิงอยู่กับอกเขา เขาจูบหน้าผากของฉัน ลมหายใจอุ่นๆของเขาทำให้ฉันเคลิบเคลิ้มเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน

“ผมเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ๆก็..คิดถึงคุณ”

“เพราะคุณมัวแต่ทำงานจนไม่ได้ออกไปหาผู้หญิงอื่นกระมังคะ”

“เปล่า พวกนั้นหาผู้หญิงมาให้ผมสี่คน”

“พวกเธอไม่สวยหรือคะ”

“ไม่รู้สิ แต่ผมไม่ชอบสักคน”

ความฝันที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนในค่ำคืนนี้คงยังยาวนานและไม่หยุดสิ้น แม้แต่ตอนที่ฉันเอียงกายแอบอิงอยู่กับร่างของเมธวัชร์ ดื่มลิ้มไวน์องุ่นกลิ่นหอมกรุ่นและหลับตาฟังเสียงเปียโนอยู่ในอ้อมอกของเขา

มีเสียงผู้ชายร้องเพลงคลอไปเสียงเปียโน แต่ในระยะใกล้กว่า ฉันก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มปานปุยนุ่นของเมธวัชร์ร้องเพลงนั้นอยู่ข้างหู


She...
may be the face I can't forget
The trace of pleasure or regret
May be my treasure or the price…
…I have to pay

She…
may be the song that summer sings
May be the chill that autumn brings
May be a hundred different things
Within the measure of a day

She…
may be the beauty or the beast
May be the famine or the feast
May turn each day into a heaven
…or a hell

She…
may be the mirror of my dreams
The smile reflected in a stream
She may not be what she may seem
Inside her shell

She…
who always seems so happy in a crowd
Whose eyes can be so private and so proud
No-one's allowed to see them
…when they cry

She..
may be the love that cannot hope to last
Beckons indeed from shadows of the past
That I'll remember 'til the day I die

She…
may be the reason I survive
The why and wherefore I'm alive
The one I'll care for through the rough and ready years

Me, I'll take her laughter and her tears
And make them all my souvenirs
For when she goes I've got to be
The meaning of my life is…she

ริมฝีปากของเขาแตะลงบนผิวหน้า แตะซับหยาดน้ำตาของฉัน มือของเขากุมมือของฉันไว้ นิ้วของเขาแทรกอยู่ระหว่างนิ้วของฉัน กอบกุมกันและกันเอาไว้

“ถ้าคนแต่งเพลงนี้ไม่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้ ผมจะแต่งเพลงนี้ให้คุณ”

“คุณก็แต่งเป็นภาษาไทยสิคะ”

“ผมไม่ใช่คุณนะ เพชรลดา ผมเล่นกับตัวเลขได้แต่ทำอะไรกับตัวอักษรไม่ได้หรอก”

ฉันหัวเราะเบาๆ แต่หัวใจของฉันเต้นอย่างอ่อนล้าเหลือทนเพราะฉันคิดว่าฉันรู้..เขากลับมาทำไม
“คุณเมธวัชร์ คุณพูดอย่างนี้ แสดงออกอย่างนี้ก็เพื่อทำให้ฉันหลงใหลใฝ่ฝันในตัวคุณ เพื่อที่จะทำให้คุณมีความสุขที่สุดเมื่อคุณร่วมรักกับฉัน หากคุณจะเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าความรัก ก็แล้วแต่คุณเถอะค่ะ”

“ถ้าแล้วแต่ผม ผมจะคิดว่าคุณรักผม”

“มีผู้หญิงมากมายที่รักคุณ”

มือของเขาลูบไล้ต้นแขนของฉัน เสียงของผู้หญิงร้องเพลงคลอกับเสียงเปียโนแต่ฉันจับความไม่ได้ว่าเธอร้องเพลงอะไร แต่ก็ฟังเพลินดีเหมือนกัน

“ไหน”

“อะไรคะ”

“ผู้หญิงมากมายที่รักผม”

“นักร้องสาวบนเวทีกำลังมองคุณอยู่”

“เธอแค่มองผม เธอไม่ได้รักผม”

“ถ้าคุณขึ้นเตียงกับเธอคืนนี้ เธอจะรักคุณ”

เขามองฉัน นัยน์ตาระยับพราว

“ถ้าคุณคิดว่าผู้หญิงที่ขึ้นเตียงกับผมจะรักผมทุกคน แล้วคุณล่ะ”

ฉันมองเขา เต็มตา

“ขอโทษค่ะ เราเคยรู้จักกันด้วยหรือคะ”

เขาวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะดังปึ่งแล้วดึงฉันไปจูบ จูบและจูบ จูบรสไวน์องุ่นที่หวานปานมีมนต์ขลัง จูบไปแล้วกี่ครั้งก็ไม่อาจทราบได้ รู้แต่ว่าฉันอ่อนระทวยไปด้วยฤทธิ์ไวน์และฤทธิ์ของริมฝีปากคู่นั้นจนแทบจะไม่สามารถทรงตัวอยู่บนรองเท้าส้นสูงและคงลงไปนอนกับพื้นหากเมธวัชร์ไม่ลุกขึ้นมารับร่างของฉันไว้ทัน

“จะไปห้องน้ำไหวไหมนี่”

“ไหวค่ะ..ไหว” ฉันตอบแล้วก็ครึ้มอกครึ้มใจยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่ไวน์ขวดเดียวเท่านั้น”

ฉันได้ยินเสียงเขาหัวเราะ

“ถอดรองเท้าเถอะ เพชรลดา ผมกลัวคุณจะหัวทิ่มอยู่ตรงนี้”

“คุณเมธวัชร์ คุณสั่งให้ฉันถอดรองเท้าในที่สาธารณะ คุณสั่งให้ฉันถอดเสื้อผ้าเสียยังดีกว่า”

“งั้นคุณใส่รองเท้า ผมจะอุ้มคุณไป”

“ให้ตายสิ ฉันบอกว่าฉันเดินได้ ฉัน-เดิน-ด้ายยยยย”

ฉันบังคับขาให้เดินอยู่บนรองเท้าคู่โปรดจนไปถึงหน้ากระจกในห้องน้ำ นอกจากตาที่เริ่มจะแดงก่ำและลิปสติกที่เริ่มที่เลือนๆเลอะๆแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ฉันหยิบกระดาษทิชชูในกระเป๋าออกมาเช็ดปากแล้วหัวเราะ เพราะก่อนหน้านี้ฉันก็เพิ่งใช้กระดาษทิชชูแผ่นเดียวกันเช็ดคราบลิปสติกของฉันบนริมฝีปากของเขา ที่ปรึกษาความงามของคริสเตียน ดิออร์บอกว่าลิปสติกเนื้อแมทต์สีแดงก่ำแบบนี้เหมาะกับผิวสีทองของฉัน แต่ฉันว่า..ตอนสีแดงแบบนี้อยู่บนริมฝีปากของเมธวัชร์..ดูสวยและเหมาะกับผิวขาวๆเกลี้ยงๆของเขามากกว่าฉันหลายเท่า

ความจริง ฉันไม่อยากมีความสุขถึงขนาดนี้หรอกนะ

“ขอโทษนะคะ คุณ..”

ฉันหันหน้ามา คนทักเป็นผู้หญิงแปลกหน้าสำหรับฉัน แต่จากแววตาของคนตรงหน้า ฉันคงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา

“เธอ..จริงๆด้วย”

“ขอโทษค่ะ เราเคยรู้จักกันด้วยหรือคะ”

น่าตลกจัง ประโยคที่แกล้งเมธวัชร์เมื่อครู่นี้ กลับต้องนำมาพูดจริงๆ

“เธอจำฉันไม่ได้หรือ”

ฉันส่ายหน้า “จำไม่ได้ค่ะ”

“ไม่แปลกที่เธอจำฉันไม่ได้ ฉันลดน้ำหนักลงไปสิบกิโล ผิวขาวขึ้น ผมก็ยืดแล้วก็ย้อม”

ฉันพยักหน้าหงึกๆทั้งที่นึกไม่ออกว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร

“ฉันทำชั้นตา จมูกและหน้าอกใหม่ เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะนะ แต่ก็ดูสวยใช่ไหมล่ะ”

“สวยค่ะ”

สาวสวยเบื้องหน้าฉันหัวเราะเสียงไพเราะเชียว

“เธอยังเย็นชาไม่เปลี่ยนเลยนะ เพชรลดา ถึงเธอจะเป็นเพื่อนกับวิรงรองแต่เธอก็ไม่เหมือนกับผู้หญิงคนนั้นหรอก เธอมันหน้าตาบ้านๆ กำพืดก็ชั้นต่ำ ทำมาอวดดีหยิ่งยโสเชิดหน้าใช้วาจาเหมือนชนชั้นไฮโซเหมือนเพื่อนหัวสูงของเธอ มันไม่เนียนหรอกนะ”

“ฉันมีการศึกษา”

คำพูดนี้ทำเอาเธอหัวเราะลั่นเลย

“จ้ะ แม่คนมีการศึกษา ฉันจะบอกอะไรให้ น้ำหน้าอย่างเธอไม่มีวันได้เข้ามาเหยียบผับแห่งนี้ได้หรอกถ้าเธอ

ไม่มากับผู้ชายที่มีบัตรสมาชิกระดับวีไอพี แล้วจะให้ฉันคิดอย่างไร ถ้าเธอไม่ได้เข้ามาเพราะบัตรสมาชิกของตัวเอง เธอก็ต้องถูกผู้ชายรวยๆสักคนหิ้วเข้ามา แล้วไงล่ะ..แม่คนมีการศึกษาจ๊ะ เธอลืมศักดิ์ศรีของเธอแล้วหรือไร”

ตาฉันพร่าๆ ไม่น่าเคลิบเคลิ้มไปกับหนุ่มหล่อนามสกุลกฤติกาลักษณ์เลย ฉันล่อไวน์ไปกี่ขวดกัน สมองถึงมึนทึบจนนึกอะไรไม่ออก

ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน

“จำได้ไหม พวกเธอเคยดูถูกว่าฉันเป็นพวกคลั่งวัตถุจนขายได้แม้กระทั่งเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง” เธอยิ้มหวานจนฉันขนลุก “แต่เพชรลดา ฉันไม่ว่าอะไรเธอหรอกเพราะฉันเข้าใจเธอนะ คนอย่างวิรงรองไม่มีวันรู้ซึ้งถึงหัวอกของพวกเรา แล้วมันผิดอะไรที่เราจะอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ จริงไหม”

ฉันยิ้มให้เธอ ป่วยการที่จะนึกแล้ว ปวดหัว กลับไปหาเมธวัชร์ดีกว่า

“ผมจะพาคุณกลับห้อง” เขามารอรับฉันหน้าห้องน้ำ โอบเอวพาฉันเดินแล้วกระซิบ “ควบคุมขาคุณหน่อยสิ ที่รัก”

‘ที่รัก’ ถ้าเมธวัชร์ไม่เมา ก็เป็นฉันเอง..ที่เมา

“ฉันจะ..พยายาม..ค่ะ”

เขาลากฉันขึ้นแท็กซี่แล้วก็ลากลงเมื่อมาถึงที่หมาย ฉันรู้ว่ามาถึงห้องก็เมื่อแสงไฟสว่างวาบเข้าตา ประตูถูกปิดลงล็อก แล้วเขาก็กอดฉันไว้ในอ้อมอก

“คุณเมธวัชร์ เราเลิกกันแล้วนะคะ”

“แล้วไง”

“คุณกลับมาทำไม”

“กลับมาหาคุณ”

ฉันล้มลงไปบนเตียง เขาก็ล้มลงมาบนเตียง ฉันกลิ้งไปหาหมอน เขาขึ้นคร่อมร่างฉัน

“คุณเมธวัชร์ ฉันไม่อยากให้คุณนอนกับฉันฟรีๆอีกแล้ว ฉันเบื่อที่จะอยู่ในความทรงจำของผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยที่ผู้ชายจะไม่ลืมฉันในตอนที่เขาไม่อยู่กับฉัน และถ้าต่อไปฉันจะกลายเป็นความทรงจำของคุณอีกคน ก็ให้มันจบเสียตรงนี้..ดีกว่า”

“ผมต้องการคุณ”

“ถ้าคุณอยากจะนอนกับฉาน..เรามา..ตกลงกันก่อน ถ้าคุณจะนอนกับฉันคืน..เน้! คุณต้องแต่งงานกับฉัน!”

“เพชรลดา”

“แต่งไหมเล่า! ถ้าไม่แต่งก็ไสหัวไปซะ!”

เขาเงียบไป ส่วนฉันมึนๆ นอนดีกว่า ได้ยินเขาพูดแว่วๆว่า

“งั้นไอ้นี่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วสินะ”

ฉันกอดหมอน ชั่วอึดใจหมอนก็ถูกดึงออกไป มือแข็งแรงของใครสักคนถอดเสื้อผ้าของฉัน ถอดจนหมดแล้วมือคู่นั้นก็กลับมาประคองใบหน้าของฉัน

“ยินดีต้อนรับสู่อ้อมแขนของผมอีกครั้ง เพชรลดา”

รู้อะไรไหมคะ พระเจ้า..มากกว่าจูบของเขา สิ่งที่ฉันหลงใหลที่สุดคือเสียงของเขาที่เรียกชื่อของฉัน เสียงทุ้มต่ำที่แม้จะเผด็จการแต่ยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอยู่เต็มเปี่ยม

จูบร้อนๆแตะแต้มลงบนผิวกายของฉัน มือของเขาลูบไล้ไปทั่วผิวกายของฉัน และฉันก็รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น รู้ด้วยว่ามันจะเริ่มต้นและจบลงอย่างไร

“คุณเมธวัชร์ คุณแต่งงานกับฉันเถิดนะคะ ฉันไม่อยากรักผู้ชายที่ฉันไม่ได้แต่งงานอีกแล้ว มันทรมาน ฉันไม่อยากรักคุณแค่ครึ่งเดียว”

เสียงกระซิบของเขาร้อนผ่าวแหบพร่า

“แล้วใครสั่งให้คุณรักผมแค่ครึ่งเดียว”

“ฉันสั่งตัวเอง ฉันบังคับตัวเอง ฉันไม่อยากเสียใจในวันที่คุณไม่ได้..อยู่กับฉัน เพราะฉะนั้น..” ฉันอ้าแขนโอบกอดเขา “แต่งงานกับฉันเถอะนะคะ”

“ตกลง แต่งก็แต่ง”

ริมฝีปากของฉันถูกปิดด้วยริมฝีปากอุ่นเกือบร้อน จากนั้นสติสัมปัญญะของฉันก็ถูกปิดกั้นด้วยห้วงอารมณ์อันร้อนแรง เหมือนเปลวไฟที่ลุกลามไหม้จากภายในของฉันทะลุถึงภายนอก ทั้งร้อนทั้งชื่นฉ่ำ ครั้งแล้วครั้งเล่าจนฉันหลอมละลายไปในอ้อมแขนของเขา

**
เพชรลดาเมาค่ะ พรุ่งนี้เช้าสนุกแน่



สร้อยดอกหมาก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2554, 13:10:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2554, 22:59:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 6001





<< ตอนที่ 9 : เมื่อใดที่ผู้หญิงคนหนึ่งปักใจจะไขว่คว้าผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อนั้นจะไม่มีใครในโลกนี้สามารถประเมินศักยภาพของเธอ   ตอนที่ 11 She...may be the beauty or the beast. >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 20 พ.ค. 2554, 13:28:23 น.
เจิมก่อนเลย..เดี๋ยวว่าง ๆ จะกลับมาอ่านครับ...


ปิลันธน์ 20 พ.ค. 2554, 14:21:28 น.
ชอบค่ะ^^ ทุกครั้งที่เข้ามา จะเปิดดูตลอดว่าคุณสร้อยมาลงต่อหรือยัง...


roseolar 20 พ.ค. 2554, 14:38:24 น.
กรี๊ดดด ชอบคำพูดนางเอก ขอโทษค่ะ เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอคะ เท่ห์โดนใจสุดๆไปเลย


Auuuu 20 พ.ค. 2554, 14:44:48 น.
ว้าวววววว ชอบๆ :)


mw 20 พ.ค. 2554, 14:47:42 น.
อืมมม เลิกไม่เลิกวะนี่


sai 20 พ.ค. 2554, 15:32:44 น.
อ่านแล้วคิดตามเลย คุณสร้อยเขียนออกมาตรงกับความรู้สึกเราตอนนี้จังเลยแหะ หึหึ


แว่นใส 20 พ.ค. 2554, 16:22:16 น.
คู่นี้เข้าใจยากจัง


saralun 20 พ.ค. 2554, 17:21:43 น.
ชอบ ๆ ๆ คะ...แล้วมาต่ออักนะคะ!!!


MYsister 20 พ.ค. 2554, 17:43:37 น.
ชอบเรื่องนี้มากกกกก ชีวิตมันชั่งลึกลับ


anOO 20 พ.ค. 2554, 17:49:34 น.
พูดออกไปแบบนั้น เลยโดนทำโทษเลยไหม
เดี๋ยวคงจะโดนอีกเยอะ จนกว่าจะยอมรับรักเต็มปากเต็มคำ


ปลากัด 20 พ.ค. 2554, 18:12:12 น.
Like ค่ะ


ศศิริษา 20 พ.ค. 2554, 18:45:09 น.
ขอก๊อบคำพูดของ ปิลันธน์ค่ะ ^^


ทราย 20 พ.ค. 2554, 18:58:48 น.
รออ่านอยู่นะคะ คุณสร้อยยยย


หมี่เย็น 20 พ.ค. 2554, 20:20:44 น.
อ่านตอนที่ยังไม่ได้แก้แล้วมาอ่านตอนที่แก้แล้ว อืมมม รู้สึกดีกว่านะอันที่แก้แล้ว^^
ชีวิตรักนี่ช่างซับซ้อนจริงๆ รอตอนต่อไปค่ะ


Pat 20 พ.ค. 2554, 21:18:55 น.
อึม อืม อืม พูดไม่ออกบอกไม่ถูก อิอิ ครี่งหลังที่แก้ตอนที่แล้ว ทำให้อารมณ์เปลี่ยนเลยค่ะ หายเศร้าแล้วยังนึกขันคุณเมธวัชร์อีก


yayee62 20 พ.ค. 2554, 21:47:55 น.
โอยเลือดกำเดาจะกระฉูดดดด


หมี่เย็น 20 พ.ค. 2554, 22:56:46 น.
ละลายยยยย อร๊ายยยยยยยยย คุณเมธวัชร์ใจง่ายชะมัดผู้หญิงขอแต่งงานนี่ไม่มีเล่นตัวบ้างเล้ยยย ฮ่าๆๆ


ใจใส 21 พ.ค. 2554, 00:19:34 น.
55 มาเร็วๆนะคะอยากรู้ว่าตอนเช้านางเอกตื่นมาแล้วจะเป็นยังไง


Auuuu 21 พ.ค. 2554, 00:33:48 น.
เจอคู่ปรับเก่าซะแล้วนางเอก


ชูมาน 21 พ.ค. 2554, 00:41:52 น.
คุณสร้อยฯคะ ได้โปรดรู้ไว้เถอะค่ะ เมื่อคุณทิ้งท้ายไว้ที่ฉากนี้..
คุณได้ทำให้นักอ่านอย่างดิฉัน รอคอยและเฝ้าคอยตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อทีเดียวเชียวค่ะ


pandepam 21 พ.ค. 2554, 01:05:08 น.
ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ555+


omelate 21 พ.ค. 2554, 14:50:24 น.
ชอบนางเอกจัง


bow 21 พ.ค. 2554, 20:58:07 น.
เนื่องจากกด like ตอนที่แล้วเพิ่มอีกครั้งไม่ได้..

เลยมาขอขอบคุณคุณสร้อยฯ ทั้งสำหรับตอนแก้และตอนใหม่นี้มากๆ เลยค่่ะ :)

แทบจะรอตอนต่อไปไม่ไหวแล้วนะคะเนี่ย! <3


roseolar 21 พ.ค. 2554, 22:48:56 น.
โอ้วววว!!!!
เพชรลดาช่างกล้า ขอเมธวัชร์แต่งงานได้ด้วย
แล้วคำตอบก็คือ ตกลง
รอพรุ่งนี้เช้าค่าาาาา


ณิณ 21 พ.ค. 2554, 23:28:03 น.
555 อยากอ่าน 20 หน้านั้นจริงๆ


saralun 22 พ.ค. 2554, 12:09:50 น.
เย้ ๆ ๆ ชอบนางเอกที่สุด ฮ่า ๆ ๆ


yunjaelover 22 พ.ค. 2554, 22:00:05 น.
เมื่อไหร่จะวางขายคะ อยากได้อะ


Setia 24 พ.ค. 2554, 22:32:23 น.
เอิ่ม แบบว่า ไม่รู้จะพูดยังไงดีที่เจ๊แกเมาจนคิดอะไรไม่ออกและขอผู้ชายแต่งงาน


มะดัน 2 มิ.ย. 2554, 13:26:20 น.
แร๊วงงงงง


honor 9 มิ.ย. 2554, 18:04:42 น.
พลิกผลันอีกแล้ว นึกว่าเมธวัชต้องเป็นฝ่ายขอแต่งงาน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account