กฤตยามหาภูต โดย ตารกา (รอวางแผง)
"มหาสงครามแห่งเทพและอสูรกำลังจะอุบัติขึ้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือใช้ศิวะตรีศูล อาวุธเทพในตำนาน ผู้เดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดคือเธอ เทวีแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งกลับมาจุติใหม่โดยไร้ความทรงจำในอดีตชาติ"



เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ

ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)

แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)

บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่

ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป

หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^

Tags: แฟนตาซี ผจญภัย เทพ เทวี ปีศาจ วรรณกรรมเยาวชน ความรัก ปริศนา อดีตชาติ

ตอน: ตอนที่ 3 ผนึกความทรงจำ : บทที่ 1 บทกวี

ตอนที่ 3 ผนึกความทรงจำ

บทที่ 1 บทกวี

ตั้งแต่ได้ประลองกับวายุเทพวิชชุตาก็เริ่มฝันประหลาด ทุกอย่างมักจะเริ่มต้นขึ้นที่ห้องหรูหราไม่คุ้นตา มีข้ารับใช้แต่งกายแบบคนโบราณคอยปรนนิบัติรับใช้ ทุกคราที่ฝันเหตุการณ์ต่างๆ มักไม่ปะติดปะต่อราวกับได้มองเศษเสี้ยวของความทรงจำเพียงชั่วครู่ แล้วชิ้นส่วนของความทรงจำนั้นก็เปลี่ยนไป กลายเป็นชิ้นส่วนของความทรงจำอื่น

หญิงสาวฝันว่าตัวเองกำลังฝึกดาบ แล้วอยู่ๆ รอบตัวก็เปลี่ยนไปกลายเป็นภาพงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ ในความฝันเธอแตะต้องอาหารได้ไม่กี่คำเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปอีก กลายเป็นเธอนั่งคุยกับผู้หญิงแปลกหน้าอย่างออกรส

วิชชุตาฝันอย่างนี้เกือบทุกคืนจนในคืนที่หกความฝันของเธอก็เปลี่ยนไป ครั้งนี้วิชชุตากลายเป็นผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ไม่ได้มีส่วนร่วมเหมือนทุกที

เธอเห็นเด็กชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งเล่นด้วยกัน ใบหน้าของทั้งสองดูพร่าเบลอจนมองไม่เห็น แต่วิชชุตากลับมั่นใจว่าเด็กสองคนนี้เป็นพี่น้องกันทั้งยังเป็นคู่พี่น้องฝาแฝดชายหญิงอีกด้วย หญิงสาวเฝ้ามองเด็กน้อยทำทุกอย่างร่วมกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ความรักและความผูกพันของสองพี่น้องทำให้เธอต้องอมยิ้มเสียหลายครั้งหลายครา

พอดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเด็กสองทั้งสองก็พาเธอมาที่ห้องห้องหนึ่ง พอสังเกตโดยรอบก็จำได้ว่ามันคือห้องนอนในความฝันที่เธอเห็นอยู่ทุกคืน

“ดึกแล้ว เจ้ารีบนอนเถอะ” เด็กชายเอ่ยขณะจูงมือน้องสาวมาส่งที่เตียงนอน

เด็กหญิงนั่งลงบนขอบเตียงแล้วยึดมือพี่ชายเอาไว้แน่น

“ท่านพี่อย่าเพิ่งไปเลย ข้าไม่อยากอยู่คนเดียว”

“พี่จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเจ้าจะนอนหลับ อย่าห่วงเลยพี่ไม่ได้หนีหายไปไหนหรอก พรุ่งนี้เดี๋ยวเราก็ได้พบกันอีก”

พอได้ฟังเด็กหญิงก็ยอมคลายมือออก ดวงตากลมเต็มไปด้วยความหดหู่ยามทอดสายตามองมายังพี่ชาย

“ข้าไม่อยากนอนคนเดียวเลย ทำไมเราสองคนต้องแยกห้องนอนกันด้วยก็ไม่รู้”

“ก็เพราะเจ้ากับพี่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วน่ะสิ เจ้าไม่อยากถูกหาว่าเป็นเด็กน้อยมิใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหัดนอนคนเดียวให้ได้” คนเป็นพี่ลูบหัวปลอบ

“ตอนนี้แค่แยกห้อง อีกหน่อยอาจจะต้องไปอยู่ที่อื่น ถ้าจะต้องถูกพรากจากท่านพี่ข้าไม่ขอโตเป็นผู้ใหญ่เลยดีกว่า”

กล่าวจบเด็กหญิงก็ส่งเสียงสะอื้น เด็กชายจึงดึงตัวน้องสาวมาโอบกอดไว้

“นิ่งเสียเถิดนะเด็กขี้แย พี่สัญญาว่าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่กับเจ้าตลอดไป”

“จริงๆ นะ ท่านพี่ห้ามโกหกข้านะ” เด็กหญิงช้อนตาขึ้นมามองทั้งน้ำตา

“พี่ไม่เคยโกหกเจ้าเจ้าก็รู้ พี่ขอสาบานว่าไม่ยอมให้อะไรมาพรากเราจากกัน”

คำมั่นของเด็กชายทำให้วิชชุตารู้สึกสะท้อนในอกอย่างประหลาด บางสิ่งบอกให้เธอรู้ว่าคำว่าตลอดไปไม่มีจริง สุดท้ายแล้วพี่น้องที่รักกันมากคู่นี้ก็ต้องแยกจากกัน

ท่ามกลางความสลัว เธอเห็นเด็กหญิงผล็อยหลับไปในที่สุด เมื่อพี่ชายห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องปล่อยมือ

ภาพมือคู่น้อยหลุดจากกันยังคงติดตาวิชชุตาอยู่แม้กระทั่งตอนตื่น มันทำให้เธอรู้สึกเศร้าลึกๆ อยู่ในอก เช้านี้หญิงสาวจึงมิใคร่จะสดชื่นนัก

เธอซึมไปทั้งเช้าจนกระทั่งบ่ายจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้รับโทรศัพท์จากไตรภพ

“นายหายไปไหนของนายมายะ อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ติดต่อไม่ได้เลย” หญิงสาวเปิดฉากแหวใส่ในทันทีที่ได้ยินเสียงเขา

แม่บอกว่าเขามาสั่งงดไม่ให้ทำอาหารไปส่งอย่างไม่มีกำหนดแล้วขับรถหายออกไปจากบ้าน พฤติกรรมของเขาคล้ายกับตอนก่อนที่ลุงพิทักษ์จะหายไปไม่มีผิด เธอก็เลยเป็นกังวลว่าเขาจะหายไปอีกคน

“ขอโทษที พอดีมีธุระเร่งด่วนต้องไปอินเดียกะทันหัน”

ระยะนี้ไตรภพมัวยุ่งอยู่กับการเดินทางก็เลยไม่สะดวกจะติดต่อกลับ คิดอยู่เหมือนกันว่าแม่หนูจอมโวยจะต้องโมโหแน่

“อินเดีย? นายไปทำอะไรที่นั่น” วิชชุตาขึ้นเสียงแหลมปรี๊ด

นายไตรไปต่างประเทศทั้งทีไม่บอกเธอสักคำ มันน่าซัดสักตุ๊บสองตุ๊บให้หายเคืองจริงๆ เชียว

“เรื่องมันยาว ไว้เจอกันค่อยเล่าก็แล้วกัน เลิกเรียนกี่โมงจะไปรับ”

“นายอยู่พิษณุโลกงั้นเหรอ ตอนนี้ว่างแล้วรีบมารับเลย วันนี้ไม่มีเรียนบ่าย”

พอรู้ว่าเขาจะมาหาวิชชุตาก็คล้ายความโกรธลง เปลี่ยนเป็นดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้นเพราะไม่ได้เจอพี่ชายคนเช่าบ้านคนนี้มาเดือนเศษแล้ว

“ตอนนี้อยู่หน้าหอแล้วครับคุณหนู ชวนนิกับเพื่อนมาด้วยก็ได้นะเดี๋ยวพาไปเลี้ยงไอติม”

เมื่อได้ยินดังนั้นวิชชุตาก็ผุดลุกจากเก้าอี้ไปชวนเพื่อนทั้งสองคนให้ออกไปข้างนอกด้วยกัน

“เค้าไปไม่ได้หรอก จนกว่าไอ้นี่จะหายไปเค้ากินอะไรนอกโปรแกรมไม่ได้ทั้งนั้น” พัชราวดีพูดพลางบีบชั้นไขมันตรงหน้าท้องให้เพื่อนดู “ฮื่อ…ฝากบอกพี่ไตรด้วยนะว่าเค้าอยากไปมากๆ เลย” หญิงสาวคร่ำครวญอย่างแสนเสียดาย

พัชราวดีเผลอกินขนมขบเคี้ยวเพลินจนน้ำหนักขึ้นมาสี่กิโลกรัมในช่วงเวลาเพียงแค่สิบกว่าวัน หญิงสาวจึงปฏิญาณกับตัวเองว่าจะงดของหวานทุกชนิดจนกว่าน้ำหนักจะกลับสู่สภาวะปกติ

วิชชุตาจึงไปชวนนิศารัตน์ เคาะห้องเรียกแล้วไม่มีคนเปิดเธอเลยถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนเข้าไป ปรากฏว่าเพื่อนสาวกับวารัคคนีกำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

“รุกฆาต!” วารัคคนีว่าแล้วใช้พลังเคลื่อนเรือไปประชิดขุนของนิศารัตน์

“ขี้โกงนี่ เรือบ้าอะไรเดินทแยงได้” นิศารัตน์โวยวาย

“ทีโคนเจ้ายังเดินได้ตั้งหกทิศ ข้าไม่เห็นว่าอะไร”

“ก็ได้ เล่นอย่างนี้ใช่ไหม” หญิงสาวเข่นเขี้ยวแล้วลากขุนของตัวเองไปจนสุดกระดาน “รุกฆาตเหมือนกัน”

วิชชุตามองการเล่นหมากรุกแบบพิสดารแล้วก็หัวเราะขำ คู่นี้เล่นกันไปทะเลาะกันไปอย่างนี้มาหลายวันแล้วแต่ก็ยังเล่นด้วยกันได้ ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกเล่นกันง่ายๆ เสียด้วย

“นิกับวารัคคนีไปกินไอติมกันไหม” วิชชุตาเอ่ยชวน

“อีกเดี๋ยวเดียว ขอชนะตาลุงขี้โกงก่อน/สักครู่ขอรับนายหญิง ข้าจะชนะอยู่แล้ว” หนึ่งคนกับหนึ่งอันเอ่ยขึ้นแทบจะพร้อมกัน

ดูจากอาการไม่ยอมลงให้กันของทั้งคู่ ท่าทางมันจะไม่เดี๋ยวอย่างที่ว่า วิชชุตาก็เลยกลับห้องไปเปลี่ยนชุดแล้วหยิบกระเป๋าใบเล็กออกไปข้างนอกคนเดียว

วิชชุตาไม่เอะใจเลยสักนิดว่าระยะนี้วารัคคนีแทบไม่ได้อยู่บนข้อมือของเธอเลย มันเลือกที่จะอยู่ใกล้นิศารัตน์มากกว่า

ที่แรกนิศารัตน์ก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน เธอคิดว่ามันมาหาเรื่องทะเลาะด้วยเหมือนทุกที แต่กลับกลายเป็นว่าวารัคคนีมาขลุกอยู่กับเธอทั้งวัน หลายครั้งมากเข้าหญิงสาวก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล พอวิชชุตาออกไปเธอจึงเลิกเล่นหมากรุกแล้วเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยทันที

“ทำไมระยะนี้นายถึงหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับฟ้า เกิดอะไรขึ้น”

ได้ฟังคำถามของมนุษย์น้อยอาวุธเทพก็นิ่งไป มันกำลังตรึกตรองว่าควรจะบอกความจริงดีหรือไม่

“มันเกี่ยวข้องกับพลังในตัวฟ้าสินะ” นิศารัตน์เปรย

เธอสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังไหลเอ่อออกมาจากตัวของเพื่อน วิชชุตาเหมือนท่อน้ำที่กำลังรั่ว ยิ่งแรงน้ำดันให้ท่อปริแตกออกมามากเท่าไร กระแสพลังที่เธอสัมผัสได้ก็รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

“ถูกต้อง…การต่อสู้กับวายุเทพคราวก่อนทำให้พลังที่ถูกสะกดไว้ของนายหญิงทะลักออกมา นายหญิงจะต้องเรียนรู้การควบคุมพลังส่วนนี้ให้ได้ด้วยสัญชาตญาณของตนเอง ข้าจึงจะสามารถชี้แนะขั้นต่อไปให้ได้”

วารัคคนีตัดสินใจอธิบายอย่างคร่าวๆ เนื่องจากมันได้เรียนรู้ว่ามนุษย์น้อยเจ้าปัญหารายนี้มีพลังในอ่านใจที่กล้าแข็ง การเปิดเผยเรื่องราวให้นางรู้จนกว่าจะหายคาใจเป็นผลดีกว่าการปิดบังมาก

“ฉันว่าฟ้ายังควบคุมพลังไม่ค่อยได้นะ บางทีเหมือนมันก็ทะลักออกมาเยอะมากเลย แต่บางทีก็ไหลแค่เอื่อยๆ”

“นั่นเป็นเพราะข้าคือตัวกระตุ้น อาวุธเทพอย่างข้าถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงพลังส่วนเกินนี้ออกมาสะสมไว้ แม้นายหญิงไม่ได้เรียกใช้ก็ยังมีสายพลังอ่อนๆ ไหลมาอยู่ในตัวข้า ข้าก็เลยจำเป็นจะต้องมาอยู่กับเจ้าอย่างไรเล่า หมดเรื่องแล้วจะเล่นหมากรุกต่อได้รึยัง”

การสนทนาควรจะจบลงเพียงเท่านั้น แต่นิศารัตน์ก็ยังไม่วายสงสัยว่าทำไมวารัคคนีต้องมาอยู่กับเธอ อยู่ในลิ้นชักหรืออยู่ในตู้เฉยๆ ไม่ได้หรือไง เพราะอย่างไรก็ไม่ได้สัมผัสตัววิชชุตาเหมือนกัน

“ข้ากับนายหญิงต่อให้อยู่ห่างกันเพียงไหนก็ส่งพลังถึงกันได้ ทว่าเมื่อข้าอยู่กับเจ้าสายพลังนี้กลับถูกตัดขาด หากนายหญิงไม่เรียกหา ข้าก็รับพลังจากนายหญิงไม่ได้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครหรือเป็นเทพองค์ใดมาจุติ รู้แต่ว่าตัวเจ้ามีพลังที่ทำให้มนตรากับพระเวทต่างๆ เสื่อมฤทธิ์ลงได้ มีอะไรจะถามอีกรึเปล่า” วารัคคนีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บ่งว่าเริ่มจะรำคาญแม่หนูจำไมคนนี้แล้ว

นิศารัตน์จึงส่ายหน้าแล้วเริ่มเล่นหมากรุกแบบพิสดารด้วยกันอีกครั้ง กติกาคือผลัดกันเดินคนละตาแต่จะเดินตัวหมากแต่ละชนิดอย่างใดนั้น เป็นเรื่องที่ผู้เล่นทั้งสองจะต้องถกกันเพื่อหาข้อยุติอีกทีหนึ่ง


ไตรภพพาวิชชุตาขับรถเข้าเมืองมากินไอศกรีมในร้านดังที่ห้างสรรพสินค้า ในเมื่อมีคนเลี้ยงทั้งทีหญิงสาวเลยสั่งมาชามโตเผื่อเพื่อนทั้งสองคนที่ไม่ได้มา

“สั่งมาแล้วก็ต้องกินให้หมดนะรู้ไหม ไม่อย่างนั้นจะให้จ่ายเองจริงๆ ด้วย” ไตรภพแกล้งขู่ มือก็ตักไอศกรีมรสกาแฟตรงหน้าเข้าปากไปด้วย

“สบายมาก อย่าลืมเลี้ยงข้าวเย็นด้วยล่ะ ชดเชยที่ไปถึงอินเดียแต่ไม่มีของฝาก”

“ตะกละจริงนะยัยลูกหมู”

“เด็กกำลังโตต่างหาก” หญิงสาวเชิดหน้าแล้วเอาช้อนชี้ไปที่ตัวไตรภพ “อธิบายมาได้แล้วว่านายไปทำอะไรที่อินเดีย”

“ไปเอาเจ้านี่มาน่ะสิ”

ชายหนุ่มหยิบเอาสมุดปกหนังเล่มใหญ่จากกระเป๋าสะพายออกมาวางไว้ตรงหน้าวิชชุตา มันดูเก่าโทรมแต่สภาพโดยรวมก็ยังดีอยู่ คะเนอายุการใช้งานแล้วน่าจะไม่เกินสิบปี พอลองเปิดดูพบเป็นว่ามันเป็นสมุดบันทึกเขียนด้วยตัวหนังสือภาษาไทย ดูแล้วไม่น่าจะใช่ของมีค่าที่ต้องลงทุนบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเอามาเลย

“สมุดบันทึกของใครเหรอ”

“ลุงพิทักษ์”

“นายเจอลุงแล้วอย่างนั้นเหรอ” วิชชุตาเผลอโพล่งออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว คนในร้านก็เลยหันมามองเป็นตาเดียว หญิงสาวจึงลดระดับเสียงลงแล้วดึงแขนเสื้อไตรภพเป็นเชิงเร่งให้ตอบคำถาม

“ยังไม่เจอหรอกแต่ในนี้ก็พอมีเบาะแสอยู่บ้าง อ่านดูแล้วมีหลายชื่อเหมือนกันที่ฉันไม่รู้จัก ถ้าลองตามหาคนในบันทึกดู อาจจะมีคนรู้ก็ได้ว่าลุงหายไปไหน”

ชื่อที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดคือชื่อ ‘อดัม’ ในหน้าสุดท้ายของบันทึก ลุงเขียนว่าจะไปพบกับคนชื่ออดัมเพื่อไปรับของที่ไหว้วานให้หาให้ หลังจากนั้นสองสัปดาห์ก็ไม่มีใครพบเห็นท่านอีกเลย

“ถ้าเจอคุณลุงเร็วๆ ก็ดีสิ คุณลุงนะคุณลุงหายไปไหนของเขานะ ไม่รู้หรือไงว่าทำให้ใครๆ พากันเป็นห่วง”

ถึงตอนลุงพิทักษ์หายตัวไปเธอจะยังเด็กแต่เธอก็จำคุณลุงใจดีคนนี้ได้แม่น วิชชุตาขาดพ่อก็เลยรักลุงพิทักษ์มาก เธอรู้ว่าคุณลุงมาเช่าบ้านอยู่ก็เพราะว่าหลงรักแม่ ก็เลยแอบเชียร์อยู่เสมอ ทั้งยังเฝ้าคอยให้คุณลุงได้กลายมาเป็นพ่อจริงๆ ของเธอสักวัน แต่แล้วคุณลุงกลับหายสาบสูญไปไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย แม้ใครๆ จะพากันบอกว่าลุงพิทักษ์อาจจะตายไปแล้วแต่วิชชุตาก็ไม่เคยเชื่อ ในส่วนลึกแล้วหญิงสาวมั่นใจว่าคุณลุงจะต้องยังอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ๆ เพียงแต่มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถติดต่อคนอื่นได้เท่านั้น

“นั่นสินะ เป็นตาลุงหัวหงอกที่นิสัยแย่มากจริงๆ เลย” ไตรภพร่วมผสมโรงด้วยก็เลยโดนย้อนเข้าให้ดอกใหญ่

“นายก็เหมือนกันนั่นแหละ จะไปไหนมาไหนไม่บอกกล่าวกันสักคำ”

ถ้าได้เปิดฉากบ่นแล้ววิชชุตามักจะบ่นไม่หยุด ไตรภพจึงต้องรีบหาทางบ่ายเบี่ยงเสียก่อน

“เป็นเด็กอย่าบ่นเป็นยายแก่น่า รีบๆ กินเข้าเร็ว ไอติมละลายหมดแล้วนะ”

จริงอย่างที่เขาพูด เธอมัวแต่คุยไอศกรีมหลากรสจึงเริ่มจะละลายผสมกัน หญิงสาวจึงรีบตักรสที่ชอบเข้าปาก ระหว่างที่เธอกำลังกินนี้วิชชุตาก็ให้เขาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่าไปได้บันทึกของลุงพิทักษ์มาจากไหน แล้วทำไมมันถึงได้ไปอยู่ที่อินเดียได้

ไตรภพจึงเล่าให้ฟังว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อนเขาได้เจอเพื่อนของลุงที่ชื่อปองพล เลยได้รู้ว่าก่อนที่ลุงจะหายตัวไปลุงมาพักอยู่ที่บ้านของเพื่อนคนนี้และลืมสมุดบันทึกไว้ เนื่องจากปองพลไม่มีที่อยู่ของลุงพิทักษ์ จึงฝากเพื่อนอีกคนนำไปคืนให้เพราะเห็นว่าสนิทกัน ปัจจุบันเพื่อนคนนี้ทำงานเป็นทูตอยู่ที่อินเดีย ครั้งล่าสุดที่ปองพลคุยด้วยเขาก็ยังเก็บสมุดบันทึกของนายพิทักษ์ไว้อย่างดีแทนของต่างหน้า เนื่องจากปลงใจเชื่อว่าเพื่อนได้เสียชีวิตไปแล้ว

ไตรภพจึงลองติดต่อไปยังสถานทูตดูแต่ปรากฏว่าติดต่อไม่ได้ ชายหนุ่มใจร้อนก็เลยตัดสินใจทำเรื่องขอวีซ่าแล้วเดินทางไปอินเดียเลย ท่านทูตดูจะตกใจไม่น้อยอยู่เหมือนกันที่อยู่ๆ เขาก็โผล่มาขอพบโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า กระนั้นท่านก็ยังให้พบและมอบสมุดบันทึกที่เก็บรักษามาตลอดหกปีมาให้เขาโดยไม่บ่ายเบี่ยง

“เธอรู้จักใครที่ชื่อเสือกับอดัมบ้างรึเปล่า สองคนนี้ฉันไม่รู้จัก ตอนลุงหายไปเลยไม่ได้ลองติดต่อดู” ไตรภพลองถามดูแม้จะไม่คาดหวังว่าเด็กอย่างวิชชุตาจะจำได้ก็ตาม

“อดัมไม่คุ้นเลย แต่เสือนี่คลับคล้ายคลับคลานะ คุ้นมากๆ เลย” วิชชุตาย่นหัวคิ้วอย่างตรึกตรอง ในอดีตเธอเคยได้ยินชื่อนี้หลายครั้ง แต่ความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขากลับว่างเปล่า

“ถ้าให้เดาเขาคงเป็นนักโบราณคดีไม่ก็พวกภาษาศาสตร์ ฟังแล้วคุ้นบ้างไหม”

ไตรภพคิดไปแบบนั้นเพราะว่าในบันทึกลุงของเขาไหว้วานให้เพื่อนคนนี้แปลเอกสารที่เป็นภาษาโบราณหลายครั้ง

“ไม่รู้สิ คุ้นจริงๆ นะ แต่จำอะไรไม่ได้เลย ขอโทษนะนายไตร” วิชชุตาเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นเธอยังเด็กนี่นา จำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ลองอ่านบันทึกหน้านี้ดูไหม เผื่อจะนึกอะไรออกได้บ้าง”

ไตรภพเลื่อนบันทึกหน้าที่เขียนถึงคนชื่อเสือไว้ให้วิชชุตาอ่าน ข้อความในนั้นเป็นบันทึกเกี่ยวกับการถอดความอักขระโบราณจากศิลาจารึก ที่ลุงพิทักษ์ไหว้วานให้เพื่อนชื่อเสือช่วยปรับแต่งข้อความให้สมบูรณ์ พอรู้ว่ามันเป็นศิลาที่บันทึกเกี่ยวกับวารัคคนี หญิงสาวจึงรีบกวาดสายตาอ่านต่อ ศิลานี้เขียนเอาไว้เป็นคำกลอน ผู้แปลจึงแปลออกมาเป็นคำกลอนแบบเดียวกัน สรุปได้ใจความว่า

‘วารัคคนีมีมนตรา
เรียกวชิราได้ดั่งใจ
ป้องกันพิบัติเหตุเภทภัย
ภยันตรายใดใดไม่กรายมา
หนึ่งเคียงวิชชุตาเทวี
สองคู่บารมีวชิระเทวา
นับถือคือยอดแห่งศัสตรา
ทั่วอาณายากหาใครเทียบเทียม’


อ่านแล้ววิชชุตาก็รู้สึกเหมือนหายใจขัด ความฝันเกี่ยวกับเด็กชายหญิงฝาแฝดเมื่อคืนย้อนกลับมาในห้วงความคิด ครานี้ใบหน้าที่พร่าเบลอกลับเด่นชัด ดวงหน้าของเธอคือใบหน้าของเด็กหญิงในความฝัน ส่วนใบหน้าของเด็กชายก็ค่อยๆ กระจ่างชัดในความทรงจำขึ้นมาเรื่อยๆ

“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าซีดจัง” ไตรภพเอ่ยถามเมื่ออยู่ๆ ดวงตาของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย เหมือนคนกำลังจะเป็นลม

“วชิระ…พี่อยู่ไหน” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาโหวงจนแทบจะจับใจความไม่ได้ ก่อนจะหน้ามืดฟุบลงไปกับโต๊ะ




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.พ. 2555, 00:12:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.พ. 2555, 00:12:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1763





<< ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 7 การทักทายของวายุเทพ   ตอนที่ 3 ผนึกความทรงจำ : บทที่ 2 เทพเจ้าฝาแฝด >>
Zephyr 23 ก.พ. 2555, 00:24:07 น.
แหม ลงพร้อมกันสองเวบเลย หึหึ
ไปอ่านเวบนู้นมาแล้วค่ะ อ่านไปกางมือปิดตาไป ค่อยๆแย้มเปิดออก แต่เฮ้อ ก็ไม่เคลียร์แบบชัดเจนว่านิเป็นใครอยู่ดี สรุปว่าเธอไม่ธรรมดาละกัน ฮ่าๆๆๆ ปล่อยเจ๊นิเธอไป
อ๊าาาา พี่ชายมาแล้วววววว
วารัคคนีจะมีสองแล้ว วิชชุตาเทวี วชิระเทวา แหม นามเพราะจริงๆ อิอิ


Auuuu 23 ก.พ. 2555, 00:31:52 น.
มาอ่านแล้วววววววววว ^^
นิเป็นคนน่ารักมากเลยนะ ช่างสังเกตด้วย เพราะถ้าเป็นคนอื่น เราว่าไม่สังเกตชัวร์ !!


นิชาภา 23 ก.พ. 2555, 00:35:20 น.
คุณ Neferretii อิๆ ชอบชื่อวิชชุตา เป็นพิเศษน่ะค่ะ แบบตอนแรกยังไม่มีพล็อตหรอก แต่ไปเปิดเจอชื่อวิชชุตากับวชิระ ที่แปลว่าสายฟ้าทั้งคู่ คลิกเลย พล็อตมา เทพเจ้าฝาแฝด แล้วก็เริ่มอลังการงานสร้างกลายเป็นอภิมหากาพย์ค่ะ

นิศา = กลางคืน + รัตน์ = ดวงแก้ว รวมกันตรงตัวจะแปลกว่าแก้วกลางคืนค่ะ แต่รวมกันแล้วความหมายจริงๆ คือพระจันทร์ ชอบชื่อนี้เหมือนกัน เพราะมันสื่อความหมายถึงเบื้องหลั้งของนิได้ ปมของเธอยังมีอีกค่ะ ปล่อยออกมาเป็นระยะ คนเขียนขยันกััก กร๊ากกกกก ตามหลักก็คือเขียนให้น่าติดตามแต่จริงๆ คือ "หนูลืมเฉลยปมอ่ะ" มานึกได้ทีหลัง แล้วตารีตาเหลือกใส่ กร๊ากกกกกกกกก


นิชาภา 23 ก.พ. 2555, 00:37:42 น.
คุณ Auuuu นิเป็นเพื่อนในอุดมคติที่เราอยากได้เลยค่ะ อยากมีเพื่อนแบบนี้สักคนอิๆ แต่หาไม่ได้สักที ที่มีก็น่ารักนะคะแต่ไม่จัดเต็มเท่านิ 5555 คิดในอีกแง่ มีเพื่อนอย่างนิบางทีก็แอบหลอนเหมือนกันนะ แบบว่ากลัวผี


Zephyr 23 ก.พ. 2555, 00:43:28 น.
เห็นด้วยคะ นิ เธอเรียก.... (ไม่พูดดีก่า ดึกแล้ว)ได้ทุกรูปแบบ ยังกะแม่เหล็กต่างขั้ว ฮ่าๆๆๆ อยู่กะเพื่อนแบบนี้คงได้นั่งและนอนผวาตลอดแน่ๆอ่ะ หลอนได้ 24 ชั่วโมงเลย หุหุ

เวลามีลูกแฝดเอาไปตั้งชื่อดีมั้ยน้าาาา ฟ้า ไฟ(ไฟฟ้า ไฝฝ้า ฝ้าไฝ ฮ่าๆๆๆ) วิชชุตา วชิร


Auuuu 23 ก.พ. 2555, 01:02:42 น.
คุณนิชาภา คิดไปคิดมาก็หลอนตาม เอิ๊กๆๆ แต่เธอเด็ดมาก ไม่กลัวสิ่งใด เลิศ !!

คุณ Neferretti จัดไปโลดค่า ;)


Zephyr 23 ก.พ. 2555, 01:13:41 น.
คุณ Auuuu ฮ่าๆๆๆ เหมือนเราคุยกันอยู่สามคนเลยค่ะ อิอิ ^^
ไว้มีจริงๆจะจัดให้นะคะ ไฟ ฟ้า วิชชุตา วชิร
ไปเจอที่ไหนมีชื่อแบบนี้ให้รู้ไว้ว่าลูกเราเอง หึหึ คุณนิ(ชาภา)ไม่หวงใช่มั้ยคะ จดลิขสิทธิ์ป่ะเนี่ย - -"


อสิตา 23 ก.พ. 2555, 01:23:08 น.
-w-' แบบนั้นต้องคลอดน้องฝ้า-ไฝออกมาเป็นแฝดชายหญิงด้วยนะคะ คุณเนเฟอร์
พูดถึงไอติมกองโตที่ไหลละลายรวมกันแล้วรู้สึกเข็ด ขอแบบถ้วยเล็กแต่สั่งหลายทีดีกว่า เอิ๊ก...
แล้วแบบนี้เมื่อไหร่น้องสายฟ้าจะได้เจอพี่ชายละนั่น


เพลา 23 ก.พ. 2555, 08:28:23 น.
อิอิ เมื่อคืนตามไปอ่านเว็บโน้นมา ทนไม่ไหวอยากรู้เรื่องนิ แต่ก็ไม่ได้รู้ซะที ตอนนี้อ่านไปๆลุ้นแต่เรื่องนิ นิกลายเป้นนางเอกตัวหลักไปซะงั้น ฮ่าๆๆ


นิชาภา 23 ก.พ. 2555, 11:23:59 น.
คุณ Neferretti & คุณ Auuuu อิๆ เค้าเห็นน้าแอบเมาส์กัีนตอนเค้าไปนอนแล้วเหรอเนี่ย ชื่อไม่หวงค่ะ จริงๆ คิดไว้ว่าถ้าเป็นลูกสาว ชื่อจริง วิชชุตา ชื่อเล่นฟ้าใส เป็นลูกชาย ชื่อจริง วชิระ ชื่อเล่น สายฟ้า ส่วนถ้าเป็นฝาแฝด ได้ชื่อน้องไฟ/ฟ้า อย่างในเรื่อง แน่เลย 5555

คุณอสิตา ไอติมที่ละลายรวมกันเป็นอะไรที่แหยะมากค่ะ ในความรู้สึกเรา แต่เห็นเพื่อนกินได้แบบไม่ืทุกร้อน ส่วนเราก้อนเดียวก็จอดแล้วค่ะ แบบเป็นพวกกระเพาะเล็กกินอะไรได้ที่นะนิดเดียว เวลากินบุฟเฟต์จะขาดทุนอย่างแรงเลย

คุณเพลา ตอนนี้ยกให้นิเธอไปค่ะ เรื่องนี้มี 7 ตอน แล้วจะหั่นเป็น 3 ส่วนหลักค่ะ คือ สองบทแรก ฟ้าเด่น สามบทกลางนิเด่น สองบทหลังฟ้าจะกลับมาเป็๋นนางเอกอีกครั้ง แบบว่าแบ่งๆ กันไป สรุปเรื่องนี้มีนางเอกสองคน ^O^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account