ลิขิตพราย โดย วงแหวนดาวเสาร์ สนพ.อรุณ
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินทางรอนแรมไปในหนทางมืดมิด
มีเพียงเสียงหริ่งเรไรและหิ่งห้อยนำทาง
เขากำลังหนีจากสังคม ผู้คน มาเพื่อตามหาสิ่งหนึ่งซึ่งถูกซุกซ่อนเอาไว้ในป่าลึก... “บ่อพราย”
ตำนานเล่าขานกันว่าหากใครได้ส่องดูเงาตนเองที่บ่อในคืนเดือนมืด คนผู้นั้นจะมองเห็นสิ่งที่ตนตามหา
พี่นนท์คนใหม่กลายเป็นอีกคนที่เพลงพิณไม่รู้จัก จากผู้ชายขี้แพ้ สุภาพ อ่อนโยน ไม่สู้คน
กลายเป็นกระด้าง ปราดเปรียว สนุกกับชีวิตในเวลาที่ได้เอาชนะทุกสิ่งด้วยแววตาทรงพลังจนน่าขนลุก
ชั่วเวลาไม่กี่เดือนสรานนท์กลับกลายจากคนหมดตัวไปเป็นตากล้องมาแรงที่สุดในขณะนั้น
เขาเปิดนิทรรศการภาพถ่ายชวนพิศวงและดูสูงค่าจนเหล่าเศรษฐีแทบจะเหยียบกันเพื่อแย่งชิงไปไว้ในครอบครอง
ด้วยแรงดึงดูดแปลกประหลาดราวกับไม่ใช่พลังจากน้ำมือมนุษย์
มีเพียงเสียงหริ่งเรไรและหิ่งห้อยนำทาง
เขากำลังหนีจากสังคม ผู้คน มาเพื่อตามหาสิ่งหนึ่งซึ่งถูกซุกซ่อนเอาไว้ในป่าลึก... “บ่อพราย”
ตำนานเล่าขานกันว่าหากใครได้ส่องดูเงาตนเองที่บ่อในคืนเดือนมืด คนผู้นั้นจะมองเห็นสิ่งที่ตนตามหา
พี่นนท์คนใหม่กลายเป็นอีกคนที่เพลงพิณไม่รู้จัก จากผู้ชายขี้แพ้ สุภาพ อ่อนโยน ไม่สู้คน
กลายเป็นกระด้าง ปราดเปรียว สนุกกับชีวิตในเวลาที่ได้เอาชนะทุกสิ่งด้วยแววตาทรงพลังจนน่าขนลุก
ชั่วเวลาไม่กี่เดือนสรานนท์กลับกลายจากคนหมดตัวไปเป็นตากล้องมาแรงที่สุดในขณะนั้น
เขาเปิดนิทรรศการภาพถ่ายชวนพิศวงและดูสูงค่าจนเหล่าเศรษฐีแทบจะเหยียบกันเพื่อแย่งชิงไปไว้ในครอบครอง
ด้วยแรงดึงดูดแปลกประหลาดราวกับไม่ใช่พลังจากน้ำมือมนุษย์
Tags: สรานนท์ เพลงพิณ ธิติ พล กมลณัฐ บ่อพราย
ตอน: บทที่ ๖ แววตาที่เปลี่ยนไป
หุหุ ขอต๊ะตอบคอมเม้นต์ไว้ก่อนนะคะ กำลังเสียสติแล้ว
พ้นเดือนนี้ไปจะกลับมาเป็นผู้เป็นคน ...ตรวจนิยายก่อนลง แล้วก็
จัดแจงเอาตอนพิเศษอัคนิมาลงเสียที ยังไม่ได้จะเบี้ยวน้า แหะๆๆ *-*
เจอคำผิด คำประหลาด ทักได้นะคะ ช่วยหน่อยเน้อ งานหนักงานสุมกลุ้มอุรา........
บทที่ ๖ แววตาที่เปลี่ยนไป
ก่อนออกจากบ้าน ชายหนุ่มอาบน้ำค่อนข้างนานตามปกติ มองเงาตนเองในกระจกขณะที่
หยาดน้ำระเหิดหายไปจากผิวและผมอย่างง่ายดายเมื่อเขาไล่พวกมันออกไป
ความรู้สึกบางอย่างที่หน้าอกข้างซ้ายเด่นชัด...ร่องรอยอันบ่งถึงสัญญาของเขากับพวกพราย
และดูคล้ายเส้นสายหยักเป็นคลื่นของพืชน้ำ ดูอีกทีก็ราวกับว่าเป็นตัวอักขระอันมีความหมาย
เป็นรอยลิขิตแห่งน้ำ ที่จะบ่งชี้ชีวิตของเขานับจากนี้ไป
ผิวเนื้อตรงนั้นเย็นวาบอยู่เป็นนิจ แต่มันร้อนรุมๆ ในความรู้สึก จิตพรายที่ร่างกายยังไม่คุ้นชินง่ายๆ
ทำให้หงุดหงิด คล้ายมีบางอย่างมิได้ดังใจ ความรู้สึกนั้นบรรเทาลงยามเมื่อร่างกายสัมผัสกับน้ำ
พลังอำนาจของเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน
เขาเลิกขับรถคันเก่าแต่ยังคงจอดมันไว้เผื่อต้องใช้ เพราะเดี๋ยวนี้ตนเองสามารถไปปรากฏตัวยังที่ไหนๆ
ได้ด้วยวิธีอันแผกออกไป หากต้องการให้ดูเป็นปกติก็จะเรียกใช้บริการรถแท็กซี่
สำหรับปีนี้วันลอยกระทงเป็นวันเกือบชนสิ้นเดือนพฤศจิกายน สรานนท์ ศาสตร์ศศิน ปรากฏตัว
ในรั้วที่ทำงานของตน สถานที่แห่งนี้เขาห่างหายจากมันไปในพักหลัง ทั้งที่แต่ก่อนเคยมาทำงานทุกวันๆ
ต่อเนื่องนานเกือบสิบปี ชายหนุ่มกวาดตามองบรรยากาศหรูหราคึกคัก วันนี้เขามาในมาดใหม่
ต่างกับวันที่เข้ามาเก็บของลิบลับ วันนั้นหลบๆ ซ่อนๆ ...วันนี้พร้อมจะพบหน้าทุกๆ คน
อารยกิจการพิมพ์ตั้งอยู่ในเนื้อที่กว้างขวาง ไม่เรียกว่าถึงกับเป็นย่านชานเมือง แต่ก็ห่าง
ใจกลางเมืองมากพอที่จะรู้สึกถึงความเจือจางของมลภาวะ ตัวตึกล้วนสร้างใหม่จากผลกำไร
หลากด้านของสำนักพิมพ์ที่พยายามจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในวงการสิ่งพิมพ์ไทย สวนสวย
หลายกระหย่อมจัดแต่งไว้แซมตลอดระยะรับกับสิ่งก่อสร้าง ไม้ใหญ่ที่อยู่มานานตั้งแต่
รุ่นปู่ย่าช่วยก่อความร่มรื่นเย็นใจ
ในวันที่มีงานสนุกและผู้คนมากันมากมายเช่นนี้ทางสู่ตึกนิทรรศการทันสมัยก็ถูกจัดแต่งไว้
สะสวยด้วยซุ้มดอกไม้ไทย งานใบตอง ดอกไม้ร้อยกรองประณีตสมบรรยากาศวันลอยกระทง
เพลงพิณมองลงไปจากชั้นสองของตึกนิทรรศการซึ่งเป็นกระจกใสตลอดแนว เห็นร่างสูง
ในสูททรงสง่าตัดจากผ้าไหมมัดหมี่เทาดำแต่งลายเชิงเกือบจะกลืนไปกับเนื้อผ้าแค่ตรงสาบเสื้อ
เชิ้ตตัวในสีดำ ขรึมแบบมีศิลป์แปลกตาทั้งยังเข้ากับบรรยากาศ พี่นนท์ไม่ได้มัดผม ท่าเดิน
ของเขาดูสง่าเหลือเกิน ไม่เหลือเค้าผู้ชายที่หลายคนนิยามลับหลังว่า ‘ดูกระจอก’
เวลาได้ยินแบบนั้นเพลงพิณได้แต่ไม่พอใจแทนทุกทีไป แต่เวลานี้ คงไม่มีใครว่าเขาแบบนั้นได้อีกแล้ว
คนแอบมองแย้มยิ้ม เร่งผละลงไปชั้นล่าง เตรียมทักทายคนที่หายไปตลอดเดือน
เธอโทรไปหาเขาเพื่อขอบคุณเรื่องของขวัญที่แสนจะถูกใจครั้งหนึ่ง หีบเพลงนั้น
ถูกเปิดฟังก่อนนอนแทบทุกวัน ทำให้ยิ่งคิดถึงคนให้ที่ไม่ยอมโผล่มาให้เจอสักที
พี่พลเองบ่นแล้วบ่นอีกว่าอีกฝ่ายไม่เคยอยู่ทั้งที่ดั้นด้นไปหา...
ต่อมาเพลงพิณโทรไปคุยว่าเขากำลังทำอะไร สรานนท์ตอบว่ายุ่งๆ กับงานถ่ายรูป
หญิงสาวจึงได้แต่รอเวลาให้หมดเดือนเพื่อที่เดือนหน้าเขาจะได้มาเริ่มงานเสียที
แต่ในวันงานห้อยท้ายปลายเดือนเช่นนี้พี่พลบอกล่วงหน้าแล้วว่าเพื่อนของตนจะมา
และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เพลงพิณเฝ้ารอให้ถึงวันลอยกระทงไวๆ
สรานนท์กำลังเอ่ยทักทายคนรู้จักหลายคนที่หน้าห้องจัดเลี้ยง หลายคนแปลกใจระคนทึ่ง
ที่เห็นเขาในมาดใหม่ ชายหนุ่มไม่ได้แสดงท่าว่าสนใจปฏิกิริยาเหล่านั้น เขากวาดตาไปสุดห้อง
แล้วเขาก็พบเธอยืนยิ้มละไมอยู่ยังมุมที่มีซุ้มไม้จัดไว้ระย้าลงมา ซ่อนนางพรายที่แสนสวยงาม
ไว้จากสายตาคนนอก
ร่างแบบบางท่อนบนสวมเสื้อแขนยาว ข้างในเป็นเกาะอกสีเนื้อซ้อนซับอยู่ใต้ตัวเสื้อลูกไม้โปร่ง
สีไข่ไก่เหลือบประกายโอลด์โรสปักดิ้นมุก จากทรงคล้ายชุดไทยบรมพิมานประยุกต์คอเสื้อมิดชิด
กลายเป็นปาดเปิดไหล่ลาดละมุนตา เครื่องประดับมุกสีครีมพันสองทบแล้วขมวดตรงปลายสายยาว
ที่ห้อยลงมาเลยเอว ท่อนล่างเป็นกระโปรงพลีททรงสั้นโทนเดียวกับตัวเสื้อแต่สีอ่อนลงมาเล็กน้อย
ดูทันสมัย ผมทรงเก๋ที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อเดือนก่อนปล่อยตามปกติยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและการที่มัน
ดูยาวขึ้นเล็กน้อยกลับทำให้ดูพอดิบพอดียิ่งกว่าเมื่อแรกด้วยซ้ำ
เพลงพิณเห็นสายตาของคนเคยคุ้นที่กำลังตรงดิ่งมาหาเธอในมุมอันค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว
แต่พอใกล้เขาก็ชะงัก คล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ทว่าทั้งยังมองมานิ่งๆ พอเจอแบบนั้น
หญิงสาวก็หวั่นๆ อย่างไรบอกไม่ถูกแต่ก็เสทำเป็นไม่มีอะไร และเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเขาอย่างสดใส
“วันนี้ไม่ลืมแว่นแล้ว ดีจัง จะได้มองเห็นความสวยของสาวๆ นางนพมาศชัดๆ ”
สรานนท์ถอนใจ แค่ความสวยตรงหน้านี้ก็แทบจะทำเอานางนพมาศทั้งประเทศหมองไปได้หมดแล้ว
ชายหนุ่มพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกแปลกๆ เมื่อภาพในวันที่เพลงพิณอ้อนระทวยเป็นขี้ผึ้งเอนอิง
ซบอยู่กับอกเขากำลังค่อยๆ ย้อนมา ไม่ใช่แค่ภาพ ทั้งกลิ่นแล้วก็สัมผัสยังแจ่มชัดจนอยากให้เกิด
เหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกสักครา
พยายามสลัดความคิดนั้นทิ้ง ครั้งก่อนที่เจอเธอเขาก็ยังพลั้งเผลอใช้อำนาจจิตบังคับให้
เพลงพิณสวมแว่นตาให้ เหมือนกับว่าเขากำลังติดใจความรู้สึกบางอย่างที่เจ้าของร่างน้อยตรงหน้า
ก่อให้เกิด เธอเป็นน้องสาว ใจเดิมๆ ยืนกรานเขาจะต้องไม่เผลอทำไม่ดีแบบนั้นอีก แต่ใจดวงใหม่
กลับกระซิบบอกต่างออกไป...
“ไปดูกระทงกันพี่นนท์ เพลงจะเลือกกระทงที่เข้ากับชุดที่สุดเลย เดี๋ยวจองไว้ก่อนแล้วเราไป
ลอยด้วยกันนะ เพลงตั้งใจไว้แล้วว่าจะโบ้ยงานช้างให้ท่านผู้บริหารคนใหม่ เอ...จะว่าไป
พี่นนท์ก็เป็นท่านผู้บริหารคนใหม่นี่นา”
“ยังไม่ขึ้นเดือนใหม่ พี่ยังไม่เริ่มงาน” สรานนท์ยักไหล่หน้าตาย
“ทำงานตามจำนวนเงินจริงๆ ด้วย แฟร์ๆ แบบนี้เพลงชอบ” หญิงสาวคิกคัก
“วันนี้เราบริษัทเปิดให้ชาวบ้านทำกระทงมาออกร้านในงาน กับพวกอาหารไทยๆ
ที่เราเลือกมาแล้ว เขาทำกันสวยน่าดู”
เนื่องจากเพิ่งจะเริ่มเย็นและงานยังมิได้เปิดอย่างจริงจังทั้งสองคนจึงมีเวลาตระเวนชิม
นั่นนี่กันจนจุใจ ทั้งไข่นกกระทาในหลุม ขมไทยแปลกๆ หรือแม้กระทั่งอาหารงานวัด
อย่างสายไหมหรือปลาหมึกปิ้ง หอยทอดผัดไทยกระทงเล็กๆ แต่อร่อยทำให้ชิมได้หลากหลาย
โดยที่ท้องยังไม่เต็มเสียก่อน
“อืม ถั่วงอกสดมาก หอยแมลงภู่ด้วย” หญิงสาวชม
“พี่ว่าเดี๋ยวเพลงคงต้องไปเติมลิปสติกใหม่แล้ว กินมากขนาดนี้”
หญิงสาวขมวดคิ้วกับถ้อยคำดังกล่าว ก่อนจะยัดเยียดอาหารในมือตนทั้งหมดให้คนตัวสูง
“งั้นพี่นนท์กินแทนเลย เดี๋ยวเพลงอ้วน”
“พอเจออย่างใหม่เพลงก็ร้องจะกินอยู่ดี” สรานนท์บ่น กระนั้นก็ยังกินอาหาร
ที่ได้รับตกทอดมาอย่างไม่เกี่ยงงอน
เป็นอย่างที่ชายหนุ่มว่าจริงๆ เมื่อเพลงพิณพบร้านร้านใหม่ที่คนในงานสามารถต่อคิวรอรับได้
โดยไม่เสียสตางค์ เยี่ยมหน้าเข้าไปเห็นว่าน่าทานหญิงสาวก็ลากพี่ชายไม่แท้ของตนเองไปต่อคิวอีก
หลายคนเข้ามาทักทายสรานนท์ ชายหนุ่มก็คุยด้วยอย่างเป็นกันเอง แต่หากจับตาดูดีๆ
เพลงพิณก็เห็นว่าในการตอบบทสนทนาอย่างเจนจัดของเขานั้นก็ยังดูห่างเหินอยู่ในที เป็นเหตุให้
คนเหล่านั้นไม่กล้าที่จะอยู่รบกวนเวลาสบายๆ ที่อยากให้เป็นส่วนตัวของเขากับเพลงพิณนาน
“พี่นนท์กลายเป็นพวกเขี้ยวลากดินแล้วนะคะ”
“หือ ไม่นี่”
“จริงนะ เพลงเห็น”
“ไหน ไม่เห็นมี” ชายหนุ่มแยกเขี้ยวให้เพลงพิณดูทั้งที่ยังหน้าตาย
“เอ้า ถั่วงอกติดฟันแล้วนั่น ตายๆๆ ”หญิงสาวหัวเราะร่วน
“มีจริงเหรอ” ชายหนุ่มชักจะหน้าแดงเรื่อขึ้น
“ฮ่าๆ ล้อเล่น พี่นนท์ทำเป็นเก๊กหล่อ ที่แท้ก็ยังตลกเหมือนเดิมนี่นา” หญิงสาวได้ที
“อย่าให้ถึงตาพี่บ้างนะเพลง” คนโดนแกล้งคาดโทษอยู่ในที
ในขณะที่ทิ้งให้เพลงพิณเพลินอยู่กับอาหารที่โต๊ะนั่งเล่นตัวหนึ่งในสวนสวยรอบนอกของบริเวณงาน
สรานนท์อาสาไปหาเครื่องดื่มมาให้เพิ่มเติม แต่ระหว่างทางก็มีใครคนหนึ่งคว้าไหล่เขาเอาไว้จนต้องหัน
แต่ก่อนจะทันได้พูดอะไรเจ้าตัวผู้จู่โจมก็โถมเข้ากอดเขาเอาไว้แนบแน่นจนชายหนุ่มหายใจแทบไม่ออก
“ไอ้นนท์... นี่ถ้าวันนี้แกไม่โผล่มาฉันจะไปลากคอแกถึงบ้านแล้วนะ”
“ก็ยังดีที่แกเชื่อ เพราฉันไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาทำงาน”
คำตอบยิ้มๆ ของสรานนท์ทำให้พลชะงัก แม้เพื่อนจะดูคล้ายพูดเล่นและไม่ได้อารมณ์บูด
แต่จากน้ำเสียงนั้นส่อเค้าว่าถ้าเกิดเขาดันไม่เชื่อและโผล่ไปรบกวนเข้าจริงๆ แม้ไม่ได้เจอหน้ากันนาน
ก็อาจถูกมันตะเพิดออกมาได้
“นี่แกโตเป็นหนุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่” พลยิ้มเริงร่าให้เพื่อนที่สูงกว่าตนเองหลายเซ็นต์ แม้จะงงนิดหน่อย
กับบุคลิกที่ดูดีเป็นคนละคนของเพื่อน แต่เขากลับดีใจในการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างบอกไม่ถูก
เพราะตลอดเวลาที่เห็นมันหงอ เป็นพลนี่แหละที่ร่ำๆ อยากลงไม้ลงมือกับเพื่อนมาแล้วไม่รู้กี่ครา
สรานนท์กอดคอเพื่อน พลเป็นคนเดียวจริงใจเสมอ เกเรอย่างจริงใจ แกล้งเขาอย่างจริงใจ
ยามเขาเดือดร้อนก็พร้อมจะช่วยอย่างจริงใจอีกเหมือนกัน เสมอต้นเสมอปลายในทุกสิ่ง
คงเป็นคนสุดท้ายที่จะเปลี่ยนไป
แต่ช่วงก่อนนี้ที่เขาเจอมรสุมชีวิต เขาก็เลือกจะปิดไม่ให้เพื่อนรู้ แม้ว่าตึกของพ่อจะมีความหมาย
ต่อเขาเพียงไหน หรือแม้ว่าความยุติธรรมในเรื่องงานที่เขาไม่ได้รับ เพราะเขาไม่อยากให้เพื่อน
ที่บินจากไปไกลต้องมารับรู้ความชวนสมเพชอย่างน่าละอายเกี่ยวกับตัวเขา
เขาต้องการให้พลกลับมาเห็นภาพของเขาแล้วอุทานอย่างยินดีในความเปลี่ยนแปลง
อย่างเช่นที่มันกำลังทำตอนนี้...
เพลงพิณที่เดินตามสรานนท์มามองเห็นชายหนุ่มทั้งคู่แต่ไกล ถ้าเป็นแต่ก่อนคงต้องบอกว่า
พี่ชายเธอเด่น แต่เดี๋ยวนี้ ไม่น่าเชื่อว่าความหล่อของพี่นนท์ชักตีตื้นขึ้นมาจนกินกันไม่ลง
กับพี่พลที่เคยเป็นเดือนอยู่เสมอไม่ว่าจะโคจรไปตรงไหน
“พี่พลหล่อจริงนะคะวันนี้” คนเป็นน้องร้องทัก ก็คุณชายเล่นทรงสูทขาวทับเชิ้ตตัวในสีม่วงจาง
เข้ากับท่อนล่างซึ่งเป็นผ้าไหมโจงกระเบนสีเทาเหลือบม่วงอ่อนๆ วาวเงินเงาในเนื้อ ถุงเท้าขาว
รองเท้าดำครบเซต มองไกลๆ ก็ดูอย่างกับท่านเจ้าคุณในละครอยู่เหมือนกัน ไปอยู่เมืองนอกนาน
ก็แบบนี้ พี่ชายคงอยากจะได้บรรยากาศไทยๆ เต็มที่สักหน่อย
ทั้งที่บรรยากาศควรจะชื่นบานในวันดีๆ ซึ่งคนที่มีใจผูกพันกันได้มาพบหน้าสนทนาชื่นมื่น
ทว่าความสุขสันต์เหมือนจะเลือนๆ ลงเมื่อเพลงพิณทำสีหน้าชะงักและสองหนุ่มหันตามไปมองสาเหตุ
เป็นธิติที่เดินเข้ามาในบริเวณนั้นพร้อมด้วยชายคนหนึ่งที่ต้องบอกว่าไม่หนุ่มไม่แก่แต่สีหน้าไม่ใคร่น่าคบ
สรานนท์มองไม่วางตาแต่สีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่พลแลดูไม่สบายใจนัก เขารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง
ของเพื่อนสนิทอีกคนได้จากหลายคนที่ส่งข่าวให้ได้รับรู้ นอกเหนือจากนั้นทุกครั้งยามได้คุยกัน
ทัศนคติขัดแย้งระหว่างเขากับธิติก็ดูจะรุนแรงขึ้นทุกที และยิ่งเมื่อกลับมาเห็นความจริงทุกสิ่งที่เมืองไทย
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พลก็สามารถระบุได้ว่าแม้จะเจอหน้ากันบ่อยๆ กับเขาธิติเหมือนกลายเป็นเพียง
คนรู้จักไปอย่างไม่พอที่ สรานนท์เสียอีกที่เพิ่งจะเจอกันวันนี้ทั้งมันเองก็มีหลายสิ่งเปลี่ยนไป
แต่ในแววตานั้นบอกให้เขารู้ ว่าความเป็นเพื่อนยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย
“ไงครับ อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะ ผู้บริหารคนสำคัญถึงสามของอารยกิจ” ธิติเปรยเสียงเข้ม
เหมือนเขาประชดกลายๆ และไม่ได้รวมตัวเองเข้าไปในกลุ่มคนสำคัญที่ว่าด้วย
“ราศีจับทั้งกลุ่มเลย โดยเฉพาะผู้บริหารคนใหม่ ”
เพลงพิณเห็นสีหน้าสรานนท์เรียบเฉยแม้ไม่มองธิติตรงๆ แต่ก็ไม่ได้เบือนหลบ
คล้ายว่าเขาขี้เกียจสนใจในตัวเพื่อนเก่าแต่ก็ไม่เห็นความสำคัญพอจะหลบสายตา
“ไงไอ้นนท์ ตั้งแต่ต่อยกันยังไม่ได้คุยกันเลยนี่หว่า แต่เดี๋ยวก็ต้องร่วมงานกันแล้วนะ ท่านผู้บริหาร”
ธิติเยาะ “อ้อนี่ รู้จักคุณดนัยไว้หน่อยไหม ก่อนพ่อพวกเราจะตายคุณดนัยเขาสนิทสนมกับ
สองคนนั้นดีเชียว” ชายหนุ่มหน้าเข้มเอ่ยราวกับว่ามรณกรรมของบิดาตนที่ผ่านไป
กลายเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ
อันที่จริงถ้าธิติจะโกรธเคืองสรานนท์เรื่องที่ตามรูปคดีดูเหมือนว่าบิดาของเขาได้ยิงเสี่ยกำธร
แล้วยิงตัวตายตามสรานนท์ก็พอเข้าใจ แม้ว่าตัวเขาเองยังกังขาในเรื่องนั้น แต่นี่ธิติดูเหมือน
ไม่ค่อยใส่ใจว่าใครจะตายเพราะใคร ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนของเขาเคยโมโหอยู่พักหนึ่ง
แต่ก็เหมือนแค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ ทว่าเมื่อธิติเอ่ยถึงผู้ชายที่มาด้วยชื่อดนัย
ว่าพัวพันกับพ่อเขาและพ่อของธิติก่อนที่ทั้งคู่จะเสียชีวิตทำให้สายตาของสรานนท์เปลี่ยนไปจับจ้อง
ยังใบหน้าหนุ่มใหญ่ผู้นั้นทันที
“นี่หรือ ลูกชายนายสมภพน่ะครับคุณธิติ” คนพูดหันไปเอ่ยกับธิติโดยไม่เกรงใจสรานนท์แม้แต่น้อย
“ดูดีกว่าพ่อหน่อยนึงแต่เอาเข้าจริงก็อาจไม่ดีไปกว่ากันสักเท่าไร” เสียงเหมือนคนลิ้นจุกปากนั้น
ยังคงปรามาสต่อไป
เพลงพิณแอบแตะแขนสรานนท์อย่างเป็นห่วง ในขณะที่พลกระแอมออกมาอย่างไม่ใคร่ชอบใจ
“เสี่ยกำธรนี่ก็น่าสงสาร คบเพื่อนเนรคุณ แบบนั้นสู้คบค้ากับผมยังจะมีประโยชน์กว่าเอาเงินไปเสีย
กับพวกขี้ครอก จมหายทั้งต้นทั้งดอก แถมแม้แต่ชีวิตก็ยังไม่เหลือ”
แววตาของสรานนท์หรี่ลงวูบ เย็นเยียบและคมกริบราวกับมีดน้ำแข็ง เขามองหน้าคนพูดนิ่งๆ
ในขณะที่ดนัยเองไม่ได้สบตาตอบขณะที่ปากพล่ามพูดไปเรื่อยอย่างไม่เห็นสำคัญ เห็นได้ชัด
ว่าหมอนี่คงมีเรื่องไม่ชอบหน้าทั้งยังเห็นพ่อเขาเป็นเศษขยะข้างทางเพียงใด และก็ไม่ได้ตีค่าว่า
สรานนท์มีค่ามากน้อยไปกว่าบิดา ทั้งไม่ฉลาดพอจะหันมาจับสังเกตคนที่ตนกำลังกวนตะกอน
ในใจให้ขุ่นพล่านว่ามีแววตาน่าสะพรึงเพียงใด
เพลงพิณรู้สึกว่าพี่นนท์ของเธอหายใจแรงขึ้น หญิงสาวยึดแขนชายหนุ่มไว้ กลัวว่าพี่นนท์จะ
ขาดสติ เหมือนอย่างคราวที่เขาชกธิติจนมีเรื่องมีราวกันในครั้งก่อนแล้วก็แพ้ไม่เป็นท่า
แม้ตอนนี้จะดูว่าเขาคงไม่แพ้ง่ายเหมือนแต่ก่อน
“อย่างห่วง พี่เข็ดแล้ว คงไม่ทำอะไรคนในที่โล่งโจ้งแบบนี้หรอกเพลง” ชายหนุ่มข่มเสียงเครียดเอ่ยขึ้น
ใช่ เขาไม่ทำตรงนี้ แต่ถ้าลับหลังคนอื่นๆ ละก็ ไม่แน่...
“ไปกันเถอะเพลง นนท์ เราอยู่แถวนี้นานแล้ว เข้าไปดูความเรียบร้อยในงานเสียหน่อย”
พลตัดบทแล้วออกเดินนำไป เห็นได้ชัดว่าไม่พยายามรักษามารยาทเช่นกัน
แม้ท่าทางแขกของธิติที่ชื่อว่าดนัยออกจะดูใหญ่โตไม่น้อย
พ้นเดือนนี้ไปจะกลับมาเป็นผู้เป็นคน ...ตรวจนิยายก่อนลง แล้วก็
จัดแจงเอาตอนพิเศษอัคนิมาลงเสียที ยังไม่ได้จะเบี้ยวน้า แหะๆๆ *-*
เจอคำผิด คำประหลาด ทักได้นะคะ ช่วยหน่อยเน้อ งานหนักงานสุมกลุ้มอุรา........
บทที่ ๖ แววตาที่เปลี่ยนไป
ก่อนออกจากบ้าน ชายหนุ่มอาบน้ำค่อนข้างนานตามปกติ มองเงาตนเองในกระจกขณะที่
หยาดน้ำระเหิดหายไปจากผิวและผมอย่างง่ายดายเมื่อเขาไล่พวกมันออกไป
ความรู้สึกบางอย่างที่หน้าอกข้างซ้ายเด่นชัด...ร่องรอยอันบ่งถึงสัญญาของเขากับพวกพราย
และดูคล้ายเส้นสายหยักเป็นคลื่นของพืชน้ำ ดูอีกทีก็ราวกับว่าเป็นตัวอักขระอันมีความหมาย
เป็นรอยลิขิตแห่งน้ำ ที่จะบ่งชี้ชีวิตของเขานับจากนี้ไป
ผิวเนื้อตรงนั้นเย็นวาบอยู่เป็นนิจ แต่มันร้อนรุมๆ ในความรู้สึก จิตพรายที่ร่างกายยังไม่คุ้นชินง่ายๆ
ทำให้หงุดหงิด คล้ายมีบางอย่างมิได้ดังใจ ความรู้สึกนั้นบรรเทาลงยามเมื่อร่างกายสัมผัสกับน้ำ
พลังอำนาจของเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน
เขาเลิกขับรถคันเก่าแต่ยังคงจอดมันไว้เผื่อต้องใช้ เพราะเดี๋ยวนี้ตนเองสามารถไปปรากฏตัวยังที่ไหนๆ
ได้ด้วยวิธีอันแผกออกไป หากต้องการให้ดูเป็นปกติก็จะเรียกใช้บริการรถแท็กซี่
สำหรับปีนี้วันลอยกระทงเป็นวันเกือบชนสิ้นเดือนพฤศจิกายน สรานนท์ ศาสตร์ศศิน ปรากฏตัว
ในรั้วที่ทำงานของตน สถานที่แห่งนี้เขาห่างหายจากมันไปในพักหลัง ทั้งที่แต่ก่อนเคยมาทำงานทุกวันๆ
ต่อเนื่องนานเกือบสิบปี ชายหนุ่มกวาดตามองบรรยากาศหรูหราคึกคัก วันนี้เขามาในมาดใหม่
ต่างกับวันที่เข้ามาเก็บของลิบลับ วันนั้นหลบๆ ซ่อนๆ ...วันนี้พร้อมจะพบหน้าทุกๆ คน
อารยกิจการพิมพ์ตั้งอยู่ในเนื้อที่กว้างขวาง ไม่เรียกว่าถึงกับเป็นย่านชานเมือง แต่ก็ห่าง
ใจกลางเมืองมากพอที่จะรู้สึกถึงความเจือจางของมลภาวะ ตัวตึกล้วนสร้างใหม่จากผลกำไร
หลากด้านของสำนักพิมพ์ที่พยายามจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในวงการสิ่งพิมพ์ไทย สวนสวย
หลายกระหย่อมจัดแต่งไว้แซมตลอดระยะรับกับสิ่งก่อสร้าง ไม้ใหญ่ที่อยู่มานานตั้งแต่
รุ่นปู่ย่าช่วยก่อความร่มรื่นเย็นใจ
ในวันที่มีงานสนุกและผู้คนมากันมากมายเช่นนี้ทางสู่ตึกนิทรรศการทันสมัยก็ถูกจัดแต่งไว้
สะสวยด้วยซุ้มดอกไม้ไทย งานใบตอง ดอกไม้ร้อยกรองประณีตสมบรรยากาศวันลอยกระทง
เพลงพิณมองลงไปจากชั้นสองของตึกนิทรรศการซึ่งเป็นกระจกใสตลอดแนว เห็นร่างสูง
ในสูททรงสง่าตัดจากผ้าไหมมัดหมี่เทาดำแต่งลายเชิงเกือบจะกลืนไปกับเนื้อผ้าแค่ตรงสาบเสื้อ
เชิ้ตตัวในสีดำ ขรึมแบบมีศิลป์แปลกตาทั้งยังเข้ากับบรรยากาศ พี่นนท์ไม่ได้มัดผม ท่าเดิน
ของเขาดูสง่าเหลือเกิน ไม่เหลือเค้าผู้ชายที่หลายคนนิยามลับหลังว่า ‘ดูกระจอก’
เวลาได้ยินแบบนั้นเพลงพิณได้แต่ไม่พอใจแทนทุกทีไป แต่เวลานี้ คงไม่มีใครว่าเขาแบบนั้นได้อีกแล้ว
คนแอบมองแย้มยิ้ม เร่งผละลงไปชั้นล่าง เตรียมทักทายคนที่หายไปตลอดเดือน
เธอโทรไปหาเขาเพื่อขอบคุณเรื่องของขวัญที่แสนจะถูกใจครั้งหนึ่ง หีบเพลงนั้น
ถูกเปิดฟังก่อนนอนแทบทุกวัน ทำให้ยิ่งคิดถึงคนให้ที่ไม่ยอมโผล่มาให้เจอสักที
พี่พลเองบ่นแล้วบ่นอีกว่าอีกฝ่ายไม่เคยอยู่ทั้งที่ดั้นด้นไปหา...
ต่อมาเพลงพิณโทรไปคุยว่าเขากำลังทำอะไร สรานนท์ตอบว่ายุ่งๆ กับงานถ่ายรูป
หญิงสาวจึงได้แต่รอเวลาให้หมดเดือนเพื่อที่เดือนหน้าเขาจะได้มาเริ่มงานเสียที
แต่ในวันงานห้อยท้ายปลายเดือนเช่นนี้พี่พลบอกล่วงหน้าแล้วว่าเพื่อนของตนจะมา
และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เพลงพิณเฝ้ารอให้ถึงวันลอยกระทงไวๆ
สรานนท์กำลังเอ่ยทักทายคนรู้จักหลายคนที่หน้าห้องจัดเลี้ยง หลายคนแปลกใจระคนทึ่ง
ที่เห็นเขาในมาดใหม่ ชายหนุ่มไม่ได้แสดงท่าว่าสนใจปฏิกิริยาเหล่านั้น เขากวาดตาไปสุดห้อง
แล้วเขาก็พบเธอยืนยิ้มละไมอยู่ยังมุมที่มีซุ้มไม้จัดไว้ระย้าลงมา ซ่อนนางพรายที่แสนสวยงาม
ไว้จากสายตาคนนอก
ร่างแบบบางท่อนบนสวมเสื้อแขนยาว ข้างในเป็นเกาะอกสีเนื้อซ้อนซับอยู่ใต้ตัวเสื้อลูกไม้โปร่ง
สีไข่ไก่เหลือบประกายโอลด์โรสปักดิ้นมุก จากทรงคล้ายชุดไทยบรมพิมานประยุกต์คอเสื้อมิดชิด
กลายเป็นปาดเปิดไหล่ลาดละมุนตา เครื่องประดับมุกสีครีมพันสองทบแล้วขมวดตรงปลายสายยาว
ที่ห้อยลงมาเลยเอว ท่อนล่างเป็นกระโปรงพลีททรงสั้นโทนเดียวกับตัวเสื้อแต่สีอ่อนลงมาเล็กน้อย
ดูทันสมัย ผมทรงเก๋ที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อเดือนก่อนปล่อยตามปกติยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและการที่มัน
ดูยาวขึ้นเล็กน้อยกลับทำให้ดูพอดิบพอดียิ่งกว่าเมื่อแรกด้วยซ้ำ
เพลงพิณเห็นสายตาของคนเคยคุ้นที่กำลังตรงดิ่งมาหาเธอในมุมอันค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว
แต่พอใกล้เขาก็ชะงัก คล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ทว่าทั้งยังมองมานิ่งๆ พอเจอแบบนั้น
หญิงสาวก็หวั่นๆ อย่างไรบอกไม่ถูกแต่ก็เสทำเป็นไม่มีอะไร และเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเขาอย่างสดใส
“วันนี้ไม่ลืมแว่นแล้ว ดีจัง จะได้มองเห็นความสวยของสาวๆ นางนพมาศชัดๆ ”
สรานนท์ถอนใจ แค่ความสวยตรงหน้านี้ก็แทบจะทำเอานางนพมาศทั้งประเทศหมองไปได้หมดแล้ว
ชายหนุ่มพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกแปลกๆ เมื่อภาพในวันที่เพลงพิณอ้อนระทวยเป็นขี้ผึ้งเอนอิง
ซบอยู่กับอกเขากำลังค่อยๆ ย้อนมา ไม่ใช่แค่ภาพ ทั้งกลิ่นแล้วก็สัมผัสยังแจ่มชัดจนอยากให้เกิด
เหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกสักครา
พยายามสลัดความคิดนั้นทิ้ง ครั้งก่อนที่เจอเธอเขาก็ยังพลั้งเผลอใช้อำนาจจิตบังคับให้
เพลงพิณสวมแว่นตาให้ เหมือนกับว่าเขากำลังติดใจความรู้สึกบางอย่างที่เจ้าของร่างน้อยตรงหน้า
ก่อให้เกิด เธอเป็นน้องสาว ใจเดิมๆ ยืนกรานเขาจะต้องไม่เผลอทำไม่ดีแบบนั้นอีก แต่ใจดวงใหม่
กลับกระซิบบอกต่างออกไป...
“ไปดูกระทงกันพี่นนท์ เพลงจะเลือกกระทงที่เข้ากับชุดที่สุดเลย เดี๋ยวจองไว้ก่อนแล้วเราไป
ลอยด้วยกันนะ เพลงตั้งใจไว้แล้วว่าจะโบ้ยงานช้างให้ท่านผู้บริหารคนใหม่ เอ...จะว่าไป
พี่นนท์ก็เป็นท่านผู้บริหารคนใหม่นี่นา”
“ยังไม่ขึ้นเดือนใหม่ พี่ยังไม่เริ่มงาน” สรานนท์ยักไหล่หน้าตาย
“ทำงานตามจำนวนเงินจริงๆ ด้วย แฟร์ๆ แบบนี้เพลงชอบ” หญิงสาวคิกคัก
“วันนี้เราบริษัทเปิดให้ชาวบ้านทำกระทงมาออกร้านในงาน กับพวกอาหารไทยๆ
ที่เราเลือกมาแล้ว เขาทำกันสวยน่าดู”
เนื่องจากเพิ่งจะเริ่มเย็นและงานยังมิได้เปิดอย่างจริงจังทั้งสองคนจึงมีเวลาตระเวนชิม
นั่นนี่กันจนจุใจ ทั้งไข่นกกระทาในหลุม ขมไทยแปลกๆ หรือแม้กระทั่งอาหารงานวัด
อย่างสายไหมหรือปลาหมึกปิ้ง หอยทอดผัดไทยกระทงเล็กๆ แต่อร่อยทำให้ชิมได้หลากหลาย
โดยที่ท้องยังไม่เต็มเสียก่อน
“อืม ถั่วงอกสดมาก หอยแมลงภู่ด้วย” หญิงสาวชม
“พี่ว่าเดี๋ยวเพลงคงต้องไปเติมลิปสติกใหม่แล้ว กินมากขนาดนี้”
หญิงสาวขมวดคิ้วกับถ้อยคำดังกล่าว ก่อนจะยัดเยียดอาหารในมือตนทั้งหมดให้คนตัวสูง
“งั้นพี่นนท์กินแทนเลย เดี๋ยวเพลงอ้วน”
“พอเจออย่างใหม่เพลงก็ร้องจะกินอยู่ดี” สรานนท์บ่น กระนั้นก็ยังกินอาหาร
ที่ได้รับตกทอดมาอย่างไม่เกี่ยงงอน
เป็นอย่างที่ชายหนุ่มว่าจริงๆ เมื่อเพลงพิณพบร้านร้านใหม่ที่คนในงานสามารถต่อคิวรอรับได้
โดยไม่เสียสตางค์ เยี่ยมหน้าเข้าไปเห็นว่าน่าทานหญิงสาวก็ลากพี่ชายไม่แท้ของตนเองไปต่อคิวอีก
หลายคนเข้ามาทักทายสรานนท์ ชายหนุ่มก็คุยด้วยอย่างเป็นกันเอง แต่หากจับตาดูดีๆ
เพลงพิณก็เห็นว่าในการตอบบทสนทนาอย่างเจนจัดของเขานั้นก็ยังดูห่างเหินอยู่ในที เป็นเหตุให้
คนเหล่านั้นไม่กล้าที่จะอยู่รบกวนเวลาสบายๆ ที่อยากให้เป็นส่วนตัวของเขากับเพลงพิณนาน
“พี่นนท์กลายเป็นพวกเขี้ยวลากดินแล้วนะคะ”
“หือ ไม่นี่”
“จริงนะ เพลงเห็น”
“ไหน ไม่เห็นมี” ชายหนุ่มแยกเขี้ยวให้เพลงพิณดูทั้งที่ยังหน้าตาย
“เอ้า ถั่วงอกติดฟันแล้วนั่น ตายๆๆ ”หญิงสาวหัวเราะร่วน
“มีจริงเหรอ” ชายหนุ่มชักจะหน้าแดงเรื่อขึ้น
“ฮ่าๆ ล้อเล่น พี่นนท์ทำเป็นเก๊กหล่อ ที่แท้ก็ยังตลกเหมือนเดิมนี่นา” หญิงสาวได้ที
“อย่าให้ถึงตาพี่บ้างนะเพลง” คนโดนแกล้งคาดโทษอยู่ในที
ในขณะที่ทิ้งให้เพลงพิณเพลินอยู่กับอาหารที่โต๊ะนั่งเล่นตัวหนึ่งในสวนสวยรอบนอกของบริเวณงาน
สรานนท์อาสาไปหาเครื่องดื่มมาให้เพิ่มเติม แต่ระหว่างทางก็มีใครคนหนึ่งคว้าไหล่เขาเอาไว้จนต้องหัน
แต่ก่อนจะทันได้พูดอะไรเจ้าตัวผู้จู่โจมก็โถมเข้ากอดเขาเอาไว้แนบแน่นจนชายหนุ่มหายใจแทบไม่ออก
“ไอ้นนท์... นี่ถ้าวันนี้แกไม่โผล่มาฉันจะไปลากคอแกถึงบ้านแล้วนะ”
“ก็ยังดีที่แกเชื่อ เพราฉันไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาทำงาน”
คำตอบยิ้มๆ ของสรานนท์ทำให้พลชะงัก แม้เพื่อนจะดูคล้ายพูดเล่นและไม่ได้อารมณ์บูด
แต่จากน้ำเสียงนั้นส่อเค้าว่าถ้าเกิดเขาดันไม่เชื่อและโผล่ไปรบกวนเข้าจริงๆ แม้ไม่ได้เจอหน้ากันนาน
ก็อาจถูกมันตะเพิดออกมาได้
“นี่แกโตเป็นหนุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่” พลยิ้มเริงร่าให้เพื่อนที่สูงกว่าตนเองหลายเซ็นต์ แม้จะงงนิดหน่อย
กับบุคลิกที่ดูดีเป็นคนละคนของเพื่อน แต่เขากลับดีใจในการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างบอกไม่ถูก
เพราะตลอดเวลาที่เห็นมันหงอ เป็นพลนี่แหละที่ร่ำๆ อยากลงไม้ลงมือกับเพื่อนมาแล้วไม่รู้กี่ครา
สรานนท์กอดคอเพื่อน พลเป็นคนเดียวจริงใจเสมอ เกเรอย่างจริงใจ แกล้งเขาอย่างจริงใจ
ยามเขาเดือดร้อนก็พร้อมจะช่วยอย่างจริงใจอีกเหมือนกัน เสมอต้นเสมอปลายในทุกสิ่ง
คงเป็นคนสุดท้ายที่จะเปลี่ยนไป
แต่ช่วงก่อนนี้ที่เขาเจอมรสุมชีวิต เขาก็เลือกจะปิดไม่ให้เพื่อนรู้ แม้ว่าตึกของพ่อจะมีความหมาย
ต่อเขาเพียงไหน หรือแม้ว่าความยุติธรรมในเรื่องงานที่เขาไม่ได้รับ เพราะเขาไม่อยากให้เพื่อน
ที่บินจากไปไกลต้องมารับรู้ความชวนสมเพชอย่างน่าละอายเกี่ยวกับตัวเขา
เขาต้องการให้พลกลับมาเห็นภาพของเขาแล้วอุทานอย่างยินดีในความเปลี่ยนแปลง
อย่างเช่นที่มันกำลังทำตอนนี้...
เพลงพิณที่เดินตามสรานนท์มามองเห็นชายหนุ่มทั้งคู่แต่ไกล ถ้าเป็นแต่ก่อนคงต้องบอกว่า
พี่ชายเธอเด่น แต่เดี๋ยวนี้ ไม่น่าเชื่อว่าความหล่อของพี่นนท์ชักตีตื้นขึ้นมาจนกินกันไม่ลง
กับพี่พลที่เคยเป็นเดือนอยู่เสมอไม่ว่าจะโคจรไปตรงไหน
“พี่พลหล่อจริงนะคะวันนี้” คนเป็นน้องร้องทัก ก็คุณชายเล่นทรงสูทขาวทับเชิ้ตตัวในสีม่วงจาง
เข้ากับท่อนล่างซึ่งเป็นผ้าไหมโจงกระเบนสีเทาเหลือบม่วงอ่อนๆ วาวเงินเงาในเนื้อ ถุงเท้าขาว
รองเท้าดำครบเซต มองไกลๆ ก็ดูอย่างกับท่านเจ้าคุณในละครอยู่เหมือนกัน ไปอยู่เมืองนอกนาน
ก็แบบนี้ พี่ชายคงอยากจะได้บรรยากาศไทยๆ เต็มที่สักหน่อย
ทั้งที่บรรยากาศควรจะชื่นบานในวันดีๆ ซึ่งคนที่มีใจผูกพันกันได้มาพบหน้าสนทนาชื่นมื่น
ทว่าความสุขสันต์เหมือนจะเลือนๆ ลงเมื่อเพลงพิณทำสีหน้าชะงักและสองหนุ่มหันตามไปมองสาเหตุ
เป็นธิติที่เดินเข้ามาในบริเวณนั้นพร้อมด้วยชายคนหนึ่งที่ต้องบอกว่าไม่หนุ่มไม่แก่แต่สีหน้าไม่ใคร่น่าคบ
สรานนท์มองไม่วางตาแต่สีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่พลแลดูไม่สบายใจนัก เขารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง
ของเพื่อนสนิทอีกคนได้จากหลายคนที่ส่งข่าวให้ได้รับรู้ นอกเหนือจากนั้นทุกครั้งยามได้คุยกัน
ทัศนคติขัดแย้งระหว่างเขากับธิติก็ดูจะรุนแรงขึ้นทุกที และยิ่งเมื่อกลับมาเห็นความจริงทุกสิ่งที่เมืองไทย
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พลก็สามารถระบุได้ว่าแม้จะเจอหน้ากันบ่อยๆ กับเขาธิติเหมือนกลายเป็นเพียง
คนรู้จักไปอย่างไม่พอที่ สรานนท์เสียอีกที่เพิ่งจะเจอกันวันนี้ทั้งมันเองก็มีหลายสิ่งเปลี่ยนไป
แต่ในแววตานั้นบอกให้เขารู้ ว่าความเป็นเพื่อนยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย
“ไงครับ อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะ ผู้บริหารคนสำคัญถึงสามของอารยกิจ” ธิติเปรยเสียงเข้ม
เหมือนเขาประชดกลายๆ และไม่ได้รวมตัวเองเข้าไปในกลุ่มคนสำคัญที่ว่าด้วย
“ราศีจับทั้งกลุ่มเลย โดยเฉพาะผู้บริหารคนใหม่ ”
เพลงพิณเห็นสีหน้าสรานนท์เรียบเฉยแม้ไม่มองธิติตรงๆ แต่ก็ไม่ได้เบือนหลบ
คล้ายว่าเขาขี้เกียจสนใจในตัวเพื่อนเก่าแต่ก็ไม่เห็นความสำคัญพอจะหลบสายตา
“ไงไอ้นนท์ ตั้งแต่ต่อยกันยังไม่ได้คุยกันเลยนี่หว่า แต่เดี๋ยวก็ต้องร่วมงานกันแล้วนะ ท่านผู้บริหาร”
ธิติเยาะ “อ้อนี่ รู้จักคุณดนัยไว้หน่อยไหม ก่อนพ่อพวกเราจะตายคุณดนัยเขาสนิทสนมกับ
สองคนนั้นดีเชียว” ชายหนุ่มหน้าเข้มเอ่ยราวกับว่ามรณกรรมของบิดาตนที่ผ่านไป
กลายเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ
อันที่จริงถ้าธิติจะโกรธเคืองสรานนท์เรื่องที่ตามรูปคดีดูเหมือนว่าบิดาของเขาได้ยิงเสี่ยกำธร
แล้วยิงตัวตายตามสรานนท์ก็พอเข้าใจ แม้ว่าตัวเขาเองยังกังขาในเรื่องนั้น แต่นี่ธิติดูเหมือน
ไม่ค่อยใส่ใจว่าใครจะตายเพราะใคร ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนของเขาเคยโมโหอยู่พักหนึ่ง
แต่ก็เหมือนแค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ ทว่าเมื่อธิติเอ่ยถึงผู้ชายที่มาด้วยชื่อดนัย
ว่าพัวพันกับพ่อเขาและพ่อของธิติก่อนที่ทั้งคู่จะเสียชีวิตทำให้สายตาของสรานนท์เปลี่ยนไปจับจ้อง
ยังใบหน้าหนุ่มใหญ่ผู้นั้นทันที
“นี่หรือ ลูกชายนายสมภพน่ะครับคุณธิติ” คนพูดหันไปเอ่ยกับธิติโดยไม่เกรงใจสรานนท์แม้แต่น้อย
“ดูดีกว่าพ่อหน่อยนึงแต่เอาเข้าจริงก็อาจไม่ดีไปกว่ากันสักเท่าไร” เสียงเหมือนคนลิ้นจุกปากนั้น
ยังคงปรามาสต่อไป
เพลงพิณแอบแตะแขนสรานนท์อย่างเป็นห่วง ในขณะที่พลกระแอมออกมาอย่างไม่ใคร่ชอบใจ
“เสี่ยกำธรนี่ก็น่าสงสาร คบเพื่อนเนรคุณ แบบนั้นสู้คบค้ากับผมยังจะมีประโยชน์กว่าเอาเงินไปเสีย
กับพวกขี้ครอก จมหายทั้งต้นทั้งดอก แถมแม้แต่ชีวิตก็ยังไม่เหลือ”
แววตาของสรานนท์หรี่ลงวูบ เย็นเยียบและคมกริบราวกับมีดน้ำแข็ง เขามองหน้าคนพูดนิ่งๆ
ในขณะที่ดนัยเองไม่ได้สบตาตอบขณะที่ปากพล่ามพูดไปเรื่อยอย่างไม่เห็นสำคัญ เห็นได้ชัด
ว่าหมอนี่คงมีเรื่องไม่ชอบหน้าทั้งยังเห็นพ่อเขาเป็นเศษขยะข้างทางเพียงใด และก็ไม่ได้ตีค่าว่า
สรานนท์มีค่ามากน้อยไปกว่าบิดา ทั้งไม่ฉลาดพอจะหันมาจับสังเกตคนที่ตนกำลังกวนตะกอน
ในใจให้ขุ่นพล่านว่ามีแววตาน่าสะพรึงเพียงใด
เพลงพิณรู้สึกว่าพี่นนท์ของเธอหายใจแรงขึ้น หญิงสาวยึดแขนชายหนุ่มไว้ กลัวว่าพี่นนท์จะ
ขาดสติ เหมือนอย่างคราวที่เขาชกธิติจนมีเรื่องมีราวกันในครั้งก่อนแล้วก็แพ้ไม่เป็นท่า
แม้ตอนนี้จะดูว่าเขาคงไม่แพ้ง่ายเหมือนแต่ก่อน
“อย่างห่วง พี่เข็ดแล้ว คงไม่ทำอะไรคนในที่โล่งโจ้งแบบนี้หรอกเพลง” ชายหนุ่มข่มเสียงเครียดเอ่ยขึ้น
ใช่ เขาไม่ทำตรงนี้ แต่ถ้าลับหลังคนอื่นๆ ละก็ ไม่แน่...
“ไปกันเถอะเพลง นนท์ เราอยู่แถวนี้นานแล้ว เข้าไปดูความเรียบร้อยในงานเสียหน่อย”
พลตัดบทแล้วออกเดินนำไป เห็นได้ชัดว่าไม่พยายามรักษามารยาทเช่นกัน
แม้ท่าทางแขกของธิติที่ชื่อว่าดนัยออกจะดูใหญ่โตไม่น้อย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ส.ค. 2555, 17:49:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2557, 07:35:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 1443
<< บทที่ ๕ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง(ต่อ-จบบท) | บทที่ ๖ แววตาที่เปลี่ยนไป(ต่อ-จบบท) >> |

อสิตา 19 ส.ค. 2555, 17:50:58 น.
ฮี่ๆๆๆ เมาแล้ว ดันนึกว่านี่วันจันทร์
เดี๋ยวตอนต่อไปมาลงวันพุธนะคะ รอนางนพมาศณัฐอีกหน่อยน้า อิอิอิ
ฮี่ๆๆๆ เมาแล้ว ดันนึกว่านี่วันจันทร์
เดี๋ยวตอนต่อไปมาลงวันพุธนะคะ รอนางนพมาศณัฐอีกหน่อยน้า อิอิอิ


ใบบัวน่ารัก 19 ส.ค. 2555, 18:17:41 น.
ขอเป็นนางนพมาศแทนได้ปะ อยากกกม๊าก
ขออีกนิด คลายปม ปริศนาบ้างก็จะดี
ขอเป็นนางนพมาศแทนได้ปะ อยากกกม๊าก
ขออีกนิด คลายปม ปริศนาบ้างก็จะดี

อสิตา 19 ส.ค. 2555, 18:36:07 น.
หุหุ นั่นสิคะคุณใบบัว... คลายปมช้าไปหน่อยแต่กำลังจะเริ่มแล้วละ
ตอนรีไรท์คงต้องยกมาปล่อยไว้ระหว่างทางมากกว่านี้ ยังไม่ได้เรียบเรียงให้ดี

ตอนรีไรท์คงต้องยกมาปล่อยไว้ระหว่างทางมากกว่านี้ ยังไม่ได้เรียบเรียงให้ดี

Chii 19 ส.ค. 2555, 18:51:01 น.
ตอนนี้มันสั้น หรือเค้าอ่านเร็ว??
ตอนหน้าชื่อตอนอะไรอ่ะ? แววตาเปลี่ยนไป ใจเปลี่ยนตาม??
ตอนนี้มันสั้น หรือเค้าอ่านเร็ว??
ตอนหน้าชื่อตอนอะไรอ่ะ? แววตาเปลี่ยนไป ใจเปลี่ยนตาม??

lovemuay 19 ส.ค. 2555, 19:20:18 น.
พี่พลดูหล่อขึ้นทุกวัน อิอิ
ฮา ตรงที่บอก "แกล้งอย่างจริงใจ" น่ารักจังเลยค่ะ
พี่พลดูหล่อขึ้นทุกวัน อิอิ
ฮา ตรงที่บอก "แกล้งอย่างจริงใจ" น่ารักจังเลยค่ะ

goldensun 19 ส.ค. 2555, 20:18:00 น.
แบบทีแกล้งนนท์ได้ แต่คนอื่นห้ามรึเปล่า คุณพล
ไม่ค่อยมีใครจับแววตาที่เปลี่ยนไปของนนท์แล้วกลัวเลยนะคะ
เวลาในเรื่องผ่นเร็ว แต่เรื่องยังอึมครึมเป็นฟ้าครึ้มฝน ค่อยๆคืบ
แบบทีแกล้งนนท์ได้ แต่คนอื่นห้ามรึเปล่า คุณพล
ไม่ค่อยมีใครจับแววตาที่เปลี่ยนไปของนนท์แล้วกลัวเลยนะคะ
เวลาในเรื่องผ่นเร็ว แต่เรื่องยังอึมครึมเป็นฟ้าครึ้มฝน ค่อยๆคืบ


sai 19 ส.ค. 2555, 21:20:02 น.
ตอนนี้มาช่วยจับไก่
ผลกำไรหลากด้านของสำนักพิมพ์---หลาย , หลากหลาย
ขมไทยแปลกๆ--- ขนมไทย
พลก็สามารถระบุได้ว่าแม้จะเจอหน้ากันบ่อยๆ กับเขาธิติ(เขากับธิติ)เหมือนกลายเป็น...
“ไงครับ อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะ ผู้บริหารคนสำคัญถึง(ทั้ง)สามของอารยกิจ”
ปล.อยากเห็นณัฐอ่ะ
ตอนนี้มาช่วยจับไก่
ผลกำไรหลากด้านของสำนักพิมพ์---หลาย , หลากหลาย
ขมไทยแปลกๆ--- ขนมไทย
พลก็สามารถระบุได้ว่าแม้จะเจอหน้ากันบ่อยๆ กับเขาธิติ(เขากับธิติ)เหมือนกลายเป็น...
“ไงครับ อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะ ผู้บริหารคนสำคัญถึง(ทั้ง)สามของอารยกิจ”
ปล.อยากเห็นณัฐอ่ะ


สร้อยดอกหมาก 19 ส.ค. 2555, 22:07:57 น.
เป็นหนังสือเมื่อไร อย่าลืมส่งข่าวให้สร้อยด้วยนะคะ ตอนนี้สารภาพตรงๆว่าไม่มีเวลาตามแล้ว อ๊ากกกกก!!!
เป็นหนังสือเมื่อไร อย่าลืมส่งข่าวให้สร้อยด้วยนะคะ ตอนนี้สารภาพตรงๆว่าไม่มีเวลาตามแล้ว อ๊ากกกกก!!!

หมูอ้วน 19 ส.ค. 2555, 23:26:46 น.
ไรเตอร์ สู้ ๆ ค่ะ
ไรเตอร์ สู้ ๆ ค่ะ

ameerahTaec 20 ส.ค. 2555, 10:40:46 น.
ช่วยหาคะ อิอิ "อย่า(ง)ห่วง พี่เข็ดแล้ว..." // ตาดนัยนี่เป็นใครงิ บังอาจมาพูดจาเสียดสีพี่นนท์ ฮึ่มๆๆ พร้อมปกป้องพี่นนท์เต็มที่
ช่วยหาคะ อิอิ "อย่า(ง)ห่วง พี่เข็ดแล้ว..." // ตาดนัยนี่เป็นใครงิ บังอาจมาพูดจาเสียดสีพี่นนท์ ฮึ่มๆๆ พร้อมปกป้องพี่นนท์เต็มที่


ling 20 ส.ค. 2555, 10:59:37 น.
พี่นนท์ใช้จิตพรายแบบนี้ ภายหลังจะมีผลร้ายอะไรหนอ
พี่นนท์ใช้จิตพรายแบบนี้ ภายหลังจะมีผลร้ายอะไรหนอ

shadha 20 ส.ค. 2555, 11:09:31 น.
แวะมาชวนพี่พลปูเสื่อรอเจ้าณัฐ
(me: ปูเสื่อ เชิญพี่พลนั่ง นั่งข้างๆพี่พลและกระแซะซบ >,<)
แวะมาชวนพี่พลปูเสื่อรอเจ้าณัฐ
(me: ปูเสื่อ เชิญพี่พลนั่ง นั่งข้างๆพี่พลและกระแซะซบ >,<)

patok 20 ส.ค. 2555, 15:02:24 น.
อยากอ่านตอนหน้าแล้วอ่ะ แค่จิ้นเองก็รู้ว่าพี่พลจะหล่อขนาดไหน >๐<
อยากอ่านตอนหน้าแล้วอ่ะ แค่จิ้นเองก็รู้ว่าพี่พลจะหล่อขนาดไหน >๐<

Zephyr 20 ส.ค. 2555, 18:55:47 น.
เอ๊ะ ตอนนี้มันดูเพลนๆ นะมะม้า
นางนพมาศล่ะ ไปไหนแล้ว มีแต่กระทง กะพี่พล พี่นนท์ (จงใจลืมอีกคนอย่างสุดๆ) หึหึ
แล้วจิตพรายนี่ เมื่อไรพี่นนท์จะชินล่ะ ขนาดไม่ชินยังใช้ได้ขนาดนี้ ตอนรวมกันแบบพอดี ไม่วุ่นวายกว่านี้เรอะ
ตาดนัยนั่น สงสัย ปากวอนนะเนี่ย
เอ๊ะ ตอนนี้มันดูเพลนๆ นะมะม้า
นางนพมาศล่ะ ไปไหนแล้ว มีแต่กระทง กะพี่พล พี่นนท์ (จงใจลืมอีกคนอย่างสุดๆ) หึหึ
แล้วจิตพรายนี่ เมื่อไรพี่นนท์จะชินล่ะ ขนาดไม่ชินยังใช้ได้ขนาดนี้ ตอนรวมกันแบบพอดี ไม่วุ่นวายกว่านี้เรอะ
ตาดนัยนั่น สงสัย ปากวอนนะเนี่ย

silverraindrop 21 ส.ค. 2555, 11:19:44 น.
มาแล้ว / รายงานตัวคร้า
มาแล้ว / รายงานตัวคร้า

SunSeed 3 ก.ย. 2555, 11:08:29 น.
กลับมาแว้วววว พี่แป้ง ส่วนพี่นนท์ จัดการมันซะไอ้คนปากไม่ดีนั่นน่ะ
กลับมาแว้วววว พี่แป้ง ส่วนพี่นนท์ จัดการมันซะไอ้คนปากไม่ดีนั่นน่ะ